แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - patchanok3166

หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 20
211
กรมการแพทย์ เตือนใช้ “ข้อมือ” ไม่ระวัง เสี่ยงโรคกดทับเส้นประสาทข้อมือ ชี้คนใช้คอมพิวเตอร์ ช่างเจาะถนน แม่บ้าน สตรีมีครรภ์ มีความเสี่ยงสูง แนะวิธีป้องกัน


นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า อาการชา เป็นเหน็บ ปวดแสบปวดร้อนบริเวณฝ่ามือกับนิ้วมือ โดยเฉพาะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ และอาจรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางเป็นบางครั้ง มักมีอาการตอนกลางคืน หรือหลังตื่นนอน เมื่อได้ขยับ หรือสะบัดมือจะรู้สึกดีขึ้น โดยอาการจะชัดเจนมากขึ้นหลังจากทำงานที่ต้องเคลื่อนไหวข้อมือหรือใช้ข้อมือหยิบจับถือสิ่งของเป็นเวลานาน หรือมีอาการอ่อนแรงของมือและนิ้วมือ อาการดังกล่าวเป็นอาการของโรคกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ เกิดจากพังผืดที่หนาตัวบริเวณข้อมือทางด้านฝ่ามือ แล้วกดทับเส้นประสาททำให้เกิดการอักเสบ เมื่อมีการใช้งานบริเวณข้อมืออย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน


นพ.ณรงค์กล่าวว่า โรคนี้พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในช่วงอายุ 35 ถึง 40 ปี เพราะเป็นวัยทำงานมีการใช้ข้อมือและมือซ้ำๆ กันเป็นเวลานาน เช่น คนที่พิมพ์งาน คอมพิวเตอร์ เพราะต้องวางข้อมือลงกับโต๊ะที่เป็นของแข็ง คนที่เขียนหนังสือ งานเย็บปักถักร้อย หรือใช้เครื่องมือที่สั่นสะเทือนต่อข้อมือบ่อยๆ เช่น ช่างเจาะถนน การทำงานที่กระดกข้อมือซ้ำๆ กัน เช่น แม่ค้า แม่บ้าน คนซักผ้า นอกจากนี้ยังพบว่าโรคดังกล่าวสามารถเกิดร่วมกับภาวะต่างๆ เช่น สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคไทรอยด์ รวมถึงผู้ป่วยกระดูกหักหรือเคลื่อนบริเวณข้อมือ


นพ.สมพงษ์ ตันจริยภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ กล่าวว่า การรักษาโรคกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ การรักษาโดยไม่ผ่าตัด ใช้เฝือกอ่อนดามข้อมือ กินยาแก้ปวดแก้อักเสบ ฉีดยาสเตียรอยด์ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ใช้ข้อมือเพื่อลดการอักเสบของข้อมือ และการรักษาด้วยการผ่าตัดจะทำเมื่อการรักษาด้วยยาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ผล หรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงกล้ามเนื้อฝ่อ


สำหรับการป้องกัน สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การใช้งานมือและข้อมือด้วยความระมัดระวัง เช่น ใช้ปากกาที่จับเขียนได้สะดวก คนที่พิมพ์งานคอมพิวเตอร์ควรกดแป้นพิมพ์เบาๆ พร้อมทั้งแผ่นเจล ผ้านุ่มๆ หรือฟองน้ำสำหรับรองข้อมือขณะพิมพ์ เพื่อลดการเสียดสีและลดการกระตุ้นเส้นเอ็นไม่ให้ตึงตัว พักมือเป็นระยะ โดยยืด ดัด และหมุนมือกับข้อมือควรปรับท่าทางของร่างกายโดยไม่ห่อไหล่ไปข้างหน้า หลีกเลี่ยงการนอนทับมือ หากสวมเฝือกข้อมือควรสวมเฝือกที่ไม่คับจนเกินไป ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ตลอดจนรักษาความอบอุ่นของมือในสภาพอากาศหนาวเย็นเพื่อลดอาการปวดตึง



 11 มิ.ย. 2561 โดย: MGR Online

212
ลจากการทดลองในห้องแล็บพบความจริงที่น่าตกใจว่า  รถเข็นตามซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ สกปรกยิ่งกว่าลูกบิดหรือที่จับประตูห้องน้ำเป็นร้อยๆ เท่า


