แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - patchanok3166

หน้า: 1 ... 16 17 [18] 19 20
256
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ชวนประชาชนกินผัก ผลไม้กลุ่มที่มีสรรพคุณต้านตะคริว หลังพบเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาการเสียชีวิตจากการจมน้ำ เกิดจากอาการตะคริว

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ฤดูร้อนจะพบข่าวการจมน้ำเสียชีวิตบ่อย ๆ เนื่องจากการลงเล่นน้ำในแม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง ถือว่าเป็นวิธีการช่วยดับความร้อนอีกได้อีกวิธีหนึ่ง จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2561 ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 22 มีนาคม 2561 ช่วงระยะเวลาแค่เดือนกว่าๆ พบเด็กจมน้ำเสียชีวิตแล้ว 26 ราย สาเหตุของการจมน้ำส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการเป็นตะคริวใต้น้ำ อาการตะคริวคือ การเกร็งตัว ทำให้มีอาการปวดและเป็นก้อนแข็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดฉับพลันและเป็นอยู่เพียงชั่วขณะก็จะทุเลาไปได้เอง อาจเกิดที่กล้ามเนื้อส่วนใดๆ ของร่างกายก็ได้ แต่ที่พบบ่อย ได้แก่ กล้ามเนื้อน่องและต้นขา อาจมีอาการขณะออกกำลังกาย ขณะเดิน ขณะนั่งพักหรือนอนก็ได้ พบได้ทุกวัย ส่วนตะคริวที่เป็นตอนกลางคืนพบบ่อยในคนวัยกลางคนและสูงอายุ สาเหตุการเกิดอาการตะคริวไม่ทราบแน่ชัด แต่มักเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป การออกกำลังกายที่ใช้แรงหรือออกกำลังกายติดต่อกันนานๆ เช่น วิ่งทางไกล ว่ายน้ำ เล่นกีฬา หรือเกิดจากภาวะเกลือแร่ เช่น โซเดียม โพแตสเซียม แคลเซียม แมกเนเซียม ในเลือดต่ำ ภาวะการณ์ตั้งครรภ์ร่างกายขาดแคลเซียม หรือการใช้ยาขับปัสาวะ ยาขยายหลอดลม ก็ส่งผลต่อการเกิดตะคริวได้

ทางที่ดีการเตรียมความพร้อมของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ถือว่าเป็นความไม่ประมาท ซึ่งทำได้หลายวิธี ในที่นี้จะแนะนำให้เห็นประโยชน์ของการบริโภคผัก ผลไม้ กลุ่มที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย เพิ่มเกลือแร่ให้ร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการตะคริวได้อีกทางหนึ่ง ได้แก่ กลุ่มสมุนไพรที่มีสารโพแทสเซียม แมกนีเซียมและแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ มะเขือเทศ ส้ม แคนตาลูป รวมถึงผักต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย มีส่วนช่วยเสริมเกลือแร่ให้เพียงพอ  ลดความเสี่ยงต่อการจมน้ำเสียชีวิตในหน้าร้อนได้ และเมื่อเกิดอาการตะคริวการช่วยเหลือในเบื้องต้น คือ การยืดเหยียดบริเวณที่ปวดเป็นก้อนที่เกิดจากกล้ามเนื้อ หดเกร็ง โดยใช้น้ำมันไพลหรือสมุนไพรฤทธิ์ร้อนซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันไพลแบบที่ใช้ง่าย สะดวก รูปแบบสเปรย์ฉีดพ่น นวดเบาๆ จะช่วยคลายกล้ามเนื้อได้ดี

การรับประทานผลไม้ดังกล่าวให้ได้ผลดี ควรเลือกรับประทาน "กล้วยน้ำว้าห่าม" ที่มีรสฝาดออกหวาน จะช่วยบำรุงร่างกาย เนื่องจากกล้วยห่ามมีแคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียมสูง สรรพคุณช่วยชดเชยโพแทสเซียมแก่ร่างกายมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อกล้วยเป็นผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงซึ่งจะถูกย่อยและดูดซึมได้อย่างรวดเร็วช่วยเพิ่มกากใยที่ช่วยในการขับถ่ายรวมทั้งเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้จึงควรรับประทานกล้วย วันละ 2-4 ผล เพื่อป้องกันภาวะขาดเกลือแร่จนเป็นสาเหตุของตะคริว ไม่แนะนำในกลุ่มป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งอาจต้องควบคุมปริมาณการรับประทานตามแพทย์สั่ง



21 เม.ย. 61 ข้อมูล :กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

257
การเปิดปาก บอกอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด ไม่ได้หมายถึงแค่บอกสุขภาพฟัน หรือบอกทัศนคติเมื่อคุณเปิดปากพูด แต่หมายถึง ภายในช่องปากของคุณ สามารถบอกโรคภัยหรือสุขภาพร่างกายของคุณได้แบบแม่นๆ ด้วย

แซลลี เครม (Sally Cram) ทันตแพทย์จากสมาคมทันตกรรมอเมริกันกล่าวว่า “ระบบร่างกายทั้งหมดล้วนเชื่อมโยงกัน บางอย่างที่คุณเห็นในช่องปาก สามารถเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า อาจมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นในร่างกาย” ซึ่งมีตั้งแต่โรคอย่างเบาหวาน กรดไหลย้อน ไปจนถึงโรคที่รุนแรงจนคุณนึกไม่ถึง

และนี่คือโรคที่ทันตแพทย์ของคุณสามารถสังเกตได้จากช่องปาก

1.เบาหวาน (Diabetes) แทบไม่มีส่วนใดของร่างกายหนีผลกระทบจากเบาหวานไปได้ ในช่องปากของคุณก็เช่นกัน สิ่งบ่งชี้ที่โดดเด่นของโรคนี้ก็คือ ลมหายใจซึ่งจะออกมามีกลิ่นคล้ายผลไม้ อันเป็นผลมาจากร่างกายเผาผลาญไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทนน้ำตาล นอกจากนี้ผู้เป็นเบาหวานยังมีความเสี่ยงสูงที่จะมีภาวะปริทันต์อักเสบ ซึ่งมีอาการเหงือกบวม เจ็บ และมีเลือดออก รวมไปถึงอาการอย่างโรคเริมที่ริมฝีปากและปากแห้ง อันเป็นผลจากการติดเชื้อราในปากและลำคอ (อันที่จริงเชื้อเหล่านี้มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว แต่อาการของเบาหวานทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เชื้อจึงขยายตัวและลุกลามได้ง่าย)

2.กรดไหลย้อน (Gerd) อาการกรดไหลย้อน เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการเสียดท้อง แสบหน้าอก กรดที่ไหลกลับขึ้นมายังนำไปสู่กลิ่นปาก แผลเปื่อยและปากแห้งรวมถึงกรดยังทำร้ายเคลือบฟันของคุณให้กร่อนได้ด้วย อันที่จริงอาการกรดไหลย้อนนั้นระบุด้วยการสังเกตอย่างเดียวทำได้ยาก แต่ทันตแพทย์จะบอกคุณได้ชัดเจนมากขึ้น หากรู้ว่าคุณกำลังทานยาอะไรอยู่ในช่วงนั้น ดังนั้นจะเป็นการดีหากบอกหมอว่า คุณกำลังทานยาตัวไหนอยู่ แม้จะไม่ใช่ยาที่แพทย์สั่งจ่ายก็ตาม

3.มะเร็ง หมอฟันไม่ใช่แค่ตรวจได้ว่าคุณมีฟันผุหรือใช้ไหมขัดฟันได้ถูกต้องหรือเปล่าเท่านั้น แต่ยังสามารถสังเกตอาการที่บ่งชี้ถึงโรคมะเร็งได้ด้วย ไม่ว่าจะมะเร็งส่วนศีรษะ คอ ภายในช่องปากและลำคอด้านใน โดยคุณหมอจะสังเกตความผิดปกติจากจุดสีแดงหรือขาว บาดแผล ตุ่ม ก้อน อาการบวม ที่เป็นสัญญาณผิดปกติภายในช่องปากและส่วนแก้ม รวมถึงยังสามารถสังเกตต่อมน้ำเหลือบริเวณคอ ซึ่งสะท้อนอาการเจ็บป่วยได้ในหลายกรณี รวมถึงโรคมะเร็งด้วย ดังนั้น หากคุณไปหาหมอฟัน ก็สามารถพูดคุยถึงความผิดปกติต่างๆ ในช่องปากที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะหากอาการนั้นกินระยะเวลาเกินสองสัปดาห์ขึ้นไป

44.กระดูกพรุน (Osteoporosis) กระดูกพรุนคือการที่มวลกระดูกบางลง เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อาการของกระดูกพรุนไม่ได้มีการเดินหลังค่อมแบบคนแก่เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงกระดูกส่วนขากรรไกรที่เป็นรากฐานของฟันคุณด้วย ดังนั้นหากใครทีมีอาการเหงือกร่น ฟันโยก โดยไม่มีอาการปริทันต์ใดๆ นั่นเป็นข้อสังเกตว่า คุณอาจเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งเรื่องนี้เครื่องเอ็กซเรย์ทางทันตกรรมสามารถใช้ตรวจหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ เพื่อนำไปสู่การรักษากระดูกที่ถูกต้องต่อไป

