แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - patchanok3166

หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 20
226
สำหรับคอกาแฟทั้งหลาย ขอบอกเลยว่างานนี้ไม่ควรพลาด เพราะการดื่มกาแฟในแต่ละวันจะไม่ส่งผลเสียให้แก่ร่างกายจากการบริโภคน้ำตาลเข้าไปพร้อมกันอีกแล้ว เนื่องจากมีวิธีเพิ่มความอร่อยให้แก้วกาแฟถ้วยโปรดของคุณโดยที่ไม่ต้องใช้ความหวานจากน้ำตาลแต่อย่างใดเลย ส่วนจะมีอะไรที่สามารถเพิ่มความอร่อยให้กาแฟได้บ้างนั้น ต้องไปติดตามดูกันเลย


ผงโกโก้ชนิดไม่หวาน

จากกาแฟรสชาติขมแบบทั่วไป ก็กลายเป็นกาแฟถ้วยอร่อยได้ด้วยการเติมผงโกโก้ชนิดไม่หวานเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้นก็คือยังช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากฟลาโวนอยด์ของช็อกโกแลต ซึ่งสารชนิดนี้จัดเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีส่วนช่วยในการยับยั้งอันตรายจากสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยให้เลือดในร่างกายสามารถไหลเวียนไปยังสมองและหัวใจได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญอร่อยได้โดยไม่ต้องพึ่งน้ำตาลอีกด้วย


อบเชย


สำหรับใครที่ชอบดื่มกาแฟที่ใส่น้ำตาล แต่ถึงเวลาที่ต้องหันมาดูแลสุขภาพ ก็ต้องลองมาเริ่มจากการเปลี่ยนน้ำตาลมาเป็นอบเชยแทนกันดู เพราะวิธีนี้ไม่ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลหรือแคลอรี่เพิ่ม ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมั่นใจด้วยว่าอบเชยที่ใช้นั้นเป็นอบเชยชนิดบริสุทธิ์ มีการวิจัยจาก The Human Nutrition Research Center ค้นพบว่า การทานอบเชยเฉลี่ยวันละ 1/2 ช้อนชาทุกวัน จะช่วยเพิ่มความไวของเซลล์ที่มีต่ออินซูลิน ซึ่งถือว่าเป็นผลที่ตรงกันข้ามกับการเติมน้ำตาลในกาแฟที่ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน


วานิลาสกัด

สำหรับใครที่ต้องการดูแลสุขภาพ การดื่มกาแฟจำเป็นที่จะต้องบอกลาความหวานจากน้ำตาล แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไปว่ารสชาติของกาแฟจะไม่อร่อย เพราะเพียงแค่เติมวานิลาสกัดเข้าไปเพียง 2-3 หยดก็ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กาแฟ ชวนให้อยากลิ้มลองรสชาติกาแฟถ้วยนั้นเหมือนเดิม และที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือร่างกายจะได้รับแคลอรี่และน้ำตาลเท่ากับศูนย์


เนื้อมะพร้าวขูด

กาแฟที่ไร้น้ำตาลก็อร่อยได้ด้วยเนื้อมะพร้าวขูด แม้จะเป็นวิธีที่หลายๆ คนมึนงงและสงสัยว่ารสชาติของกาแฟจะอร่อยจริงหรือเปล่า ขอยืนยันเลยว่าอร่อยจริง เพียงแค่นำเนื้อมะพร้าวขูดประมาณ 1 ช้อนชาผสมเข้ากับเมล็ดกาแฟ 1 ถ้วย บดเข้าด้วยกัน วิธีนี้จะช่วยทำให้กาแฟมีกลิ่นที่หอมและน่าดื่มมากขึ้น และที่สำคัญยังช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดีจากน้ำมันมะพร้าวอีกด้วย


วิธีการเติมความอร่อยให้ถ้วยกาแฟแบบไร้น้ำตาลที่เรานำมาแชร์กันในวันนี้ ถือเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับคอกาแฟที่ต้องการหันมาดูแลสุขภาพร่างกายแต่ไม่สามารถบอกลากาแฟไปได้ ยังไงก็ลองเอาไปใช้กัน


30พ.ค. 61 sanook.com

227
เคยได้ยินกันไหมคะว่า หากทานอาหารที่ร้อนจัดมากๆ อาจทำให้เป็นมะเร็งหลอดอาหาร หรือบางครั้งอาจจะเป็นมะเร็งที่ลิ้น ที่กระเพาะ หรือลำไส้ เนื่องมาจากความร้อนของอาหารที่ทานอาจทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย เป็นบาดแผล และหากเป็นแผลบ่อยๆ เลยอาจทำให้เป็นมะเร็งได้ เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร Sanook! Health มีคำตอบค่ะ

มะเร็งหลอดอาหาร เกิดขึ้นได้อย่างไร?

คิดว่าหากพูดถึงโรคมะเร็ง ทุกคนก็คงทราบกันดีว่ามันเป็นความผิดปกติของร่างกาย ที่จู่ๆ ก็เป็นขึ้นมาเอง อาจจะไม่ได้มีสาเหตุจากสิ่งใดแน่ชัด เพียงแต่เราจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้มากขึ้น (อ่าน “พฤติกรรมเสี่ยงมะเร็ง” ที่นี่) เพราะฉะนั้นสาเหตุมาได้จากหลากหลายปัจจัยค่ะ


ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหลอดอาหาร


- ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่

- บริโภคอาหารบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น อาหารที่มีสารไนโตรซามีน อย่างอาหารประเภทเนื้อ อาหารที่ใส่สารกันบูด อาหารประเภทย่าง หรือเครื่องปรุงรสอย่างพริก และพริกไทย

- เป็นผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง ทำให้เยื่อบุภายในหลอดอาหารเกิดอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เซลล์ผิดปกติจนเกิดเป็นมะเร็งได้

- ติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในหลอดอาหาร

- เกิดการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุหลอดอาหารอย่างรุนแรง จากการกระทำ เช่น กลืนน้ำยาล้างห้องน้ำ กลืนน้ำกรด น้ำด่าง

- รับประทานอาหารที่มีผัก ผลไม้ และแร่ธาตุน้อย

- อยู่ในภาวะอ้วน

และอื่นๆ

อาการของมะเร็งหลอดเลือดอาหาร

1. เริ่มทานอาหารแข็งแล้วรู้สึกฝืดคอ กลืนไม่ค่อยลง เช่น ไก่ย่าง หมูทอด ผลไม้ต่างๆ

2. เริ่มรู้สึกลำบากในการกลืนอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารแข็ง หรือเหลว

3. อาจจะกลืนอะไรไม่ค่อยลง จนทำให้ต้องขย้อน หรืออาเจียนออกมา

4. ทานอะไรไม่ลง น้ำหนักเริ่มลด ร่างกายซูบผอม อ่อนเพลีย เพราะขาดอาหาร

5. อาจมีอาการข้างเคียงเพิ่มเติม เช่น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปวดหัว แน่นหน้าอก คลื่นไส้ ไอ หรือเจ็บบริเวณกระดูกหน้าอก หรือในลำคอ เป็นต้น


ดังนั้น การรับประทานของร้อน อาจจะไม่ถึงกับทำให้หลอดอาหารบาดเจ็บจนเป็นแผล แต่อย่างไรก็ตามหากอาหารร้อนเกินไป อาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณปากบาดเจ็บ จนเป็นแผลได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดก็ควรจะรับประทานอาหารที่มีความร้อนเหมาะสม ไม่ลวกปาก ลวกลิ้นจนพองกันบ่อยๆ ดีกว่าค่ะ



30 พ.ค.61  ข้อมูล นิตยสาร หาหมอ

228
อย. ยกระดับไซบูทรามีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 1 เอาโทษถึงที่สุด หากผลิต นำเข้าหรือส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีไซบูทรามีนเป็นส่วนผสม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท-2 ล้านบาท หากขายจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 4 แสนบาท-2 ล้านบาท รวมถึงการครอบครองผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการกระทำผิดด้วย


นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทว่า จากกรณีผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีการลักลอบใส่ไซบูทรามีนและเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตโดยไซบูทรามีน(Sibutramine)  ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางทำให้รู้สึกไม่อยากอาหารและส่งผลข้างเคียงกับคนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดต่างๆ ปี 2553 ทางประเทศในยุโรปจึงประกาศยกเลิกไม่ให้ใช้ยานี้ รวมทั้งในประเทศไทยได้มีการเรียกเก็บยา ที่มีสารไซบูทรามีนออกจากท้องตลาดและยกเลิกทะเบียนยาไซบูทรามีน แต่ปัจจุบันผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยังแอบเจือปนสารไซบูทรามีนในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อหวังลดน้ำหนัก ซึ่งเข้าข่ายเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ผู้ใดผลิต จำหน่ายมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งจากการดำเนินการ ที่ผ่านมายังพบการลักลอบใส่สารไซบูทรามีนในหลายผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง


ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงเสนอคณะกรรมการวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ยกระดับไซบูทรามีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559  ซึ่งหากผลิต นำเข้าหรือส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีไซบูทรามีนเป็นส่วนผสมจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท-2 ล้านบาท หากขายจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 4 แสนบาท - 2 ล้านบาท รวมถึงการครอบครองผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นการกระทำผิดด้วย


นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่สามารถลดความอ้วนได้ หากมีการโฆษณาว่าสามารถช่วยรักษาโรค ลดความอ้วน หรือมีผลในทางยา ขอให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจมีส่วนผสมของยา ซึ่งผู้ใช้อาจได้รับผลข้างเคียงจากยานั้นจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หากผู้บริโภคต้องการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และควบคุมอาหาร รวมทั้งออกกำลังกายอย่างเหมาะสม หากผู้บริโภคต้องการใช้ยาลดความอ้วนจะต้องใช้ภายใต้


การควบคุมดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อยามารับประทานเอง เพราะอาจส่งผลกระทบ กับสุขภาพและชีวิต การใช้ยาลดความอ้วนไม่สามารถทำให้หายจากโรคอ้วนได้ เมื่อหยุดยาไประยะหนึ่งแล้ว   จะทำให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มมากยิ่งขึ้น หรือที่เรียกว่า YO–YO Effect หากผู้บริโภคพบเห็นเบาะแส การโฆษณา การผลิต/จำหน่ายยาลดความอ้วนผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งมาได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือ รอองเรียนผ่าน Oryor Smart Applicationหรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อดำเนินคดีกับ ผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวดต่อไป



28 พ.ค. 61 ข้อมูล :กระทรวงสาธารณสุข

229
ผัวแค้นจัดถูกเมียพยาบาลบอกเลิก หลังมีปัญหาครอบครัวเหตุต้องเสียทั้งบ้าน ที่ดิน รถ ที่นำไปจำนำเพื่อมาช่วยเหลือสุดท้ายไม่เหลืออะไร ตัดสินใจคว้ามีดในครัวรพ. บุกแทงนับ 10 แผลสาหัส


เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ร.ต.อ. มนตรี ทาหาวงค์  รอง สว.สอบสวน สภ.ปทุมรัตน์ ร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 26 พ.ค. ได้รับแจ้งมีคนร้ายบุกแทงเจ้าหน้าที่พยาบาล บนรพ.ปทุมรัตต์  จ.ร้อยเอ็ด ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบ  พร้อมเจ้าหน้าที่ ที่เกิดเหตุอยู่ภายในห้องน้ำหญิงอาคารอำนวยการข้างห้องฉุกเฉิน  พบคราบเลือดกระจายเกลื่อนและเปรอะเปื้อนผนังห้องน้ำ ซึ่งผู้บาดเจ็บทางเจ้าหน้าที่ได้นำเข้าห้องฉุกเฉินก่อนหน้าแล้ว  ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.อรุณี วรวิเศษ อายุ  42 ปี  พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.ปทุมรัตต์  ตามร่างกายถูกแทงด้วยของมีคมเป็นแผลขนาดต่างๆ 12 แผล อาการสาหัส จึงส่งตัวรักษาต่อที่ รพ.ร้อยเอ็ด  ส่วนมือมีดผู้ก่อเหตุคือนายศักดา ประเสริฐสังข์ อายุ 43  ปีซึ่งเป็นสามี หลังก่อเหตุได้อาศัยช่วงชุลมุนขับขี่ จยย.หลบหนีไป แต่ถูกตำรวจจับกุมตัวได้เมื่อเวลาประมาณ 03.30 น.วันนี้ ขณะหลบหนีไปยังบ้านเกิดที่ อ.เสลภูมิ เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น และนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ


นายศักดา  ให้การว่า  ก่อนหน้าได้แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายมาแล้วหลายปี ไม่มีบุตรด้วยกัน แต่ฝ่ายหญิงมีลูกติดมาด้วย 3 คน ก่อนที่จะขอย้ายจาก รพ.โพธิ์ขัย จ.ร้อยเอ็ด มาปฏิบัติหน้าที่ ใน รพ.ปทุมรัตต์ จนถึงปัจจุบัน ภายหลังทั้งคู่มีปัญหาหนี้สินร่วมกัน จนตนเองต้องขายที่ ขายบ้าน และนำรถยนต์ ที่ใช้ทำมาค้าขายไปจำนำ แทบจะไม่มีเงินใช้จ่ายในแต่ละเดือน ระยะหลังฝ่ายหญิงเริ่มตีตัวออกห่าง และบอกว่าได้ยกเลิกการอาศัยบ้านพักใน รพ.แล้ว และต้องการไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน ฝ่ายตนมาหา โทรศัพท์หาก็ไม่พูดคุย กระทั่งฝ่ายหญิงบอกว่าว่าแยกกันอยู่น่าจะดีที่สุด เพราะอยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จนทำให้ตนเองเครียดจัด เพราะเสียทั้งที่ดิน ทั้งบ้าน ทั้งรถเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาแล้ว มาวันนี้จะมาบอกเลิก ตนไม่มีรายได้อะไรในตอนนี้ ทำให้เครียดจนเกิดการบันดาลโทสะ เดินไปหยิบมีดในครัวของรพ.จากนั้นก็มาจ้วงแทงด้วยความแค้น ขณะที่ฝ่ายหญิงพยายามต่อสู้ จนทำให้มีดบาดมือตนเองไปด้วย จากนั้นได้ขี่จยย.หลบหนีไปแต่ก็ถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด...



27 พฤษภาคม 2561 โดย หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

230
           อาหารว่าง เป็นสิ่งจำเป็นต้องมีเวลาประชุม สัมมนา หรืออบรมต่าง ๆ และมักเป็นเมนูขนมหวาน เบเกอรี ที่อุดมไปด้วยส่วนผสมของแป้ง น้ำตาล และไขมัน ที่หากบริโภคมากเกินไป อาจจะนำพาเราไปสู่โรคร้ายหลายโรคที่กำลังคุกคามคนไทยในปัจจุบัน ทั้งโรคอ้วน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง


           อาหารว่าง หมายถึง อาหารระหว่างมื้อ เป็นอาหารเบา ๆ มีปริมาณน้อยกว่าอาหารประจำมื้อ อาจจะเป็นอาหารน้ำ หรืออาหารแห้ง มีทั้งคาวและหวาน หรือเป็นอาหารชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพอคำ หยิบรับประทานได้ง่าย จัดให้สวยงามน่ารับประทาน เสิร์ฟควบคู่กับเครื่องดื่มร้อน หรือน้ำผลไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง


          แต่แน่นอนว่าถ้าเผลอทานมากเกินไปย่อมเป็นอันตรายกับสุขภาพ กระปุกดอทคอม จึงนำข้อมูลจากเว็บไซต์ สสส. ที่แนะนำหลักของการเลือกรับประทานอาหารว่างให้พอดีไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมาฝากค่ะ



          เทคนิคเลือกอาหารว่างเพื่อสุขภาพ

          1. คำนึงถึงคุณค่าโภชนาการ

          2. พลังงานไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน โดยผู้ใหญ่ควรได้รับพลังงานจากอาหารว่างประมาณ 150-200 กิโลแคลอรี/วัน

          3. อาหารว่างที่ดีควรจำกัดปริมาณน้ำมัน น้ำตาล และเกลือ ไม่ให้สูงเกินไป

          4. ผลไม้สดเป็นอาหารว่างที่มีประโยชน์ มีแร่ธาตุ ใยอาหาร และวิตามินสูง ผลไม้ที่เหมาะสมสำหรับเป็นอาหารว่าง
             ได้แก่ ส้ม มะละกอ ฝรั่ง ชมพู่ เป็นต้น ควร    หลีกเลี่ยงการผลไม้ที่มีรสหวานหรือผลไม้แปรรูปที่มีน้ำตาล และเกลือมาก

          5. เครื่องดื่มที่เหมาะสมไม่ควรมีน้ำตาลเกินร้อยละ 5 หรือบริโภคไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม ใน 1 วัน ตามที่ทาง สสส.
              รณรงค์ร่วมกับองค์การอนามัย โลก

          6. ของว่างจำพวกเบเกอรี ควรเลือกขนมปังบางชนิดที่ทำจากแป้งโฮลวีท หลีกเลี่ยงขนมที่ไขมันสูง รสหวานจัด ตัวอย่างเช่น คุกกี้ พัฟ พาย เค้กครีม

          7. เลือกพืชหัวและธัญพืช เช่น ข้าวโพดต้ม ฟักทองต้ม เป็นต้น

          8. ขนมไทยหลายอย่างมีประโยชน์ เนื่องจากมักนำธัญพืช ถั่ว ผัก ผลไม้มาเป็นส่วนประกอบ โดยอาหารว่างไทยมีมานานตั้งแต่สมัยโบราณ
             แม่บ้านสมัยก่อนใช้เวลาว่างในการทำอาหารว่างเก็บไว้ โดยใช้วัสดุที่เหลือจากอาหารมื้อหลักให้เป็นประโยชน์ และใช้วัสดุที่มีมากในฤดูกาลมาประกอบ
             เป็น อาหารว่าง  เมื่อมีการต้อนรับแขกก็จะนำอาหารออกมาเลี้ยงแขก พร้อมกับเสิร์ฟน้ำผลไม้หรือน้ำเย็นลอยดอกมะลิ
             ทั้งนี้ ขนมไทยบางชนิดก็มีกะทิเข้มข้น เช่น ตะโก้ ขนมหม้อแกง ฝอยทอง ควรหลีกเลี่ยง หรือบริโภคอย่างพอเหมาะ

          9. การจัดอาหารว่างเพื่อสุขภาพควรจัดให้หลากหลายชนิดในปริมาณพอเหมาะสำหรับ 1 มื้อ อาหารว่างบางชนิดให้พลังงานสูง
              ควรรับประทานคู่กับเครื่องดื่มที่ให้พลังงานต่ำ หรือน้ำเปล่า


          ทั้งนี้ หลายคนคงกำลังสงสัยว่า จะทำอย่างไร ? เพราะประชุมทีไรก็ต้องกินตามที่เขาจัดมาให้ ซึ่งหากเรารู้จักเลือก และรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกาย ก็จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแน่นอน ตลอดจนเมื่อประชุมเสร็จอาจเดิน หรือยืดเหยียดร่างกายก็จะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า พร้อมจะลุยงานต่อได้อย่างเต็มที่ แถมยังลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs อีกด้วย




         
 
     



23พ.ค. 61   ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.thaihealth.or.th
ข้อมูลจาก : หนังสือ ประชุมได้ผล คนได้สุขภาพ สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