และ 1 ใน 3 ของตัวอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เก็บมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ ยังพบด้วยว่า เชื้อโรคที่พบตรงมือจับรถเข็นนั้น มีแบคทีเรียชนิดอันตรายที่เรียกว่า “อีโคไล” และ “ซัลโมเนลล่า” รวมอยู่ด้วย


อีโคไล คือเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ท้องร่วง ขณะที่ ซัลโมเนลล่า เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ  ซึ่งแบคทีเรียทั้งสองชนิดนี้ มักพบปนเปื้อนอยู่ในอุจจาระหรือมูลสัตว์


โดยหลังจากนักวิทยาศาสตร์เก็บตัวอย่างจากซูเปอร์มาร์เก็ต 4 ประเภทมาทดสอบ พบว่า รถเข็นในร้านขายของชำมีเชื้อแบคทีเรียมากที่สุด โดยมือจับรถเข็นบางแห่ง มีแบคทีเรียสูงกว่าลูกบิดประตูห้องน้ำถึง 361 เท่าเลยทีเดียว


รองลงมาคือ รถเข็นในร้านขายสินค้าราคาถูก ที่พบว่ามีแบคทีเรียสูงกว่ามือจับประตูห้องน้ำราว  270 เท่า ส่วนซูเปอร์สโตร์ แม้พบว่าสะอาดกว่ามาก ก็ยังมีแบคทีเรียสูงกว่าโต๊ะทำครัวในบ้านถึง 3 เท่า ขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าหรู  มีแบคทีเรียน้อยที่สุด โดยปริมาณที่พบเท่ากับแบคทีเรียบนคีย์บอร์ดหรือแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์


ทั้งนี้ แบคทีเรียที่พบบนมือจับรถเข็นเกือบ 75 เปอร์เซ็นต์เป็นแบคทีเรียแกรมลบ ซึ่งกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของแบคทีเรียแกรมลบ มักทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ และส่วนใหญ่มักเป็นแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะด้วย


รู้กันอย่างนี้แล้ว เวลาไปซื้อของและต้องใช้รถเข็นตามร้านค้า หรือซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ อย่าเผลอเอามือมาสัมผัสกับใบหน้าเป็นอันขาด และอย่าลืมล้างมือให้สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อแบคทีเรียกันด้วย


04 มิ.ย 61 ขอขอบคุณ  ข้อมูล :Dailymail.co.uk







213
เบาหวานถือเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่งในคนไทยยุคปัจจุบัน จากผลสำรวจพบว่ามีคนไทยมากกว่า 3 ล้านคน ป่วยเป็นโรคเบาหวาน โดยโรคเบาหวานนี้พบได้ในทุกเพศ ทุกวัย


ซึ่งเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือแม้แต่การใช้ชีวิตของคนไทยในปัจจุบันที่เร่งรีบ และชอบทานอาหารที่มีส่วนผสมของ แป้ง น้ำตาล และไขมันสูง เป็นผลทำให้เกิดโรคมากมายเช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และตาก็เป็นอวัยวะหนึ่งที่เสื่อมจากเบาหวาน ซึ่งถึงแม้จะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้ถึงขั้นตาบอดถาวรเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตอย่างมาก


พญ.พวงเพชร นาคะพงศ์ จักษุแพทย์ เฉพาะทางโรคจอประสาทตาและน้ำวุ้นตาโรงพยาบาลหัวเฉียว กล่าวว่า เบาหวานขึ้นตา อาจจะไม่แสดงอาการใดๆ เลย ในระยะแรก จึงอาจทำให้ผู้ป่วยชะล่าใจไม่คิดที่จะมาตรวจตาถึงแม้ว่าจะรู้ว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน จนนานเข้าเริ่มมีอาการแสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นตามัว ตามืดลงอย่างเฉียบพลัน หรืออาจถึงขึ้นมีเลือดออกในวุ้นตา ซึ่งหากมารักษาช้าอาจทำให้ผู้ป่วยถึงขั้นตาบอดอย่างถาวร