5.ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเอดส์ (HIV หรือ AIDS) ฟังดูร้ายแรงจนน่าตกใจ แต่ความจริงก็คือ ผู้ที่มีอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่องจะมีอาการที่บ่งชี้ได้จากภายในช่องปากเยอะมาก ตั้งแต่เชื้อราในปากและลำคอ คล้ายกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน การมีฝ้าขาวบริเวณลิ้น ปากแห้ง (ซึ่งอาจนำไปสู่อาการฟันผุได้) โรคเริมที่ริมฝีปาก โรคเหงือก โรคติดเชื้อเอชพีวี ซึ่งไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งที่ศีรษะและลำคอ นอกจากนี้ ผู้ที่มีเชื้อ HIV ยังอาจมีภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งคาโปซิซาร์โคมา (Kaposi Sarcoma) มะเร็งผิวหนังชนิดหนึ่ง ซึ่งจะปรากฏรอยจุดสีม่วงหรือแดงขึ้นบนผิวหนัง รวมถึงภายในช่องปากด้วย

6กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s syndrome) คือกลุ่มโรคผิดปกติทางระบบภูมิคุ้มกัน อย่างเช่นโรคภูมิแพ้ตัวเอง ที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายกลับมาทำร้ายเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายเอง ผู้ป่วยจึงมีอาการปากแห้ง น้ำลายแห้ง เพราะต่อมน้ำลายถูกทำลาย รวมไปถึงยังมีอาการตาแห้ง แสบตาด้วย นอกจากนี้ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยในกลุ่มอาการโจเกรน ยังมักมีโรคข้ออักเสบชนิดรูห์มาตอยด์และโรคลูปัสร่วมด้วย จึงมักปัญหาเกี่ยวกับการกลืน การพูด และการรับรส สืบเนื่องจากความผิดปกติของส่วนข้อต่อขากรรไกร

7.แพ้กลูเตน (Coeliac Disease) กลูเตน เป็นโปรตีนที่มีอยู่ในพืชจำพวกข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์ คนที่มีอาการแพ้คือร่างกายไม่สามารถย่อยกลูเตนได้ หากทานเข้าไปก็จะก่อให้เกิดการระคายเคือง ส่งผลได้ตั้งแต่ลำไล้เล็ก มาจนถึงในช่องปาก ซึ่งทันตแพทย์สามารถสังเกตอาการได้ ไม่ว่าจะเป็นการมีแผลเปื่อยภายในปาก ปัญหาเคลือบฟัน ไปจนถึงลิ้นแห้งหรือแสบร้อน

8.โลหิตจาง (Anemia) คือภาวะที่เม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อยหรือทำงานผิดปกติ โดยทั่วไปอาการบ่งชี้ของโลหิตจางคืออ่อนเพลียง่าย ซึ่งอาจระบุเจาะจงได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ทันตแพทย์สามารถบอกคุณได้มากกว่านั้น เนื่องจากเนื้อเยื่อช่องปากมีความโปร่งใสมากกว่าเนื้อเยื่อผิวทั่วไป หมอจึงสามารถเห็นถึงสีที่ซีดจางของปากและลิ้น รวมถึงส่วนอื่นๆ ในช่องปากได้อย่างชัดเจนหากผู้ป่วยมีอาการโลหิตจาง

9.ไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease) ไต ทำหน้าที่กำจัดสิ่งสกปรกในร่างกาย หากไตทำงานผิดปกติ ย่อมก่อให้เกิดสารพิษสะสมในร่างกาย และส่งผลต่อระบบอวัยวะอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ในช่องปาก ผู้ที่มีปัญหาโรคไต มักมีลมหายใจกลิ่นคล้ายปัสสาวะหรือไม่ก็เป็นกลิ่นหวานเลี่ยน ปากแห้งอย่างผิดปกติ ซึ่งทันตแพทย์จะสังเกตและสอบถามคุณได้ทันที หากคุณมีอาการดังกล่าว
 

รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมไปหาหมอฟันกันด้วยนะ

18  เม.ย. 61 ข้อมูล :Health.com

258
ในอดีต การผ่าตัดบายพาสหัวใจเพื่อรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน จำเป็นต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมมาช่วยในการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจหยุดเต้น ส่งผลให้เกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด มีผลต่อระบบการทำงานของปอด ไต และสมอง ปัจจุบันการผ่าตัดรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน มีทางเลือกสำหรับผู้ป่วย หนึ่งในนั้นคือการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจแบบไม่ต้องหยุดหัวใจหรือการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump Coronary Artery Bypass Grafting) ทำให้หัวใจไม่ต้องหยุดเต้น ส่งผลดีกับผู้ป่วย ลดผลข้างเคียง ช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปมีคุณภาพชีวิตที่ดีในเร็ววัน เป็นวิธีการผ่าตัดที่น่าสนใจสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาหลอดเลือดหัวใจ

การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจหรือการทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump Coronary  Artery Bypass Grafting) คือ การผ่าตัดหัวใจในขณะที่หัวใจยังเต้นอยู่ โดยนำเครื่องมือเข้ามาเกาะยึดหัวใจให้หยุดนิ่งในตำแหน่งที่ทำการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจยังเต้นเป็นจังหวะ ข้อดีของการผ่าตัดบายพาส ด้วยเทคนิคหัวใจไม่หยุดเต้น (Off-Pump CABG) ที่หลายคนไม่รู้คือ

1. ลดอัตราการเสียชีวิต การผ่าตัดบายพาสหัวใจโดยใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมนั้น จำเป็นต้องหยุดหัวใจเพื่อที่จะใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนแทนปอด จากนั้นใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมปั๊มเลือดเข้าไปเลี้ยงร่างกายส่งผลให้ความดันโลหิตไม่เป็นไปตามปกติ จากที่ประมาณ 120/70 อาจจะอยู่ที่ประมาณ 60-65 เท่านั้น ดังนั้น ในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบในช่วงที่ทำการผ่าตัดบายพาสหากความดันโลหิตค่อนข้างต่ำ อาจส่งผลต่อระบบการหมุนเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ยิ่งในผู้สูงวัยที่มีเส้นเลือดในสมองตีบและเคยป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ การผ่าตัดบายพาสหัวใจโดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump CABG) นั้นเป็นผลดีต่อการรักษาอย่างมาก และยังช่วยลดโอกาสไตวายและการล้างไตในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่หัวใจบีบตัวไม่ค่อยดี

2. เสียเลือดน้อย ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดบายพาสแบบหัวใจหยุดเต้น (On-Pump CABG) หรือการผ่าตัดบายพาสแบบหัวใจไม่หยุดเต้น (Off-Pump CABG) จำเป็นจะต้องให้ยาละลายลิ่มเลือดขณะผ่าตัด (Heparin) ซึ่งหากทำการผ่าตัดแบบ Off-Pump CABG ที่ไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมจะใช้ยาละลายลิ่มเลือดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบOn-Pump CABG ที่ต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมถึง 3 เท่า ทำให้เสียเลือดน้อยกว่าถึง 70% และไม่ต้องให้เลือดเพิ่มในขณะผ่าตัด


3. ฟื้นตัวเร็ว เนื่องจากการผ่าตัดบายพาส ด้วยเทคนิคหัวใจไม่หยุดเต้น (Off-Pump CABG) ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีน้อยกว่ามาก เพราะหากเป็นการผ่าตัดบายพาสแบบหัวใจหยุดเต้น (On-Pump CABG) ที่ต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมจะมีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบทั่วร่างกาย เนื่องจากเลือดผ่านเครื่องปอดหัวใจเทียมเพื่อเพิ่มออกซิเจนแล้วกลับไปในตัวผู้ป่วยอีกครั้ง เลือดออกมากผิดปกติหลังผ่าตัด รวมถึงการฟื้นตัวและการทำงานของหัวใจอาจลดลงหลังผ่าตัด ดังนั้นหากผ่าตัดแบบ Off-Pump CABG ที่ไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมจะทำให้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้หมดไป และสามารถนำเครื่องช่วยหายใจออกจากผู้ป่วยได้ทันทีหลังจากผ่าตัดถึง 80% ในขณะที่การผ่าตัดแบบ On-Pump CABG ผู้ป่วยจะต้องใส่เครื่องช่วยหายใจหลังผ่าตัดอย่างน้อย 3 - 4 ชั่วโมง การนำเครื่องช่วยหายใจออกได้เร็วช่วยลดปัญหาแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น เพราะอวัยวะต่างๆ ทำงานตามปกติ กลับไปใช้ชีวิตได้เร็วยิ่งขึ้น

 

การผ่าตัดบายพาส ด้วยเทคนิคหัวใจไม่หยุดเต้น (Off-Pump CABG) ที่ในระยะยาวนั้นผลการรักษาไม่แตกต่างกับการผ่าตัดแบบหัวใจหยุดเต้น (On-Pump CABG) สิ่งสำคัญที่สุดคือ การผ่าตัดรักษากับแพทย์ที่มากด้วยประสบการณ์ทำให้การผ่าตัดรวดเร็วขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษา เพราะไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ป่วยด้วย รวมถึงความพร้อมของโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือในการรักษาแบบครบองค์รวม ย่อมช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ให้ผู้ป่วยมั่นใจในการรักษา การผ่าตัดได้ผลที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วย


18 เม.ย. 61     ข้อมูล :นพ.วิฑูรย์ ปิติเกื้อกูล รองผู้อำนวยการศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

259
แพทย์แนะกินอยู่รู้ทันป้องกันเบาหวาน

อธิบดีกรมการแพทย์ เผย โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หายและยังมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่โรคเบาหวานไม่น่ากลัวอย่างที่คิด หากรู้จักควบคุมเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่เครียด และหมั่นตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยลดเสี่ยงโรค


นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เบาหวานเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่ไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ตามปกติ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและถูกขับออกมาทางปัสสาวะ เนื่องจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินจากการที่ตับอ่อนผลิตไม่พอใช้หรือผลิตแล้วใช้ไม่ได้ตามปกติ เมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่นานจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ส่งผลทำให้หลอดเลือดเสื่อมเสียหายและทำลายอวัยวะส่วนปลายทาง เช่น ไต สมอง หัวใจ เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ความดันโลหิตและไขมันสูงร่วมด้วย

โดยปกติในกระแสเลือดของเราจะมีน้ำตาลอยู่ในระดับที่พอดีสำหรับการนำไปใช้คือ 70-120 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากระดับน้ำตาลในเลือดเกิน 180 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไตจะกรองน้ำตาลออกมาในปัสสาวะทำให้สามารถตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะได้ โรคเบาหวาน มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่พึ่งอินซูลินมักพบในเด็กหรือวัยรุ่น ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินทุกวันตลอดชีวิตถ้าขาดจะเป็นอันตรายได้ และชนิดที่ไม่พึ่งอินซูลินพบมากกว่าชนิดแรก ประมาณร้อยละ 90-95 ของคนไข้เบาหวาน มักพบในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 40 ปี

สำหรับอาการที่บ่งชี้ว่าเป็นโรคเบาหวาน เช่น ปัสสาวะบ่อยและมาก ปัสสาวะกลางคืน คอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก หิวบ่อย กินจุ แต่น้ำหนักลด ผอมลง อ่อนเพลีย เป็นแผลหรือฝีง่ายแต่หายยาก คันตามผิวหนังและอวัยวะสืบพันธุ์ ตาพร่ามัว ชาปลายมือปลายเท้าความรู้สึกทางเพศลดลง โดยมีสาเหตุมาจากภาวะน้ำหนักเกิน ความอ้วน ขาดการเคลื่อนไหวไม่ออกกำลังกาย และกรรมพันธุ์ มักพบโรคนี้ในผู้ที่มีบิดา มารดา เป็นเบาหวานลูกจะมีโอกาสเป็นเบาหวาน 6-10 เท่าของคนที่พ่อแม่เป็นเบาหวาน ความเครียดเรื้อรังทำให้อินซูลินทำงานนำน้ำตาลเข้าเนื้อเยื่อไม่เต็มที่ รวมถึงเชื้อโรคหรือยาบางชนิด เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองหรือต่อมหมวกไต เป็นต้น โรคเบาหวานถึงแม้ว่าจะเป็นโรคเรื้อรังและมีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง แต่ก็สามารถป้องกันได้โดยการควบคุมระดับน้ำตาลและปัจจัยเสี่ยง เช่น บริโภคอาหารที่สมดุลกับสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เครียด และตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้น

 

อธิบดีกรมการแพทย์ แนะ หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานควรเข้ารับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดจากสถานบริการรักษาพยาบาลพื้นฐาน โดยก่อนตรวจจะต้องงดอาหารทุกชนิดยกเว้นน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และควรดูแลสุขภาพเลือกรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีกากใยมากขึ้น เช่น ข้าวซ้อมมือ รับประทานผักให้มากขึ้นเน้นรับประทานประเภทผักใบ เช่น ผักกาดขาว คื่นฉ่าย ตำลึง คะน้า เป็นต้น นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส จะช่วยให้ห่างไกลโรคได้


18 เม.ย. 61 ข้อมูล :กรมการแพทย์

260
 ปัญหาลูกตื่นกลางดึก ไม่ยอมนอน ไม่ใช่เรื่องเล็กที่ควรมองข้าม เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพในเด็กที่ถ้าปล่อยไว้ไม่แก้ไขตั้งแต่แรกเริ่มจะกลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรัง และยังทำลายความสุขของทุกคนในครอบครัว  เนื่องจากถ้าเด็กหลับสนิทจะตื่นขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มกับความสดใส ร่าเริง กระฉับกระเฉง ไม่งอแงง่าย ตรงกันข้ามถ้านอนไม่หลับ กระสับกระส่ายตลอดคืน พฤติกรรมที่จะปรากฏชัดคืองอแง พูดอะไรไม่ฟัง สมาธิสั้น ซึ่งจะทำให้พ่อแม่และสมาชิกเข้าสู่ภาวะเครียดที่ต้องรับมือกับอารมณ์รุนแรงหลากหลายของเด็ก

     ที่สำคัญเมื่อนอนไม่พอหรือรู้สึกไม่สบายตัวจนต้องตื่นกลางดึกอยู่บ่อยๆ Growth Hormone ฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายของเด็กเจริญเติบโตจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งความไม่สดชื่น อารมณ์ที่แปรปรวนจากการนอนไม่พออาจส่งผลให้เด็กสมาธิสั้นไม่จดจ่อกับการเรียนรู้ทำให้พัฒนาการในแต่ละขวบวัยไม่ถูกกระตุ้นให้เติบโตถึงขีดสุด
ที่สำคัญเมื่อหลับๆ ตื่นๆ อาการหาวนอนระหว่างวันยังจะทำให้เด็กเบื่ออาหารจนพาลไม่อยากทำอะไรอีกด้วย
 

ปัญหาลูกนอนไม่หลับ ไม่รีบแก้ เรื่องใหญ่แน่

      สาเหตุของการตื่นกลางดึกของเด็กมีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน  อาทิ  จากความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย ปวดหัว เป็นไข้ ตัวร้อน บางรายอาจเป็นเพราะนอนกลางวันมากเกินไป รวมถึงไม่มีกิจกรรมให้เด็กได้ออกกำลังหรือเล่นซนจนเหนื่อย อีกหนึ่งสาเหตุใหญ่คือเรื่องของสิ่งแวดล้อมรอบตัว อากาศไม่ถ่ายเท ร้อนจัดหรือหนาวจัดเกินไปจนทำให้เด็กรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว หลายบ้านอาจจะเลือกควบคุมอุณหภูมิห้องด้วยการเปิดเครื่องปรับอากาศขณะลูกหลับเพราะคิดว่าจะทำให้อุณหภูมิสม่ำเสมอ แต่ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นจากการแก้ไขด้วยวิธีนี้คือลมจากเครื่องปรับอากาศที่มาปะทะตัวเด็กโดยตรงอาจทำให้ร่างกายสะสมความเย็นจนเกิดความไม่สบายตัวได้ ด้วยความที่สภาพร่างกายของเด็กจะบอบบางกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า

 เมื่อรู้ถึงสาเหตุ วิธีแก้ก็ไม่ยาก หากไม่ใช่จากอาการเจ็บป่วยทางร่างกายที่ต้องอาศัยเครื่องมือทางการแพทย์เข้าช่วย พ่อแม่และผู้ปกครองก็มีหน้าที่ในการส่งเด็กเข้านอนให้เป็นเวลา พร้อมกับสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลาย เล่านิทานให้ฟัง ปิดไฟให้มืดสนิท ถ้ากังวลว่าจะเงียบเกินไป แนะนำให้เปิดเพลงเบาๆ ที่มีเสียงประกอบธรรมชาติ อาทิ เสียงน้ำตก เสียงลม หรือเสียงนกร้องให้เขาฟังไปด้วย รวมถึงระหว่างวันอย่าให้เด็กนอนกลางวันนานเกินไป และแบ่งเวลาให้เขาได้ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาบ้างเพื่อให้ร่างกายต้องการการพักผ่อนอย่างเต็มที่

     การใส่ใจกับอุณหภูมิขณะเข้านอนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกสบายตัวจนหลับสนิท โดยอุณหภูมิที่เหมาะที่สุดคือ 25 องศา ไม่ร้อน ไม่หนาวจนเกินไป และควรเลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีโหมด Wind-Free Cooling   ให้ลมไม่ปะทะตัวลูกโดยตรงเพื่อป้องกันอาการเจ็บป่วย เนื่องจากเด็กยิ่งเล็กยิ่งต้องระวังเรื่องความเย็นที่พอดีเป็นพิเศษ

หนึ่งในตัวเลือกที่พ่อแม่หลายคนใช้แล้วยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าดีคือ เครื่องปรับอากาศเพื่อสุขภาพ Samsung Wind- Free เพราะกระจายความเย็น แบบลมไม่ปะทะตัว ถือเป็นหนึ่งเดียวจากเครื่องปรับอากาศซัมซุงพลังเย็นสบายกระจายทั่วห้องผ่าน 21000 micro holes อยู่มุมไหนของห้องก็กระจายความเย็น ไม่ใช่แค่การส่งความเย็นจุดใดจุดหนึ่งเหมือนเครื่องปรับอากาศทั่วไป จึงไม่ทำให้หนาวเป็นจุดจุด สร้างความรำคาญ กระตุ้นอาการภูมิแพ้ หรือทำให้รู้สึกไม่สบาย

      “กินอิ่ม นอนหลับ” ยังคงถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ แข็งแรงทั้งกายและใจ พร้อมกับมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ในทุกด้าน ดังนั้นอย่ามองข้ามความสุขพื้นฐานข้อนี้เด็ดขาด เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้ซับซ้อนหรือยุ่งยากอะไรเลย