231
สสส.- ทันตแพทย์ จัด “NoNo Fun Run 2018” รณรงค์วันงดสูบบุหรี่โลก กระตุ้นเยาวชนไม่ลองสูบบุหรี่ เผยแนวโน้มคนไทยสูบบุหรี่ลดลง เหลือ 19.1% หนุนทันตแพทย์ประกาศตัวเป็นต้นแบบบุคลากรแพทย์ไม่สูบ ชี้ บุหรี่ตัวร้ายทำลายหัวใจ สาเหตุสำคัญทำให้เส้นเลือดหัวใจตีบ - หัวใจวายตายเร็วสุด


เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 61 ที่ สวนป่าเบญจกิติ ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมวิ่งเนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม 2561 งาน “NoNo Fun Run 2018: My Heart is Running not Smoking” จัดโดยเครือข่ายทันตแพทย์ไทยต้านภัยยาสูบ สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาทันตแพทย์แห่งประเทศไทย และ สสส. เพื่อปลุกกระแสสังคมให้ตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบของยาสูบต่อหัวใจและร่างกาย สร้างค่านิยมให้เยาวชน ให้หันมาวิ่งออกกำลังกาย ที่ช่วยให้มีสุขภาพดี และช่วยให้เลิกสูบบุหรี่ด้วย โดยมีนักวิ่งจากภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบ ทันตแพทย์ นิสิตนักศึกษาทันตแพทย์ กลุ่มผู้สูบที่เลิกสูบบุหรี่ และประชาชนทั่วไปกว่า 500 คน


โดย ดร.นพ.บัณฑิต กล่าวว่า วันงดสูบบุหรี่โลกในปีนี้ องค์การอนามัยโลก ประกาศคำขวัญว่า “Tobacco Break Hearts: Choice Health not Tobacco” หรือ “บุหรี่ร้ายทำลายหัวใจ” ที่ผ่านมาประชาชนตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ในแง่ของการก่อให้เกิดมะเร็ง แต่บุหรี่ยังก่อให้เกิดโรคเรื้อรังไม่ต่ำกว่า 25 โรค รวมถึงโรคหัวใจด้วย ทั่วโลกมีคนตายจากโรคหัวใจประมาณ 9 ล้านคน พิสูจน์ได้ว่าเกิดจากบุหรี่ 1.7 ล้านคน ขณะที่คนไทย 1.5 ล้านคนป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ เสียชีวิตจากหัวใจวายในช่วงอายุ 50 - 60 ปี ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ บุหรี่ทำให้เส้นเลือดหัวใจตีบเกิดภาวะหัวใจวาย หากเจ็บหน้าอกต่อเนื่องนาน 5 - 30 นาที ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่ต้องไปพบแพทย์ตรวจหาอาการผิดปกติทันที จึงจำเป็นต้องทำให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายของบุหรี่ในแง่ของการทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้น


ดร.นพ.บัณฑิต กล่าวต่อว่า สถานการณ์การสูบบุหรี่ของคนไทย จากผลสำรวจล่าสุด ปี 2560 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า แนวโน้มการสูบบุหรี่คนไทยลดลงเล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง โดยคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สูบบุหรี่ ร้อยละ 19.1 หรือ 10.7 ล้านคน ลดลงจาก 2 ปีก่อนคือปี 2558 อยู่ที่ ร้อยละ 19.9 โดยเป็นผู้สูบประจำ ร้อยละ 16.8 หรือ 9.4 ล้านคน ทั้งนี้ เพศชายสูบบุหรี่ลดลงมากกว่าเพศหญิง โดยเพศชายลดเหลือ ร้อยละ 37.7 จากเดิม ร้อยละ 39.3 เพศหญิงลดลงเหลือ ร้อยละ 1.7 จากเดิม ร้อยละ 1.8 ขณะที่อายุที่เริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรกเพิ่มขึ้นเป็น 18 ปี จากเดิม 17.8 ปี ผลสำรวจสะท้อนถึงแนวทางการทำงานควบคุมยาสูบจากหลายภาคส่วน รวมทั้ง สสส. ได้เดินมาถูกทาง โดย สสส. จะเร่งดำเนินการโครงการที่เกี่ยวข้องกับการชักชวนให้เลิกสูบบุหรี่ โดยเฉพาะโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน ให้เข้มข้นขึ้น ส่งเสริมการคัดกรองผู้สูบบุหรี่ ผู้ติดบุหรี่ให้เข้าสู่การบำบัด รณรงค์ให้ความรู้ เท่าทันอันตรายบุหรี่ พร้อมทั้งทำงานคู่ขนานกับภาคนโยบาย รวมถึงการเสริมประสิทธิภาพของ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ให้สามารถปฏิบัติและบังคับใช้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ การจำกัดอายุผู้ซื้อ การห้ามโฆษณาทุกรูปแบบ ฯลฯ ทั้งหมดนี้จะช่วยปกป้องสุขภาพคนไทยจากบุหรี่ได้มากขึ้น มีการเปรียบเทียบ สนามบินสุวรรณภูมิใช้เงินก่อสร้าง 150,000 ล้านบาท ขณะคนที่ผลกระทบจากการสูบบุหรี่ ทำให้คนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เฉพาะตัวเลขการขาดงาน ค่ารักษาพยาบาลรวมกันได้ 75,000 ล้านบาท เท่ากับครึ่งหนึ่งของสนามบินสุวรรณภูมิ หากประหยัดตรงนี้ไปได้ก็เทียบเท่ากับการได้สนามบินสุวรรณภูมิมาปีละครึ่งหนึ่ง


ผศ.ดร.ทพ.ณัฐวุธ แก้วสุทธา ประธานแผนงานพัฒนาแกนนำนิสิตนักศึกษาทันตแพทย์ฯเพื่อการควบคุมยาสูบ ในฐานะผู้จัดงานฯ กล่าวว่า กิจกรรมภายในงานวิ่งรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ NoNo Fun Run 2018 ที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการทันตแพทย์ไทยต้านภัยยาสูบ ร่วมกับ สสส. ได้ดำเนินงานเพื่อควบคุมการบริโภคยาสูบของเยาวชนในฐานะตัวแทนบุคลากรในวิชาชีพทันตแพทย์มาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้สัญลักษณ์ “Nono กระต่ายขาเดียว” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวิชาชีพทันตแพทย์ในการสร้างค่านิยมไม่สูบบุหรี่ “ยืนกรานปฏิเสธบุหรี่ ไม่เริ่มและไม่เลือกใช้ยาสูบตลอดชีวิต” รวมทั้งการปลูกฝังเจตคติให้ทันตบุคลากรทันตแพทย์เป็นต้นแบบในการควบคุมการบริโภคยาสูบ


ด้าน น.ส.ธนพร ขันกสิกรรม อายุ 44 ปี พนักงานบริษัทเอกชน กล่าวว่า ตนสูบบุหรี่มา 22 ปี พยายามเลิกสูบบุหรี่มาหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนได้มีโอกาสมาวิ่งครั้งแรกในงาน thaihealth day run ปี 2560 ของ สสส. รู้สึกติดใจ สนุกที่ได้มาออกกำลังกาย ที่สำคัญทำให้รู้ว่าร่างกายไม่แข็งแรง หอบ เหนื่อยมาก เพราะช่วงนั้นยังสูบบุหรี่อยู่ พอเริ่มวิ่งอย่างจริงจัง ความพยายามเลิกสูบบุหรี่ก็กลับมาอีก เริ่มจากลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนตอนนี้เลิกต่อเนื่องได้ 1 - 2 เดือนแล้ว รู้สึกร่างกายดีขึ้น สดชื่นขึ้น วิ่งหรือออกกำลังกายได้ต่อเนื่องนานขึ้น ทุกวันนี้วิ่งได้ 10 กิโลเมตรแล้ว และตัดสินใจจะเลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาดเพื่อสุขภาพของตัวเองและคนใกล้ชิด เพื่อนๆ ที่ชวนมาวิ่งด้วยกันก็มีความคิดจะเลิกสูบเพื่อสุขภาพอีกด้วย


ทั้งนี้ กิจกรรม NoNo Fun Run 2018 ประกอบด้วย วิ่งระยะ 5 กิโลเมตร เกมและซุ้มกิจกรรม อาทิ ให้ความรู้เรื่องพิษภัยบุหรี่ต่อหัวใจและสุขภาพร่างกาย ให้ข้อมูลเรื่อง พ.ร.บ. ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ และการรณรงค์เชิญชวนเลิกบุหรี่ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงาน และบุคคลทั่วไปได้ตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบของการใช้ยาสูบ ในช่วงวันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้



 27 พ.ค. 2561  โดย: MGR Online

232
กรมควบคุมโรค ร่วมกับ สปสช. ประกาศฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 3.5 ล้านโดส ให้กับประชาชนใน 7 กลุ่มเสี่ยง เริ่ม 1 มิถุนายนนี้

วันที่ 27 พฤษภาคม 2561 เว็บไซต์ ศูนย์ข่าว สปสช. รายงานว่า นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เผยว่า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดและลดความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ ในปี 2561 ทาง สปสช. ได้จัดเตรียมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฤดูกาลใหม่ 3.5 ล้านโดส ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยบริการ เพื่อฉีดให้กับประชาชนทุกสิทธิที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติกำหนด


         โดยประชาชนทั้ง 7 กลุ่มเสี่ยง สามารถเข้ารับวัคซีนได้ที่หน่วยบริการรัฐและเอกชน ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2561 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมด


สำหรับประชาชน  7 กลุ่มเสี่ยงในการรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ คือ

         1. หญิงมีครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป

         2. เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี

         3. ผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หัวใจ หืด ไตวาย หลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน

         4. ผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไป

         5. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้

         6. โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ

         7. โรคอ้วน หรือผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (>100 กก./ BMI>35 kg/m²)

