แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 383 384 [385] 386 387 ... 534
5761
มูลนิธิสุขภาพผู้หญิง เตรียมร่อน จม.เปิดผนึก ร้อง สธ.ทบทวนนโยบายฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูกให้เด็กหญิง 12 ปี ชี้ ไร้ผลวิจัยยืนยันว่าป้องกันได้ตลอดชีวิตจริงอย่างที่ สธ.โม้ แถมไม่คุ้มค่า เพราะครอบคลุมสายพันธุ์แค่ 50-70% และยังต้องมีการตรวจคัดกรองเหมือนเดิม ก่อนกดราคาวัคซีนต้องต่ำกว่า 190 บาทต่อเข็ม จึงคุ้มค่ากว่า เสนอให้คัดกรองเพิ่ม 80% ลดจำนวนป่วยตายได้

       วันนี้ (18 พ.ค.) น.ส.ณัฐยา บุญภักดี กรรมการและเลขานุการมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมผลักดันโครงการวัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวี (HPV:Human Papilloma vaccine) นำมาฉีดป้องกันในเด็กหญิงไทย อายุ 12 ปี ที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ ว่า ในสัปดาห์หน้า ทางมูลนิธิ และภาคีเครือข่าย รวม 21 องค์กร จะยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุข ทบทวนการผลักดันนโยบายดังกล่าว โดยข้อมูลวิชาการที่ศึกษาโดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) พบว่า สาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกมาจากการติดเชื้อ Human Papilloma Virus (HPV) ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โดยวัคซีนในปัจจุบันป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกสายพันธุ์ที่พบในหญิงไทย 50-70% เท่านั้น ทำให้แม้ว่าจะได้รับวัคซีนแล้วก็ควรได้รับการตรวจคัดกรองอยู่ดี จึงไม่ได้ทำให้ลดต้นทุนการป้องกันโรคแต่อย่างใด
       
       “ปัจจุบันการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกครอบคลุมประมาณ 70% และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2548 ที่มีประชาชนรับการคัดกรองเพียง 20% จึงคาดว่า ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกลดลง 1,500 คนต่อปี ป้องกันการเสียชีวิตได้ 750 คนต่อปี ประหยัดงบประมาณในการรักษา 102 ล้านบาท ฉะนั้น การลงทุนฉีดวัคซีนในเด็กหญิงอายุ 12 ปี ซึ่งมีปีละ 400,000 คนทั่วประเทศ จึงยังไม่ใช่ทางเลือกเชิงนโยบายที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ เพราะเท่ากับเป็นการลงทุน 2 ต่อ คือ ยังต้องใช้การตรวจคัดกรองเดิม และเพิ่มวัคซีนเข้ามา” น.ส.ณัฐยา กล่าว
       
       น.ส.ณัฐยา กล่าวต่อว่า ที่สำคัญปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลวิชาการถึงประสิทธิผลของวัคซีนในระยะยาวเกินกว่า 10 ปี เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ ทำให้ไม่สามารถตัดสินได้ว่าการฉีดวัคซีน 3 เข็มนี้ จะสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้นานเพียงใด และต้องฉีดซ้ำหรือไม่ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขลดลง สอดคล้องกับ ประเด็นเรื่องราคาของวัคซีน ซึ่ง HITAP ได้ประเมินเรื่องความคุ้มค่าโดยหลักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข หากวัคซีนราคาต่ำกว่า 190 ต่อเข็ม ถือว่ามีความคุ้มค่าในการใช้วัคซีนเมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจคัดกรอง เพราะจะทำให้ต้นทุนของการฉีดวัคซีนเท่ากับงบประมาณที่จะประหยัดได้จากการรักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในอนาคต
       
       น.ส.ณัฐยา กล่าวอีกว่า ภาคีเครือข่ายขอเสนอทางเลือกเชิงนโยบาย เพื่อช่วยให้อุบัติการณ์เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกลดลง คือ

1.เพิ่มความครอบคลุมการตรวจคัดกรองให้ได้ตามเป้าหมายของประเทศ คือ 80% ซึ่งจะช่วยลดผู้ป่วยมะเร็งได้เพิ่มอีก 530 ราย และลดผู้เสียชีวิตได้ 250 ราย

2.ควรมีการศึกษาเรื่องความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขให้สอดคล้องกับข้อมูลระบาดวิทยาในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งจะใกล้เคียงกับประเทศไทย และสร้างความเข้าใจประชาชนใหม่ ว่า การฉีดวัคซีนไม่สามารถทดแทนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ จึงต้องรับการตรวจคัดกรองอย่างเหมาะสมอยู่ดี
       
3.ควรนำนโยบายดังกล่าวผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการชุดสิทธิประโยชน์ฯ ของ สปสช.รวมทั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เพราะจะต้องพิจารณาวัคซีนใหม่ไปพร้อมกันอีกหลายตัว และ

4.ควรจัดให้มีเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างเปิดเผย
       
       ทั้งนี้ เครือข่ายที่เข้าร่วม ได้แก่ 1.เครือข่ายเยาวชนเพื่อการพัฒนา 2.เครือข่ายเยาวชนด้านเอดส์ ประเทศไทย 3.เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีแห่งประเทศไทย 4.เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ 5.เครือข่ายผู้หญิงในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 6.แผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังระบบยา 7.เครือข่ายเด็กและเยาวชนภาคเหนือตอนบน 8.เครือข่ายคนทำงานด้านเด็ก จังหวัดเชียงใหม่ 9.มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว 10.กลุ่มเยาวชนดอกลมแล้ง อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 11.กลุ่มคนวัยใส 12.กลุ่มเขลางค์เพื่อการพัฒนา 13.กลุ่มแม่หญิงดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 14.เครือข่ายเยาวชน อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 15.มูลนิธิพัฒนาศักยภาพเยาวชน (ไทยัพ) 16.สำนักข่าวเด็กและเยาวชน จังหวัดพะเยา 17.ชมรมเครือข่ายครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว 18.คณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ (กพอ.) 19.มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ 20.มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ และ 21.มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 พฤษภาคม 2555

5762
 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการชดเชยค่าบริการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
       
       ระบบการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินลดความเหลื่อมล้ำ 3 กองทุนที่รัฐบาลประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2555 จนถึงวันนี้ ยังไม่พบปัญหาใดๆ ที่เป็นอุปสรรคจนทำให้ต้องยุติ หรือยกเลิกโครงการ แต่ที่เห็นได้ชัด ก็คือ ประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉินจนอาจเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ได้รับบริการช่วยชีวิตไปแล้วถึง 1,074 ราย (ข้อมูลตั้งแต่ 1-30 เม.ย.2555)
       
       ข่าวที่ปรากฏในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน เม.ย.จึงไม่ใช่ปัญหาการเข้าถึงบริการของประชาชน แต่เป็นปัญหาที่สะท้อนมาจากโรงพยาบาลเอกชน ว่า เงินชดเชยที่ภาครัฐกำหนดให้จ่ายตามระบบ DRGs โดยมีอัตราจ่ายที่ 10,500 บาทต่อหนึ่งหน่วยน้ำหนักสัมพัทธ์ อาจไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและทำให้โรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการประสบภาวะขาดทุนได้
       
       ผมเชื่อว่า หลายท่านคงสงสัย และอยากรู้ว่า ระบบ DRGs คืออะไร และเกี่ยวข้องอย่างไรกับการจ่ายเงินชดเชย DRGs มาจากคำว่า Diagnostic Related Groups หรือระบบการวินิจฉัยโรคร่วม ซึ่งหมายถึงการจัดกลุ่มโรคที่มีต้นทุนในการให้บริการใกล้เคียงกันมาไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน แต่ละกลุ่มจะมีค่าน้ำหนักประจำกลุ่มซึ่งแปรผันได้ตามจำนวนวันที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยชายไทย อายุ 40 ปี มาโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้องด้านขวามาก มีอาการคลื่นไส้อาเจียน แพทย์ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และวินิจฉัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ และเข้ารับการผ่าตัด นอนพักในโรงพยาบาล 5 วัน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ จากนั้นแพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน กรณีนี้ เมื่อป้อนข้อมูลเข้าระบบเพื่อจัดกลุ่มโรค จะจัดอยู่ในกลุ่มรหัส 06070 มีน้ำหนักสัมพัทธ์เท่ากับ 1.1468 แต่หากผู้ป่วยนอนในโรงพยาบาล 7 วันเนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลผ่าตัดติดเชื้อและ/หรือมีโรคร่วมที่เพิ่มค่าใช้จ่ายในการดูแล เช่น ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรังจะจัดอยู่ในกลุ่ม 06074 มีน้ำหนักสัมพัทธ์เท่ากับ 3.3052 เป็นต้น
       
       ที่เรียกว่า “น้ำหนักสัมพัทธ์” ก็เนื่องจากเป็นผลลัพธ์จากการนำค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดจากการให้บริการในกลุ่มโรคนั้นๆ หารด้วยค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายจากการให้บริการของทุกๆ กลุ่มโรคจากการเก็บข้อมูลการให้บริการจริงอย่างต่อเนื่อง 3-5 ปี ดังนั้น น้ำหนักสัมพัทธ์ของการผ่าตัดไส้ติ่งที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน 1.1468 จึงหมายความว่าการผ่าตัดไส้ติ่งในกรณีดังกล่าวมีการใช้ทรัพยากรเป็น 1.1468 เท่าของการใช้ทรัพยากรในการรักษาเฉลี่ยทุกโรคแต่นั้นยังไม่ใช่เงินชดเชยค่าบริการที่จะต้องจ่ายให้กับโรงพยาบาลนะครับ
       
       หลายท่านคงมีประสบการณ์การไปรับบริการในคลินิก หรือโรงพยาบาลเอกชนไม่มากก็น้อย หลังพบคุณหมอเพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกาย คุณหมอก็จะสั่งยา จากนั้นก็ไปรับยาที่ห้องยาพร้อมชำระเงิน ผมเชื่อว่า ราคาที่ปรากฏในใบแจ้งหนี้ที่โรงพยาบาลแต่ละแห่งเรียกเก็บมีโอกาสไม่เท่ากัน เพราะต้นทุนของแต่ละโรงพยาบาลไม่เท่ากัน การคิดค่าบริหารจัดการ หรือค่าบริการก็ไม่เท่ากัน แม้ว่าผู้ป่วยจะถูกวินิจฉัยด้วยโรคเดียวกัน ดังนั้น เมื่อกองทุนสุขภาพของประเทศไทยทั้ง 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพ สวัสดิการข้าราชการและกองทุนประกันสังคมเป็นตัวแทนในการจ่ายเงินชดเชยให้กับโรงพยาบาลแทนสมาชิกของแต่ละกองทุน จึงนำระบบ DRGs และค่าน้ำหนักสัมพัทธ์มาใช้ ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก
       
       แปลว่า ในระบบ DRGs การให้บริการจากโรงพยาบาลใดๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก เมื่อผลการให้บริการนั้นถูกจัดกลุ่มไปอยู่ในกลุ่มเดียวกัน จะให้ค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ที่เท่ากันเสมอ แต่ในชีวิตจริงแม้ว่าผลการให้บริการนั้นจะถูกจัดไปอยู่ในกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมเดียวกัน แต่ผู้ป่วยอาจนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยจำนวนวันนอนที่ไม่เท่ากัน เช่น การให้บริการผ่าตัดไส้ติ่งในเด็ก อาจนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 5 วัน แต่ผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดไส้ติ่ง อาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 9 วัน ดังนั้น เมื่อจัดกลุ่มเรียบร้อยแล้ว จะมีการนำวันนอนพักรักษาตัวมาใช้คำนวณเพื่อให้ได้น้ำหนักสัมพัทธ์ที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง วันนอนที่มากกว่าจึงส่งผลต่อน้ำหนักสัมพัทธ์ให้มีค่ามากกว่า และค่าที่ปรับได้เรียกว่า น้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับตามวันนอน (Adjusted Relative Weight: AdjRW) เงินชดเชยค่าบริการจะเป็นเท่าไร จะใช้น้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับตามวันนอนนี่เองเป็นหลักในการคำนวณ ไม่ว่าจะให้บริการที่ใดก็ตาม
       
       เหมือนเราไปหาซื้อแตงโมสักลูกกับชาวไร่ น้ำหนักชั่งในสวนเท่ากับ 2.5 กิโลกรัม เมื่อนำมาขายในตลาดไท แตงโมลูกนั้นก็ยังคงหนัก 2.5 กิโลกรัม สุดท้ายถูกนำมาขายต่อในห้างสรรพสินค้า แตงโมลูกนั้นก็ยังคงหนัก 2.5 กิโลกรัมเท่าเดิม แต่ราคาขายต่อ 1 กิโลกรัมต่างหากที่แตกต่างกันระหว่างในสวน ในตลาดหรือในห้างสรรพสินค้า
       
       สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติใช้ DRGs เป็นเครื่องมือในการจ่ายเงินชดเชยให้กับโรงพยาบาลมาตั้งแต่ปี 2545 ตั้งแต่ รุ่นที่สาม (Version 3) จนปัจจุบันเป็นรุ่นที่ห้า (Version 5) รุ่นที่ใหม่กว่าจะมีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในการชดเชยให้กับโรงพยาบาลตามทรัพยากรที่ใช้ไปในค่าเฉลี่ย ยกตัวอย่างเช่น รุ่นที่ 3 มีการจัดกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมจำนวน 1,283 กลุ่ม รุ่นที่ 4 มีการจัดกลุ่มเพิ่มเป็น 1,920 กลุ่มและรุ่นที่ 5 มีการจัดกลุ่มโรคและหัตถการเพิ่มขึ้นเป็น 2,450 กลุ่ม ซึ่งมีความละเอียดมากขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักสัมพัทธ์ที่ได้มีความสอดคล้องกับการวินิจฉัยโรคและหัตถการมากขึ้น

       ยกตัวอย่างผู้ป่วยท้องเสียและมีภาวะโพแทสเซียมต่ำ ใน DRGs รุ่น 4 จัดอยู่ในกลุ่ม 06573 มีน้ำหนักสัมพัทธ์เท่ากับ 0.6268 แต่จากการศึกษาพบว่าค่าใช้จ่ายภาวะโพแทสเซียมต่ำในผู้ป่วยท้องเสียไม่ได้มีผลทางสถิติต่อค่าใช้จ่ายจริง ซึ่งอาจเกิดจากค่ายาเพิ่มโพแทสเซียมมีราคาถูกลงมาก ใน DRGs รุ่น 5 จึงมีการจัดกลุ่มใหม่เป็น 06571 และมีน้ำหนักสัมพัทธ์เป็น 0.4100 ในขณะที่ผู้ป่วยท้องเสียและ มีภาวะช็อกจากการเสียน้ำซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าภาวะโพแทสเซียมต่ำที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม 06573 กลับมีน้ำหนักสัมพัทธ์เพิ่มขึ้นเป็น 1.0796 ซึ่งแพทย์ผู้รักษาเองก็คงไม่ต้องการเห็นโรงพยาบาลได้รับการชดเชยบริการเท่ากันในโรคแทรกทั้งสองชนิด
       