19 เม.ย. 61 sanook.com

261
ปกติชอบนอนท่าไหนกันคะ? แล้วหลับสบายหรือเปล่า? ว่ากันว่าท่านอนสามารถบอกลักษณะนิสัยของคนเราได้ แต่นอกจากนั้นท่านอนยังอาจเป็นตัวกำหนดคุณภาพในการนอน รวมถึงคุณภาพชีวิตในแต่ละวันที่เหลือได้ด้วย เพราะหากนอนไม่ถูกท่าตลอดทั้งคืน ความปวดเมื่อยย่อมตามมาจนอาจรบกวนการใช้ชีวิตไปตลอดทั้งวันได้

แล้วแต่ละท่านอนมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร เราควรเลือกนอนท่าไหน มาดูกันเลยดีกว่า


1.นอนหงาย

นอนหงาย คือการนอนเอาแผ่นหลังแนบไปที่นอน เหยียดขาตรง แขนแนบข้างลำตัว หากคุณไม่มีปัญหาสุขภาพอะไรเป็นพิเศษ ท่านอนหงายดูจะเป็นท่านอนที่เหมาะสมที่สุด เพราะจะช่วยให้สรีระร่างกายอยู่ในแนวตรงไปตลอดทั้งคืน จึงป้องกันอาการปวดเมื่อยคอ และหลังได้ นอกจากนี้ใครที่เป็นผู้ป่วยโรคไหลย้อน รวมถึงใครที่อยากดูแลผิวพรรณให้เต่งตึงไร้ริ้วรอย รักษาหน้าอกให้อยู่ทรงสวย ต้องเลือกท่านอนหงายนี่แหละ แต่สรีระของคนที่มีสะโพกอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ เพราะมีช่องว่างระหว่างแผ่นหลังส่วนล่างเมื่อนอนแนบไปกับที่นอน ดังนั้นจึงแนะนำให้หาหมอนบางๆ มาหนุนบริเวณขาเล็กน้อย เพื่อให้แผ่นหลังแนบกับที่นอนได้สนิทมากขึ้น รู้สึกสบายมากขึ้น

2.นอนตะแคง


ท่านอนตะแคง คือการนอนเอาด้านข้างลำตัวแนบกับที่นอน ไม่ว่าจะเป็นด้านซ้ายหรือด้านขวา ตำแหน่งของแขน และขาแตกต่างกันไปตามแต่ละคน เป็นท่านอนอีกหนึ่งท่าที่หลายคนชอบ เพราะช่วยรักษาแนวกระดูกสันหลัง และคอให้ตรงตลอดทั้งคืนได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการกรน ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ และเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน และหญิงตั้งครรภ์อีกด้วย แต่ใบหน้าด้านที่แนบหมอนอาจมีความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยได้ และอาจจะต้องใช้หมอนบางๆ คั่นระหว่างเข่าทั้งสองข้าง เพื่อช่วยลดแรงกดบริเวณสะโพก ป้องกันอาการเมื่อยหลังได้

3.นอนขดตัว

การนอนขดตัว คือท่านอนตะแคงที่งอเข่าขึ้นมาชิดหน้าอก และก้มหน้า แม้ว่าจะดูว่าเป็นท่านอนที่ดูไม่ปกตินัก แต่ท่านี้ช่วยลดอาการนอนกรน และเหมาะกับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปสู่ทารกได้ดี และช่วยลดแรงกดของมดลูกลงสู่บริเวณตับได้ ท่านอนนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หรือผู้ป่วยพาร์กินสันด้วย เพราะมีงานวิจัยสนับสนุนว่าการนอนขดตัวช่วยให้ของเสียจากสมองที่ทำให้เกิดโรคในระบบประสาทถูกกำจัดออกไปได้ดีกว่าการนอนท่าอื่นๆ แต่ท่านอนขดตัวอาจเสี่ยงมีอาการปวดหลัง ปวดคอ เกิดริ้วรอยบใบหน้า รวมไปถึงหน้าอกหย่อนคล้อยด้วย และข้อควรระวังคือ ไม่ควรขดตัวจนหลัง และคอให้งอจนเกินไป เพื่อให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น

4.นอนคว่ำ

การนอนคว่ำ คือการนอนเอาลำตัวด้านหน้าแนบไปกับที่นอน โดยเอียงใบหน้าไปด้านข้างแนบกับหมอน แม้ว่าจะเป็นท่านอนที่เหมาะกับคนที่นอนกรน เพราะเป็นท่าที่ช่วยให้หายใจได้ค่อนข้างสะดวก แต่ก็เป็นท่านอนที่อาจเสี่ยงต่อการนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน เพราะอาจทำให้ไม่สบายตัวนัก โดยเฉพาะคอ และหลัง อาจต้องขยับร่างกายเปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ นอกจากนี้ยังเสี่ยงเกิดริ้วรอยบนใบหน้า รวมถึงหน้าอกหย่อนคล้อยได้ ดังนั้นอาจใช้หมอนนุ่มๆ ที่รับกับสรีระของตัวเองเพื่อช่วยให้การนอนท่านี้สบายมากยิ่งขึ้น

 

การเลือกท่านอนให้เหมาะสมกับสุขภาพของตัวเอง นอกจากลองเลือกท่านอนที่ช่วยแก้ปัญหาสุขภาพตามที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังสามารถลองเปลี่ยนท่านอนไปเรื่อยๆ เพื่อหาท่านอนที่เหมาะสมได้ด้วยตัวเองได้ เพราะท่านอนอาจจะขึ้นอยู่กับสรีระของแต่ละคน เช่น ผู้หญิงที่เนื้อสะโพกเยอะ (ก้นงอน) อาจจะนอนตะแคงข้างสบายว่านอนหงาย อย่างไรก็ตามหากมีปัญหาในการนอน ไม่ว่าจะนอนท่าไหนก็ไม่สบาย นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท เกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ นอนละเมอ หรือปัญหาอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขต่อไป





19 เม.ย. 61  ข้อมูล :พบแพทย์

262
ในเมืองไทยพบผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับมากถึง 14,000 คนต่อปี  มีอัตราการเป็นมะเร็งตับต่อ 100,000 ประชากรเป็นอันดับที่ 8 ของโลก ที่แย่ไปกว่านั้น ผู้ป่วยมะเร็งตับยังมีโอกาสรอดจากมะเร็งตับนั้นมีเพียง 13% เท่านั้น นั่นหมายความว่าผู้ป่วยมะเร็งตับมีโอกาสที่จะเสียชีวิตมากถึง 87% เลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่ามะเร็งตับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1



มะเร็งตับ มีสาเหตุมาจากอะไร?
ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุของมะเร็งตับ มาจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิต การดื่มกินอาหารของเราเองนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็น

- ดื่มแอลกอฮอล์จัด

- ทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ที่เสี่ยงต่อพยาธิใบไม้ตับ

- ทานอาหารที่อาจมีส่วนประกอบของดินประสิว เช่น ปลาร้า ปลาส้ม แหนม ไส้กรอก กุนเชียง เนื้อเค็ม

- ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี และซี โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วไม่ยอมไปรับการรักษา จนปล่อยให้ตับติดเชื้อเรื้อรัง ตับอักเสบเป็นเวลานานๆ

- รับสารพิษ “อะฟลาทอกซิน” เป็นเวลานาน (พบได้ในถั่วที่เก็บรักษาไม่ดี และอาหารแห้งอื่นๆ)

- รับสารเคมีบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น การรับฮอร์โมนเพศชายเป็นเวลานาน

- เป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หรือเป็นผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน/เป็นโรคอ้วน



สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็งตับ
สาเกตุที่โรคมะเร็งตับอันตราย และน่ากลัวกว่าที่เราคิด เพราะระยะแรกๆ จะยังไม่แสดงอาการอะไรเลย จนกระทั่งเริ่มมีอาการมากๆ ซึ่งสามารถสังเกตตัวเองได้ ดังนี้

1.ปวดท้องบริเวณท้องขวาส่วนบน

2.ท้องบวมขึ้น

3.น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

4.เบื่ออาหาร

5.อ่อนเพลีย

6.มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ

7.คลำพบก้อนที่บริเวณตับ (ท้องขวาส่วนบน)

8.ตัว และตาเหลือง


มะเร็งตับ มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง


การรักษาโรคมะเร็งตับ สามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาวะความรุนแรงของโรค  ขนาดและลักษณะของเซลล์มะเร็ง สุขภาพของผู้ป่วย และอื่นๆ

วิธีรักษาได้แก่ ผ่าตัด ฉายรังสี เคมีบำบัด และการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ (ขนาดก้อนในตับต้องน้อยกว่า 5 เซนติเมตร และผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 70 ปี)



20 เม.ย. 61   ข้อมูล :โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

263
 เปิดใจหนุ่มขับเก๋งสีขาวไม่ยอมหลบรถพยาบาล รับ ไม่ได้เปิดทางเพราะเปิดเพลงเสียงดัง แต่พอมองกระจกเห็น ก็หลบทางให้ พร้อมขอโทษทุกคนและครอบครัวผู้เสียชีวิต

          จากกรณีที่มีคลิปรถเก๋งสีขาวไม่ยอมหลบรถพยาบาล ที่กำลังบรรทุกผู้ป่วยขั้นโคม่า จนผู้ป่วยนั้นเสียชีวิตในภายหลัง (อ่านข่าว สุดทน จ่อเสนอเพิ่มโทษคนขับขวางรถฉุกเฉิน หลังทำคนไข้ดับเพราะคนขับไร้น้ำใจว่อน )

          ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2561 เว็บไซต์ สปริงนิวส์ รายงานว่า แฟนหนุ่มเจ้าของรถคันดังกล่าว ได้ยอมรับผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งว่า ตนเองเป็นคนขับรถในวันนั้น แฟนสาวไม่ได้นั่งมาด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่ได้หลบซ้ายเพื่อเปิดทาง เป็นเพราะเปิดเพลงเสียงดัง ไม่ได้ยินเสียง เมื่อมองกระจกหลังก็หลบซ้ายทันที

