แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - patchanok3166

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 20
76
เครือข่ายพยาบาลฯ โวย โชว์ใบเสร็จจ่ายชดใช้ทุนเรียนพยาบาลคืน จี้ สธ.รับผิดชอบ หลังบอกบรรจุข้าราชการทุกกรมในสังกัด สธ.ไม่ต้องจ่ายเงิน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราว กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีสัญญาทุนเรียนพยาบาล ซึ่งหลังจากหารือกับทาง สธ.แล้ว ได้ข้อสรุปว่า หากเป็นข้าราชการหรือการจ้างงานใดๆ ในสังกัด สธ. ไม่ว่าอยู่ในกรมใดก็ตาม ไม่ต้องชดใช้ทุน เพราะอยู่ภายใต้ร่ม สธ. แต่ปรากฏว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวนมากจากพยาบาลที่ส่งข้อมูลใบเสร็จมาว่า สุดท้ายก็ต้องจ่ายเงิน โดยระบุว่า


"ไหนกระทรวงบอก นักเรียนทุนทาสหากปฏิบัติงานภายใต้กระทรวงสาธารณสุขไม่ต้องใช้ทุนไงแล้วนี่อะไรแค่บางส่วนเท่านั้นจากที่น้องๆ inbox มา #เรื่องนี้กระทรวงต้องออกมาชี้แจงก่อนปีใหม่นะ ไม่งั้นมีเฮโลแน่นวล เอ้า!!! ขอแชร์ ขอไลท์ ขอคอมเม้นคนที่ได้รับผลกระทบหน่อยเร็ว #เอาทุนทาสคืนไปเอาทุนรัฐบาลคืนมา #นักเรียนทุนทาสกระทรวงสาธารณสุข"


น.ส.วราพร กวีวิทยาภรณ์ เลขานุการเครือข่ายพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราวกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นอีกปัญหามาก เพราะจากการหารือกับ นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เมื่อเร็วๆนี้ ก็ยืนยันกรณีการใช้ทุนว่า หากเรียนจบและทำงานใช้ทุนไม่ครบ 4 ปี เพราะบรรจุข้าราชการได้ แม้คนละสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงฯ แต่อยู่ภายใต้กระทรวงสาธารณสุขก็ไม่ต้องใช้ทุนคืนนั้น ปรากฎว่า ความเป็นจริง ไม่ใช่ เพราะมีนักเรียนพยาบาลที่เรียนจบ และทำงานใช้ทุนให้ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) ขอนแก่น แต่สอบบรรจุข้าราชการของกรมการแพทย์ได้ ซึ่งกรมการแพทย์อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ปรากฎว่าต้องใช้ทุนคืนอยู่ดีประมาณ 1.7 แสนบาท โดยจ่ายให้แก่ทาง สสจ.ขอนแก่น ไปแล้ว มีใบเสร็จเรียบร้อย ซึ่งตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับทางกระทรวงฯว่าจะทำอย่างไร เพราะจ่ายไปแล้ว และยังมีกรณีนี้อีกเยอะ ทางเครือข่ายฯจึงบอกน้องๆว่า ให้ไปทำงานตามที่บรรจุได้ แต่ขอชะลอการใช้ทุนไปก่อน และจะเร่งสอบถามไปยังกระทรวงสาธารณสุขว่าจะดำเนินการอย่างไร คิดว่าคงจะมีความชัดเจนในต้นปีใหม่ 2562


"จากตัวเลขที่ร้องปัญหาเข้ามาคาดว่า ไม่ต่ำกว่า 50 คนที่น่าจะคืนทุนไปแล้ว ซึ่งบางส่วนก็ไปเป็นข้าราชการ บางส่วนก็ไปอยู่เอกชน ตรงนี้หลายปีมาก ตัวเลขชัดๆ ยังไม่เคยสำรวจเลย แต่ขณะนี้กำลังเริ่มทำแบบสอบถาม น่าจะกระจายแบบสอบถามไปยังพื้นที่ต่างๆในเดือนมกราคมปีหน้า เพราะถ้าไม่ชัดเจนแบบนี้ ก็กระทบต่อบุคลากรมาก หลายคนเคยติดต่อไปสถาบันพระบรมราชชนก(สบช.) ว่าตกลงเรื่องนี้อย่างไร แต่ได้รับคำตอบว่าไม่เกี่ยวข้อง ให้ติดต่อกระทรวงสาธารณสุขเอง เพราะว่าเรียนจบแล้ว การใช้ทุนให้ไปคุยกับกระทรวงเอง" น.ส.วราพร กล่าว




เผยแพร่: 21 ธ.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

77
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็น social media ทางไหน ก็เห็นแต่คนพูดถึงกระแส “ผักชีฟีเวอร์” หรือความบ้าผักชีของชาวญี่ปุ่น ผักที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสำคัญ ไม่มีเมนูหลักของตัวเอง ทำได้แต่เพียงเป็นตัวประกอบในหลายๆ จาน และถูกนำไปเปรียบในสุภาษิตของไทยที่ว่า “ผักชีโรยหน้า” คือการทำอะไรลวกๆ ส่งๆ แปะๆ ให้เห็นแค่เบื้องหน้า นั่นสื่อถึงว่าบ้านเรา ผักชี เป็นเพียงผักที่ไม่ได้สำคัญต่ออาหารจานหลักเท่าใดนัก


แต่ที่ญี่ปุ่น “ผักชี” กลายเป็นผักที่หลายนิยมชมชอบกันมาก ทานกันเป็นกำๆ (ทั้งๆ ที่ผักชีที่บ้านเขาราคาก็ไม่ได้ถูกเท่าบ้านเรา) ขนาดมีนักร้องบอยแบนด์ของญี่ปุ่นร้องเพลง “ผักชีเฮเว่น” (เฮเว่น = สวรรค์) โดยสื่อถึงความคลั่งผักชีของคนญี่ปุ่นนั่นเอง


จากกระแสผักชีฟีเวอร์ขนาดหนัก จึงทำให้ที่ประเทศญี่ปุ่นมีร้านอาหารที่ขึ้นชื่อเรื่องเมนูที่มีผักชีเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่ได้เป็นเพียงผักโรยหน้าแบบบ้านเรา เป็นผักชีกองๆ ทานกันเป็นกำๆ เลยทีเดียว แถมยังมีร้านอาหารที่ทั้งร้านจำหน่ายแต่เมนูที่มีผักชีเป็นส่วนประกอบเท่านั้นอีกด้วย นอกจากนี้เมนูผักชี ยังกลายเป็นเมนูแห่งปีของญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อย (ปี 2016) ตอกย้ำกระแสชื่นชอบผักชีของคนญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน


ถ้าจะพูดถึงรสชาติ คงจะเป็นเรื่องเฉพาะตัวจริงๆ บางคนอาจจะชอบ บางคนอาจจะไม่ชอบ เหมือนกับ “ทุเรียน” ในบ้านเรา ที่คนชอบก็ชอบมาก แต่ใครที่ไม่ชอบก็เกลียดไปเลย เพราะรสชาติและกลิ่นมันเข้มข้น และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ แต่หากพูดถึงประโยชน์ของ “ผักชี” กันแล้ว ขอบอกว่ามีเพียบจนคุณอาจจะต้องหันมาคลั่งผักชีเหมือนกับชาวญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว



สารอาหารในผักชี

- วิตามินเอ

- วิตามินบี

- วิตามินซี

- ธาตุเหล็ก

- เบต้าแคโรทีน

- แคลเซียม

และอื่นๆ



ประโยชน์ดีๆ ของ “ผักชี”


1. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก

2. ป้องกันโรคหวัด

3. แก้อาการกระหายน้ำ

4. ต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ในลำไส้

5. ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร

6. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

7. เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยให้ขับถ่ายคล่องมากยิ่งขึ้น