       
       ทั้งนี้ เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า วัคซีนที่เตรียมฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงฤดูกาลใหม่นี้ เป็นวัคซีนเชื้อตายที่ได้ผลดี ไม่มีปัญหากลายพันธุ์และมีความปลอดภัย ใช้ในประเทศไทยมากว่า 10 ปีแล้ว ทั้งคุ้มค่ากว่าวัคซีน 4 สายพันธุ์ ที่เพิ่งมีการให้บริการฉีดในภาคเอกชน โดยเพิ่มสายพันธุ์ชนิด B/วิคตอเรีย ซึ่งองค์การอนามัยโลกระบุว่าพบน้อยที่สุด มีความชุกเพียงร้อยละ 5 ดังนั้นในด้านประสิทธิภาพความครอบคลุมระหว่างวัคซีน 3 สายพันธุ์และ 4 สายพันธุ์ ทางการแพทย์ถือว่ามีความใกล้เคียง ไม่จำเป็นต้องใช้วัคซีน 4 สายพันธุ์ ที่มีราคาสูงกว่า 2-3 เท่า


         อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนมีผลช่วยป้องกันได้ร้อยละ 60-70 ดังนั้นการดูแลตนเองด้วยการหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตนเองจากการสัมผัสผู้ที่ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ การทำร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารที่เอื้อต่อสุขภาพและล้างมือให้สะอาด ยังเป็นมาตรการที่จำเป็นทั้งกับกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไป


27 พ.ค. 61  ข้อมูลจาก nhsonews.com

233
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยผลทดสอบไขมันทรานส์ในโดนัทรสช็อกโกแลต พบ 8 ยี่ห้อ สูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน เสี่ยงโรคหัวใจ จี้ อย. ออกประกาศห้ามนำไขมันทรานส์มาผลิตอาหาร


 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เปิดเผยผลทดสอบไขมันทรานส์และพลังงานในโดนัทรสช็อกโกแลตที่จำหน่ายในประเทศไทย จำนวน 13 ตัวอย่าง พบว่า ในจำนวนนี้มี 8 ยี่ห้อที่มีปริมาณไขมันทรานส์สูงเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนด คือ ควรพบไขมันทรานส์ในอาหารได้สูงสุดไม่เกิน 0.5 กรัม/หน่วยบริโภค ตามผลทดสอบ ดังนี้


          1. ซับไลม์ โดนัท (Sublime Doughnuts โดนัท ดาร์กช็อกโกแลต) มีปริมาณไขมันทรานส์ 4.5913 กรัม/ชิ้น

          2. ฟู้ดแลนด์ (Foodland โดนัทช็อกโกแลต) มีปริมาณไขมันทรานส์ 3.0484 กรัม/ชิ้น

          3. ดังกิ้น โดนัท (Dunkin Donuts ช็อกโกแลต ฟลาวเวอร์) มีปริมาณไขมันทรานส์ 2.7553 กรัม/ชิ้น

          4. เทสโก้ โลตัส (โดนัทรวมรสช็อกโกแลต) มีปริมาณไขมันทรานส์ 1.7449 กรัม/ชิ้น

          5. บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (โดนัทช็อกโกแลต) มีปริมาณไขมันทรานส์ 0.9560 กรัม/ชิ้น

          6. มิสเตอร์ โดนัท (Mister Donut ChocRing Classic) มีปริมาณไขมันทรานส์ 0.8690 กรัม/ชิ้น
 
          7. เอ็น.เค.โดนัท (NK Donut ริงจิ๋ว ช็อกโกแลต) มีปริมาณไขมันทรานส์ 0.8626 กรัม/ชิ้น

          8. ยามาซากิ (Yamazaki โดนัทช็อกโกแลต) มีปริมาณไขมันทรานส์ 0.7542 กรัม/ชิ้น



ขณะที่อีก 5 ยี่ห้อ มีปริมาณไขมันทรานส์อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด คือ

          1. คริสปี้ครีม (Krispy Kreme Doughnuts ช็อกโกแลต ไอซ์ เกลซ) มีปริมาณไขมันทรานส์ 0.2067 กรัม/ชิ้น

          2. เบรดทอล์ค (BreadTalk โดนัทช็อกโกแลต) มีปริมาณไขมันทรานส์ 0.2029 กรัม/ชิ้น

          3. แซง-เอ-ตัวล (Saint ETOILE โดนัทช็อกโกแลต) มีปริมาณไขมันทรานส์ 0.1272 กรัม/ชิ้น

          4. เฟลเวอร์ ฟิลด์ (Flavor Field โดนัทช็อกโกแลต) มีปริมาณไขมันทรานส์ 0.0824 กรัม/ชิ้น

          5. แด๊ดดี้ โด (Daddy Dough ดับเบิ้ลช็อก) มีปริมาณไขมันทรานส์ 0.0729 กรัม/ชิ้น


          อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบปริมาณพลังงานในโดนัทแต่ละชิ้นก็พบว่า โดนัทส่วนใหญ่ให้พลังงานสูง เฉลี่ย 256 กิโลแคลอรี โดย 5 อันดับแรกที่ให้พลังงานสูงที่สุดคือ

          1. แซง-เอ-ตัวล ให้พลังงาน 320 กิโลแคลอรี/ชิ้น

          2. ยามาซากิ ให้พลังงาน 313 กิโลแคลอรี/ชิ้น

          3. ฟู้ดแลนด์ ให้พลังงาน 312 กิโลแคลอรี/ชิ้น

          4. ซับไลม์ โดนัท ให้พลังงาน 301 กิโลแคลอรี/ชิ้น

          5. เฟลเวอร์ ฟิลด์ ให้พลังงาน 298 กิโลแคลอรี/ชิ้น


ทั้งนี้ รศ. ดร.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนะนำให้ผู้บริโภคเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ ซึ่งพบได้ในอาหาร-ขนมที่มีส่วนประกอบของเนยขาว มาร์การีน ครีมเทียม เนื่องจากการบริโภคไขมันทรานส์เป็นประจำ หรือเกินกว่า 2.2 กรัมต่อวัน ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) เพิ่มขึ้น และยังไปลดระดับไขมันดี (HDL) เป็นต้นเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยจะทำให้เกิดการอักเสบของผนังหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดตีบง่ายขึ้นได้ รวมทั้งยังมีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง


          ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งพิจารณาออกประกาศการกำหนดห้ามนำส่วนประกอบอาหารที่มีไขมันทรานส์มาผลิตอาหาร หรือห้ามเติมไฮโดรเจน ลงในกระบวนการผลิตน้ำมัน (กระบวนการ Hydrogenation) เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค หลังจากก่อนหน้านี้ ทาง อย. เคยระบุว่ากำลังอยู่ในระหว่างการยกร่างประกาศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถบังคับใช้ได้ภายในเดือนเมษายน 2561 แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีประกาศออกมา


          - ไขมันทรานส์ อันตราย เลี่ยงได้สบายไปหลายโรค


26 พ.ค.61 โดย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

234
ชีวิตในเมืองมักเร่งรีบเสียจนทำให้เราพลาดมื้ออาหารที่สำคัญที่สุดของวันอย่าง “อาหารเช้า” บางคนเลือกที่จะทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ เร็วๆ และไม่ได้ใส่ใจในคุณค่าทางอาหารที่ได้รับมากนัก หวังว่าจะทานเพื่อเพียงให้ท้องอิ่ม ไม่แขวนไส้หิวจนท้องกิ่วจนกว่าจะถึงตอนกลางวัน

แต่ที่จริงแล้วอาหารเช้าสำคัญมาก และควรเป็นมื้อที่เน้นสารอาหารที่มีประโยชน์ที่สุดด้วยซ้ำ เพราะเราต้องนำพลังงานไปใช้เรียน ทำงาน ทำกิจกรรมต่างๆ ไปตลอดทั้งวัน แต่อาหารเช้าที่หลายคนเลือกทานก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อร่างกายเท่าที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้นเรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า ในอาหารเช้าเหล่านี้ มีเมนูไหนที่คุณทานอยู่เป็นประจำบ้าง ต้องเปลี่ยนด่วนเลยนะ


1. นม

บางคนอาจจะเคยได้ยินว่า นมไม่ควรทานตอนท้องว่าง เป็นเรื่องที่เข้าใจถูกแล้วล่ะค่ะ เพราะหากเราดื่มนมตอนท้องว่าง อาจทำให้ท้องอืดได้ หรือในบางคนยังอาจทำให้มีอาการปวดท้อง ท้องเดิน ท้องเสียได้อีกด้วย วิธีแก้ก็ง่ายๆ ห้ามดื่มนมเพียวๆ เพียงอย่างเดียว ทานควบคู่ไปกับอาหารอื่น โดยทานอาหานเข้าไปก่อน แล้วค่อยตามด้วยนม เท่านี้ก็ช่วยได้มากแล้วค่ะ แต่หากใครที่มีปัญหากับการดื่มนมจริงๆ อาจหมายถึงน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของคุณไม่สามารถย่อยนมได้ อาจจะลองพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งค่ะ


2. ไส้กรอก แฮม เบคอน

เรามักจะเห็นอาหารเหล่านี้อยู่ในบาร์อาหารแบบ อเมริกัน เบรกฟาสต์ หรืออาหารเช้าแบบอเมริกันนั่นเอง อย่างที่หลายคนทราบกันว่าเอาเข้าจริงแล้ว อาหารเหล่านี้ไม่ได้มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายนัก หากนานๆ ทานครั้งหนึ่งก็ไม่เป็นอะไร แต่หากทานอย่างเดิมบ่อยๆ แล้วไม่มีอาหารอื่นควบคู่ไปด้วย นั่นหมายถึงเราได้รับสารอาหารในตอนเช้าแค่แป้ง โปรตีนที่ไม่ได้คุณภาพ และไขมันเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ควรทานบ่อย หรือเมื่อไรที่ทานไส้กรอก แฮม เบคอน ควรทานควบคู่กับคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และเกลือแร่จากผักสดๆ ด้วย