ต่อมาตนทราบว่า ผู้บาดเจ็บเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ก็ตกใจและรู้สึกไม่ดี ซึ่งที่พูดออกมาไม่ได้เป็นการรับผิดชอบแทนแฟนสาว สุดท้ายตนอยากจะขอโทษทุกคนและครอบครัวผู้เสียชีวิต

 20 เมษายน 2561  kapook.com

264
เรื่องการลักลอบขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (dietary supplement) ที่มีส่วนผสมของยาแผนปัจจุบัน โดยเฉพาะยาแผนปัจจุบันที่มีการยกเลิกหรือเพิกถอนทะเบียนตำรับยาไปแล้วเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก เพราะการยกเลิกหรือเพิกถอนทะเบียนตำรับยานั้นหมายถึงยานั้นมีสรรพคุณไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่จะได้รับเมื่อมีการใช้ยานั้น การนำมาผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นความเสี่ยงต่อผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ไซบรูทามีน (Sibutramine) เป็นยาที่เคยใช้อยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งในตลาดยา ในฐานะยาที่ใช้ควบคุมน้ำหนัก หากต่อมาพบว่า ยานี้มีผลข้างเคียงที่สำคัญและเป็นอันตรายคือผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เพราะข้อมูลการศึกษาทางคลินิก เพราะข้อมูลการศึกษาทางคลินิก (SCOUT : Sibutramine Cardiovascular OUTcome Trial) ชี้ให้เห็นว่า

ยาดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงต่อกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมองถึงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงน้ำหนักที่ลดลงของผู้ที่ได้รับยานี้กับผู้ที่ได้รับยาหลอกแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ทำให้บริษัทที่ผลิตยานี้เพิกถอนทะเบียนตำรับยาโดยสมัครใจ (เมื่อประมาณปลายปี 2553) จากเวลาดังกล่าวเกือบ 10 ปี ก็ยังมีปัญหาการปลอมปนผลิตภัณฑ์นี้ลงในสูตรผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการลดน้ำหนัก

การปลอมปนยาแผนปัจจุบันมีอยู่อย่างแพร่หลาย ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความมั่นใจและเพื่อให้เกิดผลจากการใช้ยา (ซึ่งปกติผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะไม่สามารถโฆษณาสรรพคุณด้านการรักษาหรือป้องกันโรคได้อยู่แล้ว) เมื่อผู้ใช้ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแล้วได้ผลก็จะเกิดการใช้ซ้ำและบอกกันปากต่อปาก แต่ผลร้ายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการปลอมปนนั้นเป็นความเสี่ยงที่ผู้บริโภคไม่อาจคาดการณ์ได้

ไหนๆ ก็พูดเรื่องทะเบียนยาแล้ว ก็ขออธิบายเสริมความเกี่ยวกับคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในวงการเภสัชสาธารณสุข 2 คำ คือ การเพิกถอนทะเบียนตำรับยา และการยกเลิกทะเบียนตำรับยา หลายครั้งพบว่ามีการใช้คำที่สับสนกันระหว่างการเพิกถอนทะเบียนตำรับยากับการยกเลิกทะเบียนตำรับยา ซึ่งทั้ง 2 คำนี้มีผลทางกฎหมายที่แตกต่างกันดังนี้ (ข้อเขียนอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหมายเลข 2)

1. การเพิกถอนทะเบียนตำรับยา เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง เพิกถอนทะเบียนตำรับยา ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ยาที่ถูกเพิกถอนทะเบียนตำรับยา ไม่สามารถผลิต ขาย หรือนำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรอีกต่อไป

2. การยกเลิกทะเบียนตำรับยา เมื่อทะเบียนตำรับยาถูกยกเลิกแล้ว ผู้รับอนุญาตผลิตยาและผู้รับอนุญาตให้นำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักรห้ามผลิตหรือห้ามนำเข้าอีกต่อไป แต่ยาที่ยกเลิกทะเบียนตำรับยานั้นยังสามารถขายได้ภายใน 6 เดือน สำหรับผู้รับอนุญาตขายยา ซึ่งทั้งผู้รับอนุญาตผลิตยาและผู้รับอนุญาตให้นำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักรก็ยังสามารถขายส่งยาดังกล่าวได้ภายใน 6 เดือนเช่นกัน เนื่องจากถือว่าเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขายส่งสำหรับยาที่ตนผลิตหรือนำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรด้วย แล้วแต่กรณี ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 15 วรรคสอง


18 เม.ย. 2561   โดย: MGR Online

265
เขาว่ากันว่า คนเราขับถ่ายทุกวัน จะดีต่อสุขภาพมากที่สุด แต่คุณเคยสังเกตระบบขับถ่ายของตัวเองกันบ้างหรือเปล่า? ยิ่งถ้าคุณขับถ่ายอุจจาระได้น้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์แล้วล่ะก็.. ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าตัวเองกำลัง “ท้องผูก” อยู่แน่นอน


ท้องผูก หมายถึง การที่ลำไส้ไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้ง่ายและสม่ำเสมอ โดยมีความถี่ของการขับถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ร่วมกับก้อนอุจจาระมีลักษณะแข็ง และยากต่อการขับถ่ายออกมา ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการรับประทานอาหารไม่สม่ำเสมอ และมีปริมาณเส้นใยไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ) ผู้ที่มีภาวะลำไส้แปรปรวน การใช้ยาบางชนิด และการใช้ยาระบายไม่ถูกต้อง

ท้องผูก..ดูแลตัวเองอย่างไรดี?
1. ควรดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย 1.5-2.0 ลิตร/วัน

2. ทานอาหารที่มีปริมาณเส้นใยให้เพียงพอ (20-35 กรัม/วัน)

3. ขยับ ออกกำลังกายเป็นประจำ

4. ฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลา

5. หลีกเลี่ยงการใช้ยาระบายต่อเนื่องยาวนานโดยไม่จำเป็น หรือถ้าหากจำเป็นต้องใช้ยา ก็ควรปรึกษาแพทย์เสียก่อน



06 เม.ย  61   ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

266
“ไส้ติ่งอักเสบ” เป็นอาการที่ไม่มีใครอยากเป็น และหลายคนทราบกันดีว่าเกิดจากอาการอักเสบของไส้ติ่ง ซึ่งเป็นอวัยวะส่วนเล็กๆ ติดกับลำไส้ วันดีคืนดีมีอาการอักเสบขึ้นมา เราก็ปวดท้องจนเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลกันอย่างด่วน และคนที่มีความเสี่ยงต่อไส้ติ่งอักเสบก็มีอายุตั้งแต่ 15-45 ปีเลยด้วยซ้ำ ถือว่าเป็นช่วงอายุที่ยาวพอสมควร

ก่อนจะมาดูว่าเม็ดฝรั่งเป็นตัวการของไส้ติ่งอักเสบหรือไม่ เรามาดูที่สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบกันก่อนดีกว่า

 

สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบ เกิดจากอาการอักเสบที่เกิดขึ้นจากเศษอาหารหลุดเข้าไปหมักหมมอยู่ในไส้ติ่งเป็นเวลานานจนของเหลวหรือสารคัดหลั่งไม่สามารถไหลเวียนเข้าไปได้ตามปกติ จึงเกิดอาการอักเสบ โดยสิ่งที่หลุดลงไปในไส้ติ่งจะเป็นอะไรก็ได้ที่ลำเลียงอยู่ในลำไส้ เช่น เศษอาหาร พยาธิ เนื้องอก หรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้นมีอาการบวมจนทำให้ไส้ติ่งอุดตัน อักเสบ หรือติดเชื้อ


เม็ดฝรั่ง สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ?

เมื่อทราบแล้วว่าอะไรก็ตามที่เข้าไปอุดตันไส้ติ่งจนทำให้อักเสบ ก็เป็นสาเหตุได้ทั้งนั้น ดังนั้นก็ไม่ได้มีเพียงแค่เม็ดฝรั่งเท่านั้นที่เป็นอันตรายต่อการอุดตันของไส้ติ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใดก็มีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ลักษณะของเม็ดฝรั่งมีขนาดและความแข็งพอดีกับการอุดตันของไส้ติ่งเล็กๆ ได้นั่นเอง


อาการของไส้ติ่งอักเสบ

อย่างที่หลายคนทราบกันว่าอาการของไส้ติ่งอักเสบมักมากับอาการปวดท้อง อาจจะไม่ได้ปวดท้องที่ตำแหน่งขวาล่างตั้งแต่แรก อาจจะปวดท้องรอบสะดือก่อน จากนั้น 6-12 ชั่วโมงต่อมาอาจจะเลื่อนมาปวดท้องบริเวณขวาล่าง แต่มีบ้างเช่นกันที่จะปวดบริเวณกลางท้อง หรือท้องส่วนขวาบน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของไส้ติ่งของแต่ละคนว่าอยู่ตรงไหน ยิ่งใครที่ปวดท้องรุนแรงมากทั้งด้านซ้ายขวา อาจมีความเป็นไปได้ว่าไส้ติ่งอาจจะอักเสบรุนแรนจนถึงขั้นเน่า เป็นฝี หรือแตกกระจายทั่วท้องจนเริ่มติดเชื้อ