8. แก้อาการวิงเวียนศีรษะ

9. บำรุงสายตา

10. ช่วยกระตุ้นการทำงานของเลือด และกล้ามเนื้อ

 

ถึงแม้ผักชีจะมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ค่อนข้างฉุน แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ กลิ่นผักชีที่ว่าจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ หากไม่ทานในปริมาณที่มากเกินไป จะไม่ทำให้ตัวเหม็นอย่างที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินกันแน่นอน แต่ถึงกระนั้น การจะหันมาทานผักชีกันอย่างจริงจังเป็นกำๆ ก็ไม่ควรทานมากเกินไป เพราะไม่ว่าอาหารชนิดใดที่ว่าดี หากทานมากเกินไปก็เป็นโทษได้ทั้งนั้นค่ะ




15 ธ.ค. 61  sanook.com

78
คกก.นโยบายการดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติ เห็นชอบตั้งระบบเฝ้าระวังการดื้อยาต้านจุลชีพในประเทศไทย นำร่องในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 50 แห่ง เน้นสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนและเกษตรกร



นพ.ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 โดยที่ประชุมได้เห็นชอบให้ดำเนินการ 4 เรื่อง เพื่อประโยชน์ประชาชนใน 4 เรื่อง เรื่องแรก ให้มีระบบเฝ้าระวังการบริโภคยาต้านจุลชีพในประเทศไทย (Thailand-SAC) เป็นเครื่องมือในการติดตามข้อมูลการบริโภคยาต้านจุลชีพของประเทศไทย เพื่อลดการบริโภคยาต้านจุลชีพ และรายงานผลต่อเนื่องทุกปี 2. มอบคณะอนุกรรมการเสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านเชื้อดื้อยาและการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมแก่ประชาชนเสนอนโยบายเสริมสร้างการสร้างความตระหนักรู้ด้านเชื้อดื้อยาและยาต้านจุลชีพแก่ประชาชน และให้ สสส. นำประเด็นเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพให้เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายส่งเสริมสุขภาพที่สำคัญ



3. เห็นชอบให้นำร่องระบบการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างบูรณาการในโรงพยาบาล (Integrated AMR Management: IAM) นำไปสู่ผลลัพธ์ของการลดการป่วยจากเชื้อดื้อยาในกลุ่มโรงพยาบาลรัฐสังกัดต่างๆ และโรงพยาบาลเอกชน รวม 50 แห่ง และให้คณะอนุกรรมการลดผลกระทบจากปัญหาเชื้อดื้อยาในสถานพยาบาลติดตามและกำกับการดำเนินงานดังกล่าว และ 4. ให้กรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกันเร่งทำความเข้าใจกับเกษตรกรเพื่อลดการใช้ยาต้านจุลชีพในการรักษาโรคกรีนนิ่งในส้ม และมอบหมายให้ อย.ควบคุมการกระจายยาด้านจุลชีพ ทั้งที่เป็นเคมีภัณฑ์และยาสำเร็จรูป รวมทั้งให้คณะอนุกรรมการการจัดการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพในภาคการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ จัดทำแนวทางการแก้ปัญหาการใช้ยาต้านจุลชีพในส้มและรายงานความคืบหน้าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติในการประชุมครั้งต่อไป



เผยแพร่: 15 ธ.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

79
ฟุ้ง "บัตรทอง" เป็นวาระระดับโลก ต้นแบบการสร้างหลักประกันสุขภาพ สธ.จับมือ สปสช. ก.ต่างประเทศ ทำข้อมูล ผลงาน 16 ปี โชว์ต่างประเทศในเวทีสมัชชาสหประชาชาติปี 2562ใน ก.ย. 62


วันนี้ (12 ธ.ค.) ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ นพ.กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเฉลิมฉลอง “วันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสากล : ใบไม้ต้นเดียวกัน” โดยปีนี้ได้จัดร่วมในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11 พ.ศ. 2561 พร้อมแถลงข่าว “12 ธันวาคม วันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสากล หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไทยก้าวไกลสู่โลก”


นพ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า การเฉลิมฉลอง “วันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสากล” หรือ Universal Health Coverage Day หรือ UHC Day ตามที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติกำหนดให้ UHC Day ตรงกับวันที่ 12 ธันวาคม ของทุกปี โดยปี 2561 องค์การอนามัยโลกได้รณรงค์ชูประเด็น “รวมพลังเพื่อหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” หรือ “UNITE FOR UNIVERSAL HEALTH COVERAGE” สะท้อนผลสำเร็จของประเทศไทยในเวทีโลก


ทั้งนี้การที่ประเทศไทยได้รับการยอมรับและมีบทบาทในประเด็นหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในเวทีโลกได้ เนื่องจากประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดตั้ง “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ในปี 2545 ที่เป็นการปฏิรูประบบสุขภาพครั้งใหญ่ของประเทศ ส่งผลให้ประชาชนทั้งประเทศมีหลักประกันสุขภาพรองรับ เข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง สร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพให้กับประชาชนมาตลอด 16 ปี และปีนี้เป็นปีที่ 17 ซึ่งเป็นผลจากการสนับสนุนที่จริงจังทั้งในด้านนโยบายและงบประมาณของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้วันนี้ประเทศไทยได้รับการยกย่องให้เป็นต้นแบบกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางที่ดำเนินระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยมีนานาประเทศเข้าศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง


“หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในวันนี้กลายเป็นวาระระดับโลก องค์กรระหว่างประเทศและนานาประเทศต่างให้ความสำคัญเพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า นอกจากเป็นการดูแลสุขภาพประชาชน ยังเป็นพื้นฐานการพัฒนาและสร้างความมั่นคงของประเทศ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติประจำปี 2562 ได้กำหนดให้มี “การประชุมระดับสูงในเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” เพื่อเป็นเวทีผลักดันทางการเมืองเพื่อนำไปสู่การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในแต่ละประเทศ” ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข กล่าว


นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ระบบหลักประกันสุขภาพไทยนั้นได้รับการยอมรับในระดับโลก ที่ผ่านมา กระทรวงต่างประเทศได้ส่งเสริมผลักดันความสำเร็จของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไทยในเวทีระหว่างประเทศมาโดยตลอด โดยได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. เพื่อนำประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีของไทยไปเผยแพร่ในเวทีระหว่างประเทศ รวมทั้งเชื่อมประสานให้ประเทศต่างๆ ที่สนใจและต้องการเรียนรู้จากไทยเข้ามาเรียนรู้เรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจากผู้เชี่ยวชาญของไทยด้วย


นางกาญจนา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ในปี 2555 ที่ประเทศไทยได้ร่วมกับนานาประเทศกำหนดให้การสร้างสุขภาพที่ดีถ้วนหน้าเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ให้บรรลุในปี 2573 แล้ว ในปี 2560 ไทยได้ร่วมกับประเทศในกลุ่ม Foreign Policy and Global Health Initiative (FPGH) ผลักดันให้เกิดวันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสากลขึ้น โดยปีนี้นับเป็นปีที่ 2


สำหรับการจัดประชุมระดับสูงเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติปี 2562 นั้น ไทยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ประสานงานร่วมเพื่อเสนอรูปแบบของการประชุมระดับสูง ซึ่งจะมีการจัดประชุมดังกล่าวในเดือนกันยายน 2562 โดยไทยได้ร่วมกับญี่ปุ่นจัดเตรียมร่างข้อมติเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุม การกำหนดรูปแบบการประชุม และจะมีส่วนในการเจรจาเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมดังกล่าว ซึ่งจะเป็นแนวทางการดำเนินงานของประเทศสมาชิกสหประชาชาติต่อไป