3. ขนมปังทาช็อคโกแลต

บ้านใครที่มีเด็กเล็ก เด็กวัยรุ่น หรือเป็นครอบครัวที่ชอบทานช็อคโกแลต คงจะมีช็อคโกแลตสเปรดติดบ้านไว้กระปุกใหญ่ๆ ทาขนมปัง แล้วทาน อิ่มอร่อยถูกใจคุณหนูๆ แต่สารอาหารที่จะได้ มีเพียงแป้งและน้ำตาลเท่านั้น ดังนั้นเราแนะนำให้นานๆ ทานครั้งหนึ่ง หรือทานควบคู่ไปกับสเต็ก ไข่ดาว หรือสลัดผักด้วยค่ะ


4. ซีเรียล

อาหารเช้าง่ายๆ สไตล์ตะวันตก ที่สามารถทานได้ อิ่มเร็วภายในไม่กี่นาที แต่แพทย์ค้นพบว่าในซีเรียล โดยเฉพาะซีเรียลของเด็ก มีแต่แป้งและน้ำตาล สารอาหารแบบโฮลเกรน หรือธัญพืชต่างๆ มีปริมาณน้อยมาก นอกจากนั้นยังไม่ครบ 5 หมู่อีกด้วย ดังนั้นขอให้ซีเรียลเป็นเพียงตัวเลือกลำดับท้ายๆ ในวันที่รีบจริงๆ เท่านั้นนะคะ


5. ปาท่องโก๋ จิ้มนมข้น

ผู้ใหญ่หลายคนเลือกทานปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ น้ำเต้าหู้เป็นอาหารเช้าที่ดี และควรทานคู่กับอาหารอื่นๆ เช่น แป้ง แต่ตัวปาท่องโก๋เองเป็นแป้งที่ชุ่มน้ำมัน (ที่ไม่ดี หากเป็นน้ำมันหมูที่ทอดนานๆ แล้วไม่ค่อยได้เปลี่ยน) แถมยังทำร้ายตัวเองหนักเข้าไปอีกด้วยการทานคู่กับนมข้นหวาน ที่ไม่ได้มีอะไรมากเลยนอกจากน้ำตาล ซึ่งจะทำให้เราหิวเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้สิ่งที่ขาดหายไปก็คือ เกลือแร่และวิตามิน จากผักและผลไม้นั่นเอง ดังนั้นนานๆ ทานทีดีกว่านะคะ

 

จะเห็นได้ว่ามื้อเช้าที่สะดวก รวดเร็ว หาทานได้ง่ายของคนไทยหลายคน ขาดเกลือแร่และวิตามินอยู่ตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะทำให้เราได้รับสารอาหารในตอนเช้าที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้เรามีเช้าที่ไม่สดใส ไม่กระปรี้กระเปร่า ไปได้ ดังนั้นควรหันมาทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่อย่าง ต้มเลือดหมู โจ๊ก ข้ามต้ม แซนวิช (ใส่ผัก) หรือกับข้าวง่ายๆ อย่าง ข้าวกับแกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้หมูสับ เท่านี้ก็อิ่มอร่อย ไม่ทำลายสุขภาพแล้วล่ะค่ะ






28 พ.ค. 61 โดย sanook.com

235
 แปลกใจไหม

    ทำไมบางคนอายุมากขึ้นยังดูสดใส ใช้ชีวิตเหมือนเป็นวัยเริ่มต้นที่พร้อมจะทดลองทำสิ่งใหม่ตลอดเวลา


     ขณะที่บางคนสัญญาณความเสื่อมถอยของร่างกายกลับปรากฏชัด แถมโรคต่างๆ ก็รุมเร้ามาเยือนรอบด้านทำร้ายให้ดูแก่ลงกว่าอายุ


     ทั้งหมดคือความจริงที่เป็นผลลัพธ์จากการดูแลตัวเอง ถ้าคุณดูแลตัวเองมาดี ผลที่ปรากฏก็ย่อมดีตาม ในทางกลับกัน ถ้าคุณทำร้ายร่างกายเป็นประจำ ไม่เคยออกกำลังกาย กินอาหารแบบไม่เลือก แถมไม่เคยใส่ใจที่จะพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายก็ย่อมต้องส่งสัญญาณเตือนผ่านความเสื่อมโทรม


     แต่ก็ใช่ว่าแย่แล้วจะฟื้นฟูไม่ได้ ทั้งหมดเปลี่ยนได้แค่เริ่มใส่ใจดูแลตัวเอง พร้อมกับยอมรับให้ได้ว่าในวัยสี่สิบกว่าร่างกายจะเรียกร้องให้คุณลงทุนกับเขามากกว่าเดิม และจะรอรับอย่างเดียวไม่ได้ เพราะร่างกายไม่มีให้เหมือนในวัยยี่สิบกว่าอีกต่อไป เนื่องจากเมื่ออายุครบ 25 ร่างกายจะค่อยๆ เสื่อมลงในทุกด้าน  และทันทีที่เข้าสู่ช่วงอายุ 35-45 ปี เซลล์จะหยุดการสร้างเซลล์ใหม่มาทดแทนเซลล์เก่า และฮอร์โมนเริ่มลดลง ก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าสู่เลข 45 ทำให้ร่างกายเกิดโรคต่างๆ ที่เห็นได้ชัดเจนขึ้น อาทิ โรคทางสมอง โรคปวดตามข้อ ท้องอืดง่าย โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง



 แล้วจะต้องลงทุนแบบไหนให้กับร่างกาย

     สิ่งที่ร่างกายเรียกร้องให้คุณจ่ายให้กับเขาคือการลงทุนให้กับการดูแลตัวเองที่มากขึ้น ลงทุนเรื่องอาหารการกินมากกว่าเดิม ลงทุนเรื่องการพักผ่อน ลงทุนเรื่องการใช้ชีวิต สิ่งเหล่านี้ยิ่งลงทุนมาก คุณจะยิ่งได้รับ “ความแข็งแรง” กลับคืนมากขึ้นเท่านั้น และจะสามารถทำสิ่งที่คุณรักได้อีกยาวนาน


     แต่การดูแลตัวเองในวัยที่อายุเพิ่มมากขึ้นหรือเข้าเลขสี่ ซึ่งถือว่าเป็นวัยทองสำหรับผู้หญิง และเป็นช่วงเสื่อมสำหรับผู้ชายบางคนคือเรื่องเฉพาะตัวที่วัยนี้ต้องทำแบบไม่ซ้ำกับวัยไหน  โดยต้องเน้นหนักไปที่เรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ เพราะ You are what you eat ประโยคคลาสสิคที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยยังคงเป็นเรื่องจริง ถ้าอยากแข็งแรงก็ต้องกินให้ดี ทำตัวเหมือนเป็นตู้เย็น ถ้าอยากให้สะอาดสวยงามก็ต้องบรรจุผักไว้มากกว่าเนื้อสัตว์ มีน้ำเปล่ามากกว่าน้ำหวานที่จะมาเพิ่มน้ำตาลให้เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน และไขมัน และหลีกเลี่ยงของมันของทอดให้ได้ ลองสังเกตดูถ้าเก็บของเหล่านี้ไว้ในตู้เย็นนานๆ จะมีกลิ่นหืนที่ไม่น่ากิน เช่นกันเราก็ไม่ควรให้ของเสียเหล่านั้นมาอยู่ในร่างกายของเรามากเกินกว่าที่ความสามารถภายในจะขับทิ้งออกไปได้


     “ลดหวาน ลดเค็ม เลิกกินของมัน หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ เพิ่มข้าวกล้อง ผัก ปลา และนมถั่วเหลืองในมื้ออาหาร”

     

 เคล็ดลับกินดีเพื่อจะได้อยู่ดีเมื่ออายุมากขึ้น 


  ว่าแต่ทำไมต้องมี “นมถั่วเหลือง” ร่วมด้วย นั่นก็เพราะในวัยที่อายุเพิ่มขึ้น ยิ่งสำหรับคนที่เข้าสู่เลขสี่ร่างกายจะไม่เหมือนเดิม สัญญาณสุขภาพเริ่มชัดเจน  ซึ่งปัญหาหลักเป็นเรื่องของอาการปวดไขข้อที่เกิดขึ้นเนื่องจากเนื้อเยื่อที่ป้องกันในกระดูกและเชื่อมต่อกระดูกเข้าด้วยกันเริ่มหมดสภาพจึงเป็นที่มาของการปวดเมื่อยตามไขข้อส่วนต่างๆ เช่นข้อเข่า ข้อมือและข้อแขน อีกทั้งเริ่มหลงๆลืมๆ นึกช้า แป๊ปๆก็ลืม รวมไปถึงอาการแปร๊ปๆที่หน้าอก ที่บอกถึงอาการของสุขภาพหัวใจเริ่มแปรปรวน


     ดังนั้น “นมถั่วเหลือง” ที่คัดสรรสารอาหารสำคัญสำหรับคุณ จะช่วยดูแลระบบสำคัญของร่างกายทั้ง 3 ระบบได้ครบ ไม่ว่าจะเป็นกระดูก สมองและหัวใจ


     ที่สำคัญถ้าเป็น “น้ำนมถั่วเหลือง วีซอย ไฮแคลเซียม” ที่ช่วยดูแลระบบกระดูก เพราะมีแคลเซียมสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟัน มีวิตามินดี ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและ มีไอโซฟลาโวน ช่วยดูแลระบบสมอง มีวิตามินB12 ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง มี Lecithin พร้อมกับมี Omega 3 และ OMEGA 6 ไม่มีโคเลสเตอรอล น้ำตาลน้อย และ ไม่เติมน้ำตาล


     ดื่มวีซอยไฮแคลเซียมวันละ 2 กล่อง เพื่อดูแลระบบกระดูก สมอง และหัวใจ .ให้แข็งแรงครบทั้งร่างกาย


 นอกจากจะเน้นหนักที่เรื่องกินแล้วควรดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย ถ้าไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลยเริ่มต้นที่เดินเบาๆ วันละ 30 นาทีก็เพียงพอ แต่ถ้าทำจนอยู่ตัวให้เพิ่มเวลาขึ้นจนครบชั่วโมง หรือจะเปลี่ยนจากเดินๆ วิ่งๆ ไปยืดเส้นด้วยโยคะหรือปั่นจักรยาน ได้หมดขอแค่ทำเท่านั้นก็พอ เพื่อให้เซลล์ในร่างกายถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งยังจะส่งผลให้ฮอร์โมนต่างๆ ปรับระดับขึ้นจนเหมาะสม


     อย่าคิดว่ายากเกินที่จะเริ่มต้นในวัย 40 กว่า เพราะในทางกลับกัน ทุกวันนี้เราเห็นผู้สูงอายุในวัย 60 ยังคงวิ่งพิชิตมาราธอนได้อย่างสบายภายใต้การฝึกฝนอย่างจริงจัง ได้เห็นหลายคนที่อายุเข้าเลขห้าเริ่มต้นลงไตรกีฬาเป็นครั้งแรก และอีกมากมายที่บ้างก็ผันตัวไปเป็นครูโยคะในวัยปลดเกษียณ หรือกระทั่งเริ่มต้นหัดว่ายน้ำครั้งแรกในชีวิตช่วงที่อายุแตะเลขสี่  ถ้าดูแลตัวเองมาดีขนาดนี้ อายุก็เป็นเพียงตัวเลขเท่านั้นจริงๆ!