แต่ก่อนจะปวดท้องจนต้องเข้ารับการผ่าตัดแบบปัจจุบันทันด่วน อาจมีสัญญาณเตือนเบาๆ ที่หลายคนอาจไม่ทราบ เช่น เบื่ออาหาร ทานข้าวไม่ลง คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว และมีไข้ แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าเกี่ยวกับอาการผิดปกติของไส้ติ่ง เลยทำให้ละเลยที่จะเข้าไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล


เพราะฉะนั้น หากใครไม่อยากเสี่ยงต่อไส้ติ่งอักเสบ นอกจากจะต้องทานอาหารโดยเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน หลีกเลี่ยงการทานอาหารแข็งๆ ที่ยากต่อการย่อยของกระเพาะอาหารแล้ว การตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจช่องท้อง และคอยสังเกตอาการ ความผิดปกติของตัวเองอยู่เรื่อยๆ ไม่ละเลยที่จะใส่ใจดูแลตัวเอง ก็ช่วยลดความเสี่ยงไส้ติ่งอักเสบได้เช่นกันค่ะ

09 เม.ย. 61 ข้อมูล :โรงพยาบาลวิภาวดี

267
สถาบันการแพทย์แผนไทย และ ม.รังสิต ตกลงร่วมมือวิจัยและพัฒนาตำรับยาไทยที่เข้ากัญชา ให้เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้โรงพยาบาลแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เป็นหนึ่งในศูนย์วิจัยทดลอง ทั้งในรูปแบบตำรับยาไทย สารสกัดในรูปแบบสเปรย์พ่น ควบคู่กับบูรณาการองค์ความรู้หลายด้าน



เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2561 เวลา 15.00 น. - 18.00 น. ที่ห้องประชุม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้มีการประชุมกัน 3 ฝ่ายระหว่างผู้แทนสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ สถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เรื่องความร่วมมือการวิจัยกัญชาในมนุษย์ตามตำรับยาแพทย์แผนไทย โดยในเบื้องต้นผลการประชุมสรุป มีดังนี้



1. ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันและยินดีที่จะร่วมมือกันในทางวิชาการเพื่อพัฒนาและวิจัยตำรับยาไทยที่เข้ากัญชา โดยมีความเห็นว่าจะต้องอาศัยความรู้ทางเภสัชศาสตร์ในด้านสมุนไพรยุคใหม่ เพื่อมาอธิบาย พัฒนา และผลิตตำรับยาไทยให้เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ควบคู่กับการรักษาแก่นแท้และรากฐานภูมิปัญญาไทยตามวัตถุประสงค์ในการรักษาของตำรับยาไทยเดิม


2. ยินดีในความร่วมมือจัดทำร่างโครงการวิจัย โดยจะใช้ “โรงพยาบาลแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก” ในการเป็นหนึ่งในศูนย์วิจัยการทดลองใน“มนุษย์” ทั้งในรูปแบบตำรับยาไทย สารสกัดกัญชาในรูปแบบสเปรย์พ่น ควบคู่กับบูรณาการองค์ความรู้หลายด้านจากภูมิปัญญาในอดีตและงานวิจัยยุคใหม่ในปัจจุบันเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน


3. ตั้งคณะทำงานร่วมกันประสาน 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้แทนสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข, ผู้แทนคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, และผู้แทนสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เพื่อประสานงานและยกร่างบันทึกความเข้าใจในการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข กับ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2561 นี้ เพื่อนำเสนอผู้บังคับบัญชาให้มีพิธีการลงนามอย่างเป็นทางการต่อไป


12 เม.ย. 2561   โดย: MGR Online

268
“โรคมะเร็งเต้านม” จัดได้ว่าเป็นมะเร็งร้ายอันดับหนึ่งของผู้หญิงทั่วโลก เพราะเป็นมะเร็งในผู้หญิงที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า มีผู้หญิงไทยป่วยเป็นมะเร็งเต้านมรายใหม่ประมาณ 13,000 คนต่อปีหรือ 35 คนต่อวัน ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นทุกปี

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด หากแต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่สัมพันธ์กับการเกิดโรค เช่น ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยเฉพาะหากครอบครัวมีญาติสายตรง เช่น มารดา พี่สาว น้องสาว เป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ มีคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านมหลายคน หรือมีญาติเคยเป็นมะเร็งเต้านมเมื่ออายุน้อย หรือเป็นมะเร็งเต้านมพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง

ปัจจัยด้านฮอร์โมนเพศคือ เริ่มมีประจำเดือนเมื่ออายุน้อยกว่า 12 ปี หรือประจำเดือนหมดช้าหลังอายุ 55 ปี ผู้หญิงที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรคนแรกหลังอายุมากกว่า 30 ปี นอกจากนี้ ผู้หญิงที่กินยาฮอร์โมนทดแทนหลังวัยทองเป็นระยะเวลานานเกิน 5 ปี ปัจจัยทั้งหมดนี้ก็มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน รวมทั้งการดื่มสุรา การฉายรังสีบริเวณทรวงอก และการกินยาคุมกำเนิด ซึ่งพบว่าเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคอยู่บ้าง แต่ไม่ชัดเจนมากนัก

นายแพทย์ ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวัฒโนสถ โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ ในโรงพยาบาลกลุ่มบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS กล่าวว่า มะเร็งเต้านมมีโอกาสรักษาหายขาดสูง ซึ่งอัตราการเสียชีวิตของประเทศไทยถือว่าต่ำกว่ามะเร็งชนิดอื่นมาก หมายถึงมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดี แต่จะดีมากยิ่งขึ้นหากผู้หญิงที่มีความเสี่ยงเข้าสู่การคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เจอมะเร็งเต้านมในระยะแรก และยิ่งรักษาให้หายขาดได้สูงยิ่งขึ้น เนื่องจากมะเร็งเต้านมถือเป็นโรคร้ายที่แฝงมาอย่างเงียบๆ เพราะอาการเริ่มต้นของมะเร็งเต้านม ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้สึกเจ็บ จนกระทั่งก้อนเนื้อเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น

การตรวจเช็กมะเร็งเต้านมนั้น นายแพทย์ ธีรวุฒิ แนะนำว่า สามารถทำได้โดยการตรวจเช็กเต้านมด้วยตนเองว่ามีความผิดปกติหรือมีก้อนหรือไม่ รวมไปถึงการตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ ซึ่งจะช่วยให้ค้นเจอมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หรือระยะก่อนลุกลามเพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิตหรืออัตราการรักษาให้หาย

“การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมนั้น เน้นว่าการทำแมมโมแกรมถือว่าดี สามารถตรวจพบความผิดปกติได้อย่างละเอียดตั้งแต่ขนาดเล็กเพียง 0.5 - 1 เซนติเมตร ช่วยให้การตรวจวินิจฉัยสามารถให้ผลได้อย่างถูกต้อง แต่ในระดับสาธารณสุขยังไม่ได้บรรจุเป็นสิทธิประโยชน์ให้สามารถตรวจได้ทุกคน เนื่องจากไม่คุ้มค่าและบุคลากรอาจมีไม่เพียงพอ ซึ่งประชาชนต้องรับการตรวจเป็นแบบรายบุคคลเอง ดังนั้น การตรวจคัดกรองเบื้องต้นที่ทุกคนทำได้คือ การคลำเต้านมเพื่อค้นหาความผิดปกติด้วยตนเอง” นายแพทย์ ธีรวุฒิ กล่าว

ส่วนข้อกังวลที่ว่า การตรวจคลำเต้านมด้วยตนเองอาจไม่มีประสิทธิภาพที่ดีนัก เพราะกว่าจะคลำเจอก็ต่อเมื่อก้อนมะเร็งนั้นใหญ่มากแล้ว หรือลุกลามไปยังบริเวณอื่นแล้ว เรื่องนี้ นายแพทย์ ธีรวุฒิ ย้ำว่า อย่าได้กังวล ยังคงยืนยันว่า การตรวจคลำเต้านมด้วยตนเองนั้นมีประสิทธิภาพ และสามารถคัดกรองมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นได้ดีถึงแม้จะไม่พบมะเร็งที่เล็กมากก็ตาม

“เมื่อก่อนอาจมีการบอกว่า คลำเต้านมตัวเองแล้วเจอก้อน คือเจอก้อนใหญ่แล้ว และมีการศึกษาในจีน และรัสเซีย บอกว่าไม่ได้ช่วยลดอัตราการตาย แต่เป็นการศึกษาเมื่อนานมาแล้ว และเมื่อก่อนยารักษามะเร็งก็ไม่ได้ดีเท่าปัจจุบัน แต่ทุกวันนี้การรักษาดีขึ้น ก้อนขนาด 2 เซนติเมตรก็สามารถคลำเจอ หรือแม้แต่คลำเจอก้อนขนาด 5 เซนติเมตร แต่ยังไม่ลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองก็สามารถรักษาได้ จึงมองว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแนวคิดแล้ว และกลับมารณรงค์เหมือนเดิมว่า ต้องคลำเต้านมหาความผิดปกติด้วยตนเอง ส่วนการตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรม ก็ชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพที่ดีกว่า แต่ก็มีราคาค่าใช้จ่าย ซึ่งแนะนำว่าหากมีความเสี่ยงหรือผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ก็ควรตรวจทุกประมาณ 1 ปี อายุมากกว่า 55 ปี อาจตรวจ 2 ปีครั้ง” นายแพทย์ ธีรวุฒิ กล่าว