“ในการประชุมระดับสูงนี้ ไทยจะมีโอกาสแสดงวิสัยทัศน์ในการดำเนินการเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าผ่านถ้อยแถลงของหัวหน้าคณะ และจะมีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความสำเร็จและแนวปฏิบัติที่ดีของไทยกับประเทศสมาชิกสหประชาชาติอื่นๆ ในกิจกรรมคู่ขนานที่จะจัดขึ้นอีกด้วย”


ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในการรณรงค์วันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสากลของประเทศไทยในปีนี้ ได้ชูประเด็นขับเคลื่อน “การลงทุนด้านสุขภาพ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เพื่อมุ่งให้ทุกภาคส่วนตระหนักและเห็นความสำคัญของการลงทุนด้านสุขภาพ โดยเฉพาะการเพิ่มทรัพยากร เพื่อทำให้ประชาชนทุกกลุ่มมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุขอย่างครอบคลุมและทั่วถึง เป็นการต่อยอดการดำเนินหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น


ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติประจำปี 2562 ซึ่งมีขึ้นในเดือนกันยายน 2562 สปสช.ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการต่างประเทศในการเตรียมข้อมูล องค์ความรู้และประสบการณ์ที่หลากหลายมิติ รวมทั้งผลการดำเนินงานเชิงประจักษ์ตลอด 16 ปี เพื่อนำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อให้แต่ละประเทศนำไปดำเนินการภายใต้บริบทของตนเอง ขณะเดียวกันในส่วนของประเทศไทยจะนำความคิดเห็นต่างๆ ที่ได้รับมาพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยต่อไป




เผยแพร่: 12 ธ.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

80
เครือข่ายพยาบาลลูกจ้าง สธ.เตรียมยื่นสถาบันพระบรมราชชนก แก้ปัญหาสัญญาทุนพยาบาล พร้อมหารือรองปลัด สธ. หวังได้รับความเป็นธรรม สร้างขวัญกำลังใจ


น.ส.วราพร กวีวิทยาภรณ์ เลขานุการเครือข่ายพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราวกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าภายหลังออกมาเรียกร้องถึงสัญญาทุนพยาบาลที่ไม่เป็นธรรม ว่า หลังจากมีการเปิดเผยถึงความทุกข์ที่เครือข่ายพยาบาลลูกจ้างชั่วคราวสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ต้องทนมาตลอดหลายปี ซึ่งไม่ใช่แค่ภาระงานมาก แต่เป็นปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุด้วยการถูกบังคับจากสัญญาทุนพยาบาล ที่กำหนดว่า เมื่อเรียนจบพยาบาลจะต้องใช้ทุนด้วยการเป็นลูกจ้างชั่วคราวของกระทรวงเป็นเวลา 4 ปี จากเดิมทุนนี้จะให้ใช้ทุนด้วยการเป็นข้าราชการ แต่กลับถูกยกเลิกไปประมาณปี 2545 ทำให้วิทยาลัยพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ ซึ่งสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก ใช้ข้อกำหนดเหล่านี้ จนทำให้พยาบาลต้องทนกล้ำกลืนในการเป็นลูกจ้างชั่วคราว ไร้สิทธิสวัสดิการที่ควรจะได้รับ


น.ส.วราพร กล่าวว่า ล่าสุด นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัด สธ. ได้เรียกหารือพวกตนในวันที่ 13 ธ.ค. เวลา 15.30 น. ซึ่งก่อนหน้านั้นในช่วงเช้าวันเดียวกันจะมีการประชุมกับทางกองการพยาบาลของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขถึงปัญหาต่างๆ ที่พยาบาลได้รับ ทั้งภาระงาน รวมทั้งทุนพยาบาลดังกล่าว จากนั้นผู้แทนเครือข่ายพยาบาลฯ จะไปยื่นหนังสือต่อสถาบันพระบรมราชชนกในเวลา 13.00 น. เกี่ยวกับสัญญาทุนพยาบาล ก่อนจะเข้าพบรองปลัดสธ.ตามนัดหมาย ซึ่งพวกเรามีความหวังว่า การหารือครั้งนี้จะช่วยสร้างขวัญและกำลังใจ เป็นความหวังให้พยาบาลลูกจ้างชั่วคราวทุกคน รวมทั้งน้องๆพยาบาลในอนาคตจะได้ทุนพยาบาลที่เป็นธรรมขึ้น



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับปัญหาทุนพยาบาลนั้น เดิมทีวิทยาลัยพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข มีทุนโดยระบุในสัญญาว่า ต้องทำงานในโรงพยาบาลของกระทรวงฯ ซึ่งเดิมพยาบาลที่ได้รับทุนจะได้บรรจุเป็นข้าราชการ แต่มีการยกเลิกในปี 2545 ซึ่งเป็นการลดอัตรากำลังข้าราชการลง ทำให้นับตั้งแต่นั้นพยาบาลที่รับทุนต้องใช้ทุนด้วยการเป็นลูกจ้างชั่วคราวของกระทรวงสาธารณสุข มีสัญญา 4 ปี หากไม่ต้องการใช้ทุน ต้องคืนทุนเป็นเงินมากกว่าทุนที่ได้รับตลอด 4 ปีที่ผ่านมาถึง 2-3 เท่า หรือประมาณ 2.6 แสนบาท ในขณะที่การเป็นลูกจ้างชั่วคราวเงินเดือนในชั่วระยะเวลา 4 ปีจะอยู่ที่ประมาณ 11,000 ถึง 15,000 บาทเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้เครือข่ายพยาบาลฯ ได้ออกมาเรียกร้องเรื่องนี้






เผยแพร่: 12 ธ.ค. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

81
มีคำกล่าวมากมายว่าอยากผอมอยากหุ่นดีด้วยวิธีง่ายๆ วันนี้บทความจาก CNN ว่าด้วย 5 ปัจจัยสุดแปลก ที่ทำให้ผอมได้โดยไม่รู้ตัว

 

1.คนที่หุ่นดี มักอาศัยอยู่ใกล้กับยิมหรือฟิตเนส

การศึกษาเมื่อปี 2017 ที่ตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ Lancet ระบุว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ห่างจากยิม ฟิตเนส สนามกีฬา สระว่ายน้ำ หรือสนามเด็กเล่น ในรัศมี 1 กิโลเมตร จะมีน้ำหนักน้อยกว่า หรือมีรอบเอวที่เล็กกว่า คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ไกลกว่านั้น และสัดส่วนนี้จะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดในผู้หญิง และกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้น

 

ส่วนอีกการวิจัย ระบุว่า การสร้างย่านชุมชนที่เหมาะแก่การเดินไปไหนมาไหนได้สะดวก มีส่วนเชื่อมโยงกับน้ำหนักที่น้อยลงด้วย แต่ตรงข้ามกับการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet อีกเช่นกัน ที่ระบุว่า คนที่อยู่ห่างจากร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในระยะ 2 กิโลเมตรขึ้นไป จะมีหุ่นที่ผอมกว่าคนที่อาศัยอยู่ใกล้ร้านอาหารเหล่านี้ โดยเฉพาะกับผู้หญิง

 

2.คนหุ่นดี มักชอบขยับร่างกายบ่อยๆ

การศึกษาด้านต่อมไร้ท่อ เบาหวาน และโรคอ้วน จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NIH ระบุว่า การขยับเขยื้อนร่างกายบ่อยๆ จะทำให้มีน้ำหนักตัวน้อยลงได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว เช่น เดิน ยืน ทำกับข้าว ทำสวน ล้วนแต่ให้ผลดีต่อร่างกายและลดน้ำหนักได้เช่นกัน