ส่วนการรักษา หากแพทย์ตรวจพบแล้วว่าเป็นเบาหวาน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยจะควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อาการของโรคกำเริบเป็นหลัก จะไม่เน้นที่การรักษาทางดวงตา แต่จักษุแพทย์จะนัดเข้ามาตรวจเป็นระยะๆ หากอาการไม่เลวร้ายลง ก็จะยังไม่จำเป็นต้องรับการรักษาเป็นพิเศษ แต่ถ้าหากเป็นโรคเบาหวานที่จอตามากขึ้น แพทย์จะรักษาโดยการใช้เลเซอร์ ซึ่งจะไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด โดยการรักษานี้เพื่อหยุดการลุกลามของโรค รวมถึงการฉีดยารักษาหากพบว่าเกิดภาวะแทรกซ้อนในจอตาหากเป็นมากอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด


ส่วนการป้องกันนั้นยังไม่มีวิธีป้องกันได้โดยตรง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการของโรคเป็นหลัก เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดแป้ง น้ำตาล และอาหารรสเค็ม งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และถ้าหากตรวจพบว่าตนเองเป็นเบาหวานขึ้นตาตั้งแต่ในระยะแรก ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และมาตรวจสุขภาพตาโดยแพทย์จักษุอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะโรคเบาหวานอาจส่งผลทำให้เกิดโรคตาอื่นๆ ได้อีก


ปัจจุบัน ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลหัวเฉียว มีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางครบทุกสาขาโรค เช่น เบาหวานขึ้นตา ต้อหิน ต้อกระจก โรคจอประสาทตาน้ำวุ้นตา โรคกล้ามเนื้อตา เป็นต้นพร้อมด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย ทำให้การรักษาสามารถทำได้อย่างครบวงจร การตรวจพบได้เร็ว ได้รับการรักษาเร็ว ช่วยให้การมองเห็นเป็นปกติได้อย่าละเลยที่จะดูแลดวงตาของคุณและคนที่คุณรัก


01 พ.ค.61 NATION TV


214
กรมควบคุมโรค เตือนช่วงฝนตกระวังถูกฟ้าผ่า ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่โล่งแจ้งหรืออยู่ใต้ต้นไม้ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กวัยเรียน มักถูกฟ้าผ่าที่สวน นา ไร่และพื้นที่โล่งแจ้ง พร้อมเผย 4 วิธีป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า ผู้ขับขี่รถช่วงฝนตกหนักให้ลดความเร็วลง เปิดไฟหน้ารถ และระมัดระวังหากต้องขับรถผ่านพื้นที่น้ำขังสูง พร้อมระวังเด็กจมน้ำและสัตว์มีพิษกัดต่อยจากน้ำท่วมฉับพลัน


นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศช่วงวันที่ 4-7 มิถุนายน 2561 จะมีพายุดีเปรสชั่นเข้ามายังประเทศไทย ทำให้มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ กรมควบคุมโรคขอให้ประชาชนระมัดระวังระหว่างฝนตก อาจถูกฟ้าผ่าได้ จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กวัยเรียน รองลงมาเป็นกลุ่มอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเหตุการณ์ฟ้าผ่ามักเกิดในพื้นที่โล่งแจ้ง สวน นา ไร่


การป้องกันอันตรายจากการถูกฟ้าผ่า มีดังนี้


    หลีกเลี่ยงอยู่กลางแจ้ง ในขณะฝนตกฟ้าคะนอง หากจำเป็นควรนั่งยอง ย่อตัวให้ต่ำและชิดกับพื้นให้มากที่สุด แต่ไม่ควรนอนราบกับพื้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ต้นไม้สูง เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา เพราะฟ้าผ่าลงที่สูง


    ควรหลบในตัวอาคารที่ติดตั้งสายล่อฟ้า จะช่วยป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า ไม่ควรใช้โทรศัพท์ เปิดคอมพิวเตอร์ เล่นอินเตอร์เน็ต ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ หรืออยู่ใกล้ประตู หน้าต่างที่มีส่วนประกอบเป็นโลหะในขณะฟ้าร้องฟ้าผ่า

     
    หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เพราะกระแสไฟจากฟ้าผ่าอาจไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสื่อไฟฟ้าต่างๆ ทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้