การป้องกันให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งเต้านม ก็คือหมั่นตรวจเช็กร่างกายสม่ำเสมอ และอย่าละเลยการตรวจสอบสังเกตอาการด้วยตัวเอง หากพบความผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ช่วยตรวจเช็ก อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะถ้าตรวจพบแต่เนิ่นๆ จะได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที มีโอกาสรักษาโรคมะเร็งให้หายได้สูง


9 เม.ย. 2561  โดย: MGR Online

269
การอาบน้ำในหน้าหนาวเป็นอะไรที่ต้องทำใจ ยิ่งหากจำเป็นต้องอาบน้ำเย็นในหน้าหนาวเพราะที่พักไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น โถ...มาดูกันค่ะว่า วิธีอาบน้ำในหน้าหนาวให้หนาวน้อยที่สุด ควรทำยังไงดี

          อากาศหนาว ๆ แบบนี้บางทีก็แอบเข้าใจฝรั่งเหมือนกันว่าทำไมเขาไม่ชอบอาบน้ำ ทว่าด้วยวัฒนธรรมและความเคยชินทำให้เราติดการอาบน้ำเป็นประจำ อย่างน้อยต้องอาบ 2 ครั้งต่อวันใช่ไหมคะ แต่ด้วยสภาพอากาศในระยะนี้ที่อุณหภูมิลดลงอย่างไม่ทันตั้งตัว หนาวขึ้นมาซะเฉย ๆ การอาบน้ำในแต่ละครั้งจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำใจกันสักพัก และถ้าสุดท้ายยังไงก็ต้องอาบน้ำ งั้นเรามาดูวิธีอาบน้ำหน้าหนาวที่จะช่วยให้เราหนาวน้อยที่สุด พร้อมวิธีเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ กัน

วิธีอาบน้ำเย็นในหน้าหนาว

          สำหรับคนที่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ครั้นจะต้มน้ำอาบก็ดูจะยุ่งยากไปนิด ไม่เป็นไรค่ะ เรามาอาบน้ำเย็นแบบสบายกาย ไม่หนาวเหน็บจนเกินไปด้วยวิธีอาบน้ำเย็นในหน้าหนาวกันเลย

1. อุดรูกันลมผ่าน

          สำหรับคนที่ต้องอาบน้ำเย็นเพราะไม่มีน้ำอุ่น แนะนำให้ใช้ผ้าอุดช่องว่างระหว่างประตูห้องน้ำกับพื้น เพื่อกันไม่ให้ลมหนาวพัดเข้ามาในระหว่างที่เราอาบน้ำอยู่ วิธีนี้จะช่วยลดความเหน็บหนาวได้ในเบื้องต้น

2. ทำธุระให้เสร็จก่อนค่อยอาบน้ำ

          เริ่มจากการขับถ่ายให้เรียบร้อย ต่อด้วยแปรงฟัน และล้างหน้า หากต้องการสระผมด้วยก็ให้ก้มหัวสระโดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้า จากนั้นใช้ผ้าขนหนูซับผมและโพกผมไว้ เสร็จแล้วก็ค่อยถอดเสื้อผ้า เตรียมตัวอาบน้ำจริง ๆ แล้วจ้า

3. ถูสบู่ก่อน

          มือเราที่เปียกน้ำจากการล้างหน้า แปรงฟัน ให้เทสบู่ใส่มือนั้นเลยค่ะ จากนั้นก็ถู ๆ พอให้สบู่มีฟอง แล้วถูสบู่ตามตัวให้ทั่วทั้ง ๆ ที่ตัวยังแห้ง ซึ่งอาจได้ความรู้สึกฝืด ๆ นิดหน่อย ทว่าวิธีนี้แหละที่จะทำให้เรารู้สึกอยากได้น้ำมาราดตัว เป็นกลอุบายให้ไม่ต้องยืนทำใจนานเวลาจะอาบน้ำนั่นเอง

4. ราดน้ำที่แขน-ขาก่อน

          การอาบน้ำเย็นในหน้าหนาวอย่างปลอดภัย แนะนำให้เริ่มเอาน้ำราดที่มือ เท้า แขน และขาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ค่อย ๆ ราดน้ำที่ตัว วิธีนี้จะช่วยให้ร่างกายได้ปรับอุณหภูมิกับความเย็นของน้ำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความเย็นจะลดระดับลงกว่าตอนที่เอาน้ำราดหัว ราดตัวเป็นอันดับแรก อีกทั้งการไล่ปรับอุณหภูมิวิธีนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงการเป็นหวัด ไม่สบายจากภาวะอุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงเฉียบพลันด้วยนะคะ

5. รีบอาบน้ำให้ไว

          เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอาบน้ำเย็นนาน ๆ แน่ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ ดังนั้นรีบถูรีบล้างโดยใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีกำลังเป็นเวลาที่พอดีค่ะ จากนั้นก็คว้าผ้าเช็ดตัวมาซับความชื้นจากร่างกายได้เลย

6. ทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นทุกครั้ง

          ควรทาโลชั่นหลังจากอาบน้ำเสร็จทันที (3-5 นาที) ซึ่งจะทำให้ครีมซึมซาบสู่ผิวหนังได้มากที่สุด ป้องกันผิวสูญเสียความชุ่มชื้นจนก่อปัญหาผิวแห้งแตกได้ง่าย

          ในกรณีที่มีเครื่องทน้ำอุ่น อยากอาบน้ำอุ่น เราก็มีวิธีอาบน้ำอุ่นในหน้าหนาวมาฝากค่ะ


วิธีอาบน้ำอุ่นในหน้าหนาว

        ใครมีเครื่องทำน้ำอุ่นติดห้องน้ำ ช่วงนี้ก็ถือโอกาสใช้งานให้คุ้มกับค่าติดตั้งไปเลยค่ะ ทว่าการอาบน้ำอุ่นในหน้าหนาวจำเป็นต้องมีเคล็ดลับนิดหน่อย เพื่อความสะอาดและปลอดภัยต่อผิวหนังของเรานั่นเอง มาดูกันค่ะว่า วิธีอาบน้ำอุ่นหน้าหนาว ควรทำยังไงบ้าง

1. ไม่ควรอาบน้ำนานเกิน

        บางคนเพลินกับการอาบน้ำอุ่นค่ะ จนมัวแต่เอาน้ำราดตัวไม่ยอมเลิก เสียเวลาเลยเถิดไปกับความฟินตรงนี้มาก ซึ่งไม่ใช่แค่เสียเวลาด้วยซ้ำค่ะ แต่การอาบน้ำอุ่นนาน ๆ อาจทำให้ผิวแห้งเสีย แตกลอก เพราะผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นไปกับน้ำอุ่นนั่นเอง ดังนั้นหากใครอาบน้ำอุ่นในหน้าหนาว ก็ควรอาบน้ำประมาณ 10-15 นาที หรือไม่เกิน 30 นาทีนะคะ

2. ควรปรับอุณหภูมิของน้ำให้อุ่นกำลังดี

        ด้วยความที่อากาศหนาว หลายคนเลยมักจะปรับอุณหภูมิน้ำอุ่นในระดับร้อนสุด อีกทั้งยังปรับระดับน้ำให้ไหลน้อยลง ทวีความร้อนให้น้ำขึ้นไปอีก ซึ่งการอาบน้ำร้อน ๆ เช่นนี้เสี่ยงต่อปัญหาผิวมากมายเลย ตั้งแต่อาการผิวแห้ง แตก ลอก ไปจนถึงผิวหนังอาจติดเชื้อโรคได้ง่าย นอกจากนี้ก็อย่าลืมปรับอุณหภูมิร่างกายด้วยการราดน้ำที่เท้า ขา แขน ก่อนราดทั้งตัว

3. สลับอาบน้ำเย็นในช่วงท้าย

        ฟินกับน้ำอุ่นจนอาบน้ำใกล้จะเสร็จแล้ว ให้แข็งใจปิดการทำงานของเครื่องทำน้ำอุ่น แล้วปล่อยให้สายน้ำเย็น ๆ ชโลมร่างกายเพื่อเป็นการปิดรูขุมขน และปรับสมดุลของผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งเสียน้อยลงได้

4. ทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นทุกครั้ง

        ควรทาโลชั่นหลังจากอาบน้ำเสร็จทันที (3-5 นาที) ซึ่งจะทำให้ครีมซึมซาบสู่ผิวหนังได้มากที่สุด ป้องกันผิวสูญเสียความชุ่มชื้นจนก่อปัญหาผิวแห้งแตกได้ง่าย



วิธีเพิ่มความอบอุ่นหลังอาบน้ำเสร็จ

1. อบผ้าเช็ดตัว

          ทริคที่จะช่วยให้ร่างกายได้รับความอุ่นทันทีหลังจากเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาสด ๆ ร้อน ๆ แนะนำให้นำผ้าขนหนูไปตากแดดทั้งวัน ก่อนนำมาใช้ หรือใครที่เปลี่ยนผ้าเช็ดตัวทุกวัน จะนำผ้าเช็ดตัวหลาย ๆ ผืนมาวางซ้อน ๆ กัน แล้วเอาไปอบในตู้เสื้อผ้า หรือวางในที่ที่แดดส่องถึงก็ได้ค่ะ เวลาเราหยิบผ้าเช็ดตัวเหล่านี้มาใช้ ก็จะได้ความอบอุ่นเพิ่มเติมอย่างง่าย ๆ แล้ว