และการขยับเขยื้อนร่างกายมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น เพราะจากการศึกษาเมื่อปี 2003 พบว่า การใช้อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น เครื่องล้างจาน เครื่องซักผ้า รถยนต์ บันไดเลื่อน จะไปลดการใช้พลังงานของร่างกายราว 111 กิโลแคลอรีที่ต้องเผาผลาญไปในแต่ละวัน

 

3.กินเผ็ดอาจช่วยให้ผอมได้

อาหารมื้อต่อไป อย่าลืมเพิ่มความเผ็ดร้อนในเมนู เพราะในการศึกษาของทีมวิจัยหลายฉบับ ชี้ว่า พริกชนิดต่างๆ จะมีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนัก เช่น ลดความอยากอาหาร เพิ่มการเผาผลาญในร่างกาย นอกจากพริกแล้ว เครื่องเทศต่างๆ อาทิ ขิง โรสแมรี ออริกาโน ซินนามอน ขมิ้น และยี่หร่า จะช่วยลดอาการบวม กระตุ้นการตอบสนองของสารอินซูลิน


4.ยิ่งสูง ยิ่งผอม

ตามการศึกษาของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐฯ หรือ CDC ระบุว่า ผู้คนที่อาศัยในรัฐโคโลราโด มีสัดส่วนของโรคอ้วนต่ำที่สุดในอเมริกา ส่วนหนึ่งมาจากการอาศัยอยู่ในที่สูง

การศึกษานี้สอดคล้องกับบทความของ International Journal of Obesity ที่ระบุว่า คนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลเท่าไหร่ จะมีสัดส่วนของโรคอ้วนที่ต่ำลงเท่านั้น โดยการศึกษาชิ้นนี้ ระบุว่า ปัจจัยเกี่ยวเนื่อง นั่นคือ ระดับออกซิเจนที่ต่ำ ระบบเผาผลาญในร่างกายที่สูงขึ้น และความอยากอาหารลดลงเมื่ออยู่บนที่สูง


5.คนหุ่นดี มักอยู่ตามเมืองใหญ่

การศึกษาที่มีทั้งการสนับสนุนและคัดค้าน จาก Harvard School for Public Health ระบุว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ที่มีประชากรตั้งแต่ 1 ล้านคนขึ้นไป จะมีความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนลดลง เมื่อเทียบกับคนที่อยู่ในเมืองเล็กหรือชนบท สาเหตุมาจากความมั่นคงทางด้านอาหาร ชุมชนเมืองที่เหมาะแก่การเดินไปไหนมาไหน และอาหารการกินที่ดีกว่า


ในการศึกษาอีกด้านหนึ่ง กลับมองว่า ชุมชนเมืองคือต้นเหตุของความอ้วนได้เหมือนกัน โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชน และกลุ่มที่มีรายได้น้อย เนื่องจากพวกเขามีทางเลือกไม่มากในการรับประทานอาหาร จากที่ฟาสต์ฟู้ด ที่มีแคลอรีสูง ถือเป็นอาหารราคาย่อมเยาว์ในเมืองใหญ่ นอกจากนี้ ชุมชนเมืองทำให้ขนส่งสาธารณะเพียงพอจนไม่ต้องพึ่งพาการเดิน รวมทั้งการขยับเขยื้อนร่างกายที่น้อยลงเมื่ออยู่ในเมืองใหญ่ที่งานการรัดตัวจนไม่มีเวลาทำอะไร

 

อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่เข้าข่ายปัจจัยทั้ง 5 ก็สามารถปรับพฤติกรรมให้ลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วนได้เช่นกัน


12 ธ.ค 61 โดย sanook.com

82
สบส. คาด พาณิชย์กำหนด รพ.เอกชน ประกาศค่ายา ค่ารักษา 1,000 รายการ ในเว็บไซต์กลาง เป็นกลุ่มโรคที่พบบ่อย หรือโรคจำเป็นก่อน ชี้ ช่วยเปรียบเทียบราคาได้ ส่วนราคากลางไม่ละทิ้ง แต่ต้องใช้เวลาออกประกาศ


วันนี้ (11 ธ.ค.) นพ.ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีกระทรวงพาณิชย์ให้โรงพยาบาลเอกชนดำเนินการประกาศค่ารักษาพยาบาลและค่ายาทางเว็บไซต์ของโรงพยาบาล และเว็บไซต์กลางของกระทรวงพาณิชย์รวมกว่า 1,000 รายการ ตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. 2562 เป็นต้นไป เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ไทยให้กับประชาชน ว่า ที่จริงการรักษาพยาบาลมีหลากหลายกลุ่มโรค มากกว่า 5 พันรายการ แต่จากการหารือร่วมกันแล้วเห็นว่าระยะแรกให้ประกาศเพียงประมาณ 1 พันรายการก่อน ส่วนจะเป็นรายการไหนบ้างจะมีการหารือกันอีกครั้ง เบื้องต้นคิดว่าจะเป็นโรคจำเป็น โรคที่พบได้บ่อย โรคที่พบได้ในทุกกลุ่มวัย เป็นต้น ทั้งนี้ การกำหนดให้เชื่อมโยงข้อมูลมาที่เว็บไซต์กลางจะทำให้ประชาชนสามารถตรวจสอบ และเปรียบเทียบค่ารักษาได้



“ข้อดีคือ ในช่วงที่เรายังไม่สามารถประกาศให้ค่ารักษาเป็นสินค้าและบริการที่ต้องควบคุมได้นั้น การประกาศราคา การได้รู้ราคาก็เป็นเรื่องที่ดี แต่อนาคตยังมีความเป็นไปได้ที่จะกำหนดราคากลางค่ารักษา ซึ่งเป็นเรื่องของการออกกฎหมายของทางกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งต้องใช้เวลา เช่นเดียวกับการประกาศให้ค่ารักษาฯ เป็นสินค้าที่ต้องควบคุมนั้นเราเองก็ไม่ได้ละทิ้ง” นพ.ณัฐวุฒิ กล่าว





เผยแพร่: 11 ธ.ค. 2561 โดย: ผู้จัดการออนไลน์

83
สบส. ยัน รพ.มงกุฎวัฒนะ ไม่ได้ปฏิเสธรักษาผู้ป่วยไฟไหม้ทั้งตัว ชี้ เป็นการส่งต่อตามระบบ ที่ต้องวิเคราะห์ศักยภาพก่อนว่ารักษาผู้ป่วยได้หรือไม่ เผย ผู้ป่วยไฟไหม้เกิน 98% มากกว่าขีดสามารถ รพ.มงกุฎวัฒนะ รักษา ด้านญาติไม่ติดใจ มีกองทุนเงินทดแทนช่วยค่ารักษา สูงสุด 2 ล้านบาท ส่วนต่างนายจ้างเซ็นรับผิดชอบแล้ว


วันนี้ (11 ธ.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นพ.ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าวหนุ่มถูกไฟไหม้ทั้งตัวถูก รพ.มงกุฎวัฒนะ ปฏิเสธการรักษาทั้งที่มีสิทธิประกันสังคม ว่า สบส. ลงพื้นที่ตรวจสอบเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา จำนวน 4 โรงพยาบาลที่เกี่ยวข้อง คือ รพ.เซนต์คาร์ลอส จ.ปทุมธานี รพ.มงกุฎวัฒนะ รพ.รามาธิบดี และ รพ.กรุงเทพ พบว่า จากเดิมที่ทราบว่าผู้ป่วยได้รับอุบัติเหตุจากไฟไหม้ แต่สอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่า เป็นแก๊สระเบิดจากโรงงาน ซึ่งตามกฎหมายถือว่า เป็นการเจ็บป่วยในการทำงาน มีกองทุนเงินทดแทนดูแล ซึ่งรัฐบาลและนายจ้างจ่ายสมทบเข้ากองทุน ต่างจากประกันสังคมที่ลูกจ้างต้องร่วมจ่ายด้วยเป็น 3 ส่วน ดังนั้น กรณีนี้ถือเป็นการเจ็บป่วยจากการทำงาน ต้องได้รับการดูแลจากกองทุนเงินทดแทนในสัดส่วนที่ว่าไปตามกฎหมาย ส่วยต่างนายจ้างเป็นผู้ดูแล ไม่เกี่ยวกับกองทุนประกันสังคมที่จะดูแลการเจ็บป่วยที่นอกเหนือจากการทำงาน