    กรณีอยู่ในรถ ควรปิดกระจกทุกบาน หากฟ้าผ่าลงรถควรตั้งสติ ไม่ควรออกจากรถโดยเด็ดขาด เพราะกระแสไฟฟ้าที่ไหลตามผิวโลหะของตัวถังรถจะไหลลงสู่พื้นดิน หากออกนอกรถจะมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้าผ่าสูง ที่สำคัญอย่าสัมผัสส่วนที่เป็นโลหะ การช่วยเหลือผู้ถูกฟ้าผ่าต้องช่วยอย่างรวดเร็ว โดยประเมินความปลอดภัยของที่เกิดเหตุ และโทรขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพ โทร. 1669 โดยแจ้งข้อมูลผู้ถูกฟ้าผ่าและสถานที่เกิดเหตุ อาจเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากสถานที่โดนฟ้าผ่าไปยังที่ปลอดภัย         

 

ทางด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประกาศให้ทุกพื้นที่เตรียมรับมือกับน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งโดยขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากหน่วยงานของรัฐอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อป้องกันความสูญเสีย ทั้งในกลุ่มผู้ใหญ่และเด็ก


เพื่อป้องกันการจมน้ำ ควรยึดหลัก “3 ห้าม 2 ให้”


โดย 3 ห้ามได้แก่

1. ห้ามหาปลา/เก็บผัก

2. ห้ามดื่มสุรา

3. ห้ามเล่นน้ำ

 

2 ให้ ได้แก่


1. ให้สวมเสื้อชูชีพ(หรือนำอุปกรณ์ที่ลอยน้ำได้ติดตัวไปด้วย เช่น ถังแกลลอน/ขวดน้ำพลาสติกเปล่าปิดฝา)

2. ให้เดินทางเป็นกลุ่ม พร้อมทั้งระวังสัตว์มีพิษมาหลบอาศัยตามบ้านเรือน ช่วงฝนตกหนัก อาจถูกสัตว์เหล่านั้นกัด/ต่อยได้       

 

ทั้งนี้ ระหว่างฝนตกหนัก การขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ขอให้ลดความเร็วลง เปิดไฟหน้ารถ ทิ้งระยะห่างจากคันหน้า และประเมินสถานการณ์หากต้องขับผ่านพื้นที่น้ำขังสูง เพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ หากพบเห็นผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ขอให้โทรแจ้งขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพทันที โทร.1669 หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422



07 มิ.ย. 61   ขอขอบคุณ   ข้อมูล :สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค







215
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 61 เวลา 23.30 น. ร.ต.อ.มนตรีทาหาวงค์รองสว.สอบสวน สภ.ปทุมรัตน์ ได้รับแจ้งมีคนร้ายบุกแทงเจ้าหน้าที่พยาบาลบนรพ.แห่งหนึ่ง จ.ร้อยเอ็ด ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตรวจสอบที่เกิดเหตุภายในห้องน้ำหญิงอาคารอำนวยการข้างห้องฉุกเฉิน พบคราบเลือดกระจายเปรอะเปื้อนผนังห้องน้ำ ซึ่งผู้บาดเจ็บเจ้าหน้าที่นำเจ้าห้องฉุกเฉินก่อนหน้าแล้ว


ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.อรุณี อายุ 42 ปี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการรพ.ดังกล่าว ถูกแทงด้วยของมีคมเป็นแผลขนาดต่าง ๆ ตามร่างกายจำนวน 12 แผล อาการสาหัส และได้นำตัวส่งตัวรักษาต่อที่รพ.ร้อยเอ็ด ส่วนผู้ก่อเหตุคือนายศักดา อายุ 43 ปี ซึ่งเป็นสามี หลังก่อเหตุได้อาศัยช่วงชุลมุนขับขี่รถจยย.หลบหนีไป


ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมคนร้าย ได้ในเวลาประมาณ 03.30 น. วันที่ 27 พ.ค. 61 ขณะหลบหนีไปยังบ้านเกิดที่อ.เสลภูมิ และได้นำตัวผู้ก่อเหตุมาตัวสอบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น


โดยในเวลา 16.00 น. ของวันเดียวกันจึงคุมตัวทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ณ โรงพยาบาลที่เกิดเหตุ ท่ามกลางเจ้าหน้าที่พยาบาลประชาชนที่มาใช้บริการโรงพยาบาลมุงดูจำนวนมาก