       DRGs มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องโดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรต่อเนื่องกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยใช้ข้อมูลการให้บริการจริงจากโรงพยาบาลทั่วประเทศที่บันทึกเพื่อขอเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสวัสดิการข้าราชการ สำหรับ DRGs รุ่นที่ 5 หลังจากคณะวิจัยได้ทำการศึกษามาระยะหนึ่งได้มีการประชุมระดมสมองและประชาพิจารณ์ครั้งที่ 1 ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2552 และเมื่อจัดทำต้นร่างเรียบร้อยแล้ว ได้จัดประชุมเพื่อระดมสมองและประชาพิจารณ์ครั้งที่ 2 วันที่ 27 สิงหาคม 2553 ที่โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี โดยมีตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุขและกรมที่เกี่ยวข้อง โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ศูนย์วิจัยและติดตามความเป็นธรรมทางสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ราชวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ เช่นราชวิทยาลัยรังสีแพทย์ ราชวิทยาลัยจิตแพทย์ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น
       
       เพื่อป้องกันความสับสนของโรงพยาบาลทั่วประเทศที่เบิกเงินชดเชยจากกองทุนสุขภาพทั้ง 3 กองทุนได้ตกลงร่วมกันว่าจะประกาศใช้ DRGs รุ่นเดียวกัน โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการของแต่ละกองทุน
       
       สำหรับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้มีการเชิญคณะผู้วิจัยเข้าไปนำเสนอระเบียบขั้นตอนการวิจัยและเสนอผลการจัดทำ DRGs รุ่น 5 ต่อคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขซึ่งมีตัวแทนจากวิชาชีพต่างๆ เช่น อธิบดีกรมการแพทย์ ผู้แทนราชวิทยาลัยแพทย์เฉพาะทางสาขาสูตินรีเวช สาขาศัลยกรรม สาขาอายุรกรรม สาขากุมารเวชกรรม ผู้แทนผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและผดุงครรภ์ ทันตกรรม เภสัชกรรม ผู้แทนโรงพยาบาลเอกชน ผู้แทนแพทยสภา สภาการพยาบาล ทันตแพทยสภา สภาเภสัชกรรม ฯลฯ เพื่อขอรับความคิดเห็น และนำเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบ
       
       กว่าจะออกมาเป็น DRGs ในแต่ละรุ่นต้องผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยทางวิชาการอย่างละเอียด ผ่านการระดมสมองและประชาพิจารณ์ โดยเชิญผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วน จึงอาจกล่าวได้ว่า DRGs เป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างความเป็นธรรมในระบบบริการสาธารณสุขในเวลานี้
       
       ก็เหมือนกับตัวอย่างของแตงโมที่เล่าให้ฟังก่อนหน้า จะมีใครวิจารณ์ไหมว่าหน่วย “กิโลกรัม” ที่ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ไม่เป็นธรรม หรือจะสร้างความหายนะให้กับวงการค้าขายแตงโม ส่วนราคาขายต่อหน่วยน้ำหนักควรจะเป็นเท่าไร ยุติธรรมไหม ก็ว่ากันเป็นอีกเรื่องไปนะครับ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 พฤษภาคม 2555

5763
ประธานชมรมแพทย์ชนบท ชี้ การเลือกเลขาธิการ สปสช.ได้คนเดิมจะทำให้งาน สปสช.พัฒนาต่อเนื่องได้ และเลขาธิการ สปสช. สมัยสองต้องมีความอิสระ ไม่อยู่ภายใต้อำนาจสั่งการที่มิชอบของฝ่ายการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์แอบแฝงในบอร์ด สปสช.จึงจะเป็นเลขาธิการที่สง่างาม และได้รับการสนับสนุนจากประชาชน
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวถึงผลการเลือกเลขาธิการ สปสช.คนใหม่ ว่า ได้คนที่เหมาะสม และสามารถสานต่องานได้ทันที แต่ต้องระวังแผนล้ม หรือเปลี่ยนหลักการระบบบัตรทองของกลุ่มการเมือง บริษัทยาข้ามชาติ ข้าราชการประจำที่กลัวเสียอำนาจ และแพทย์พาณิชย์ที่ยังจ้องจะแสวงหาประโยชน์จากกองทุน สปสช.นับแสนล้านบาทอยู่ และมุ่งทำให้เป็นระบบสงเคราะห์คนอนาถาเหมือนในอดีต ดังนั้น เลขาธิการ สปสช.สมัยที่สองต้องหนักแน่น เป็นอิสระ ไม่ปล่อยให้กองทุนหลักประกันสุขภาพ และ สปสช.ถูกแทรกแซง ล้วงลูก หรือแสวงหาประโยชน์ จึงจะเป็นเลขาธิการ สปสช.สมัยที่สองที่สง่างาม
       
       “เลขาธิการ สปสช.จะต้องไม่ยอมรับคำสั่ง หรือปล่อยให้มีการแสวงหาประโยชน์จากเงินกองทุนและการแทรกแซงงานบริหารบุคคลภายใน สปสช.ตามที่เป็นข่าว เพราะสังคมกำลังจับตามองและตรวจสอบการใช้เงินกองทุน โดยเฉพาะในส่วนของงบลงทุนค่าเสื่อมจำนวนกว่าห้าร้อยล้านบาท ที่มีการดำเนินการมาจากกระทรวงอย่างรีบเร่ง และการขอตำแหน่งรองเลขาธิการเพิ่มจากฝ่ายการเมืองเพื่อแต่งตั้งคนภายนอกของตน เป็นการเตรียมการยึดครอง สปสช.ในอนาคต” ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าว
       
       รายงานข่าวจากที่ประชุมบอร์ด สปสช.แจ้งว่า ได้มีการรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงตามประเด็นข้อสังเกตที่ สตง.ได้ตั้งไว้ต่อการบริหารงานที่ผ่านมาของ สปสช.โดยคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่ รมว.สาธารณสุข แต่งตั้งได้สรุป และรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวว่า ข้อสังเกตทั้ง 7 ข้อของ สตง.ไม่มีประเด็นเรื่องทุจริต หรือทำให้ทางราชการเกิดความเสียหาย เป็นเพียงการบริหารงานที่ยึดกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่แตกต่างกันของ สตง.และ สปสช.ซึ่งมีบางประเด็นที่อาจต้องหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติในอนาคต และมอบให้ สปสช.ทำรายละเอียดข้อชี้แจง เสนอต่อ สตง.ต่อไป และมีข่าวว่า สปสช.กำลังเตรียมการฟ้องร้องเอาผิดต่อกลุ่มคนที่กล่าวหา และสร้างข้อมูลเท็จทำให้เกิดความเสียหายต่องานของ สปสช.ที่ผ่านมา

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 พฤษภาคม 2555

5764
 “วิทยา” เผย มีคนป่วยจากกินอาหารไม่สะอาดรอบ 5 เดือนปีนี้กว่าครึ่งล้านราย ออกนโยบายให้โรงพยาบาลในสังกัดกว่า 900 แห่ง เป็นครัวต้นแบบโภชนาการ กินแล้วสุขภาพดี ลดป่วย ลดโรค
       
       วันนี้ (14 พ.ค.)นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขนพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย เปิดโครงการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพด้านอาหารและโภชนาการ ที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นต้นแบบครัวปรุงอาหารเพื่อสุขภาพดี ไม่ป่วยจากโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกิดมาจากกินอาหารรสมัน หวาน เค็มจัด ซึ่งกำลังเป็นปัญหาของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
       
       นายวิทยา กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเร่งแก้ไขปัญหาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของประชาชนที่เกิดมาจากการกินอาหารที่ปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ และปรุงโดยใช้น้ำมัน น้ำตาล เกลือมากเกินไป ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา โรคที่เกิดอาหารและน้ำไม่สะอาดที่สำคัญ 2 โรคได้แก่ โรคอาหารเป็นพิษและโรคอุจจาระร่วง ในรอบ 5 เดือนปีนี้ ทั่วประเทศมีรายงานผู้ป่วย 520,000 กว่าราย เสียชีวิต 16 ราย ส่วนโรคที่เกิดจากกินอาหารมันจัด หรือหวานเค็มจัด ซึ่งเรียกว่าโรคจากพฤติกรรมหรือโรคไม่ติดต่อ พบว่า เพิ่มขึ้น ผลการตรวจสุขภาพครั้งที่ 4 ในปี 2551-2552 เปรียบเทียบกับการตรวจสุขภาพครั้งที่ 3 ใน พ.ศ.2546-2547 พบผู้หญิงอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34 เป็นร้อยละ 41 ผู้ชายอ้วนเพิ่มจากร้อยละ 23 เป็นร้อยละ 28 จำนวนผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูงเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่าตัวในรอบ 10 ปี เสียค่าใช้จ่ายปีละไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท โดยมีผู้เสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูงวันละ 36 ราย เสียชีวิตจากโรคเบาหวานปีละ 7,000กว่าราย
       
       ในการลดป่วยลดตายจากโรคที่กล่าวมา กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นแก้ที่เรื่องใกล้ตัวก่อน คือ เรื่องอาหารการกิน ในปีนี้ได้มอบหมายให้กรมอนามัยจัดทำโครงการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพด้านอาหารและโภชนาการ โดยให้โรงพยาบาลในสังกัดกว่า 900 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นที่พักรักษาตัวผู้เจ็บป่วย เป็นต้นแบบของการปรุงอาหารที่ถูกตามหลักโภชนาการปลอดภัย มีอาหารเฉพาะโรค ลดการใช้น้ำมัน น้ำตาล เกลือและเครื่องปรุงรสต่างๆ เพิ่มผักผลไม้ มีบริการให้ความรู้ ให้คำปรึกษาและนิทรรศการให้ความรู้ด้านอาหารและโภชนาการที่ถูกต้องกับผู้ป่วยและญาติ สามารถนำไปปรุงอาหารที่บ้านได้ และขยายผลส่งเสริมให้ร้านจำหน่ายอาหารในโรงพยาบาลทุกแห่งได้มาตรฐานร้านอาหารสะอาด รสชาติอร่อย และมีเมนุชูสุขภาพ กินแล้วสุขภาพดี คาดหวังว่าจะเป็นการกระตุ้นเตือนประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การปรุงอาหาร เพื่อลดการเจ็บป่วย ลดโรคตามยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีไทย
       
       ทั้งนี้ โรงพยาบาลที่จะประกาศให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพด้านอาหารและโภชนาการ จะต้องผ่านหลักเกณฑ์ 6 ข้อ ดังนี้

1.ประกาศเป็นนโยบายของโรงพยาบาลชัดเจน

2.โรงครัวโรงพยาบาลผ่านมาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร มีการตรวจสอบสารปนเปื้อนในวัตถุดิบก่อนปรุงอาหาร ได้แก่ สารฟอกขาว ฟอร์มาลิน สารกันรา บอแรกซ์ ยาฆ่าแมลงในผักผลไม้ หากพบต้องแจ้งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจัดการถึงแหล่งอาหารต้นตอทันที เพื่อเป็นการควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยอาหารในพื้นที่อีกชั้นหนึ่ง

3.ส่งเสริมการกินผัก ผลไม้ ลดการปรุงอาหารรสหวาน มัน เค็ม

4.ร้านอาหารภายในโรงพยาบาลผ่านเกณฑ์ร้านอาหารสะอาด รสชาติอร่อย และต้องมีเมนูชูสุขภาพ เมนูไร้พุง

5.อาหารว่างจัดประชุมต้องเป็นอาหารสุขภาพ อ่อนหวาน อ่อนมัน อ่อนเค็ม และ

6.จัดบริการให้ความรู้ คำปรึกษาและนิทรรศการอาหาร และโภชนาการที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วยและญาติ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 พฤษภาคม 2555

5765
ผลโหวต เลขา สปสช.เป็นเอกฉันท์ “หมอวินัย” นั่งเก้าอี้สมัยที่ 2 ด้วยคะแนน 22 เสียง
       
       วันนี้ (14 พ.ค.)  นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ทำการลงคะแนนเพื่อเลือกเลขาธิการ สปสช.คนใหม่ แทนคนเดิมที่หมดวาระลง ซึ่งในที่ประชุม กรรมการได้มีเสียงข้างมากลงคะแนนเลือก นพ.วินัย สวัสดิวร อดีตเลขาธิการ สปสช.คนเดิม เป็นเลขาธิการ สปสช.คนใหม่ นับการเป็นดำรงตำแหน่งต่อเนื่องในวาระที่ 2 โดยได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียง 22 คะแนน ขณะที่ นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ได้รับเลือก 7 คะแนน และนพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ ไม่มีผู้ลงคะแนนให้ โดยเลขาธิการ สปสช.คนใหม่ จะเริ่มทำงานในเร็วๆ นี้ ภายหลังลงนามในสัญญาจ้าง และบอร์ด สปสช.ได้มีการปรับการประเมินผลการทำงานของเลขาธิการจากเดิมทุกๆ 1 ปี ปรับเป็นให้มีการประเมินผลทุก 6 เดือน โดยมี ดร.คณิศ แสงสุพรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง เป็นประธานกรรมการประเมินผลเลขาธิการ สปสช.
       
       นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.สมัยสองเปิดเผยว่า จะสานต่องานพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้มีประสิทธิภาพ เอื้อประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ตามยุทธศาสตร์ที่ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ได้วางไว้ และเน้นนโยบายของรัฐบาลที่ให้สร้างความเท่าเทียมของสามกองทุนภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ และหลักการพื้นฐานเดียวกันเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการในภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินที่มีคุณภาพอย่างทันท่วงที และเข้าถึงการบริการสาธารณสุขที่จำเป็นอย่างทั่วถึง
       
       “ขอขอบคุณท่าน รมว.สาธารณสุข และกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกคน ที่สนับสนุนให้มีโอกาสสานต่องานเป็นสมัยที่สอง โดยจะยึดอุดมการณ์ของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ และนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก เพื่อพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้เป็นประโยชน์กับคนไทยทุกคน” ว่าที่เลขาธิการ สปสช.สมัยสอง กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 พฤษภาคม 2555

5766
รกของมนุษย์เพศหญิงที่ลักลอบนำเข้าจากจีนหาซื้อได้ง่ายมากในนครโฮจิมินห์ แต่กำลังสร้างภาระหนักให้แก่เจ้าหน้าที่ในการปราบปราม ท่ามกลางความห่วงใยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ระบุว่า รกเหล่านั้นอาจปนเปื้อนด้วยแบคทีเรียหลากหลายชนิด รวมทั้งโรคร้ายชนิดอื่นๆ สื่อของทางการรายงานเรื่องนี้พร้อมภาพถ่ายหลักฐาน
       
       รกที่อบแห้งหรือตากแห้งบรรจุถุงพลาสติกใสมีวางจำหน่ายในร้านขายยาแผนโบราณทั่วไป ทั้งที่อยู่ในสภาพเต็มๆ ตามธรรมชาติ และแบ่งซอยขาย รกสดๆ แช่แข็งได้รับความนิยมมากที่สุด ราคาแพงที่สุด แต่ก็หายากที่สุด
       
       รกอบแห้งที่แบ่งขายน้ำหนัก 100 กรัมอาจมีราคาสูงถึง 400,000 ด่ง (19.2 ดอลลาร์) ในตลาดมืด และ “บางครั้งต้องวางเงินล่วงหน้า 1 สัปดาห์ก่อนของจะมาถึง” หนังสือพิมพ์ลาวดง (Lao Động) หรือ “แรงงาน” รายงานเรื่องนี้หลังจากสัมภาษณ์เจ้าของร้านขายยาแผนโบราณหลายแห่ง
       
       เชื่อกันว่ารกของมารดาเป็นอวัยวะที่มีสารอาหารและส่วนประกอบทางชีวเคมีที่ทรงคุณค่าที่สุดสำหรับชีวิต คุณแม่จะส่งอาหารและสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไปเลี้ยงดูทารกในครรภ์โดยผ่านอวัยวะส่วนนี้ ชาวจีนและชาวเวียดนามจำนวนมากนิยมบริโภครกของมารดามาแต่โบราณ โดยเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะช่วยต่ออายุให้ยืนยาว
       
       โลกตะวันตกนิยมบริโภครกของแกะและสัตว์อีกบางชนิด ซึ่งพิสูจน์ในห้องทดลองและพบว่ามีสารอาหารกับสารเคมีชีวะที่ให้การเจริญเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์อย่างสมบูรณ์มาก บางประเทศผลิตรกแกะเป็นสินค้าส่งออก หรือใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางสำหรับสตรีทั่วไป
       
       แต่ไม่เคยมีคำแนะนำของหมอเกี่ยวกับการใช้รกของคน ซึ่งเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์และผิดกฎหมาย
       
       กฎหมายเวียดนามถือว่า รกเป็น “ของเสีย” รกที่ออกมาจากร่างกายหลังการผ่าตัดหรือการคลอด จะต้องนำไปทำลาย
       .


รกของคน ทั้งอบแห้ง ตากแห้ง หรือสับเป็นชิ้น ทำฝอยแบบหมูหยอง แบ่งขายในถุงพลาสติก ไม่มีฉลากใดๆ กำกับ ไม่มีระบุวันหมดอายุ และแหล่งที่มา ซื้อขายกันด้วยความเชื่อถือและไว้เนื้อเชื่อใจ โดยปักใจเชื่อว่าเป็นยาวิเศษรักษาได้สารพัดโรค และช่วยให้อายุยืนยาว. -- -- ภาพ: ลาวดง ((Lao Động).
       .
       นอกจากนั้น รกตากแห้ง อบแห้ง หรือส่งออกจากจีนในสภาพที่เป็นผงบดละเอียด สับเป็นชิ้นเล็กๆ ล้วนแต่ไม่มีฉลากยากำกับ ไม่ระบุวันหมดอายุหรือส่วนประกอบใดๆ และเชื่อกันว่ามีการใช้สารกันบูดเกินขนาดอีกด้วย ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมากหากนำไปบริโภค หรือ นำไปรักษาโรคร้ายในรูปแบบอื่นๆ
       
       นายเตืองก๊วกเกื่อง (Trương Quốc Cường) หัวหน้าสำนักงานควบคุมและกำกับยานครโฮจิมินห์บอกกับลาวดงว่า ไม่มีประเทศใดออกใบอนุญาตให้มีการใช้รกของมนุษย์เพื่อใช้เป็นยาได้ และยาทุกประเภทจะต้องมีเอกสารกำกับต้นทางที่มา ระบุส่วนประกอบ กระบวนการผลิต และหลักฐานการทดลองในห้องแล็บ
       
       นพ.เหวียนซวนเฮือง (Nguyễn Xuân Hương) อดีตนายกสมาคมแพทย์ทางเลือกเวียดนาม กล่าวว่า การใช้รกจากแม่ที่แข็งแรงและให้กำเนิดทารกที่สมบูรณ์นั้นปฏิบัติกันมานานนับพันปี แต่ในปัจจุบันทั้งในจีนและในเวียดนามต่างก็ยังไม่มีผลการศึกษาที่ยืนยันในสรรพคุณของรกมนุษย์ และในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ก็ไม่เคยปรากฏว่าชาวเวียดนามใช้รกในการรักษาโรค
       
       นายแพทย์รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตื่อสู (Từ Dũ) ในนครโฮจิมินห์ผู้หนึ่งกล่าวกับหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ว่า การบริโภคและการใช้รกมนุษย์เสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสโรคตับชนิดบี (Hepatitis B) เอชไอวีเอดส์ และโรคหัดเยอรมัน เนื่องจากการผลิตรกอบแห้งไม่ใช้เวลานานพอในการกำจัดไวรัส
       
       สำนักงานควบคุมยานครโฮจิมินห์ยืนยันว่า ทางการตระหนักเกี่ยวกับปัญหานี้เป็นอย่างดี รกจากกายของคุณแม่เป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างรัดกุมจากโรงพยาบาลแม่และเด็กแห่งต่างๆ และจะเก็บออกจากตลาดทันทีถ้าหากพบ
       
       นอกจากนั้น เจ้าของร้านขายยา ตลอดจนผู้นำเข้ารกของคน ล้วนมีโทษตามกฎหมายอีกด้วย ลาวดงกล่าว.

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 พฤษภาคม 2555

5767
สัตว์หลายสิบล้านตัว ส่วนใหญ่เป็นปลาและนก กำลังเสียชีวิตไปทุกๆ ปีในไต้หวัน สืบเนื่องจากประเพณี “ปล่อยสัตว์ด้วยความเมตตา” ของชาวพุทธจำนวนมากซึ่งเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวสามารถสะเดาะเคราะห์ได้ ทั้งนี้จากการแถลงของพวกนักรณรงค์เคลื่อนไหวด้านสวัสดิภาพสัตว์
       
       เวลานี้รัฐบาลไต้หวันกำลังวางแผนจะห้ามการปฏิบัติดังกล่าวแล้ว โดยระบุว่าเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายให้แก่สิ่งแวดล้อม อีกทั้งสัตว์ประมาณ 200 ล้านตัวที่ถูกปล่อยในแต่ละปี จำนวนมากทีเดียวต้องตายหรือได้รับบาดเจ็บ สืบเนื่องจากขาดอาหารและไม่มีที่พำนักอาศัย
       
       ตามข้อมูลของสมาคมสิ่งแวดล้อมและสัตว์แห่งไต้หวัน (Environment and Animal Society of Taiwan) ระบุว่า ในไต้หวันแต่ละปีจะมีเทศกาลหรือวาระที่ผู้คนจะปล่อยนกปล่อยปลาตลอดจนสัตว์อื่นๆ กันถึงประมาณ 750 วาระ
       
       ขณะที่ หลิน กว๋อจาง (Lin Kuo-chang) เจ้าหน้าที่จากสภาเกษตรกรรมของรัฐบาล บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีในวันอาทิตย์ (13) ว่า การเจรจาหารือกับกลุ่มบางกลุ่มได้ข้อสรุปว่าจะยกเลิกการปล่อยสัตว์เช่นนี้แล้ว ทว่ากลุ่มอื่นๆ ยังคงไม่ยินยอม
       
       เขาระบุด้วยว่า ในข้อเสนอที่จะขอให้แก้ไขกฎหมายพิทักษ์คุ้มครองสัตว์ป่าฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น ผู้ละเมิดอาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2.5 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 2.6 ล้านบาท) ในแต่ละครั้งที่ปล่อยสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 พฤษภาคม 2555

5768
เมืองไทยอาจเห็นสาวๆ นั่งถักนิตติ้ง ทำผ้าพันคอผืนสวยให้แก่คนรัก แต่ใครจะนึกว่าวันหนึ่งจะได้เห็นเด็กฝรั่งหัวทองมานั่งทอผ้าด้วยกี่ไม้ขนาดเล็กแบบฉบับพกพาอยู่ในงาน International Handicraft Fair ครั้งที่ 76 ที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี งานที่หัตถกรรมไทยหลากหลายประเภทได้บินลัดฟ้ามาอวดโฉมหน้าโชว์ตัวได้อย่างเต็มภาคภูมิ
       
       งานนี้นับเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทำมือของไทยได้อย่างสวยงาม แม้แต่อุปกรณ์ในการประดิษฐ์งานหัตถกรรมก็ได้รับความสนใจไม่น้อยหน้า หนึ่งในนั้นคือ “กี่ไม้แบบพกพา” ที่มีชาวต่างชาติแวะเวียนเข้ามาดู เข้ามาสอบถามและขอซื้ออย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นเป็นอุปกรณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และแปลกใหม่ แม้แต่คนไทยเองก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสกับกี่ทอผ้าเท่าไรนัก จึงไม่แปลกที่ชาวต่างชาติจะให้ความสนใจ ที่สำคัญอุปกรณ์ตัวนี้สามารถเลือกใช้ฝ้าย ไหมพรม หรือด้ายอื่นๆ ในการทอได้ ปราชญ์ นิยมค้า เจ้าของร้านผ้าทอ Mann Craft เจ้าของไอเดียกี่ไม้ เล่าให้ฟังว่า เป็นการนำมาเปิดตัวที่ฟลอเรนซ์เป็นครั้งแรก เพื่อลองตลาดดูว่ามีคนสนใจมากน้อยแค่ไหน ผลปรากฏว่าการตอบรับดีมาก
       
       ไอเดียอนุรักษ์ภูมิปัญญา
       
       สำหรับประวัติของกี่ไม้ ปราชญ์ เล่าให้ฟังว่า เพราะต้องการดึงคนรุ่นใหม่มาสานงานการทอผ้าต่อ โดยริเริ่มจากลูกหลานของช่างทอก่อน เพราะพวกเขาเป็นกำลังสำคัญของการสืบทอดงานภูมิปัญญาการทอผ้า เพราะช่างทอปัจจุบันอายุมากแล้ว พวกคนหนุ่มสาวก็จะเข้าไปทำงานในเมืองหมด เหลือแต่เด็กๆ ที่มองว่าหากลงมาปลูกฝังตั้งแต่เนิ่นๆให้เขาภูมิใจกับงานทอผ้า พยายามสอนให้รู้จักเทคนิคการทอผ้าอย่างง่ายๆ ก่อน
       
       “เราจะไม่สอนเขาด้วยกี่ขนาดใหญ่ เพราะเท้าจะไม่ถึง เลยประดิษฐ์กี่กระดาษขึ้นจากกระดาษลัง ซึ่งต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นกี่ไม้ ที่ทำมาจากไม้ไอศกรีมมาสอนเด็กๆ ให้เขาเข้าใจหลักการทอง่ายๆ ก่อน ให้เขาฝึกทำเป็นงานอดิเรก และจากการที่ได้ไปสอนก็พบว่าเด็กๆ มีความสนใจ มีความเพลิดเพลินกับสิ่งที่ทำอยู่ ได้ทั้งความสามัคคี เพราะกี่ไม้จะต้องผูกเอวแล้วทำด้วยกัน”
       
       งานที่พวกเด็กทำขึ้นจากกี่ไม้ก็พยายามหาช่องทางขายระบายออก เพื่อให้เด็กเห็นว่างานทอผ้าก็สามารถทำเงินได้ และเด็กๆ เหล่านี้เมื่อโตขึ้นก็จะเริ่มเรียนรู้เทคนิคการทอผ้าอย่างจริงจัง สุดท้ายก็จะมาเป็นคนรุ่นใหม่ที่สามารถทอผ้าได้ สามารถสืบทอดศิลปหัตถกรรมที่มีมาแต่โบราณของไทยให้คงอยู่ต่อไป
       
       กี่ไม้ต้องให้ฮิตกว่าถักนิตติ้ง
       
       กระแสการถักนิตติ้งในเมืองไทยก็ถือว่ามาๆ ไปๆ ยังไม่ตกเทรนด์เสียทีเดียว เป็นกิจกรรมประดิษฐ์สิ่งของในยามว่างที่ดีอย่างหนึ่ง แต่อาจจะดีกว่า หากคนไทยหันมานิยมใช้วิธีการทอผ้าแทนการถัก เพราะนอกจากจะประดิษฐ์สิ่งของออกมาได้ใกล้เคียงกันแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการทอผ้าของไทยที่มีมาแต่โบราณด้วย
       
       ส่วนการที่จะทำให้คนไทยหันมาสนใจวิธีทอผ้าจากกี่ไม้ขนาดเล็ก ปราชญ์ บอกว่า ต้องลบภาพความยากของการทอผ้าออกไปก่อน เพราะหลายคนอาจเห็นกี่ขนาดใหญ่เลยเข้าใจว่าขั้นตอนซับซ้อน แต่ต้องทำให้เห็นว่าการทอผ้าเป็นเรื่องง่าย อย่างที่ตั้งใจไว้คือการอัปโหลดวิดีโอสาธิตให้ดูในยูทิวบ์ อีกอย่างคือจากการสอนเด็กอิตาลีให้ทดลองใช้กี่ไม้ในงานแฟร์ สอนไม่เท่าไรก็สามารถทำเองได้แล้ว เลยคิดว่าคนไทยที่เป็นเจ้าของงานต้องทำได้อย่างแน่นอน
       
       “หลังจากนี้จะพัฒนาทำเป็นเซตเล็กๆ โดยกี่ไม้อาจทำจากไม้อัด มีชุดฝ้ายและกระสวยให้พร้อม และขายในราคาย่อมเยา ตั้งใจจะเปิดตัวในอีก 1-2 เดือนนี้”
       
       แต่หากจะทำให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากขึ้น ปราชญ์ บอกว่า รัฐบาลต้องเข้ามามีส่วนร่วม โดยบรรจุการทอผ้าจากกี่ไม้ขนาดเล็กลงไปอยู่ในวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ก็จะช่วยให้เด็กในเมืองได้รู้จักวิธีทอผ้า นอกจากนี้ ต้องหาวิธีสร้างความดึงดูดใจด้วย อย่างเช่น โปรโมตว่ากี่ไม้สามารถทำคนเดียวเป็นงานอดิเรกได้ โดยผูกอีกฝั่งไว้กับขาโต๊ะ หรือพนักพิง และสามารถทำเป็นคู่ สร้างความสามัคคีหรือกระชับความสัมพันธ์ได้ เช่น คู่รักนั่งทำด้วยกัน คู่แม่ลูก คู่ยายหลาน ซึ่งมองว่าจะกลายเป็นกิจกรรมที่น่ารักอีกอย่างหนึ่ง
       