นพ.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบว่า ผู้บาดเจ็บถูกส่งเข้า รพ.เซนต์คาร์ลอส เป็น รพ. แห่งแรก ซึ่งทำได้ถูกต้องตามมาตรฐาน แต่ศักยภาพไม่เพียงพอเพราะผู้ป่วยมีแผลไฟไหม้รุนแรงระดับ 3 คือ มากถึง 98% ของร่างกาย ถือเป็นวิกฤตฉุกเฉินต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ และใช้ห้องดูแลเฉพาะ เมื่อถามญาติ ญาติบอกว่ามีประกันสังคมที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ แต่เมื่อประสานไผ รพ.มงกุฎวัฒนะ แจ้งว่า ไม่มีห้องดูแลเฉพาะในการดูแลผู้ป่วยไฟไหม้รุนแรงระดับนี้ และไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงแนะนำไปโรงเรียนแพทย์ คือ รพ.ศิริราช รพ.รามาธิบดี หรือ รพ.จุฬาลงกรณ์ ซึ่งจากการสอบถามญาติก็ประสงค์ไป รพ.กรุงเทพ ซึ่งทาง รพ.กรุงเทพ ก็พร้อมรับ หลังจากนั้น รพ.กรุงเทพ ก็ติดต่อไปที่นายจ้างว่าใครจะเป็นคนรับดูแลค่ารักษาที่นอกเหนือจากกองทุนเงินทดแทน ก็มีการตกลงกันได้ดี โดยนายจ้างส่งคนมาเซ็นรับทราบการรับภาระค่ารักษาดังกล่าว รายนี้เป็นตัวอย่างการประสานการส่งต่อผู้ป่วยที่ดี มากกว่าการตระเวนส่งผู้ป่วย



“ยืนยันว่า กรณีนี้ไม่มี รพ. ใด ปฏิเสธการรักษา แต่เป็นการประสานส่งต่อผู้ป่วยตามระบบ ตามศักยภาพ มีการวิเคราะห์ผู้ป่วยก่อนส่งต่อว่า จะไปที่ รพ. ไหนดีที่สุดกับผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยไฟไหม้รุนแรงมากถึง 98% มีโอกาสแทรกซ้อนเยอะ ทั้ง 1. ขาดน้ำและสูญเสียเกลือแร่ 2. การติดเชื้อสูงมาก 3. กระทบอวัยวะภายในหลายระบบ ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา การส่งไป รพ. ที่มีศักยภาพถือว่าถูกต้อง ตอนนี้ทราบว่าผู้ป่วยได้รับการฟอกเลือดหลายครั้งแล้ว เพราะหลังมีการอักเสบรุนแรง เกิดการคั่งของของเสีย ไตทำงานไม่ทัน จำเป็นต้องฟอกเลือด ขณะนี้ญาติผู้ป่วยมีความเข้าใจดีแล้ว ว่า เป็นหน้าที่ของกองทุนเงินทดแทนไม่ใช่ประกันสังคม แต่ส่วนถ้ามีประเด็นอื่นเกี่ยวกับมาตรฐาน ทางกรมก็ยินดีตรวจสอบ แต่เท่าที่ดูตอนนี้ถือว่ามีมาตรฐานดี” อธิบดี สบส. กล่าว


ด้าน นายมนัส โกศล เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) กล่าวว่า เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้เกิดเหตุก่อน พ.ร.บ. กองทุนเงินทดแทน ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2561 ซึ่งบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา จึงได้รับสิทธิต่างๆ ตามกฎหมายฉบับเก่า โดยค่ารักษาพยาบาลการเจ็บป่วยจากการทำงาน ไม่เกิน 2 ล้านบาท ไม่สามารถใช้สิทธิรักษาจนจบกระบวนการรักษาตาม พ.ร.บ. ฉบับใหม่ได้ รวมถึงค่าทดแทนการขาดรายได้ต่างๆ ก็ได้ 60% ของค่าจ้างตามกฎหมายเดิม




เผยแพร่: 11 ธ.ค. 2561 โดย: ผู้จัดการออนไลน์

84
ดราม่า หมอไล่คนไข้ โรงพยาบาลเงียบเหงา ผู้ป่วยไม่กล้ามา หมอพร้อมชี้แจง!


ดราม่า! หมอไล่คนไข้ / วันที่ 9 ธ.ค. จากกรณีกระแสข่าวว่ามีแพทย์ 2 คน พูดจาไม่ดีกับคนไข้และไล่ไปรักษาที่่อื่น ทำให้โรงพยาบาลประจำอำเภอสนม จ.สุรินทร์ ไม่ค่อยมีคนไข้มาให้หมอที่โรงพยาบาลทำการตรวจรักษา ทำให้ที่โรงพยาบาลนั้นเงียบเหงา


จากกรณีดังกล่าว ได้มีแพทย์ท่านหนึ่ง ไม่ขอเปิดเผยชื่อและใบหน้า ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เป็นเรื่องของการเข้าใจผิด การสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน ระหว่างญาติผู้ป่วยกับหมอ ที่ญาติผู้ป่วยไปร้องเรียนเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องเท็จ ทำให้หมอไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้เสียชื่อเสียง หมอจึงไปแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ


เรื่องจริงคือ หมอเขียนใบส่งตัวให้ผู้ป่วยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัดก่อนหน้านี้แล้ว ต่อมาผู้ป่วยมีอาการผิดปกติหลายครั้ง จึงได้แนะนำว่าให้ไปตรวจพบกับหมอเฉพาะทางที่โรงพยาบาลจังหวัด ก่อนนัดหรือตามนัด ตามมาตรฐานของหมอ ทางหมอและความหวังดีของหมอ ญาติผู้ป่วยสื่อสารไม่เข้าใจ เข้าใจผิด จึงไม่พอใจ เขียนไปร้องเรียนข้อความเท็จ เป็นเรื่องไม่จริง ทำให้หมอเสียชื่อเสียง หมอไม่ได้รับความเป็นธรรม


หมอจึงไปร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอความเป็นธรรม หมอเป็นคนธรรมดาทั่วๆไปเหมือนกัน ต้องปกป้องตัวเองและพิทักษ์สิทธิของตัวเองด้วยความชอบธรรม ใครทุกคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ต้องไปหาความเป็นธรรมด้วยกระบวนการยุติธรรม

หมอไม่มีเจตนาที่จะเอาผิดกับญาติผู้ป่วย แต่เจตนาจริงๆของหมอ คือ ต้องการสะท้อนสังคมให้เห็นว่า การจะเขียนอะไรไปร้องเรียนไปเสนอแนะ ต้องเขียนในเชิงสร้างสรรค์ที่เป็นจริง เป็นเรื่องดี และมีประโยชน์ ในทางกลับกัน การเขียนไปร้องเรียนในเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องเท็จ ไม่ทำให้เกิดการพัฒนา