 



14 พ.ค. 61  โดย sanook.com

236
ต้องขอออกตัวก่อนว่าเรื่องนี้เป็นความสงสัยส่วนตั๊วส่วนตัว สงสัยในเรื่องที่ว่าพวกเขาเหล่านั้น (ผู้ป่วย) กินอะไร ? ทำไมถึงเป็นโรคเกาต์ เห็นชอบบอกกันอยู่บ่อยๆ ว่าอย่ากินไก่เยอะสิ กินเยอะเดี๋ยวเป็นเกาต์นะ ไอเราก็ งง .. อยู่ดีๆ จะให้เลิกกินของอร่อย หรือกินไก่ทอด ไก่ย่าง ให้น้อยลงก็คงจะเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจอยู่ไม่น้อย วันนี้มีเวลาเหมาะๆ พอดี Sanook! Health เลยถือโอกาสไปหาเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรคเกาต์มาฝาก จะได้หายข้องใจกันไปเลยว่ากินไก่ต่อได้ หรือกินต่อไม่ได้

โรคเกาต์ คืออะไร ?


โรคเกาต์ ก็เป็นโรคข้ออักเสบประเภทหนึ่ง พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งเกิดจากการตกตะกอนของกรดยูริคภายในข้อ โดยกรดยูริคนี้ก็มาจากสารพิวรีนที่มีอยู่มากในอาหารจำพวกเครื่องในสัตว์และถั่วเมล็ดแห้ง เตือนไว้ก่อนว่าใครที่เป็นโรคเกาต์เข้านะ จะต้องได้รับการดูรักษาไปต่อเนื่องตลอดชีวิตเลย (จริง 1000%) เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้ข้อต่างๆ ตามร่างกายของเราผิดรูป จนทำให้พิการได้ น่ากลัวมากจริงๆ



อาการแบบไหนถึงจะทำให้รู้ว่าเป็น โรคเกาต์ เข้าแล้ว ?

วิธีสังเกตก็ดูไม่ยาก ดูตามที่เราสรุปมาเป็นข้อๆ ได้เลย


1.มีอาการปวดตามข้อ ข้อบวม ผิวบริเวณข้อแดง กดลงไปรู้สึกเจ็บ ซึ่งอาการปวดเกิดขึ้นได้กับข้อหลายตำแหน่ง อย่างที่มีการพบบ่อยๆ ได้แก่ ข้อนิ้วโป้งเท้า , ข้อเท้า และข้อเข่า โดยอาการปวดจะเกิดขึ้นแบบฉับพลัน รวมถึงมีอาการไข้ขึ้นเล็กน้อยไปจนถึงไข้สูง


2.เมื่อมีอาการปวดกำเริบขึ้นแต่ละครั้งก็จะกินเวลาไปประมาณ 3 - 7 วัน


3.ถ้ารู้ตัวว่าเป็น โรคเกาต์ แต่ไม่รีบไปรักษา ปล่อยให้มีอาการแบบที่กล่าวมาอยู่เรื่อยๆ ต่อเนื่อง ก็เสี่ยงที่จะทำให้การอักเสบเกิดขึ้นซ้ำๆ จนทำให้ข้อบิดเบี้ยว เดินลำบาก ไปจนถึงพิการได้

4.นอกจากนั้นก็ยังมีอาการอื่นเกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น อาจพบนิ่วในไต หรือนิ่วในทางเดินปัสสาวะ


สิ่งที่ไปกระตุ้นให้ โรคเกาต์ เกิดการเจริญเติบโต


ถ้าจะว่ากันง่ายๆ ก็คือสิ่งที่เรารับเข้าสู่ร่างกายแล้วเข้าไปเสริมให้มีโอกาสที่จะเป็น โรคเกาต์ เพิ่มขึ้น หรือถ้าหากเป็นอยู่แล้วก็จะยิ่งเสริมให้อาการที่มีรุนแรงมากขึ้นไปอีก ดังนี้

*การกินอาหารที่มีสารพิวรีนประกอบอยู่มาก เช่น สัตว์ปีก, เครื่องในสัตว์

*การดื่มเหล้าและเบียร์

*ยาบางชนิด อาทิ ยาลดความดันโลหิตบางชนิด, ยาที่เพิ่มให้เลือดมีกรดยูริคสูง

*ปัจจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การบาดเจ็บ, ช่วงเวลาหลังผ่าตัดใหม่ หรือแม้แต่ความเครียดก็มีส่วนที่ทำให้เกิดโรคเกาต์ได้เหมือนกันนะ
 


‘ปวดเกาต์’ เกิดขึ้นตอนไหนได้บ้าง ?


ตอนนี้เรายังไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าอาการปวดเกาต์จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เนื่องจากแต่ละคนก็มีปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการปวดได้แตกต่างกัน แต่โดยส่วนใหญ่เวลาที่บอกต่อไปนี้ผู้ป่วยมักจะเกิดอาการปวดขึ้นได้คล้ายๆ กัน



*ช่วงเวลาที่เกิดความเครียดสูง มีแรงกดดันสูง

*ช่วงเวลาที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

*ช่วงเวลาที่กินเลี้ยงในงานสังสรรค์ กินอาหารมากจนเกิดเป็นพิษต่อร่างกาย โดยเฉพาะอาหารที่มีกรดยูริคสูง

*ช่วงเวลาที่ร่างกายไม่แข็งแรง หรือป่วย

*ช่วงเวลาที่อากาศเย็น หนาว ฝนตก หรืออากาศมีความแปรปรวน


ระดับความรุนแรงของ ‘โรคเกาต์’

1.Asymptomatic Hyperuricemia : ระยะนี้จะยังไม่มีอาการแสดงออกมาให้เห็น ถึงแม้ว่าจะมีกรดยูริคสะสมอยู่ในเลือดสูง แต่ยังไม่ทำให้เกิดอาการปวดใดๆ

2.Acute Gouty Arthritis : ระยะนี้ผู้ป่วยจะเกิดอาการปวดตามข้อขึ้นมาอย่างกะทันหัน

3.Intercritical Gout (พัก) : ระยะนี้อาการปวดของผู้ป่วยจะหยุด หรือเริ่มหายปวดลงจากช่วงแรก เป็นระยะที่เว้นก่อนเริ่มอาการปวดในครั้งต่อไป โดยในระยะนี้แนะนำให้ผู้ป่วยรีบหาวิธีรักษาแก้ไขอย่างเร่งด่วนก่อนจะกลับมามีอาการปวดอีก

4..Recurrent Gout Arthritis : ระยะนี้ผู้ป่วยจะกลับมามีอาการปวดอีกครั้ง

Chronic Tophaceous Gout : ระยะนี้อาการปวดที่เกิดขึ้นจะรุนแรงจนถึงระดับเรื้อรังและปวดอย่างต่อเนื่อง ขยายบริเวณที่ปวดมากขึ้น ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา


การตรวจวินิจฉัย

หากว่ามีอาการตามที่กล่าวมาข้างต้น หรือมีบางอาการที่ส่อว่าเรากำลังเข้าสู่การเป็นผู้ป่วยโรคเกาต์ ก็ควรเดินทางไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยน่าจะดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาคิดไปกันเอง โดยแพทย์ก็จะมีการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีดังต่อไปนี้

*การเจาะน้ำในข้อไปตรวจ ว่ากันว่าวิธีนี้เป็นวิธีการตรวจยืนยันที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่การตรวจหาว่าเป็นโรคเกาต์หรือไม่ แต่ยังช่วยวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ เพิ่มเติมได้ด้วย


*การเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับกรดยูริคว่ามีสูงกว่าปกติหรือไม่


*การ X-Ray บริเวณข้อที่มีอาการปวด โดยจะดูความผิดปกติได้จากภาพในรังสี


การรักษาโรคเกาต์

เมื่อเดินทางไปตรวจวินิจฉัยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาแล้ว พบว่าตัวเองนั้นเป็น โรคเกาต์ จริงๆ แพทย์ก็จะให้ยามา พร้อมกับคำแนะนำเพื่อบรรเทาอาการ โดยที่เราก็ต้องปฏิบัติตามสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด

*ขณะที่โรคกำเริบ ควรกินยาตามแพทย์สั่ง

*ทำการประคบเย็น

*ควรลดการใช้ข้อ หลีกเลี่ยงการลงน้ำหลักที่ข้อที่เกิดการอักเสบ

*กินน้ำให้เพียงพอ


ป้องกัน โรคเกาต์ เอาไว้ตั้งแต่ต้นต้องทำยังไง?


*หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดังต่อไปนี้ หัวใจไก่, ตับไก่, กึ๋นไก่, เซ่งจี้หมู, ตับหมู, ไต, ตับอ่อน, มันสมองวัว, เนื้อไก่, เนื้อเป็ด, ห่าน, ไข่ปลา, ปลาดุก, ปลาไส้ตัน, ปลาอินทรีย์, ปลาซาร์ดีน, กุ้งชีแฮ้, หอย, น้ำสกัดเนื้อ, น้ำต้มกระดูก, น้ำซุปต่างๆ, ซุปก้อน, ยีสต์, เห็ด, ถั่วดำ, ถั่วแดง, ถั่วเขียว, ถั่วเหลือง, กระถิน, ชะอม, กะปิ เป็นต้น


*ดื่มน้ำมากๆ


*กินยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งในผู้ป่วยบางรายอาจต้องกินยาตลอดชีวิต

 

อื้อหือ! เป็นยังไงบ้างกับข้อมูลที่ Sanook! Health รวบรวมมาฝาก เรียกได้ว่าเคลียร์ชัดกันไปเลย ไม่ใช่แค่เฉพาะไก่เท่านั้นนะที่กินมากก็ไม่ดี แต่ยังรวมถึงสัตว์ปีกทุกชนิด ไปจนถึงเครื่องในที่จัดว่าเป็นเมนูโปรดของใครหลายๆ คน ฉะนั้นแล้ว ถ้าเลือกที่จะกินก็ต้องดูแลตัวเองกันให้ดีด้วย ดื่มน้ำให้มาก ออกกำลังกายให้เยอะ ร่างกายจะได้เผาผลาญ โรคเกาต์ จะได้ไม่ต้องถามหานะจ๊ะ


10 พ.ค. 61 โดย sanook.com

237
 อาการมือเท้าชาไม่ใช่เรื่องเล็กที่เมื่อเป็นแล้วจะสลัดให้หาย จากนั้นก็วางใจนิ่งว่าไม่เป็นอะไร เพราะนี่คือสัญญาณอันตรายที่มากระตุ้นเตือนให้รู้ว่าตอนนี้ร่างกายไม่ปกติ อาจเข้าข่ายเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ

     แล้วแบบไหนถึงเรียกว่ากำลังเป็นมือเท้าชา

     ชาคืออาการรับสัมผัสที่ผิดเพี้ยนไปสามารถเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกาย  ไม่ใช่แค่มือและเท้า ลักษณะของอาการชาที่พบบ่อยแบ่งออกได้เป็น 6 อย่างคือ ชาไม่รู้สึกอะไร ชายุบยิบเหมือนอะไรไต่ ชาเสียวแปล๊บตามแนวเส้นประสาท ชาปวดแสบร้อนๆเย็นๆ ชาเหมือนเข็มทิ่ม และ ชาหนาๆเหมือนใส่ถุงมือ ถุงเท้า

      ถ้ารู้สึกชาตามที่กล่าวมา อย่าทำตัวชิน คิดว่าไม่เป็นอะไรมาก เพราะเรื่องชาเล็กๆ แบบนี้อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่อย่าง “โรคปลายประสาทอักเสบ” ที่รักษายากในอนาคต

 โรคปลายประสาทอักเสบที่เป็นต้นตอของอาการชาตามจุดต่างๆ ในร่างกายสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานที่ใช้ข้อมือหนักๆ บ่อยๆ นานๆ เช่น ใช้งานคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องตลอดทั้งวัน เล่นโทรศัพท์มือถือแบบไม่หยุดพัก ชอบถือของหนัก หรือเป็นนักกีฬาที่ต้องใช้ข้อมือเป็นหลัก รวมไปถึงกลุ่มคนที่เป็นโรคเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ไต และโรคกระดูกเสื่อม ไม่เพียงเท่านั้นกลุ่มคนที่รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ เช่น กลุ่มที่ทานมังสวิรัติ หรือคนติดสุราเรื้อรัง รวมไปถึงผู้สูงอายุที่มีการดูดซึมวิตามินลดลง ทำให้มีภาวะขาดวิตามิน เช่น มีโคบาลามิน หรือวิตามินบี 12 ซึ่งจะนำไปสู่อาการชาที่ปลายมือปลายเท้าได้


ช่วงเริ่มแรกของอาการมือเท้าชา คุณอาจจะรู้สึกชาเบาๆ ร่วมกับอาการปวด  ซึ่งเพราะความที่มาเพียงชั่วครู่ชั่วคราว ทิ้งไว้สักพักก็ทุเลาทำให้สัญญาณเตือนถูกมองข้ามคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่จนอาการเรื้อรังและหนักหนาถึงขั้นเรียกได้ว่าสาหัสเพราะอาการจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งยังจะรักษาให้หายขาดได้ยากขึ้น

     ดังนั้นโรคแบบนี้ยิ่งรู้ตัวไว ยิ่งรักษาง่าย และยังเป็นการป้องกันการสูญเสียที่รุนแรงในระยะยาวได้อีกด้วย

เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มชาที่ปลายมือและปลายเท้า วิธีการรักษาสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบด้วยกัน แบบแรกคือเริ่มต้นรักษาตามสาเหตุ ถ้าอาการชาเกิดจากการกดทับ ซึ่งมักเป็นกับพนักงานออฟฟิศที่ต้องทำงานท่าเดิมเป็นเวลานานๆ หรือคนทำงานบ้านที่ต้องใช้มืออยู่ตลอดเวลา แนะนำให้หมั่นเปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นมาเดินยืดเส้นยืดสาย กายบริหารเบาๆ แต่หากอาการชามาจากโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ก็ต้องหนักแน่นในการควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม  เพราะนี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นทางที่ดีที่สุด


อีกหนึ่งทางเลือกที่ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งก็คือการรักษาอาการชาด้วยยา “มีโคบาลามิน” หรือบี 12 ชนิด active form เพราะจากการทดลองกับคนไข้ที่เป็นเบาหวานซึ่งมีความผิดปกติในด้านการรับความรู้สึกจำนวน 406 คน โดยคนไข้ที่มีอาการปลายประสาทอักเสบจากเบาหวานที่ได้รับมีโคบาลามิน 1 เม็ด 3 เวลา หลังอาหารเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 2 เดือนพบว่า “เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ที่มีอาการชาดีขึ้นมีมากถึง 70% และอาการปวดเรื้อรังดีขึ้นมากกว่า 50%


     “มีโคบาลามิน” เป็นวิตามินบี 12 ที่ให้การรักษาในรูปแบบของ Active Form ซึ่งจะทำให้สามารถดูดซึมเข้าสู่เส้นประสาทได้ดี ปริมาณยาคงตัว รักษาได้ตรงจุด ทั้งยังช่วยเร่งการสร้างโปรตีน กรดนิวคลิอิคที่ควบคุมการเจริญเติบโตให้แก่เส้นประสาท เร่งการสร้างไขมันที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเส้นไยไมอีลิน พอเส้นประสาทถูกซ่อมแซมอาการชาก็จะดีขึ้น


     ความแตกต่างระหว่าง “มีโคบาลามิน” กับ “วิตามินบี 12 ทั่วไป (inactive form)” คือ มีโคบาลามินเป็นรูปแบบหลักที่ร่างกายนำไปใช้ซ่อมแซมเส้นประสาท ในขณะที่วิตามินบี 12 ทั่วไป เช่น ไซยาโนโคบาลามิน, ไฮดรอกโซโคบาลามิน จะต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงให้เป็น Active Form เช่น มีโคบาลามินก่อน  ซึ่งร่างกายแต่ละคนมีความสามารถในการดูดซึมและเปลี่ยนแปลงรูปแบบยาแตกต่างกัน


     อาการชาจากปลายประสาทอักเสบ เมื่อเป็นแล้วต้องอาศัยระยะเวลาในการรักษา  นอกจากการรักษาที่ต้นเหตุ และ รับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรแล้ว  การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหมั่นออกกำลังกายเบาๆ ก็จะช่วยเสริมให้อาการดีขึ้นด้วย


เมื่อรู้ถึงอันตรายแบบนี้แล้วลองมาทำแบบฝึกหัด 12 ข้อนี้กันดูดีกว่า ถ้าตอบว่าใช่มากกว่า 2 ข้อก็ต้องรีบหาสาเหตุให้เจอเพื่อจะได้ป้องกันได้ทันท่วงที เพราะถ้ารอให้ช้าอาจยากเกินกว่าจะแก้ไขได้

1.รู้สึกซ่าที่ปลายมือหรือเท้า
2.รู้สึกเหมือนเข็มแทงที่ปลายมือหรือเท้า
3.รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ปลายมือหรือเท้า
4.รู้สึกไวต่อความเจ็บปวด เช่น การแตะสัมผัสเบาๆ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บ
5.เจ็บปลายเท้าโดยเฉพาะกลางคืน
6.ปลายมือ ปลายเท้าเย็น หรือร้อนผิดปกติ
7.ปลายมือหรือเท้าชาและไม่รู้สึกเมื่อสัมผัส
8.มือและเท้าไม่รู้สึกถึงความรู้สึกร้อนเย็น
9.ไม่รู้สึกเจ็บเมื่อมีแผลที่เท้า
10.กล้ามเนื้อที่ขาและเท้าอ่อนแรง
11.รู้สึกไม่ค่อยมั่นคงและอ่อนแรงเวลายืนหรือเดิน
12.เมื่อมีแผลมักเป็นแผลเรื้อรัง

07 พ.ค. 61  sanook.com

238
การจะเลือกแว่นกันแดดสักอัน ที่มีคุณภาพและปกป้องดวงตาจากแสงแดดได้ดี เลนส์ก็มีส่วนสำคัญ ในปัจจุบันมีเลนส์มากมายหลายประเภท ทั้งเลนส์ปรอท เลนส์ตัดแสง เลนส์ย้อมสี เลนส์ธรรมดา เลนส์แต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วจะเลือกแบบไหนให้เหมาะกับการใช้งาน รวมถึงพื้นฐานเบื้องต้นสำหรับการเลือกแว่นกันแดดให้เหมาะกับประเทศไทยเราที่มีแดดแรงตลอดปี ควรเลือกแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสี UV-A ได้ 95% และ ป้องกันรังสี UV-B ได้ 99% นอกจากการเลือกค่ารังสี UV แล้ว ชนิดและสีของเลนส์กันแดดก็ควรคำนึงถึงด้วย