       เชื่อว่าหากกี่ไม้แบบพกพาได้รับการผลักดันอย่างที่ถูกที่ควร ไม่ใช่เรื่องยากที่วิธีการทอผ้าแบบง่ายๆ สไตล์คนไทย จะดึงความสนใจคนชื่นชอบงานประดิษฐ์มาจากการถักนิตติ้งที่เป็นวิธีของฝรั่งได้ เพราะคนไทยใช้ของไทยก็ย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 พฤษภาคม 2555

5769
“แพทยสภา” รับประชาคมอาเซียนปี 2558 เน้นแพทย์เรียนหลักสูตรอังกฤษ พัฒนาศักยภาพ พร้อมคุมใบอนุญาตแพทย์ต่างชาติ ทำงานในไทยแค่ 1 ปี
       
       ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ นายกแพทยสภา กล่าวถึงความคืบหน้าการผลักดันหลักสูตรแพทย์นานาชาติว่า จริงๆ ไม่ได้ใช้คำว่าหลักสูตรแพทย์นานาชาติ เนื่องจากเดิมทีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒได้ขออนุมัติหลักสูตรดังกล่าว แต่ถูกแรงต้านทั้งเอ็นจีโอ ทั้งสภามหาวิทยาลัย โดยกังวลว่าหากมีหลักสูตรดังกล่าวจะเป็นการเอื้อให้แพทย์มุ่งรักษาแต่ชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย จึงมีการปรับเปลี่ยนจากหลักสูตรแพทย์นานาชาติ เป็นหลักสูตรแพทยศาสตร์ภาษาอังกฤษแทน (English program) ซึ่งแพทยสภาได้อนุมัติและกำหนดเงื่อนไขให้รับเฉพาะนักเรียนไทย ผู้ที่ถือสัญชาติไทยเท่านั้น และต้องชดใช้ทุนรัฐบาลเป็นเวลา 3 ปี
       
       ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กล่าวอีกว่า หลักสูตรนี้ไม่แตกต่างจากหลักสูตรแพทยศาสตร์ แต่จะมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อรองรับเด็กนักเรียนที่ศึกษาจบจากโรงเรียนนานาชาติให้มีโอกาสเท่าเทียมในการศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งเด็กกลุ่มที่มีศักยภาพเพียงพอแต่ไม่สามารถสอบเข้าในระบบปกติได้เนื่อง จากติดขัดด้านภาษา ทำให้พ่อแม่ของเด็กกลุ่มนี้ส่งลูกไปเรียนต่อด้านการแพทย์ในต่างประเทศ ซึ่งการพัฒนาหลักสูตรดังกล่าวไม่ได้มีแค่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเท่านั้น มหาวิทยาลัยต่างๆโรงเรียนแพทย์มีการพัฒนาทั้งสิ้น เนื่องจากเล็งเห็นว่าภาษาเป็นสิ่งสำคัญ และควรผลักดันเพื่อรองรับประชาคมอาเซียนในปี 2558 ตรงนี้สำคัญ เพราะจะทำให้ต่างชาติเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยมากขึ้น
       
       นายกแพทยสภากล่าวอีกว่า ส่วนการรองรับประชาคมอาเซียนด้านอื่นๆนั้น แพทยสภามีการเตรียมพร้อมตลอด อย่างการสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์ก็มีการควบคุม ทั้งแพทย์คนไทยและต่างชาติ โดยหากเป็นแพทย์ไทยจะมีการสอบ 3 ส่วน โดยส่วนที่ 1 และ 2 จะเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษและภาษาไทย ส่วนข้อสอบส่วนที่ 3 เป็นภาคปฏิบัติ จะเน้นการสื่อสารกับคนไข้ จึงต้องใช้ภาษาไทย เพราะต้องมีการซักประวัติ พูดคุย เพื่อลดปัญหาการเข้าใจคลาดเคลื่อน และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งหากแพทย์สามารถสอบผ่านก็จะได้รับใบประกอบวิชาชีพฯ มีอายุตลอดชีพ แต่ล่าสุดแพทยสภาอยู่ระหว่างหารือว่าจะมีการปรับเปลี่ยนอาจกำหนดอายุ 1 ปี หรือ 5 ปี ซึ่งยังไม่ชัดเจน โดยการกำหนดอายุใบประกอบวิชาชีพฯ จะช่วยให้แพทย์มีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทันต่อวิวัฒนาการวงการแพทย์ ยิ่งประชาคมอาซียนเข้ามาการพัฒนาก็ต้องมากขึ้น เนื่องจากคนไข้ต่างชาติก็จะมีทางเลือกมากขึ้น แพทย์ไทยจึงจำเป็นต้องเป็นทางเลือกชั้นแนวหน้าด้วย
       
       “ส่วนต่างชาติที่จะเข้ามาสอบเป็นแพทย์ในประเทศไทยนั้น เดิมทีในการประชุมประชาคมอาเซียนที่ผ่านมาเคยพูดว่า หากแพทย์ต่างชาติสามารถสอบใบประกอบวิชาชีพฯของประเทศสมาชิกใดก็ตาม สามารถใช้ใบดังกล่าวเข้าทำงานในประเทศกลุ่มสมาชิกอื่นได้ ซึ่งไทยไม่เห็นด้วย รวมทั้งหลายๆประเทศก็เห็นเช่นเดียวกัน เพราะแต่ละประเทศข้อกำหนดต่างกัน เรื่องนี้จึงตกไป โดยไทยยืนยันใช้หลักเกณฑ์ตนเอง คือ หากแพทย์ต่างชาติคนใดต้องการเข้าทำงานที่ประเทศไทย ต้องมาสอบใบอนุญาตชั่วคราว เพื่อให้ได้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขานั้นๆ โดยใบอนุญาตจะมีอายุ 1 ปี ส่วนแพทย์ต่างชาติคนใดที่สามารถสอบภาษาไทยได้ และได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพฯเหมือนแพทย์ไทยทั่วไปก็ต้องให้เขา เนื่องจากหากมีความสามารถและผ่านการทดสอบก็ต้องเป็นไปตามกฎ” ศ.คลินิก นพ.อำนาจกล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 พฤษภาคม 2555

5770
 1. “อากง” นักโทษคดีหมิ่นเบื้องสูง ถูกมะเร็งตับเล่นงานตายคา รพ.คุก ด้าน “เสื้อแดง” สบช่อง จี้แก้ ม.112 !

       เมื่อวันที่ 8 พ.ค.นายอำพล ตั้งนพคุณ หรืออากง อายุ 61 ปี นักโทษคดีหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จากกรณีที่ได้ส่งข้อความในลักษณะหมิ่นเบื้องสูงเข้าไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายอำพลอ้างว่า ขณะเกิดเหตุ ตนนำโทรศัพท์มือถือไปซ่อมที่ร้านในห้างสรรพสินค้าอิมพิเรียล สาขาสำโรง และส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือไม่เป็น ด้านศาลอาญาได้พิพากษาเมื่อวันที่ 23 พ.ย.2554 ให้จำคุกนายอำพล 4 กระทง กระทงละ 5 ปี รวม 20 ปี และไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงและเกรงว่าจะหลบหนี อย่างไรก็ตาม หลังถูกคุมขังอยู่นานประมาณ 5 เดือน นายอำพลได้มาเสียชีวิตลงจากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลราชทัณฑ์เมื่อช่วงเช้าวันที่ 8 พ.ค.
       
       ต่อมาช่วงสายวันเดียวกัน นางรสมาลิน ภรรยานายอำพล ได้เดินทางมารอรับศพสามี ขณะเดียวกันได้มีแนวร่วมคนเสื้อแดงเดินทางมาแสดงความเสียใจด้วย
       
       ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นของตำรวจ สน.ประชาชื่น ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้ายที่ร่างกายนายอำพลแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามได้มีการส่งศพนายอำพลไปผ่าพิสูจน์อีกครั้งที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ปรากฏว่า พบเนื้องอกบริเวณตับ ซึ่งได้ลุกลามไปยังลำไส้และปอด สรุปสาเหตุการเสียชีวิตได้ว่า น่าจะมาจากมะเร็งระยะสุดท้าย
       
       ด้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ บอกว่า นายอำพลมีอาการปวดท้องตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. ทางเรือนจำได้ตรวจอาการเบื้องต้นและให้ยาแก้ปวดท้อง เมื่ออาการไม่ดีขึ้น จึงได้ส่งตัวไปรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค. และมาเสียชีวิตลงช่วงเช้าวันที่ 8 พ.ค. พ.ต.อ.สุชาติ ยังบอกด้วยว่า ทางเรือนจำทราบว่านายอำพลเป็นมะเร็ง จึงได้รักษาตามที่แพทย์แนะนำ แต่วิธีการรักษาตนไม่ทราบ
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายอำพลเสียชีวิต แนวร่วมคนเสื้อแดงได้พยายามจุดประเด็นให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกครั้ง จากที่ก่อนหน้านี้เคยเรียกร้องมาเป็นระยะๆ แต่ไม่สำเร็จ รวมทั้งเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษในคดีหมิ่นเบื้องสูงคนอื่นๆ ที่ยังคงถูกคุมขังอยู่ โดยอ้างว่าเป็นคดีการเมือง
       
       ทั้งนี้ คนเสื้อแดงได้รวมตัวหน้าศาลอาญา พร้อมจัดพิธีรดน้ำศพนายอำพลที่หน้าศาลเมื่อวันที่ 9 พ.ค. โดยอ้างว่าการเสียชีวิตของนายอำพลเกิดจากความไม่เป็นธรรมในช่วงเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง จึงถูกนำไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลเร่งปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังในคดีการเมืองทั้งหมด
       
       ด้าน รศ.ดร.สุดา รังกุพันธุ์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่เคลื่อนไหวให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้ออกมาบอกว่า ในแง่คดีอากงตนจะไม่ทำอะไร เพราะคดีถึงที่สุดแล้ว แต่ตนจะเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 อย่างสันติวิธีต่อไป พร้อมนัดคนเสื้อแดงรวมตัวเพื่อแห่ศพอากงไปยังทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาในวันที่ 10 พ.ค.ก่อนนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดด่านสำโรง จ.สมุทรปราการต่อไป
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า คนเสื้อแดงพยายามจุดกระแสเรื่องนายอำพลไม่ได้รับการประกันตัว จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตในคุก ร้อนถึงนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ต้องออกมาชี้แจงว่า หลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก นายอำพลได้ยื่นขอประกันตัวในชั้นศาลอุทธรณ์ แต่ระหว่างรอคำสั่งศาล นายอำพลได้ยื่นขอประกันตัวไปยังศาลฎีกาอีก ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นนายอำพลได้ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์เมื่อวันที่ 3 เม.ย. เพื่อให้คดีสิ้นสุด เนื่องจากต้องการใช้สิทธิ์ยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ
       
       ส่วนการป่วยของนายอำพลนั้น นายทวี บอกว่า นายอำพลอยู่ในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งให้การรักษาพยาบาลนักโทษอยู่แล้ว หากจะนำตัวออกมารักษาภายนอกก็อาจทำได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้ควบคุม
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายอำพล พร้อมยืนยันด้วยว่าจะไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อไม่ให้มีใครหยิบเรื่องนี้ไปเป็นประโยชน์ทางการเมือง
       
       ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยันว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และได้บอกคนเสื้อแดงไปแล้วว่า ภาระหน้าที่ของรัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องเร่งด่วน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า แนวร่วมคนเสื้อแดงได้นำหนังสือเชิญนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ,นายชนาธิป เหมือนพะวงศ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา เจ้าของสำนวนคดีอากง ,นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกสำนักงานศาลยุติธรรม รวมทั้งนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ ที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์ที่ถูกระบุว่านายอำพลส่งข้อความสั้นในลักษณะหมิ่นเบื้องสูงเข้าไป ให้ไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพนายอำพลที่วัดด่านสำโรงด้วย ซึ่งทางผู้พิพากษาอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะส่งพวงหรีดไปร่วมงานศพนายอำพลหรือไม่
       
       หลังคนเสื้อแดงพยายามนำการเสียชีวิตของนายอำพลมาเป็นเหตุเรียกร้องให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เกี่ยวกับโทษในคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ปรากฏว่า ดารานักแสดงชื่อดัง “ตั๊ก” บงกช คงมาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวดังกล่าวของคนเสื้อแดง จึงได้เขียนทำนองว่า ตนรักพ่อหลวง พวกที่ดูหมิ่นพ่อ ตกนรกแน่ “ถึงฉันจะเปิดนม เปิดอะไร หรือมีชื่อเสียงไม่ดี หรืออะไรก็ตามที่คุณจะสรรหามาด่า แต่ฉันก็ไม่โง่ แล้วทำไมคุณกล้าสู้เพื่ออากง แล้วเมื่อไหร่คุณจะตายคะ จะได้ไปช่วยอากงต่อในนรก เพราะอากงคุณตกนรกแน่ จากกรรมที่หมิ่นพ่อของฉัน”
       
       ทั้งนี้ คำพูดของตั๊ก บงกช ส่งผลให้แนวร่วมคนเสื้อแดงและนักวิชาการสายเสื้อแดงไม่พอใจ และออกมาสวนกลับตั๊ก เช่น นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ้คทำนองว่า ตั๊กแสดงความรักด้วยความเขลาและขาดความรับผิดชอบ จึงเป็นการทำร้ายผู้อื่นที่เจ็บปวดอยู่แล้วให้เสียใจมากยิ่งขึ้น
       
       ขณะที่คนเสื้อแดงที่พัทยา จ.ชลบุรีได้พยายามคุกคามตั๊ก ขณะเดินทางไปถ่ายหนังที่พัทยา ซอย 6 เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 12 พ.ค. โดยกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไปดักรออยู่ได้พากันตะโกนต่อว่าตั๊ก พร้อมชูป้ายข้อความต่อว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ทำให้การถ่ายหนังต้องล่มกลางคัน จากนั้นกองถ่ายฯ และตั๊ก ได้รีบขับรถหลบหนี โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงขี่รถจักรยานยนต์ไล่ตามด้วยความโกรธแค้น โชคดีตั๊กและทีมงานสามารถหลบหนีออกจากเขตพัทยาได้ด้วยความปลอดภัย
       
       ด้านนายเพิ่มศักดิ์ (สงวนนามสกุล) ลูกชายของนายอำพล ตั้งนพคุณ หรืออากง ได้เปิดใจครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 พ.ค.โดยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าววอยซ์ทีวี สถานีโทรทัศน์ของนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเชื่อว่า พ่อไม่ได้ส่งข้อความหมิ่นเบื้องสูง เพราะที่บ้านตนมีรูปในหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์อยู่บนหิ้งพระ พ่อตนสอนว่าเราโชคดีเกิดบนแผ่นดินนี้ มีพ่อหลวง-แม่หลวงที่ดีที่ดูแลเรา โชคดีที่มีพระมหากษัตริย์-พระราชินีที่ยิ่งใหญ่ จึงไม่มีปัจจัยให้ต้องส่งข้อความหมิ่น
       
       ทั้งนี้ หลังการเสียชีวิตของนายอำพล กลุ่มคนเสื้อแดงได้ยื่นข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลและกรมราชทัณฑ์ 3 ข้อ คือ 1.ให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด กรณีที่ตั้งข้อกล่าวหาร้ายแรงและไม่ให้ประกันตัว 2.ให้ผู้ที่ถูกคุมขังคดีการเมืองต้องได้ประกันตัวทั้งหมด เพื่อออกมาสู้คดี และให้รัฐบาลเร่งผลักดันให้ผู้ที่ถูกลงโทษตามมาตรา 112 ได้รับการอภัยโทษโดยเร็วที่สุด 3.กระบวนการของกฎหมายต้องได้รับการทบทวน รวมทั้งให้ทบทวนระเบียบของกรมราชทัณฑ์ในการดูแลสุขภาพของผู้ต้องขังให้ดีเท่าที่ควร
       
       2. “เฉลิม” ลั่น พร้อมไปพม่าขอตัว “นะคะมวย” ขณะที่เจ้าตัวสวนกลับ ไปจับ “ทักษิณ”ก่อน!