วันที่ 9 ธันวาคม 2561 - หนังสือพิมพ์ข่าวสด

85
กระเจี๊ยบเขียว สามารถนำมารับประทานสด หรือต้มจิ้มกับน้ำพริกได้ หรือจะนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนูไม่ว่าจะเป็นแกงส้ม แกงเลียง หรือจะใส่ในยำต่าง ๆ ฯลฯ ก็ได้ และนอกจากนำมาทำอาหารได้แล้ว กระเจี๊ยบเขียวยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย



สรรพคุณของ กระเจี๊ยบเขียว

1.กระเจี๊ยบเขียว เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะมีความสามารถในการควบคุมน้ำตาลในเลือด เนื่องจากในฝักกระเจี๊ยบเขียวมีเส้นใยอยู่มาก จึงช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งยังรักษาระดับการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้ใหญ่ให้คงที่ด้วย โดยมีงานวิจัยหนึ่งทดลองใช้สารสกัดจากเมล็ดและผิวของกระเจี๊ยบเขียวฉีดเข้าช่องท้องของหนูทดลองที่เป็นโรคเบาหวานในปริมาณ 60 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม พบว่าสารสกัดดังกล่าวอาจมีฤทธิ์ต้านเบาหวานด้วยการลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดของหนูทดลองลงอย่างมีนัยสำคัญ


หมายเหตุ : แม้ผลการทดลองจากงานวิจัยบางส่วนจะเผยว่าสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียวอาจช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ แต่งานวิจัยเหล่านั้นเป็นเพียงการทดลองในสัตว์เท่านั้น จึงไม่สามารถสรุปประสิทธิผลของกระเจี๊ยบเขียวในด้านนี้ได้อย่างชัดเจนในมนุษย์


2.ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลได้ เนื่องจากเส้นใยของกระเจี๊ยบเขียวจะช่วยกำจัดไขมันปริมาณสูงกับน้ำดี ซึ่งสามารถลดไขมันและคอเลสเตอรอลได้ คล้ายกับการกินยาลดไขมันและคอเลสเตอรอล


3.รักษาโรคกระเพาะอาหาร เพราะหากรับประทานฝักกระเจี๊ยบเป็นประจำ เมือกลื่นในฝักกระเจี๊ยบจะช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะไม่เกิดการระคายเคืองจึงช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบได้ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่


4.ต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวอุดมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์ มีงานวิจัยพบว่าอาจเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง หลายคนจึงเชื่อว่าการบริโภคกระเจี๊ยบเขียวอาจช่วยต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกายไม่ให้เกิดการทำลายเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ จนเกิดโรคหรืออาการป่วยตามมาได้ และมีงานวิจัยหนึ่งศึกษาถึงประสิทธิผลของกระเจี๊ยบเขียวในห้องทดลองแล้วพบว่า กระเจี๊ยบเขียวอาจมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะสารฟลาโวนอยด์ และสารประกอบกลุ่มฟีนอลส่วนอีกงานวิจัยที่ศึกษาถึงการต้านอนุมูลอิสระของกระเจี๊ยบเขียวในห้องทดลองด้วยการวิเคราะห์ความสามารถในการทำลายและต้านสารอนุมูลอิสระ พบว่า สารสกัดจากฝักและเมล็ดของกระเจี๊ยบเขียวอาจมีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ โดยเฉพาะสารสกัดจากส่วนเมล็ด


5.ในปี 2011 มีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ซาอุดีฯ ในหัวข้อความสามารถของกระเจี๊ยบเขียวในการป้องกันโรคไต กระเจี๊ยบเขียวถูกพบว่าสามารถป้องกันการต่อต้านปฏิกิริยาทางเคมีที่มีส่วนในการทำลายไตได้ เพราะการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ


6.มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย ทำให้ถ่ายอุจจาระได้คล่องและป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี


7.กระเจี๊ยบเขียวมีโฟเลตสูง หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์และช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงได้


8.การรับประทานฝักกระเจี๊ยบเป็นประจำสามารถช่วยบำรุงตับได้


9.แก้อาการกรดไหลย้อน โดยนำฝักกระเจี๊ยบไปต้มในน้ำเกลือ


10.ช่วยแก้อาการหวัด รักษาโรคหวัด


11.ช่วยป้องกันอาการหลอดเลือดตีบตัน


หมายเหตุ : อย่างไรก็ตาม การศึกษาดังกล่าวเป็นเพียงงานวิจัยขนาดเล็กที่ค้นคว้าในห้องทดลองเท่านั้น ควรศึกษาทดลองเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อไป





เผยแพร่: 9 ธ.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

86
สธ. เผย งาน Bike อุ่นไอรัก มีผู้ขอรับบริการทางการแพทย์ 3.2 หมื่นราย ส่วนใหญ่เกิดอุบัติเหตุ เป็นลม ระบุ คนอาการหนักต้องส่งโรงพยาบาล 129 ราย มีผู้เสียชีวิต 2 ราย


วันนี้ (10 ธ.ค.) กองสาธารณสุขฉุกเฉิน (สธฉ.) สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สรุปข้อมูลการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข กิจกรรมปั่นจักรยาน Bike อุ่นไอรัก ทั่วประเทศ โดยระบุว่า มีการตั้งจุดปฐมพยาบาลทั้งหมด 746 จุดหน่วยปฐมพยาบาล 1,014 หน่วย ขณะที่จำนวนรถพยาบาลฉุกเฉินมีทั้งหมด 3,240 คัน เป็นรถพยาบาลฉุกเฉินระดับสูง (ALS) 540 คัน รถพยาบาลฉุกเฉินขั้นต้น (BLS) 622 คันมอเตอร์ไซค์ (Motorlance) 650 คัน และจักรยาน 1,428 คัน ใช้บุคลากรทางการแพทย์ทั้งสิ้น 12,695 คน เป็นแพทย์ 428 คน พยาบาล 2,660 คน เจ้าหน้าที่เวชกิจฉุกเฉิน (EMT) 910 คน เจ้าหน้าที่อื่นๆ 4,483 คน และจิตอาสา 4,214 คน


สำหรับจำนวนผู้มารับบริการทางการแพทย์รวม 32,486 ราย จากประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด 536,390 ราย แบ่งเป็นปฐมพยาบาล 38,555 ราย โดยแจกยาดม/แอมโมเนีย 17,425 ราย ทำแผล 259 ราย ขอยา 2,639 ราย และบริการอื่นๆ 18,232 ราย มีอาการรวม 1,487 ราย แบ่งเป็น เป็นลม 206 ราย ตะคริว 191 ราย อุบัติเหตุ 222 ราย อื่นๆ 868 รายตรวจโรคและรักษาไม่นำส่งโรงพยาบาล 3,918 ราย นำส่งโรงพยาบาล 129 ราย มีผู้เสียชีวิต 2 ราย




เผยแพร่: 10 ธ.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

87
เทรนด์ดูแลสุขภาพยังคงมาแรง โดยเฉพาะการวิ่ง ทั้งวิ่งออกกำลังกายปกติ ไปจนถึงวิ่งมาราธอน หรือไตรกีฬา ประโยชน์ที่ได้จากการวิ่งมีมากมาย นอกจากจะช่วยส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพดี กล้ามเนื้อแข็งแรง สร้างความสมส่วนให้กับร่างกาย


การออกกำลังกายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพดีอย่างยืนยาว เหมือนการวิ่ง เป็นกีฬาที่ทุกคนสามารถทำได้ทุกวัน ทุกเวลา ทุกเพศทุกวัย สามารถวิ่งออกกำลังกายให้ร่างกายได้เผาผลาญพลังงาน บริหารหัวใจและปอดให้เลือดลมสูบฉีด ส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ในร่างกายได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ สร้างความสมส่วนให้กับร่างกายและเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสมบูรณ์ ทุกคนควรยึดหลัก 10 อ. ไว้เพื่อช่วยให้เรามีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่แข็งแรง