ชนิดของเลนส์กันแดด มี 2 ชนิด

เลนส์ย้อมสี เพื่อให้เนื้อเลนส์มีสีเข้ม สามารถกันแสงจ้าได้ดี  เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้งทั่วไป

เลนส์ Polarized เป็นเลนส์ที่ช่วยป้องกันแสงสะท้อน มีคุณสมบัติพิเศษช่วยตัดแสงได้ดี ทำให้ตาไม่พร่ามัวเมื่อเจอแสงจ้า เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้งและขับรถเป็นอย่างยิ่ง
 


สีของเลนส์มีหลากหลาย มีแนวทางในการเลือกสีของเลนส์ให้เหมาะสมในการใช้งาน คือ


เลนส์สีเทา-ดำ จะช่วยกรองแสงจ้าเมื่ออยู่กลางแจ้ง

เลนส์สีน้ำตาล จะช่วยกรองแสงและทำให้การมองคมชัดขึ้น ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์การมอง

เลนส์สีเขียว สามารถกรองแสงได้ใกล้เคียงกับสีเทา-ดำ แต่การใช้เลนส์สีเขียวเข้มจะช่วยให้สบายตามากขึ้นเมื่อต้องอยู่กลางแดดจ้า โดยเฉพาะกิจกรรมกลางแจ้ง

สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องใส่แว่นตากันแดดตลอดเวลาทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง จะมีเลนส์แว่นตา 2 ชนิดที่เหมาะต่อการใช้งานคือ

เลนส์สีเทาอ่อน-สีน้ำตาลอ่อน ไล่เฉดสี เพื่อให้ช่วยกันแดดเวลาอยู่กลางแจ้งและไม่มืดเกินไปเมื่ออยู่ในอาคาร

เลนส์เปลี่ยนสีได้ จะเป็นเลนส์ที่มีความใสเมื่ออยู่ในอาคาร และเมื่อตัวเลนส์ได้รับรังสี UV จะเปลี่ยนเป็นสีเข้มเองทันที โดยแนะนำให้เลือกเลนส์สีเทา สีน้ำตาล

 

นอกจากนี้เลนส์ปรอทยังเป็นเลนส์อีกชนิดหนึ่งที่เหมาะกับคนที่ใช้กิจกรรมกลางแดดจ้า เพราะผิวหน้าเลนส์จะเป็นการเคลือบปรอท มีลักษณะคล้ายเป็นกระจกช่วยสะท้อนแสงแดดให้ออกไป จึงมีส่วนช่วยได้มากเวลาต้องอยู่กลางแดดจ้าเป็นเวลานาน และในด้านแฟชั่นเลนส์ปรอทมีความสวยงาม เมื่อสวมใส่แล้วทำให้ผู้ที่สวมใส่มีความโดดเด่นขึ้นมาด้วย


ทั้งนี้เลนส์ที่กล่าวมาเป็นเพียงเลนส์ทางเลือกสำหรับคนที่ชอบแฟชั่นและความสวยงาม ซึ่งถ้ามีลักษณะการใช้งานทั่วไป แค่เลือกเลนส์กันแดดธรรมดาที่มีคุณภาพ เลือกสีของเลนส์ให้เข้มเพียงพอต่อสภาพแวดล้อมของแสง เพียงเท่านี้ก็สามารถป้องกันดวงตาจากแสงแดดได้แล้วล่ะค่ะ



08 พ.ค. 61  ข้อมูล :คุณชนิตา ตันเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบแว่นตาจาก Chic Optical ชั้น 1 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี)




08 พ.ค. 61

239
อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกแนะนำน้ำผึ้งเดือน 5 ความเข้มข้นสูง ช่วยบำรุงร่างกาย  สมานแผล เป็นยาอายุวัฒนะ ดูแลผิวช่วงหน้าร้อนได้อย่างมีคุณภาพ


นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้สัมภาษณ์ถึงประโยชน์ของน้ำผึ้งว่า คนทั่วไปจะรู้จักน้ำผึ้งกันเป็นอย่างดี น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลฟรุคโทส (fructose) เป็นหลัก เป็นน้ำหวานโมเลกุลคู่ที่ได้จากดอกไม้หรือผลไม้ มีความหวานมากกว่าน้ำตาลกลูโคส ถึง 1.4 เท่า น้ำผึ้งที่ดีจะมีลักษณะข้นหนืด มีความใส โปร่งแสง สะอาด ไม่มีตะกอนหรือสิ่งเจือปน ไม่มีไขผึ้ง ไม่มีฟอง ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว มีกลิ่นหอมเฉพาะของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งดูดน้ำหวานมา ในน้ำผึ้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 303 แคลลอรี่ ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย น้ำผึ้งถูกนำไปผสมในอาหารคาวหวาน เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร  น้ำผึ้งที่มีคุณภาพดีมาก คือ น้ำผึ้งเดือน 5 จะมีความเข้มข้นสูง เนื่องจากเป็นช่วงหน้าแล้ง ดอกไม้กำลังเบ่งบานน้ำผึ้งที่เก็บในช่วงนี้จะมีความชื้นน้อย ภูมิปัญญาชาวบ้านในการตีผึ้งเอาน้ำหวาน  โดยจะตีผึ้งในวันที่ 7 หลังจากที่พบรังผึ้ง ในระหว่าง 7 วันก่อนจะตีผึ้ง จะต้องไม่มีฝนตกลงมา เพราะจะทำให้น้ำผึ้งเหลวและไม่เข้มข้นในช่วงหน้าแล้ง



ตามตำราเภสัชกรรมไทย น้ำผึ้ง มีรสหวาน สรรพคุณบำรุงกำลัง แก้สะอึก แก้ไข้ เป็นยาอายุวัฒนะและช่วยสมานแผล น้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบในตำรับยาไทยหรือพิกัดยาไทยหลายขนาน เช่น ตรีมธุรส บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร (มีส่วนผสมของ น้ำผึ้ง น้ำตาล น้ำมันเนย) และยาที่ใช้ในการบำรุงร่างกาย ตำรับต่างๆ จะมีส่วนผสมของน้ำผึ้ง ซึ่งแพทย์แผนไทยใช้น้ำผึ้งในการแต่งรสยา เพื่อให้ยารับประทานง่ายขึ้น แต่จะไม่ใช้กับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง นอกจากนี้ทางการแพทย์ยังใช้น้ำผึ้งเป็นสารยึดเกาะ ประสานผงยาลูกกลอนให้จับก้อน จากข้อมูลการศึกษาวิจัย พบว่า น้ำผึ้งบริสุทธิ์มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ช่วยสมานแผล ลดอาการอักเสบ ดับกลิ่นของแผล ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ปัจจุบันมีการใช้น้ำผึ้ง เป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมเวชสำอาง ใช้ดูแลผิวพรรณ รวมถึงอาหารเสริมต่างๆ มากยิ่งขึ้น



อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้น้ำผึ้งก็มีข้อพึงสังเกต หากพบว่าเป็นน้ำผึ้งป่า ต้องสอบถามหรือตรวจสอบให้แน่ใจว่าบริเวณที่เก็บน้ำผึ้งไม่มีดอกไม้ที่เป็นพิษ เพราะอาจจะทำให้เกิดพิษ หรือไม่ได้ผลเท่าที่ควรจากการใช้น้ำผึ้งป่า และผู้ใช้ควรทำให้น้ำผึ้งบริสุทธิ์โดยการต้มเคี่ยวก่อนนำมาใช้



 09พ.ค.61  ข้อมูล :กรมการแพทย์แแผนไทยและการแพทย์ทางเลือก



240
ใครที่มักมีปัญหาขี้หลงขี้ลืมเป็นประจำ เช่น กำลังจะออกจากบ้านแต่ดันลืมหยิบร่ม หรือบางทีออกมาแล้ว แต่ก็ลืมหยิบกุญแจออกมาด้วย  ปัญหาเหล่านี้ใช่ว่าจะแก้ไม่ได้ เพียงแต่ต้องมีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่ใช้หลักการเชื่อมโยงเหตุการณ์เข้ามาเป็นตัวช่วยเท่านั้น

โดยนักวิทยาศาสตร์แนะนำให้จินตนาการเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นระหว่างของ 2 สิ่ง เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์กัน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ไม่เกิดปัญหาหลงลืมได้ เช่น ในกรณีของร่มกับกุญแจ ให้เรานึกว่าข้างนอกมีฝนตกต้องพกร่มไปด้วย แต่ประตูหน้าบ้านล็อกอยู่เปิดไม่ได้ ต้องใช้กุญแจไขจึงจะออกจากบ้านไปข้างนอกได้

ทั้งนี้ ศาสตราจารย์เจนนิเฟอร์ ไรอัน นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโตรอนโตในแคนาดา ซึ่งรวมทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ระบุว่า การเชื่อมโยงดังกล่าวคล้ายกับเกม “ค้อน-กระดาษ-กรรไกร” ที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อย่างที่เราทราบกันดีว่า ค้อนชนะกรรไกร กรรไกรชนะกระดาษ และกระดาษชนะค้อน

ศาสตราจารย์ไรอัน บอกด้วยว่า แม้งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า การจินตนาการของ 2 สิ่งเข้าด้วยกันช่วยให้จดจำได้ แต่จากผลวิจัยล่าสุดที่ทดสอบความจำกลุ่มผู้สูงวัยจำนวน 80 คน อายุระหว่าง 61-88 ปี กลับพบว่า การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างของ 2 สิ่ง ถือเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้สูงวัยที่ได้รับการฝึกฝนเรื่องเทคนิคดังกล่าว จะมีความจำที่ดีขึ้นจากการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของมาเป็นตัวเชื่อมโยงเหตุการณ์


05 พ.ค 61  sanook.com

หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 20