       ความคืบหน้ากรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ประกาศตามล่า พล.อ.นะคะมวย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองทัพกะเหรี่ยงดีเคบีเอ หรือโกะทูบลอ หลังจากมีผู้ต้องหาซัดทอดว่า พล.อ.นะคะมวยมีส่วนร่วมอยู่ในขบวนการค้ายาเสพติด จึงได้ประสานรัฐบาลพม่าเพื่อขอตัว พล.อ.นะคะมวยมาดำเนินคดีในไทย ขณะที่ พล.อ.นะคะมวยไม่พอใจ ขู่ปิดชายแดนไทย-พม่านั้น
       
       ร.ต.อ.เฉลิม ได้ออกมาประกาศอีกครั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ว่า ถ้าต้องเดินทางไปหารือกับรัฐบาลพม่าเพื่อขอตัว พล.อ.นะคะมวย ตนก็พร้อม ด้าน พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เผยที่มาของการโยงเรื่องยาเสพติดกับ พล.อ.นะคะมวยว่า ตำรวจปราบปรามยาเสพติดได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติดเมื่อปี 2546 ซึ่งมีผู้ต้องหาเป็นหญิง 1 ราย พร้อมยาบ้าล็อตใหญ่กว่า 9 แสนเม็ด ด้านศาลได้พิพากษาประหารชีวิตแล้ว แต่ผู้ต้องหารับสารภาพ จึงลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต จากนั้นได้มีการสืบสวนขยายผลจนทราบว่า พล.อ.นะคะมวยมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีพยานหลักฐานชัดเจน เป็นพยานที่ติดต่อซื้อขายกับ พล.อ.นะคะมวย
       
       ด้าน พล.อ.นะคะมวย ได้ทำหนังสือเชิญสื่อมวลชนเพื่อฟังตนแถลงข่าวในวันที่ 10 พ.ค. โดยยืนยันว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด พร้อมขู่ว่า จะเปิดโปงขบวนการค้ายาเสพติดที่แท้จริง และจะออกมาตรการเพื่อตอบโต้ฝ่ายไทยด้วย
       
       ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนด(10 พ.ค.) พล.อ.นะคะมวย ได้แถลงข่าวผ่านล่ามท่ามกลางสื่อมวลชนที่ไปฟังการแถลงข่าวกว่า 40 สำนัก โดยนอกจากยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดแล้ว ยังท้าให้หน่วยงานปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลไทยกับรัฐบาลพม่าเข้าไปพิสูจน์พื้นที่ของกะเหรี่ยงดีเคบีเอได้ทันที หากพบว่าตนมีความผิดจริง ก็พร้อมจะไปมอบตัวต่อทางการไทย
       
       พล.อ.นะคะมวย ยังตั้งคำถามกับ ร.ต.อ.เฉลิมและรัฐบาลไทยด้วยว่า แทนที่จะมาจับตน ทำไมไม่ไปจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อน “ขอตั้งข้อสังเกตต่อทางการไทยว่า ทำไมฝ่ายไทยจึงมาประกาศรายชื่อผมอยู่ในบัญชีผู้ค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นช่วงที่ทางกองทัพโกะทูบลอกำลังเจรจากับรัฐบาลพม่า และกำลังพัฒนาพื้นที่ชายแดน ทั้งที่ศาลไทยออกหมายจับผมมาตั้งแต่ปี 2546 อยากถามว่าทำไมรัฐบาลไทยถึงไม่ไปจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีหมายศาลก่อน ทั้งที่มีความผิดชัดเจน และการออกหมายศาลเพื่อจับหรือการขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ค้ายาเสพติดนั้น ก็ไม่เคยได้รับแจ้งจากทางการไทย นอกจากทราบทางสื่อมวลชนเท่านั้น”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.นะคะมวย ไม่ได้เปิดโปงขบวนการค้ายาเสพติดตามที่ได้ประกาศก่อนหน้านี้ โดยบอกเพียงว่า ไม่มีการค้ายาเสพติดหรือผลิตยาเสพติดในพื้นที่กะเหรี่ยงดีเคบีเอ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ทางการไทยแจ้งให้ฝ่ายพม่าช่วยจับกุมตัว พล.อ.นะคะมวยเพื่อส่งตัวให้ไทยดำเนินคดี ปรากฏว่า พล.อ.นะคะมวยไม่ตอบ แต่ให้ พ.อ.ซานอ่อง นายทหารคนสนิทตอบแทน ซึ่ง พ.อ.ซานอ่องตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า หากบีบคั้นกันมากๆ ฝ่ายดีเคบีเอจะมีมาตรการตอบโต้อย่างแน่นอน
       
       ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไม่ให้ราคากับคำพูดของ พล.อ.นะคะมวยที่บอกให้ไปจับ พ.ต.ท.ทักษิณก่อน โดยบอกว่า เป็นคนละเรื่อง เพราะคนหนึ่งเป็นผู้ค้ายาเสพติด กับอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ทำอะไรผิด และสิ่งที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณก็เกิดจากการปฏิวัติ จะไปเปรียบเทียบฟ้ากับดินไม่ได้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังพูดถึงกรณีที่สหประชาชาติ(ยูเอ็น) ระบุว่าประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตยาเสพติดด้วย โดยยืนยันว่า ไม่มีการผลิตยาเสพติดในไทย มีแต่ผลิตจากนอกประเทศและนำเข้ามา พร้อมสวนกลับยูเอ็นด้วยว่า ยูเอ็นอยู่ทวีปยุโรปจะมารู้อะไร ตอนนี้เรากำลังรื้อรังแตนอยู่ มันก็ต้องมีการแตกรังอยู่แล้ว
       
       ทั้งนี้ หลัง พล.อ.นะคะมวย แนะให้รัฐบาลไทยไปตามจับ พ.ต.ท.ทักษิณก่อน ปรากฏว่า นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแสดงความเห็นด้วย โดยบอกว่า เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบในตำแหน่งหน้าที่ เป็นความผิดในกฎหมายอาญาและเป็นความผิดตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 100 ทาง ร.ต.อ.เฉลิมก็ไม่ควรละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยจะต้องบังคับใช้กฎหมายให้เสมอภาคกัน ไม่เลือกปฏิบัติ
       
       3. ดีเอสไอ สั่งไม่ฟ้อง “จตุพร” ปราศรัยหมิ่นเบื้องสูง พร้อมหยุดสอบคดี “ผังล้มเจ้า” อ้าง ไม่มีพยานยืนยันความผิด!

       เมื่อวันที่ 10 พ.ค. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้แถลงความคืบหน้าคดีผังล้มเจ้าและคดีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กับพวก ปราศรัยในลักษณะที่อาจเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สำหรับคดีนายจตุพรกับพวกปราศรัยนั้น นายธาริต เผยว่า พนักงานสอบสวนได้ประชุมร่วมกับพนักงานอัยการและมีความเห็นร่วมกันว่า สมควรสั่งไม่ฟ้อง “ด้วยเหตุผลคือ การสอบสวนพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งคำกล่าวในการปราศรัยไม่เข้าข่ายความผิดมาตรา 112”
       
       นายธาริต ยังบอกด้วยว่า ดีเอสไอได้ส่งสำนวนคดีนายจตุพรกับพวกให้อัยการแล้ว อยู่ที่ดุลพินิจของอัยการว่าจะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง หรือสั่งฟ้องและสั่งให้มีการสอบสวนพยานเพิ่มเติม
       
       ส่วนคดีผังล้มเจ้า ที่มีผู้ถูกกล่าวหา 39 คนนั้น นายธาริต บอกว่า จากการสอบสวน ยังไม่มีพยานยืนยันการกระทำความผิด พนักงานสอบสวนจึงได้ประชุมร่วมกับอัยการและมีความเห็นให้งดการสอบสวน และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเห็นชอบต่อไป นายธาริต ยังย้ำด้วยว่า การงดสอบสวนไม่ได้หมายความว่า ไม่พบการกระทำความผิด และยังสามารถนำคดีดังกล่าวมาดำเนินการสอบสวนในภายหน้าได้
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ข้องใจในดุลพินิจของดีเอสไอ โดยบอก ตนรู้สึกข้องใจ 2 ประการ คือ 1.เนื้อหาที่นายจตุพรกับพวกปราศรัย มีความไม่เหมาะสม และ 2.การแถลงข่าวสั่งไม่ฟ้องนั้น สอดรับกับคำพูดของแกนนำคนเสื้อแดงก่อนหน้านี้ที่ออกมาบอกก่อนว่าดีเอสไอสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังขา และคงต้องไปสอบถามนายธาริตว่าเป็นเพราะอะไร ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังพูดทำนองเตือนนายธาริตด้วยว่า คนที่ใช้ดุลพินิจเรื่องนี้จะต้องรับผิดชอบ
       
       4. กรมพัฒนาสังคมฯ สนองนโยบาย รบ. ดีเดย์จ่ายเงินเยียวยาผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บจากการชุมนุมกว่า 1,500 ราย 15 พ.ค.นี้!

       เมื่อวันที่ 10 พ.ค. เว็บไซต์กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ได้เผยแพร่รายงานผลการเปิดรับลงทะเบียนผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองระหว่างปี 2548-2553 ที่กรมฯ ได้เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.-12 เม.ย.ที่ผ่านมา ตามที่คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(ปคอป.) ที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ได้มีมติให้กรมฯ เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งผลปรากฏว่า มีผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 5,377 ราย แบ่งเป็น กทม. 4,630 ราย ต่างจังหวัด 747 ราย ทั้งนี้ คณะทำงานได้ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและหลักฐานของผู้ลงทะเบียนและประกาศรายชื่อไปแล้ว 3 ครั้ง มีจำนวนผู้เสียหายที่จะได้รับเงินเยียวยาตามความสูญเสียรวมทั้งสิ้น 1,521 ราย
       
       โดยแบ่งเป็นผู้เสียชีวิต 104 ศพ จาก 3 เหตุการณ์ คือ เหตุการณ์การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) ปี 2551 จำนวน 4 ราย ,เหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เมื่อเดือน เม.ย.2552 จำนวน 2 ราย และเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 จำนวน 98 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บแบ่งเป็น กลุ่มผู้ทุพพลภาพ 34 ราย ,กลุ่มผู้บาดเจ็บสาหัส 93 ราย ,กลุ่มผู้บาดเจ็บ 521 ราย และกลุ่มผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 769 ราย โดยทางกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จะเริ่มจ่ายเงินเยียวยาตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.เป็นต้นไป
       
       ทั้งนี้ เว็บไซต์กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ แจ้งด้วยว่า ผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยาทั้ง 1,521 ราย เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือหรือเงินชดเชยอื่นจากรัฐ และเป็นผู้ที่ไม่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหรือถูกดำเนินคดีโดยหน่วยงานรัฐ รวมทั้งเป็นผู้ที่ไม่ได้ฟ้องแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานของรัฐ เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อลองกรอกชื่อและนามสกุลของผู้ที่อยู่ในข่าย 1,521 รายดังกล่าว พบว่า มีชื่อของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่สนับสนุนกลุ่มเสื้อแดงด้วย โดยระบุว่า อยู่ในประเภท “ผู้เสียชีวิต” แต่เมื่อลองกรอกชื่อ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ที่เสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยเอ็ม 79 ระหว่างขอคืนพื้นที่การชุมนุมจากกลุ่ม นปช.เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว กลับไม่ปรากฏชื่อแต่อย่างใด
       
       อนึ่ง ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้อนุมัติวงเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการชุมนุมทางการเมืองระหว่างปี 2548-2553 จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพจะได้เงินชดเชย 4.5 ล้านบาท บวกเงินเยียวยาความสูญเสียด้านจิตใจอีก 3 ล้านบาท รวมเป็น 7.75 ล้านบาท และหากไม่ได้เสียชีวิตทันที แต่มีการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลก่อนเสียชีวิต จะได้เงินค่ารักษาอีกรายละไม่เกิน 2 แสนบาท รวมเป็น 7.95 ล้านบาท ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากว่า เป็นการจ่ายเงินเยียวยาที่สูงเกินเหตุ และไม่มีประเทศไหนที่จ่ายเงินเยียวยาความสูญเสียด้านจิตใจแบบที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการอยู่
       
       5. วันพืชมงคลปีนี้ พระโคกินหญ้า พยากรณ์ว่าน้ำท่าจะบริบูรณ์!

       เมื่อวันที่ 9 พ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จฯ แทนพระองค์ไปในการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2555 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
       
        สำหรับปีนี้ ผู้ที่ทำหน้าที่พระยาแรกนาคือ นายศุภชัย บานพับทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนเทพีคู่หาบทอง ได้แก่ น.ส.ศิริลักษณ์ สมสกุล นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการ กรมชลประทาน และ น.ส.เจษฎาภรณ์ สถาปัตยานนท์ นักวิชาการสหกรณ์ชำนาญ กรมส่งเสริมสหกรณ์ สำหรับเทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ น.ส.สุมาลี จำเริญ นิติกรปฏิบัติการ กรมปศุสัตว์ และ น.ส.สุวิสาข์ เกตุอินทร์ นักวิชาการเกษตรปฏิบัติการ กรมส่งเสริมการเกษตร ส่วนพระโคแรกนาขวัญ ได้แก่ พระโคฟ้าและพระโคใส
       
        สำหรับผลการเสี่ยงทายนั้น ในส่วนของพระยาแรกนา เสี่ยงทายผ้านุ่ง ได้ผ้า 6 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอนจะเสียหายบ้าง ไม่ได้ผลเต็มที่ ส่วนพระโคเสี่ยงทายของกิน 7 สิ่ง ประกอบด้วย หญ้า ข้าวเปลือก เหล้า ข้าวโพด ถั่วเขียว งา และน้ำ ผลปรากฏว่า พระโคกินหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 พฤษภาคม 2555

5771
  1. ศาลฎีกาฯ พิพากษาตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี-จำคุก 6 เดือน “เสี่ยตือ” ฐานจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน !

       เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ยื่นคำร้องกล่าวหานายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ซึ่งนายสมศักดิ์ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษาพร้อมกับทนายความ
       
       ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บัญชีเงินฝากที่นายสมศักดิ์ระบุว่าเป็นเงินที่ได้จากการทำธุรกิจขายข้าวของโรงสีข้าว หจก.วิเศษชัยชาญเจริญกิจ ซึ่งเป็นของครอบครัวนางระวิวรรณ ภรรยา โดยอ้างว่าภรรยาไม่มีอำนาจเบิกถอนเงิน มีเพียงแต่พี่ชาย 2 คน ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงสีที่มอบหมายให้ภรรยาเป็นผู้เปิดบัญชีให้เท่านั้น แต่จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า นางระวิวรรณได้เบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวไปซื้อหุ้นของธนาคารกสิกรไทยกว่า 14 ล้านบาท
       
       ส่วนที่นายสมศักดิ์อ้างว่า เงินบางบัญชีได้จากการชำระหนี้นอกระบบ ศาลก็เห็นว่าไม่มีหลักฐานและไม่มีพยานยืนยัน จึงไม่สามารถรับฟังได้ ขณะที่เงิน 20 ล้านที่นายสมศักดิ์อ้างว่า ได้รับการสนับสนุนจากพรรคชาติไทยเพื่อนำไปใช้จ่ายในการเลือกตั้งเมื่อปี 2539 โดยนำเข้าบัญชีเงินฝากของโรงสีเพื่อช่วยในการประกอบธุรกิจนั้น พบพิรุธว่า บัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีเงินฝากประจำ 3 เดือน ซึ่งผิดวิสัยของการเปิดบัญชีในการทำธุรกิจ ที่มักจะใช้บัญชีประเภทสะสมทรัพย์หรือเผื่อเรียก เพื่อเบิกถอนไปใช้ได้ทันที อีกทั้งก่อนที่จะมีการยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.เพียง 9 วัน ยังมีการถอนชื่อนางระวิวรรณที่มีชื่อรวมอยู่บัญชีเดียวกับพี่ชายออกด้วย
       
       นอกจากนี้ยังพบพิรุธเรื่องบ้านพร้อมที่ดินมูลค่า 15 ล้านบาทที่ อ.วิเศษชัยชาญ ที่พี่ชายของนางระวิวรรณเบิกความอ้างว่าใช้เงินของโรงสีซื้อและสร้างบ้านดังกล่าว แต่เมื่อตรวจสอบกลับไม่พบการเบิกถอนเงินจากบัญชีโรงสี แต่พบว่าเป็นเงินของนายสมศักดิ์และนางระวิวรรณที่นำไปใส่ในบัญชีที่หมุนเวียนในโรงสี อีกทั้งในการยื่นคำร้องปลูกสร้างบ้านครั้งแรก นายสมศักดิ์ยังใช้ให้พี่ชายของภรรยาไปยื่นขอจากเทศบาลเพื่อก่อสร้างโดยใช้ชื่อนายสมศักดิ์เป็นผู้ขอ แต่เมื่อสื่อมวลชนนำเสนอข่าวดังกล่าว นายสมศักดิ์จึงเปลี่ยนชื่อเป็นพี่ชายของภรรยาเป็นผู้ยื่นขอ และหลังจากสร้างบ้านเสร็จ กลับปรากฏว่า นายสมศักดิ์และภรรยาเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในบ้านหลังดังกล่าว ขณะที่พี่น้องคนอื่นของภรรยาแยกย้ายไปอยู่ที่อื่น
       
       ด้วยเหตุนี้ องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ จึงมีมติเอกฉันท์ว่า นายสมศักดิ์จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. จึงพิพากษาห้ามนายสมศักดิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี พร้อมจำคุก 6 เดือน และปรับ 1 หมื่นบาท ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา
       
       สำหรับโทษห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีนั้น ศาลฎีกาฯ ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2551 ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคชาติไทย ซึ่งส่งผลให้นายสมศักดิ์ ในฐานะกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.พ้นจากการดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีเช่นกัน
       
       ด้านนายสมศักดิ์ เผยความรู้สึกหลังฟังคำพิพากษาว่า น้อมรับคำพิพากษา พร้อมยืนยันว่า ตนจะกลับมาทำงานการเมืองอีกครั้งหลังพ้นกำหนดเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีในวันที่ 2 ธ.ค.2556
       
       2. “ยิ่งลักษณ์” ปัดตอบ ปรับ ครม.รับสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ด้าน “จตุพร” ลั่น พร้อมนั่ง รมต.!

       สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการพูดกันมากเรื่องสมาชิกบ้านเลขที่ 111 หรืออดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีจากกรณีที่พรรคถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบ โดยจะครบกำหนดพ้นโทษเว้นวรรคการเมืองในวันที่ 30 พ.ค.นี้ บวกกับกระแสปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่อาจมีการดึงบางคนใน 111 มารับตำแหน่งรัฐมนตรีใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ด้วย
       
       ทั้งนี้ กระแสสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ถูกจุดขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทยจัดการแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตร 4 เส้าเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ระหว่าง 1.ทีมฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วย ส.ส.-ส.ว. 2.ทีม ครม.ทั้งปัจจุบันและอดีต รวมทั้งสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109 (อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน-พรรคชาติไทย-พรรคมัชฌิมาธิปไตยที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีจากกรณีพรรคถูกยุบ) 3.ทีมสื่อมวลชน และ 4.ทีมดาราศิลปิน
       
       ด้านนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล เลขานุการมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทย เผยว่า วันที่ 30 พ.ค.สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะทำบุญเลี้ยงพระและทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ พร้อมจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ได้แสดงวิสัยทัศน์ นอกจากนี้จะเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้ามาในงานด้วย นายวิชิต ยืนยันด้วยว่า หลังปลดล็อก สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะไม่เข้าไปแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์แต่อย่างใด พร้อมเผยด้วยว่า วันที่ 1 มิ.ย. จะมีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 บางส่วนไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยด้วย
       
       ส่วนกรณีที่มีข่าวว่านายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อาจจะกลับมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้งนั้น นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมีบทเรียนในอดีตที่ต้องจดจำ “บางคนวีรกรรมเป็นที่จดจำในใจของพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง บางคนพฤติกรรมยากที่จะลืม บางครั้งเราต้องเรียนรู้เหตุการณ์ในอดีต ไม่เช่นนั้นไม่มีบทเรียนสอนให้คนต้องทำความดี ไม่ใช่ว่ามีโอกาสแล้วหักหลังเพื่อนอย่างไร้ความปรานี แต่เมื่อชีวีรันทดก็อยากกลับมา ซึ่งโลกไม่ได้สร้างมาเพื่อคนประเภทนี้”
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พยายามเลี่ยงตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องปรับ ครม. โดยบอกว่า “อากาศร้อน” ทั้งนี้ มีข่าวด้วยว่า คนที่จะได้เข้ามานั่งรัฐมนตรีใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 มีชื่อนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ด้วย โดยคาดว่าจะได้นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รีบบอกว่าเหมาะสม เพราะนายจตุพรรักประชาธิปไตย รักความยุติธรรม และเข้าใจปัญหาประชาชน เชื่อว่าหากได้รับแต่งตั้งจริง จะไม่มีใครออกมาต่อต้าน
       
       ด้านนายจตุพร บอกว่า มีข่าวจะปรับ ครม.ทีไร ตนก็มีชื่ออยู่ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน และว่า วันนี้ตนยืนอยู่ใน 2 สถานะ 1.เป็นคนเสื้อแดง ซึ่งจะเป็นไปตลอดชีวิต และ 2.สถานะของ ส.ส. ซึ่งยังต้องลุ้น เพราะวันที่ 18 พ.ค.ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสมาชิกภาพของตน ไม่รู้จะได้เป็น ส.ส.ต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้ นายจตุพร ยืนยันว่า ที่ผ่านมาตนได้ทำทุกหน้าที่ครบถ้วน หากนายกฯ จะให้ไปทำอะไรตรงไหน ก็พร้อม
       
       ขณะที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีข่าวว่าอาจถูกปรับพ้นตำแหน่ง ยืนยันว่า สำหรับตนไม่มีปัญหาอะไร ไม่ว่ารัฐบาลต้องการอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่ควรวิจารณ์หรือวิเคราะห์ ต้องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเอง
       
       เช่นเดียวกับนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พูดถึงข่าวที่ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อาจจะได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีแทนว่า ยินดีหากนายจาตุรนต์จะมานั่งคุมงานการศึกษา ตนไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า การปรับ ครม.น่าจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือน มิ.ย.หรือไม่ก็ต้นเดือน ก.ค.โดยสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่น่าจะได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ได้แก่ นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ,นายวราเทพ รัตนากร ,นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล หรือเฮียเพ้ง ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นั้น คาดว่าจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะมีข่าวว่าอยู่ระหว่างตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางการเมืองจากระดับประเทศมาเป็นระดับท้องถิ่น คือ ผู้ว่าฯ กทม.ที่จะครบวาระและมีการเลือกตั้งใหม่ในเดือน ม.ค.2556
       
       ส่วนผู้ที่อยู่ในข่ายอาจถูกปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ได้แก่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ,พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แนะให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นตัวของตัวเองในการพิจารณาปรับ ครม. โดยเห็นว่ามี 2 กระทรวงที่เป็นปัญหาต้องเร่งแก้ไข คือ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงาน เนื่องจากขณะนี้มีปัญหาสินค้าราคาแพงและปัญหาพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า
       
       นายอภิสิทธิ์ ยังแสดงความไม่เห็นด้วยหากมีการปรับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ออกจากรองนายกฯ ด้านความมั่นคง เพราะรัฐบาลเพิ่งแต่งตั้งให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ดูแลปัญหาภาคใต้ได้ไม่ถึงเดือน หากปรับถือว่าแปลกมาก และจะยิ่งกระทบต่อความรู้สึกของคนในพื้นที่
       
       3. สภา ถกแก้ รธน.วาระ 2 ยังไม่จบ นัดประชุมต่อสัปดาห์หน้า ด้าน ปชป. ชี้ 5 ปมทำแก้ รธน.โมฆะ!

       ความคืบหน้าการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 2 ต่อ หลังประชุมมาแล้ว 8 วัน ยังไม่แล้วเสร็จ โดยประเด็นที่ที่ประชุมเป็นห่วงและอภิปรายค้างอยู่ ก็คือ การให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) 22 คน เพราะเกรงว่าเสียงข้างมากจะบล็อกโหวต จน ส.ส.ร.กลายเป็นร่างทรงของรัฐบาล ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา จึงได้นัดประชุมร่วมรัฐสภาต่อในวันที่ 1-3 พ.ค.นั้น
       
       ปรากฏว่า ก่อนหน้าประชุมร่วมรัฐสภา 1 วัน พรรคเพื่อไทยได้ประชุมและได้ข้อสรุปว่า จะเสนอให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภางดถ่ายทอดสดการประชุม เนื่องจากเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ใช้เวทีประชุมร่วมรัฐสภาโจมตีรัฐบาลมากกว่าอภิปรายข้อดีและข้อเสียของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อการประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 1 พ.ค.เริ่มขึ้น ปรากฏว่า ตอนแรกสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ก็ยังถ่ายทอดสดตามปกติ แต่พอผ่านไปได้สักพัก ช่อง 11 ได้แจ้งของดการถ่ายทอดการประชุมร่วมรัฐสภาในบางเวลาของวันที่ 1-2 พ.ค. เพื่อถ่ายทอดรายการที่จำเป็น เช่น ถ่ายทอดสดพิธีเปิดกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย
       
       แม้ฝ่ายค้านและ ส.ว.บางส่วนจะไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุด ช่วงเย็นวันที่ 1 พ.ค. ก็ได้มีการงดถ่ายทอดการประชุมร่วมรัฐสภา และหันไปถ่ายทอดพิธีเปิดกีฬามหาวิทยาลัยฯ แทน เมื่อพรรคประชาธิปัตย์และ ส.ว.รู้ว่างดถ่ายทอดการประชุมแล้ว จึงได้เรียกร้องให้มีการประสานเพื่อให้สถานีโทรทัศน์ช่องอื่นถ่ายทอดแทน เช่น โมเดิร์นไนน์ทีวี(ช่อง 9) หรือไม่ก็ให้พักการประชุมจนกว่าจะได้สถานีถ่ายทอด
       
       ด้านนายสมศักดิ์ได้สั่งพักการประชุม โดยให้เหตุผลว่า หากประชุมโดยไม่มีการถ่ายทอด อาจทำให้บรรยากาศเสียได้ ทั้งนี้ หลังกลับมาประชุมต่ออีกครั้ง การอภิปรายได้ดำเนินไปจนดึก โดยมีการอภิปรายมาตรา 291/6 เกี่ยวกับองค์กรที่จะเสนอชื่อบุคคลที่สมควรเป็น ส.ส.ร. ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอว่า องค์กรที่จะเสนอชื่อ ส.ส.ร.ต้องเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เพิ่งตั้งขึ้นหลังร่างรัฐธรรมนูญ
       
       อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญไม่ยอมปรับแก้ตามที่นายอภิสิทธิ์เสนอ หลังจากนั้นได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา พยายามให้ที่ประชุมลงมติว่าจะเห็นชอบมาตราดังกล่าวหรือไม่ แต่นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ไม่พอใจ เพราะกำลังขอใช้สิทธิ์ประท้วงเพื่อให้ กมธ.ตอบข้อทักท้วงของฝ่ายค้านอยู่ แต่นายสมศักดิ์กลับไม่สนใจและไม่ให้ใช้สิทธิ์ นายบุญยอดจึงตะโกนลั่นห้องประชุมว่า “เผด็จการรัฐสภา ประธานไม่เป็นกลาง” พร้อมกล่าวอย่างไม่พอใจด้วยว่า “ฮิตเลอร์”
       
       ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามประท้วงกลับ แต่นายสมศักดิ์ตัดบท โดยบอก ไม่ได้ยินว่านายบุญยอดพูดอะไร และให้ลงมติต่อไป ซึ่งผลปรากฏว่า เสียงข้างมากเห็นด้วยกับร่างของ กมธ.ด้วยคะแนน 337 ต่อ 50 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง
       
       ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ แถลงวันเดียวกัน(2 พ.ค.)ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นไปอย่างเร่งรีบและรวบรัดเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และว่า ขณะนี้ได้เกิดปรากฏการณ์ 5 เรื่องที่อาจทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นโมฆะ คือ 1.มีการกลับมติในชั้น กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291/1 โดยไม่มีเหตุผลและไม่ชอบด้วยข้อบังคับ 2.องค์ประชุมใน กมธ.ระหว่างเชิญผู้แปรญัตติเข้าชี้แจง ไม่ครบองค์ประชุม 3.รายงานของ กมธ.ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ผ่านที่ประชุม กมธ.ถือว่าเป็นรายงานเถื่อน 4.มีการกดบัตรลงคะแนนแทนกันหลายครั้งระหว่างประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 5.การที่ประธานรัฐสภาไม่ให้สิทธิ์นายบุญยอดประท้วง ถือว่าประธานฝ่าฝืนข้อบังคับ เอาใจแต่นายใหญ่ ดังนั้น หลังผ่านการพิจารณาในวาระ 3 แล้ว ตนจะรวบรวมความผิดพลาดต่างๆ ส่งให้องค์กรที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าการดำเนินการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่
       
       ทั้งนี้ การประชุมร่วมรัฐสภาได้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้งในการประชุมวันที่ 3 พ.ค. ระหว่างอภิปรายมาตรา 291/11 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับระยะเวลาในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญของ ส.ส.ร. ซึ่งร่างของ กมธ.ระบุให้ ส.ส.ร.จัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน แต่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้เปลี่ยนเป็นภายใน 360 วัน
       
       หลังจากนั้นได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายนอกประเด็น นพ.วรงค์ จึงโต้กลับว่า จ.ส.ต.ประสิทธิ์ควรไปดูปัญหาราคาข้าวที่ จ.สุรินทร์จะดีกว่า ด้าน จ.ส.ต.ประสิทธิ์ไม่พอใจ จึงสวนกลับว่า “ที่บ้านผมเรียกคุณหมอวรงค์ว่า คุณหมาวรงค์” ร้อนถึง พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา และรองประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ต้องบอกให้ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ถอนคำพูด ซึ่ง จ.ส.ต.ประสิทธิ์พยายามพูดย้ำไปย้ำมาว่าให้ถอนคำว่า “หมาวรงค์” ใช่หรือไม่ ก่อนจะถอนคำพูด ด้าน นพ.วรงค์ ได้โต้กลับว่า “แม้เป็นหมาก็เป็นหมาเฝ้าบ้าน ดีกว่าคนที่คิดว่าเป็นคน แต่ทำตัวเป็นทาส”
       
       ทั้งนี้ หลังประชุมร่วมรัฐสภาทั้ง 3 วันแล้ว(1-3 พ.ค.) แต่การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 2 ยังไม่แล้วเสร็จ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา จึงได้นัดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 8 ,10 และ 11 พ.ค. โดยพรรคเพื่อไทยคาดว่า จะสามารถพิจารณาวาระ 2 ได้แล้วเสร็จในวันที่ 11 พ.ค. และลงมติในวาระ 3 ได้ในวันที่ 28 พ.ค.
       
       4. ทหารเขมรแสบ คุ้มกันแก๊งลักลอบตัดไม้ไม่พอ วางระเบิดทหารไทยขาขาด ด้านกองทัพภาค 2 เตรียมยื่นประท้วงกัมพูชา!

       เมื่อวันที่ 29 เม.ย. มีรายงานว่า ได้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณชายแดนห่างจากช่องอานม้ามาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 4 กม. เหตุเกิดขณะที่ชุดลาดตระเวนทหารพรานของไทยและเจ้าหน้าที่ป่าไม้กำลังลาดตระเวนอยู่ ปรากฏว่า ได้พบกับชุดคุ้มกันกลุ่มลักลอบตัดไม้ ซึ่งเป็นทหารเขมรประจำช่องอานม้า เมืองจอมกระสาน จ.พระวิหาร จำนวน 8 นาย จึงได้เกิดการปะทะกันนานประมาณ 15 นาที ก่อนที่กลุ่มทหารเขมรจะล่าถอยออกจากเขตไทยกลับเข้าประเทศตัวเอง
       
       อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุ ร.อ.จวน จ๊าบ หัวหน้าหน่วยทหารเขมร ได้ออกมาอ้างว่า ทหารเขมรถูกทหารไทยยิง พร้อมยืนยันว่า ทหารเขมรที่ถูกยิง เป็นชุดลาดตระเวนปกติ ไม่ได้ลักลอบเข้ามาคุ้มกันกลุ่มตัดไม้แต่อย่างใด พร้อมประสานขอรับอาวุธปืนที่ฝ่ายไทยตรวจยึดไว้ ร.อ.จวน ยังบอกด้วยว่า การปะทะกันครั้งนี้ มีทหารกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 1 ราย
       
       ด้าน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าทหารไทยยิงทหารกัมพูชาว่า ได้รับทราบว่าเป็นการปะทะกัน เนื่องจากมีการลักลอบตัดไม้บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมเชื่อว่า หลังจากนี้จะมีการหารือทำความเข้าใจกันระหว่าง พล.ท.จีระศักดิ์ ชมประสพ แม่ทัพภาคที่ 2 กับแม่ทัพของกัมพูชา
       
       อย่างไรก็ตาม พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ได้ออกมายืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การปะทะกันและทหารไทยก็ไม่ได้ยิงทหารกัมพูชาแต่อย่างใด เพราะจากการตรวจสอบพบว่า กรมทหารพรานที่ 23 กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ลาดตระเวนไปพบกลุ่มผู้ลักลอบตัดไม้พะยุงจากประเทศกัมพูชา บริเวณช่องอานม้า จากนั้นกลุ่มผู้ลักลอบตัดไม้ได้ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ไทย ทหารไทยจึงยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อเตือน 2-3 ชุด เมื่อผู้ลักลอบตัดไม้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ไทยมีกำลังมากกว่า จึงได้ล่าถอยไป
       
       ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เป็นความเข้าใจผิดและเป็นการยิงป้องกันตัว เนื่องจากที่ผ่านมามักมีปัญหากลุ่มคนพร้อมอาวุธลักลอบเข้ามาตัดไม้พะยูง แต่ไม่ได้มีความขัดแย้งใดใดระหว่างสองประเทศ นายสุรพงษ์ ยังบอกด้วยว่า อนาคตอาจต้องเพิ่มความร่วมมือระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูง รวมทั้งอาจต้องหารือกับจีน เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้ซื้อไม้พะยูงด้วย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากเหตุการณ์ที่ช่องอานม้าแล้ว ยังมีกรณีที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษเมื่อคืนวันที่ 2 พ.ค. ด้วย โดย พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 เผยว่า เหตุเกิดขณะที่ชุดลาดตระเวนของไทยได้ออกลาดตระเวนเพื่อป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ปรากฏว่า ส.อ.ชาตรี แก้วประสาน ผบ.หมู่ หัวหน้าชุดลาดตระเวน กรมทหาร ร.16 พัน.3 กองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์ ได้เหยียบกับระเบิด อาการสาหัส ขาข้างขวาขาด ส่วนข้างซ้ายถูกสะเก็ดระเบิดมากเช่นกัน จากการตรวจสอบพบว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่เพิ่งวางใหม่และมี 2 จุด
       
       ทั้งนี้ พ.อ.ประวิทย์ เผยด้วยว่า ก่อนหน้าที่ชุดลาดตระเวนดังกล่าวจะเหยียบกับระเบิดครั้งนี้ ได้มีการจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้พะยูงชาวกัมพูชาจำนวน 40 คน พร้อมอุปกรณ์ตัดไม้จำนวนมากเมื่อวันที่ 12 มี.ค. หลังจากนั้นวันที่ 6 เม.ย.ได้เกิดการปะทะกันใกล้จุดที่ชุดลาดตระเวนเหยียบกับระเบิด ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจเป็นผลจากการที่ขบวนการลักลอบตัดไม้ไม่พอใจที่ฝ่ายไทยพยายามปราบปรามอย่างหนัก สำหรับกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาดครั้งนี้ พ.อ.ประวิทย์ บอกว่า กองทัพภาคที่ 2 จะทำหนังสือประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 พฤษภาคม 2555

5772
ผอ.ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย เผย' ทันตแพทย์-พยาบาล' เสี่ยงถูกแย่งงานหลังเปิดอาเซียน ระบุ แรงงานวิชาชีพกลุ่มหัวกะทิ ยังไม่เห็นประโยชน์ หวั่นเปิดเสรีวิชาชีพสาขาอื่นเพิ่ม เสี่ยงหนักกว่าเดิม

วันที่ 8 พฤษภาคม ผศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงผลวิเคราะห์ “ศักยภาพการแข่งขันของการเปิดเสรีแรงงานวิชาชีพไทยภายใต้ AEC” ว่า จากการเก็บข้อมูล โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (focus group) เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ ความพร้อมของนักวิชาชีพ ในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 และการร่วมจัดทำความตกลงยอมรับร่วมในคุณสมบัตินักวิชาชีพของอาเซียน (Multual Recognition Arrangement: MRA) ซึ่งได้ทำข้อตกลงยอมรับร่วมไปแล้วใน 7 สาขา ประกอบด้วย สาขาวิศวกรรม พยาบาล สถาปัตยกรรม การสำรวจ แพทย์ ทันตแพทย์ บัญชี โดยการเก็บข้อมูลครั้งนี้ เลือกศึกษาเพียง 6 สาขาวิชาชีพ ได้แก่ ทันตแพทย์ แพทย์ พยาบาล นักบัญชี วิศวกร สถาปนิก

ทั้งนี้ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องอาเซียนมากที่สุด ได้แก่ นักบัญชี ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจมากกว่า 80% รองลงมาได้แก่ แพทย์ สถาปิก มากกว่า 50% ทันตแพทย์ 50% วิศวกร 30% และ พยาบาล 20% ตามลำดับ

สำหรับประโยชน์ของการเปิดเสรีอาเซียนนั้น ผลการสำรวจ พบว่า กลุ่มแพทย์เห็นประโยชน์ของการเปิดอาเซียนมากสุด คือ มากกว่า 50% รองลงมาคือ นักบัญชี สถาปนิกอยู่ที่ 50% ขณะที่พยาบาล เห็นประโยชน์ของการเปิดเสรีอาเซียน น้อยกว่า 20% วิศวกร 10% และทันตแพทย์ 0% (ไม่เห็นประโยชน์เลย)

ผศ.ดร.อัทธ์ กล่าวว่า กลุ่มที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ภายหลังการเปิดอาเซียนคือ กลุ่มทันตแพทย์ ซึ่งคาดว่าจะมีทันตแพทย์จากประเทศในแถบยุโรป ที่ได้โอนสัญชาติเป็นสิงคโปร์ตามเงื่อนไขของประเทศดังกล่าว ขอใช้สิทธิ์เข้ามาประกอบวิชาชีพในประเทศไทย เนื่องจากมีความสนใจที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย หรือไม่มีงานทำในประเทศของตน เนื่องจากจำนวนทันตแพทย์มีมากกว่าจำนวนคนเจ็บป่วย

"แม้ว่าทันตแพทย์ไทยจะมีศักยภาพทัดเทียมกับมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซียและพม่า แต่ประเทศอาเซียนยังมีความแตกต่างในวิธีปฏิบัติ การประกอบอาชีพ วัฒนธรรม ศาสนา และชีวิตความเป็นอยู่ เช่น ผู้หญิงมุสลิมไม่สามารถทำฟันในท่านอนได้ ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นอุปสรรคในการประกอบวิชาชีพ ฉะนั้น ทันตแพทย์ไทยจึงต้องปรับตัว แต่ทั้งนี้เชื่อว่าระยะ 10 ปีแรก (2555-2565) การเคลื่อนย้ายทันตแพทย์อาเซียนจะเกิดขึ้นน้อยมาก"

พยาบาลไทยเจ๋งสุด แต่อ่อนภาษา

ขณะเดียวกันกลุ่มพยาบาล หลังปี 2558 สภาพยาบาล คาดว่าจะมีพยาบาลจากอาเซียน โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศผลิตพยาบาลมากที่สุดในอาเซียน เข้ามาทำงานในประเทศไทยสัดส่วนมากกว่าที่พยาบาลคนไทยจะเดินทางออกไปทำงานในอาเซียน

"พยาบาลในประเทศไทยมีศักยภาพสูงที่สุดในอาเซียน จบการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่มีข้อเสียเปรียบด้านภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ในเมืองไทยความต้องการพยาบาลจากต่างประเทศยังมีน้อย เนื่องจากจำนวนพยาบาลที่ผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการ"

ส่วนวิชาชีพอื่นๆ นั้น พบว่า แพทย์ไม่มีความสนใจที่จะไปทำงานในอาเซียน เนื่องจากความเป็นอยู่ อัตราค่าจ้างไม่เป็นที่ดึงดูดใจ พร้อมมองว่า การไปทำงานในยุโรป สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว จะได้มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองมากกว่า อีกทั้งมีคาดว่า ภายหลังการเปิดเสรี จะมีจำนวนผู้มาใช้บริการทางการแพทย์ในประเทศไทยจำนวนมาก

ขณะที่วิศวกรไทย อยู่ในระดับที่มีศักยภาพสูง ทัดเทียมกับสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ แต่มีข้อเสียเปรียบด้านการใช้ภาษาอังกฤษ ส่วนนักบัญชี ถือเป็นโอกาสดีของผู้ที่สนใจจะไปทำงานในอาเซียน แต่ต้องปรับตัวรับการแข่งขันที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับสถาปนิกที่มองว่าเป็นโอกาสของไทยที่จะทำงานในอาเซียนได้อย่างเสรีมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศบูรไน กัมพูชา พม่า ลาวและเวียดนาม

ผอ.ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึงสิ่งที่น่าคิดในการเปิดเสรีแรงงานในอาเซียนคือ ประเทศไทยยังไม่ได้เตรียมการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง แรงงานยังไม่ทราบถึงผลกระทบ การเตรียมตัว การเปิดเสรีแรงงานจึงมีผลต่อภาคการผลิตและบริการของไทย ซึ่งปัจจุบันขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ (Skilled Labour) อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการเปิดเสรีธุรกิจบริการ การจัดตั้งธุรกิจซึ่งต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ถึง 70%

สำหรับข้อเสนอแนะการเปิดเสรีในสาขาวิชาชีพอื่นเพิ่มเติมนั้น ผศ.ดร.อัทธ์ กล่าวว่า ผลการศึกษา 6 สาขาวิชาชีพสะท้อนว่า กลุ่มแรงงานที่มีฝีมือและผู้เชี่ยวชาญ (Professionals) ซึ่งจัดเป็นพวกหัวกะทิของประเทศ ยังมีกลุ่มที่ไม่เห็นประโยชน์ และมีความรู้ความเข้าใจเรื่องอาเซียนมากพอ การเปิดเสรีกลุ่มสาขาวิชาชีพต่อไป จึงมีแนวโน้มและความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก ฉะนั้น จึงควรสร้างความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์ ผลกระทบ และโอกาสของ AEC ที่มีต่อสาขาวิชาชีพนั้นๆ ก่อนที่จะตกลงเปิดเสรีแรงงาน ขณะเดียวกันต้องคัดเลือกกลุ่มที่มีความพร้อมในการแข่งขัน มีแนวทางพัฒนาศักยภาพ ยุทธศาสตร์ระดับประเทศในแต่ละสาขาวิชา เพื่อสร้างการแข่งขันในอาเซียน