1.ไม่อ้วน ดูแลหุ่น ร่างกายให้ดี


2.อาหาร เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่


3.ออกกำลังกาย ควรออกกำลังอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน หรืออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์


4.สารอันตราย  ควรหลีกเลี่ยงสารอันตราย อาทิ บุหรี่ ควันพิษ ยาเสพติด


5.เลี่ยงกิจกรรมอันตราย เช่น อุบัติเหตุ พยายามลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นรวมไปถึงหาแนวทางป้องกัน


6.อย่าอดนอน  การนอนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของร่างกาย เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเป็นการพักผ่อน ซึ่งควรนอนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพราะหากคุณอดนอนแล้ว ร่างกายจะเพลีย ไม่สดชื่น มีผลกระทบกับเวลาทำงาน


7.เช็กอัพ ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี


8.อารมณ์  ควรทำให้อารมณ์ดี สุขภาพจิตดีอยู่เสมอ เพราะในปัจจุบันคนทั่วไปมีความเครียดสะสม ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตและส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายตามมา


9.ติดอาวุธให้ร่างกาย  อาวุธในที่นี้ หมายถึง การเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย อาทิ  การฉีดวัคซีน ทานวิตามินเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย


10.จิตอาสา เมื่อมีสุขภาพกายและใจที่ดีแล้ว เราควรเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม กิจกรรมอาสา เพื่อส่งเสริมทั้งสุขภาพของเราและพัฒนาชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน





05 ธ.ค. 61 ขอขอบคุณ  ข้อมูล :นาวาอากาศเอก(พิเศษ) นพ.ไพศาล จันทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส โรงพยาบาลกรุงเทพ สายกิจกรรมพิเศษ






88
“อัจฉริยะ” พาแม่ ลูกสาว “ช่อลัดดา” เหยื่อถูกสาดน้ำกรดดับ ขอบคุณ สบส. ดำเนินคดี รพ.พระราม 2 รวดเร็ว เป็นธรรม เป็นบทเรียน รพ.เอกชน ต้องมีคุณภาพในการรักษา พร้อมมอบเงิน 1.04 ล้านบาท ให้ลูกสาวเหยื่อเป็นทุนการศึกษา ด้านลูกสาวขอบคุณให้ความเป็นธรรม


วันนี้ (4 ธ.ค.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมด้วยครอบครัวของ น.ส.ช่อลัดดา ทาระวัน เหยื่อสาวที่ถูกสามีสาดน้ำกรด และเสียชีวิตหลังโรงพยาบาลพระราม 2 ส่งต่อไปรักษา รพ.เอกชนอีกแห่งหนึ่ง ประกอบด้วย นางทองอาด ทาระวัน มารดาของ น.ส.ช่อลัดดา และลูกสาวของ น.ส.ช่อลัดดา เดินทางมายังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เพื่อมอบกระเช้าขอบคุณที่เร่งรัดดำเนินคดี รพ.พระราม 2 ส่งต่อ น.ส.ช่อลัดดา โดยมี นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดี สบส. เป็นผู้รับมอบ โดยลูกสาวของ น.ส.ช่อลัดดา กล่าวสั้นๆ ว่า ขอบคุณที่ให้การช่วยเหลือเรื่องแม่ของตน


นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนและครอบครัว น.ส.ช่อลัดดา ต้องการมาขอบคุณทาง สบส. ที่ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว น.ส.ช่อลัดดา ซึ่งต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และเป็นตัวอย่างของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในการบังคับใช้กฎหมาย โดยความบริสุทธิ์ยุติธรรม และรวดเร็ว ต้องบอกว่านี่เป็นคดีแรกของประเทศไทย ในการใช้เวลาไม่นานในการพิสูจน์ความจริง ว่า รพ.เอกชน จะเปิดโรงพยาบาลได้ต้องมีความพร้อมทั้งแพทย์ บุคลากร ระบบการรักษา การส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาโรงพยาบาลอื่น เพราะวันนั้นหาก รพ.พระราม 2 มีแพทย์ให้การรักษา น.ส.ช่อลัดดา ก็คงไม่เสียชีวิต วันนี้ก็คงเป็นบทเรียนสำคัญของ รพ.เอกชน นอกจากนี้ ยังขอให้ สบส. เป็นสักขีพยานในการมอบเงินจำนวน 1.04 ล้านบาท ให้กับลูกสาวของ น.ส.ช่อลัดดา ซึ่งเป็นเงินที่ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดให้ประชาชนร่วมกันบริจากเพื่อช่วยเหลือน้อง หลังจากที่มารดาได้เสียชีวิตลง โดยเงินทั้งหมด น.ส.นงลักษณ์ สนิทเชื้อ ป้าของน้องจะเป็นผู้บริหารจัดการเพื่อเป็นทุนการศึกษา และแบ่งใช้จ่ายเดือนละ 7,000 บาท โดยทางชมรมฯ จะไม่เข้าไปยุ่งกับเงินจำนวนนี้ ส่วนตัวน้องได้ย้ายไปอยู่กับนางทองอาด ที่ จ.ขอนแก่น แล้ว


ด้าน นพ.ภานุวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับเรื่องคดีความทางนิติกรของ สบส. ก็ได้ดำเนินการแจ้งความเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อยู่ในกระบวนการของผู้ถูกกล่าวหาต้องไปให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ส่วนเรื่องการตรวจสอบมาตรฐานโรงพยาบาลพระราม 2 นั้น ได้สั่งการให้โรงพยาบาลปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่ยังไม่ได้มาตรฐานก่อนจะลงไปตรวจสอบมาตรฐานอีกครั้ง ทั้งนี้ ขอย้ำเป็นภารกิจหลักของ สบส. ที่จะคุ้มครองประชาชนให้ได้รับการดูแล รักษาจากสถานะพยาบาลที่มีคุณภาพ ภายใต้ พ.ร.บ. สถานพยาบาล ขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยเป็นหูเป็นตา กรมเองก็จะพยายามดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายในเชิงรุก




เผยแพร่: 4 ธ.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

89
“หมอปิยะสกล” นำทีมชาว สธ. ประกาศต่อต้านการทุจริต เผย สำนักงานปลัด สธ. รับรางวัลโปร่งใสที่ 1 ระดับประเทศ เชื่อพัฒนา รพ. ไปข้างหน้า ดูแลประชาชนได้ดี แต่ยอมรับทำให้พึงพอใจทุกคนเป็นเรื่องยาก พยายามทำให้ทุกคนพึงพอใจมากที่สุด


วันนี้ (6 ธ.ค.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย ผู้บริหาร ข้าราชการ และ เจ้าหน้าที่ สธ. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริตของ สธ. เนื่องในวันต่อต้านการคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “กระทรวงสาธารณสุข ไม่ทนต่อการทุจริต” พร้อมมอบโล่เกียรติคุณหน่วยงานในสังกัดผ่านการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ปีงบประมาณ 2561 ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมสุขภาพจิต กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. รพ.บ้านแพ้ว สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และองค์การเภสัชกรรม


นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า เป็นการพัฒนาที่ดีขึ้นทุกๆ ปี อย่างสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้รับรางวัลที่ 1 ระดับประเทศ รางวัลองค์กรที่มีความโปร่งใส 2 ปีซ้อน ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขดูแล รพ.ทั้งประเทศ คิดว่าถ้าโปร่งใสได้อย่างนี้ และพัฒนาไปเรื่อยๆ รพ.ทุกระดับ ทุกอย่างจะสามารถทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้โดยแท้ รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ทุกหน่วยงานก็ถือว่าคะแนนสูงมาก และดีขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริหารแต่ละหน่วยงานมุ่งมั่นทำให้มีความโปร่งใส เพื่อประโยชน์ของประชาชน


นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีนักการเมืองเดินสายรับฟังชาวบ้านแล้วชาวบ้านสะท้อนปัญหาเรื่องการเข้ารับบริการใน รพ. เรียนว่า การบริการใน รพ.รัฐ ประชาชนคนไทยทุกคนเข้ามารับบริการจำนวนมหาศาล เป็นการยากที่จะทำให้ทุกคนพอใจ แต่เราพยายามทำให้ดีที่สุด อะไรก็ตามที่เป็นความขัดข้องของประชาชนเราก็น้อมรับที่จะนำไปพัฒนาต่อไป ตลอดเวลา แน่นอนว่าการทำให้ทุกคนพึงพอใจทั้งหมดเป็นเรื่องยาก แต่จะทำให้ทุกคนได้รับความพึงพอใจให้มากที่สุด






เผยแพร่: 6 ธ.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

90
“หมอปิยะสกล” มอบรางวัลศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพฯ ดีเด่นปี 2560 รพ.กำแพงเพชร คว้าอันดับ 1 ระดับ รพศ./รพท. ขณะที่ รพ.ละงู จ.สตูล คว้าอันดับหนึ่ง ระดับ รพช. ผลงานเยี่ยมคุ้มครองสิทธิประชาชน ช่วยลดความขัดแย้งในระบบสุขภาพ พร้อมเปิดประชุมเครือข่ายคุ้มครองสิทธิ ปี 2562 แลกเปลี่ยน เรียนรู้ สู่การพัฒนา


ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ หลักสี่ กรุงเทพฯ - ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดการสัมมนาเครือข่ายคุ้มครองสิทธิ ประจำปี 2562 พร้อมมอบรางวัลศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพและการจัดการความขัดแย้งในหน่วยบริการดีเด่นประจำปี 2560 จัดโดยความร่วมมือศูนย์สันติวิธีสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 500 คน ประกอบด้วย ผู้รับผิดชอบงานรับเรื่องร้องเรียนและงานคุณภาพบริการในหน่วยบริการ, เจ้าหน้าที่งานรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองสิทธิใน สสจ. สำนักงานเขตสุขภาพ, ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนและหน่วยรับเรื่องร้องเรียนเป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียน เป็นต้น


ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า หลักการสำคัญของการสร้างหลักประกันสุขภาพ คือการพัฒนาระบบคุณภาพการบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานด้วยความมั่นใจ แต่ในขณะเดียวกันผู้ให้บริการต้องมีความสุข ส่วนหนึ่งที่ทำให้หลักการนี้บรรลุเป้าหมายได้ คือการพัฒนาระบบรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติด้วยกลวิธีและรูปแบบการดำเนินงานต่างๆ โดยพัฒนามาตรฐานการดำเนินงาน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อาทิ หน่วยบริการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานเขตสุขภาพ หน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียน ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน กลไกประสานงานภาคประชาชนระดับเขต และ สปสช.


รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของไทยที่ปัจจุบันนี้เดินหน้ามาเป็นปีที่ 17 แล้วนั้น ได้เป็นตัวอย่างแก่นานาชาติในการเป็นต้นแบบประเทศกำลังพัฒนาที่สร้างหลักประกันสุขภาพให้ประชาชนได้ ซึ่งการพัฒนามีความก้าวหน้ามาตามอย่างต่อเนื่อง ทั้งระบบหลักประกันสุขภาพและระบบบริการสาธารณสุข ซึ่งมีความร่วมมืออย่างดีระหว่างกระทรวงสาธารณสุข สปสช. เครือข่ายภาครัฐและเอกชน แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการคุ้มครองสิทธิของประชาชน หากทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ การดำเนินการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติก็ถือว่าไม่ประสบผลสำเร็จเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาก ผู้ที่เรื่องนี้ได้ต้องมีศักยภาพ มีความเห็นอกเห็นใจระหว่างกัน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข


“ปัจจุบันศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการได้มีการจัดตั้งอยู่ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อดูแลและคุ้มครองสิทธิประชาชนให้เข้าถึงบริการ แก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ทั้งเป็นกลไกที่ช่วยลดความขัดแย้งในระบบสุขภาพ โรงพยาบาลที่ได้รับมอบรางวัลในวันนี้ต่างได้พัฒนารูปแบบการดำเนินงานของศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นต้นแบบให้โรงพยาบาลอื่นๆ ได้เรียนรู้เพื่อปรับปรุงและพัฒนาศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการตนเองต่อไป” รมว.สาธารณสุข กล่าว


ด้าน นพ.ชาตรี บานชื่น ประธานกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข กล่าวว่า สิ่งที่คณะกรรมการควบคุมคุณภาพฯ ได้รับผิดชอบ 2 เรื่องสำคัญก็คือเรื่องมาตรา 41 ที่จะช่วยเหลือเบื้องต้นให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล อีกส่วนหนึ่งคือการพัฒนา root cause analysis หรือการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา โดยสิ่งสำคัญคือการหาปัจจัยที่เป็นพื้นฐานของความคลาดเคลื่อน เพื่อจะนำไปสู่การพัฒนาที่ดีขึ้น อีกองค์กรหนึ่งที่สำคัญคือคณะอนุกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานในระดับเขต ซึ่งเหล่านี้คือหน่วยงานที่จะรับเรื่องกลับไปใช้ในการพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการสาธารณสุข


“ฉะนั้นหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมคุณภาพฯ เราไม่ได้ไปทำหน้าที่แบบควบคุม แต่เราเข้าไปจับถูกมากกว่าจับผิด เราเข้าไปช่วยให้เครือข่ายของเราได้ร่วมกันพัฒนาระบบสาธารณสุข ตลอดกว่า 10 ปี ที่มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทิศทางการพัฒนาก็ยั่งยืนขึ้นเรื่อยๆ แต่เรายังมีการบ้านที่ต้องทำต่อเพื่อให้จุดอ่อนที่อาจจะยังมีบ้างให้ประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น” นพ.ชาตรี กล่าว


นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา สปสช.ได้ให้ความสำคัญต่องานคุ้มครองสิทธิมาโดยตลอด และจากความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินงานของศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการทั่วประเทศ ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคให้ผู้ป่วยที่เข้าไม่ถึงสิทธิ ให้เข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุข แต่ด้วยกระบวนการที่เน้นสร้างความเข้าใจยังลดความขัดแย้งระหว่างผู้ป่วยและผู้ให้บริการในระบบสุขภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีความเข้มแข็งและยั่งยืน ปัจจุบันมี ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการ 885 แห่ง เพื่อให้เข้าถึงสิทธิและบริการ เคารพถึงสิทธิ


เลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงาน ได้มีการคัดเลือกศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพที่มีผลงานดีเด่น เข้ารับมอบรางวัลศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพและการบริหารจัดการความขัดแย้งในหน่วยบริการดีเด่น ระดับประเทศ ประจำปี 2560” โดยประเภทโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป 3 อันดับ คือ 1.โรงพยาบาลกำแพงเพชร 2.โรงพยาบาลสตูล และ 3.โรงพยาบาลพระนครศรีอยุทธยา ส่วนประเภทโรงพยาบาลชุมชน 3 อันดับ คือ 1.โรงพยาบาลละงู จ.สตูล 2.โรงพยาบาลแม่สรวย จ.เชียงราย และ 3.โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น จ.นครปฐม นอกจากนี้ยังมีศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพฯ ในหน่วยบริการที่ได้รับรางวัลในระดับเขตด้วย


เผยแพร่: 3 ธ.ค. 2561   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 20