2. เช็ดตัวในห้องน้ำ

          เมื่อเราอาบน้ำ อุณหภูมิของร่างกายจะถูกถ่ายเทออกมา เราจะรู้สึกได้ถึงไอร้อนอบอวลอยู่ในห้องน้ำให้พออุ่น ซึ่งช่วงเวลานี้แหละที่เราสามารถซึมซับความอบอุ่นเข้าสู่ร่างกายได้ ดังนั้นเช็ดตัวให้แห้งสนิทตั้งแต่ในห้องน้ำไปเลย แล้วค่อยออกมาแต่งตัว

3. ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ 1 แก้ว หลังอาบน้ำเสร็จ

          หลังอาบน้ำเสร็จร่างกายเราอาจจะยังสะท้านกับความเย็นของอากาศอยู่สักพัก ดังนั้นลองแก้หนาวด้วยการดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ สักแก้ว หากเป็นตอนเช้าอาจดื่มชาร้อน กาแฟร้อน โกโก้ร้อน เหล่านี้ก็ได้ ทว่าหากเป็นช่วงก่อนนอน แนะนำเป็นนมร้อน หรือน้ำเต้าหู้อุ่น ๆ ซึ่งไม่มีคาเฟอีนแทนค่ะ

          - 12 สูตรเครื่องดื่มร้อน กายอุ่นใจอุ่นต้อนรับหน้าหนาว

          - 10 อาหารคลายหนาว เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายได้ด้วยการกิน​

          ไม่ว่าจะเลือกอาบน้ำเย็นหรือน้ำอุ่น เราก็อยากฝากไว้สักนิดค่ะว่า พยายามหลีกเลี่ยงการอาบน้ำเวลาดึกมาก ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิจะลดต่ำ อากาศจะหนาวมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นโรคหวัด รวมทั้งควรใส่ใจสบู่ที่ใช้ โลชั่นที่ทา หากเป็นไปได้ให้เลือกใช้สบู่ที่ปราศจากส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ชั้นผิวหนังในร่างกาย ส่วนโลชั่นก็ควรเลือกชนิดที่มีมอยซ์เจอไรเซอร์มากขึ้น หรือมีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้มากกว่าปกติ


08 มี.ค  61  ขอขอบคุณข้อมูลจาก  กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข


270
  รู้สึกวูบตอนลุก-นั่ง เร็ว ๆ หรือก้มหน้าแล้วเวียนหัว โดยเฉพาะตอนเปลี่ยนท่ามักจะหน้ามืด ต้องเช็กร่างกายคร่าว ๆ เราเป็นโรคอะไรร้ายแรงหรือเปล่า   

          สำหรับคนที่มีอาการวิงเวียน บ้านหมุน หน้ามืด หรือเหมือนจะเป็นลม ขณะเปลี่ยนอิริยาบถ โดยเฉพาะตอนนอนอยู่แล้วลุกจากเตียงแบบเร็ว ๆ ต่อมาก็เกิดอาการหน้ามืด วูบ คล้ายจะเป็นลม หรือในบางคนอาจมีภาวะใจสั่น หัวใจเต้นเร็วขึ้นบ้างในบางครั้ง คงเกิดความสงสัยในสุขภาพของตัวเองขึ้นมาโดยพลันว่าเรากำลังมีโรคร้ายอย่างโรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคความดันต่ำอยู่หรือเปล่า

          ทว่าความจริงแล้ว ภาวะเปลี่ยนท่าแล้วเกิดอาการวิงเวียน ทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า ภาวะความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนท่า ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะพามารู้จักความผิดปกติของร่างกายที่เกิดขึ้นบ่อยในหลายคน แถมบางคนยังเกิดอาการนี้บ่อยครั้งกันค่ะ

รู้จักภาวะความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า คืออะไร

          ภาวะความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Postural or Orthostatic Hypertension เป็นความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิตเมื่อมีการเปลี่ยนท่าที่ฝืนต่อแรงโน้มถ่วงของโลก อธิบายง่าย ๆ ก็คือ โดยปกติแล้วหัวใจเราจะปั๊มเลือดไปเลี้ยงสมองในอัตราคงที่และสม่ำเสมอ หัวใจจะบีบตัวช้า ๆ ไม่ต้องทำงานหนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างทันทีจนส่งผลให้ศีรษะกับหัวใจอยู่คนละระนาบกัน เช่น การนอนอยู่แล้วลุกขึ้นมากะทันหัน นั่งนาน ๆ แล้วผุดลุกขึ้นเร็ว ๆ หรือก้มหน้ากะทันหัน ระบบไหลเวียนเลือดก็ต้องปรับตัวเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงสมองให้ทัน ซึ่งในบางครั้งการเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่ง เลือดจะไหลลงสู่ด้านล่างตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้ร่างกายดึงเลือดกลับไปเลี้ยงสมองไม่พอ ความดันเลือดต่ำทันที และส่งผลให้เกิดอาการวิงเวียน หน้ามืด เหมือนจะเป็นลมได้

 โดยนอกจากอาการหน้ามืดแล้ว บางคนอาจมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็วขึ้น เนื่องจากหัวใจกำลังพยายามปรับตัวและทำการสูบฉีดเลือดกลับเข้าสู่หัวใจเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงสมองให้เร็วที่สุด  ซึ่งภาวะความดันตกขณะเปลี่ยนท่านี้ เป็นกระบวนการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติตามปกติ และร่างกายจะเข้าสู่ภาวะปกติได้เมื่อระบบประสาทอัตโนมัติเกิดความสมดุล ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้อย่างสม่ำเสมอ และเพียงพอต่อความต้องการของสมอง

          นั่นจึงเป็นคำตอบว่า เวลาก้มหน้าแล้วหน้ามืด หรือหันเร็ว ๆ แล้วเวียนหัว อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอาการวูบนาน ๆ ซึ่งก็ถือว่าภาวะนี้ไม่อันตรายต่อสุขภาพเท่าไรค่ะ เว้นเสียแต่ว่า เกิดอาการหน้ามืดแล้วล้มลงศีรษะฟาดพื้น หรือเกิดอาการวูบในกรณีที่อยู่ในสถานการณ์เสี่ยง ๆ อย่างริมถนน กำลังขับรถ หรือทำงานกับเครื่องจักรบางชนิด เป็นต้น



ภาวะความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า ใครเสี่ยง ?

          จริง ๆ แล้ว หากมีการเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็ว ทุกคนก็มีโอกาสเจอภาวะนี้ได้ แต่อาจมีคนบางกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงมากกว่าเพื่อน เช่น

          - ผู้สูงอายุ

          - ผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจ เช่น รายที่มีการเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจล้มเหลว

          - ผู้ป่วยโรคทางสมอง หรือระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน โรคปลายประสาทอักเสบ

          - ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณการควบคุมความดันโลหิตเสียการทำงานจากพยาธิสภาพของโรค

          - ผู้ที่มีอาการความดันโลหิตต่ำ

          - ผู้ที่มีปัญหาของต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไทรอยด์หรือต่อมหมวกไตทำงานไม่มีประสิทธิภาพ

          - มีภาวะขาดน้ำ เช่น คนที่ดื่มน้ำน้อย, เจอภาวะอากาศร้อนทำให้สูญเสียน้ำมาก, ทำงานกลางแจ้ง, เล่นกีฬาจนเสียเหงื่อมาก, สูญเสียน้ำจากอาการท้องเสียอย่างรุนแรง อาเจียน ฯลฯ

          - ผู้ที่ดื่มสุราเรื้อรัง

          - ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น การทานยารักษาความดันโลหิตสูง ยานอนหลับ ยารักษาโรคทางจิตเวชบางชนิด


ป้องกันได้ไหม ถ้าไม่อยากเปลี่ยนท่า หน้ามืด ?

          อย่างไรก็ตาม อาการเปลี่ยนท่าแล้วหน้ามืดก็มีวิธีป้องกันไม่ให้ร่างกายตกอยู่ในสภาพดังกล่าวนะคะ โดยมีวิธีปฏิบัติตัวตามนี้เลย

          * เคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อนจนเกินไป โดยเฉพาะในผู้สูงอายุซึ่งระบบไหลเวียนเลือดอาจมีประสิทธิภาพลดลงกว่าวัยหนุ่มสาว

          * ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดมีความคล่องตัวมากขึ้น

          * ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอบ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 30 นาทีขึ้นไป จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจแข็งแรงขึ้น

                 - คาร์ดิโอ วิธีออกกำลังกายดี ๆ ได้ทั้งฟิตแอนด์เฟิร์ม กระตุ้นหัวใจให้แข็งแรง

          * รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการที่ดี โดยเฉพาะเพศหญิงควรต้องกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพราะผู้หญิงมีโอกาสสูญเสียธาตุเหล็กในร่างกายมากกว่าเพศชาย เช่น การมีประจำเดือน หรือการตั้งครรภ์ ซึ่งเลือดจะถูกส่งไปเลี้ยงทารกในครรภ์เพิ่มขึ้น *

                 - อาหารบำรุงเลือด กินอย่างนี้สิป้องกันภาวะโรคโลหิตจาง

          * หากภาวะความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่าเกิดจากการใช้ยา อาจปรึกษาแพทย์เพื่อลดขนาดยาลง*

          อย่างไรก็ตาม หากใครยังข้องใจในอาการวูบของตัวเอง เกรงว่าจะส่อโรคร้ายแรงที่ควรต้องรีบรักษาหรือไม่ ลองมาเช็กสาเหตุของโรควูบดูก็ได้นะคะ

                 - 10 สาเหตุโรควูบ อาการหน้ามืดเป็นลมที่อาจถึงตาย !


07 เม.ย 61
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

หน้า: 1 ... 16 17 [18] 19 20