นายศักดา ผู้ต้องหา กล่าวว่า ก่อนหน้าได้แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายมาแล้วหลายปี ไม่มีบุตรด้วยกัน แต่ฝ่ายหญิงมีลูกติดมาด้วย 3 คน ก่อนที่จะขอย้ายจากรพ.ในจ.ร้อยเอ็ด มาปฏิบัติหน้าที่ในรพ.ที่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน ภายหลังทั้งคู่มีปัญหาหนี้สินร่วมกันจนตนเองต้องขายที่ดิน ขายบ้านและนำรถยนต์ที่ใช้ทำมาค้าขายไปจำนำแทบจะไม่มีเงินใช้จ่ายในแต่ละเดือน


ระยะหลังฝ่ายหญิงเริ่มตีตัวออกห่าง พร้อมบอกว่าได้ยกเลิกการอาศัยบ้านพักในรพ.แล้วและต้องการไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านของตนและขอแยกทาง ทำให้ตนเครียดจัดและบันดาลโทสะเดินไปหยิบมีดในห้องครัวของรพ.มาจ้วงแทง ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่รพ.ได้ยินเสียงจึงร้องห้ามพร้อมแจ้งตำรวจ ทำให้ตกใจรีบวิ่งขึ้นจยย.ขับหลบหนีก่อนถูกจับกุมตัวดำเนินคดีดังกล่าว


27 พ.ค.61 ขอขอบคุณ  ข้อมูล :Amarin TV

216
ถ้าจะพูดถึงผลไม้ในบ้านเราที่ให้สรรพคุณทางยาก็มีอยู่หลากหลายชนิด แต่มีอยู่ชนิดหนึ่งที่ชื่อเรียกนั้นสะดุดหูซะเหลือเกินว่า ‘มะม่วงหาว มะนาวโห่’ หลายคนที่เคยได้ยินชื่อนี้ก็ยังสงสัย สรุปแล้วมันเป็นมะม่วง หรือเป็นมะนาว แล้วทำไมต้องทั้งหาวและร้องโห่ แต่ในความเป็นจริงแล้วผลไม้ชนิดนี้ไม่ได้เป็นทั้งมะม่วงและมะนาวอย่างที่จินตนาการกัน ซึ่งที่มาของชื่อนั้นก็ถูกตั้งโดยนักวิชาการส่งเสริมการเกษตร โดยบอกเพิ่มอีกว่าที่ตั้งชื่อนี้ก็เพื่อให้คล้องกับชื่อผลไม้ในวรรณคดี เรื่อง นางสิบสอง ตอน พระรถเมรี ที่ความตอนหนึ่งของเรื่องได้พูดถึงผลไม้สดที่มีรสชาติเปรี้ยวจัด ขนาดว่าทำให้คนที่ง่วงนอนอยู่รู้สึกกระชุ่มกระชวยและตื่นตัวขึ้นมาในทันควัน


มะม่วงหาว มะนาวโห่ นับว่าเป็นผลไม้ยอดนิยมที่ถูกจับตามองในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า ‘มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่’ ซึ่งถ้าเรียกสั้นๆ ก็น่าจะเข้าปากมากกว่า ผลไม้ชนิดนี้ได้รับความสนใจจากผู้ที่รักสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะในวงการแพทย์ก็ได้วิจัยออกมาพบว่ามีสรรพคุณทางยามากถึง 50 ประการ ครั้นจะนำไปใช้รักษาโรค หรือรับประทานควบคู่กับยาแผนปัจจุบันก็จะได้ผลที่ดียิ่งขึ้น


คุณสมบัติที่สำคัญของ ‘มะม่วงหาว มะนาวโห่’ ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการป้องกันมะเร็ง เพราะภายในผลไม้ชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยบำรุงโลหิต ชะลอการแก่ก่อนวัย ป้องกันโรคหัวใจ ขยายหลอดเลือด รักษาปอด รวมไปถึงอาการถุงลมโป่งพองก็ช่วยบรรเทาให้ดีขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจว่าทำไมผลไม้ที่มีชื่อแปลกหูถึงได้รับความนิยม ขนาดว่าต้องควานหาซื้อมารับประทาน ตลอดจนหามาปลูกไว้เป็นไม้ประดับภายในบริเวณบ้านอีกด้วย