ส่วนการปรับตัวของแรงงานไทย ผศ.ดร.อัทธ์ กล่าวเสนอแนะว่า แม้แรงงานฝีมือของไทย จะมีศักยภาพอยู่ในระดับสูงในกลุ่มประเทศอาเซียน แต่บ้านเราควรยกระดับมาตรฐานการศึกษาของไทยให้เทียบเคียงกับหลักสูตรของต่างประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ พัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับภาคการผลิตและภาคบริการ ทั้งนี้ รัฐบาลควรให้การดูแลแรงงานไทย โดยมีหน่วยงานรัฐที่สามารถช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาแก่แรงงานไทยที่ไปทำงานในอาเซียน หากจำเป็นควรตั้งสำนักงานแรงงานไทยในประเทศอาเซียนขึ้น 

เมื่อถามถึง ธุรกิจสปา ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจบริการด้านสุขภาพของไทยจะได้รับผลกระทบด้วยหรือไม่ ผศ.ดร.อัทธ์ กล่าวว่า สปาห้องแถว หรือสปาที่มีขนาดเล็ก 3-4 เตียง ไม่มีทางหนีไฟ ถังดับเพลิง หรืออื่นใดที่เป็นไปตามมาตรฐานสปาของอาเซียน อาจต้องเจ๊งและปิดกิจการลง ฉะนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องมีการปรับตัว

สำนักข่าวอิศรา  8 พฤษภาคม 2012

5773
สื่อจีนถ่ายทอดภาพเมืองโบราณอายุมากกว่า 1,900 ปี จมอยู่ทั้งเมือง ใต้ทะเลสาบเฉียนเต่า พร้อมเผยภาพผังเมืองสมบูรณ์เตรียมสร้างพิพิธภัณฑ์ให้คนทั่วไปได้ชมกันบนฝั่งฯ
       
       นานมาแล้ว ที่ทะเลสาบเฉียนเต่า ในหังโจว มณฑลเจ้อเจียง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีผู้คนไปเยือนจำนวนมาก แต่น้อยคนจะทราบว่าใต้ทะเลสาบแห่งนี้ มีเมืองโบราณอายุมากกว่า 1,900 ปี จมอยู่ทั้งเมือง และถึงทราบก็ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
       
       สื่อจีนกล่าวว่า เมืองซือเฉิง มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า เมืองสิงโต เนื่องจากอยู่ใกล้กับภูเขาสิงโต และหลับนิทราสงบนิ่งใต้ท้องทะเลสาบเฉียนเต่ามานานกว่า 50 ปี โดยล่าสุดเพิ่งจะได้บันทึกภาพโดยนักถ่ายภาพใต้น้ำ ถ่ายทอดภาพเมืองโบราณใต้ทะเลสาบนี้ ขึ้นมาให้ได้ชมกันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 เม.ย.
       
       ทั้งนี้ รายงานซีซีทีวีรายงาน (26 เม.ย.) ว่า เมื่อครั้งที่สร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำซินอัน ในปี ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) ทำให้พื้นที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณทั้งสองนี้ กลายเป็นทะเลสาบแบบมนุษย์สร้าง ที่มีความลึกเฉลี่ย 30 เมตร และจุดที่ลึกที่สุด ลึกถึง 40 เมตร โดยเมืองซือเฉิง ก็ได้จมน้ำสงบนิ่งปกปิดเรื่องราวอยู่ใต้ทะเลสาบและยังไม่เคยถูกรบกวนอีกเลยนับแต่บัดนั้น จนกระทั่ง เมื่อราวปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลท้องถิ่นชูอัน ได้ริเริ่มโครงการค้นหาเมืองโบราณนี้อีกครั้ง ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีใต้น้ำ จากสถาบันกองทัพเรือจีน เพื่อช่วยค้นหาเมืองใต้น้ำแห่งนี้ จนกระทั่งปีที่แล้ว จึงได้สามารถสร้างแผนผังเมืองฉบับสมบูรณ์ พร้อมกับเตรียมจัดทำพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสร้างจากแผนผังเดียวกันนี้บนพื้นดินอีกครั้ง เพื่อให้คนทั่วไปสามารถรับทราบประวัติศาสตร์เมืองโบราณ ที่ซ่อนสงบนิ่งนิทราอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 พฤษภาคม 2555

5774
 เด็กสาธิตเกษตรฯที่ 1 ประเทศ แอดมิชชันสูงสุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ส่วน คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ มาแรง! ได้อันดับหนึ่งคนสมัครเข้าเรียนมากที่สุด “สมคิด” เผย เพิ่งเข้าร่วมปีแรกจึงไม่มีคะแนนขั้นต่ำ ด้านเว็บไซต์ สอท.จะประกาศผลทางการ 18.00 น.
   
       วันนี้ (7 พ.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนายกสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.) แถลงข่าวการประกาศผลการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง การรับนิสิต นักศึกษา (แอดมิชชัน) ประจำปีการศึกษา 2555 ซึ่งจะประกาศผลการคัดเลือกอย่างเป็นทางการตั้งแต่เวลา 18.00 ของวันที่ 7 พ.ค.ทางเว็บไซต์ของ สอท.www.cuas.or.th และหน่วยงานเครือข่ายอีก 19 แห่ง
       
       นายสมคิด กล่าวว่า ในปีนี้มีผู้สมัครทั้งสิ้น 122,169 คน สมัครเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาที่ สอท.ดำเนินการคัดเลือกรวม 90 สถาบัน เพื่อเข้าศึกษาใน 723 คณะ/สาขาวิชา ซึ่งมีรหัสคณะ/สาขาวิชาให้เลือกทั้งสิ้น 3,598 รหัส โดยมีผู้ผ่านการคัดเลือกมีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย ทั้งหมด 82,102 คน จากจำนวนที่เปิดรับทั้งหมด 140,828 คน ประกอบด้วย สถาบันอุดมศึกษาของรัฐในสังกัด/กำกับ สกอ.78,161 คน จากจำนวนที่เปิดรับ 102,099 คน แบ่งเป็น มหาวิทยาลัย/สถาบัน 24 แห่ง 64,248 คน จากจำนวนที่เปิดรับ 76,778 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏ/มหาวิทยาลัยราชมงคล 13,913 คน จากจำนวนที่เปิดรับ 25,321 คน สถาบันอุดมศึกษาของรัฐสังกัดหน่วยงานอื่น 156 คน จากจำนวนที่เปิดรับ 156 คน และสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 3,785 คน จากจำนวนที่เปิดรับ 38,573 คน ทั้งนี้ ผู้ผ่านการคัดเลือกจะต้องไปสอบสัมภาษณ์ให้ตรงกับวัน เวลา และสถานที่ที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ระหว่าง 14-16 พ.ค.นี้
       
       นายสมคิด กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้ผ่านการคัดเลือกที่ได้คะแนนสูงสุดของคณะ/สาขาวิชา ในการคัดเลือกระบบแอดมิชชัน ประจำปีการศึกษา 2555 จำนวน 9 ราย ได้แก่

1.น.ส.เกวลิน รัตนโสภิณสวัสดิ์ ร.ร.สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้คะแนนร้อยละ 90.55 สูงสุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2.น.ส.ปณชนก มาลากุล ณ อยุธยา ร.ร.สาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้คะแนนร้อยละ 87.96 สูงสุดคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ

3.น.ส.บัณฑิตา แซ่โล้ว ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ได้คะแนนร้อยละ 86.17 สูงสุดคณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

4.น.ส.ศศินี อรุณอาภารัตน์ ร.ร.เบญจมราชาลัย ได้คะแนนร้อยละ 85.28 สูงสุดคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

5.นายภิมุข เทียมเศวต ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา ได้คะแนนร้อยละ 84.73 สูงสุดคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ

6.น.ส.ศิริกาญจน์ วิโรจน์ศิริ ร.ร.สามเสนวิทยาลัย ได้คะแนนร้อยละ 83.75 สูงสุดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

7.นายชนภัสส์ แสงสว่าง ร.ร.สาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้คะแนนร้อยละ 83.09 สูงสุดคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ

8.นายมัคค์ วรสถิตย์ ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา ได้คะแนนร้อยละ 82.93 สูงสุดคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และ

9.น.ส.นันทพัชร พนมยงค์ ร.ร.สตรีวิทยา ได้คะแนนร้อยละ 82.02 สูงสุดคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์
       
       นอกจากนี้ ยังมีผู้พิการทางสายตาที่ผ่านการคัดเลือก จำนวน 2 ราย ได้แก่ นายณัฐพนธ์ มูลมาตย์ ร.ร.เซนต์คาเบรียล ผ่านการคัดเลือกในคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) บ้านสมเด็จเจ้าพระยา และ นายไพโรจน์ พันธุ์ทอง ร.ร.หาดใหญ่วิทยาลัย ผ่านการคัดเลือกในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา
       
       “คณะ/สาขาวิชาที่มีผู้สมัครเลือกมากที่สุด ประจำปีการศึกษา 2555 ใน 3 อันดับแรก ได้แก่ คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ มีผู้สมัคร 2,850 คน รับได้ 56 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:51 คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ มีผู้สมัคร 1,813 คน รับได้ 150 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:13 และคณะวิทยาศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ มีผู้สมัคร 1,906 คน รับได้ 160 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:12 ทั้งนี้ สาเหตุที่มีผู้สมัครเลือกคณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ มากเป็นอันดับ 1 นั้น อาจจะเป็นเพราะสถาบันดังกล่าวเข้าร่วมแอดมิชชันปีนี้เป็นปีแรก ดังนั้น เด็กอาจจะไม่มีคะแนนขั้นต่ำมาเปรียบเทียบ จึงทำให้แห่มาสมัครสถาบันดังกล่าวเป็นจำนวนมาก” นายสมคิด กล่าว
       
       นายสมคิด กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกทุกคน ส่วนผู้ที่พลาดหวังนั้นยังมีสถาบันอุดมศึกษาทั้งรัฐและเอกชนอีกหลายแห่งที่จะเปิดรับเพิ่มเติม ดังนั้น จึงไม่อยากให้เด็กท้อแท้ เพราะการผ่านการคัดเลือกแอดมิชชันไม่ใช่สิ่งสุดท้ายของชีวิต และคนที่ผ่านการคัดเลือกก็ไม่ได้หมายความว่า จะเรียนจบใน 4 ปี อีกทั้งคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นบางคนก็ต้องแอดมิชชันหลายครั้ง ตนจึงอยากให้กำลังใจเด็กทุกคน และไม่อยากให้ผู้ปกครองโทษเด็ก ซึ่งเด็กอาจจะเก่งแต่สู้คนเก่งกว่าไม่ได้ หลังจากนี้ ก็ขอให้เด็กๆ ได้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ว่า จะมีสถาบันอุดมศึกษาใดเปิดรับเพิ่มเติมอีกบ้าง เพื่อให้โอกาสตัวเองอีกครั้งหนึ่ง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 พฤษภาคม 2555

5775
นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสกลนครเพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหามะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี ว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลล่าสุดในปี 2553 มีผู้เสียชีวิต 58,076 ราย อันดับ 1 คือมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี 14,008 ราย ในจำนวนนี้ร้อยละ 54 หรือ 7,513 รายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยไทยมีอัตราตายจากมะเร็งตับสูงที่สุดในโลก ในผู้ชายพบสูงถึง 36.9 คนต่อประชากร 100,000 คน  ส่วนผู้หญิง 15.2 คน ต่อประชากร 100,000 คน  โดยจังหวัดสกลนครมีอัตราตายจากมะเร็งชนิดนี้สูงที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบ 55 คนต่อประชากร 100,000 คน

สำหรับการป่วยจากมะเร็งตับพบว่ามีชายไทยป่วย 1 คนทุก 1 ชั่วโมง ส่วนผู้หญิงป่วย 1 คนทุก 3 ชั่วโมง เฉลี่ยพบผู้ป่วยวันละกว่า 30 คนทั่วประเทศ   นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำโครงการประชาร่วมใจ สร้างสุขอนามัยห่างไกลมะเร็งท่อน้ำดีในตับร้าย เทิดไท้องค์ราชัน-มหาราชินี-พระบรมฯ โดยการค้นหาผู้ป่วยมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีระยะเริ่มต้น มารับการผ่าตัดรักษาฟรี เพื่อเทิดพระเกียรติเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ 80 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ60 พรรษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2555 – 31 กรกฎาคม 2556 รวมจำนวน 224 ราย ผ่าตัดในโรงพยาบาล 15 แห่ง ประกอบด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8 แห่ง ได้แก่ รพ.ศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รพ.ขอนแก่น รพ.อุดรธานี รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี รพ.มหาราชนครราชสีมา รพ.สกลนคร รพ.ร้อยเอ็ด และรพ.สุรินทร์ ภาคกลาง 5 แห่ง ได้แก่ รพ.ราชวิถี รพ.จุฬาลงกรณ์ รพ.รามาธิบดี รพ.ศิริราช และรพ.จุฬาภรณ์ กทม. ภาคเหนือที่ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ และภาคใต้ที่รพ.หาดใหญ่   ซึ่งการรักษาตั้งแต่เซลล์มะเร็งยังไม่ลุกลาม จะหายขาด มีโอกาสรอดชีวิตสูง

นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวต่อว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหรืออสม.ให้มีความรู้เรื่องการป้องกันโรคมะเร็งตับ เพื่อให้ความรู้ประชาชน และค้นหาผู้ป่วยจากการตรวจคัดกรองประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เป็นชาวอีสานแต่กำเนิด กลุ่มที่ตรวจพบไข่พยาธิใบไม้ตับในอุจจาระ  กลุ่มที่มีถิ่นฐานบ้านเรือนใกล้ริมแม่น้ำ ลำคลอง ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีประวัติมีญาติพี่น้องเป็นมะเร็งตับ หากพบว่ามีความเสี่ยงจะส่งตัวไปตรวจอัลตราซาวนด์และตรวจทางห้องปฏิบัติการที่โรงพยาบาลชุมชน เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยโรคโดยเร็ว และส่งต่อไปผ่าตัดรักษาได้ทันเวลา ขณะเดียวกัน จะรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันโรคมะเร็ง 2 ชนิดนี้ โดยเฉพาะใน 20 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เน้นกินอาหารที่ปรุงสุกสะอาด ไม่กินปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดดิบๆ ปลาร้าดิบ ซึ่งจะมีพยาธิใบไม้ตับ สาเหตุหลักที่ทำให้เป็นมะเร็งตับและท่อน้ำดีตามมา

มติชนออนไลน์  7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หน้า: 1 ... 383 384 [385] 386 387 ... 534