จากผู้ที่นิยมสมุนไพรให้ความรู้กับเราเพิ่มเติมมาว่า ‘มะม่วงหาว มะนาวโห่’ นั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้จากทุกส่วนของลำต้น อีกทั้ง ก็ยังมีส่วนน้อยที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้ว มะม่วงหาว มะนาวโห่ นั้นเป็นคนละต้น หรือเป็นพืชคนละชนิด คนละสายพันธุ์กัน โดย ‘มะม่วงหาว’ ก็คือ มะม่วงหิมพานต์ ส่วน ‘มะนาวโห่’ ก็คือ หนามแดง ซึ่งพืชทั้งสองชนิดนี้ก็มีสรรพคุณเพียบและช่วยบำรุงร่างกายได้ดีไม่แพ้กันเลยทีเดียว เพื่อให้ความกระจ่างเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น เราก็มีข้อมูลจาก องค์กรสวนพฤกษาศาสตร์ มาอธิบายขยายความแตกต่างของพืชทั้ง 2 ชนิดนี้ ...


มะม่วงหาว


‘มะม่วงหาว’ หรือชื่อเรียกจริงๆ คือ ‘มะม่วงหิมพานต์’ เป็นไม้ต้นขนาดกลางที่สามารถสูงได้ถึง 10 เมตร มีใบเป็นสีเขียวเข้ม ออกดอกเป็นช่อหลวมๆ สีแดงอมม่วง หรือสีครีม มีกลิ่นหอมออกเอียนๆ โดยที่แต่ละดอกจะมี 5 กลีบ เมื่อดอกแก่ ฐานรองดอกก็จะขยายใหญ่ขึ้นมีลักษณะคล้ายกับชมพู่ยาวประมาณ 6 - 7 เมตร มีสีเหลืองอมชมพู หากว่าแก่จัดก็จะมีกลิ่นหอม มีเมล็ด 1 เมล็ดติดอยู่ที่ส่วนปลายเป็นสีน้ำตาลอมเทา มีเปลือกแข็งหุ้ม เรียกว่า ‘เม็ดมะม่วงหิมพานต์’


สรรพคุณทางยา ของ มะม่วงหาว

    ผล : ช่วยฆ่าเชื้อ แก้โรคลักปิดลักเปิด พอกดับพิษ อีกทั้งยังช่วยขับปัสสาวะ
    เมล็ด : ช่วยแก้อาการเนื้อหนังชาในโรคเรื้อน แก้ตาปลา แก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน แก้เนื้องอก บำรุงกระดูก บำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น บำรุงผิวหนัง ไปจนกระทั่งถึงช่วยในการบำรุงกำลัง
    เปลือก : ช่วยในเรื่องการขับน้ำเหลืองเสีย แก้บิด แก้กามโรค แก้อาการท้องเสีย แก้ปวดฟัน ฟอกดับพิษ อีกทั้งยังสามารถนำเมล็ดไปทำเป็นยาอมเพื่อรักษาแผลในปากได้อีกด้วย
    ยอดอ่อน : ใช้รักษาโรคริดสีดวงทวาร
    ยาง : ใช้แก้อาการเลือดออกตามไรฟัน ช่วยทำลายตาปลา โดยให้ยางเข้าไปเป็นตัวช่วยกัดทำลายเนื้อด้านในที่เป็นปุ่มโต รักษาแผลเนื้องอก รักษาหูด รักษากลาก โรคเท้าช้าง
    น้ำมัน : ใช้ฆ่าเชื้อ เป็นยาชา ใช้รักษาโรคเรื้อน กัดหูด แก้ตาปลา แก้บาดแผลที่เน่าเปื่อย

50 สรรพคุณทางยา ของ มะม่วงหาว

    มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องชะลอวัยและลดริ้วรอย (ผล)
    ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง (แก่น)
    แก้อาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้า (เนื้อไม้)
    เพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้กับร่างกาย (ผล)
    ช่วยให้เจริญอาหาร (ราก)
    มีส่วนช่วยในการลดความอ้วน (ผล)
    ช่วยขยายหลอดเลือดและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ (ผล)
    มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง (ผล)
    มีส่วนในการรักษาโรคเบาหวาน เนื่องจากมีธาตุเหล็ก (ผล)
    มีส่วนช่วยในการรักษาโรคโลหิตจาง (ผล)
    ช่วยรักษาโรคปอด (ผล)
    ช่วยรักษาโรคถุงลมโป่งพองที่เกิดจากการสูบบุหรี่ (ผล)
    ช่วยรักษาโรคไต (ผล)
    บรรเทาอาการโรคตับ อาทิ โรคตับแข็ง (ผล)
    ช่วยรักษาโรคเกาต์ (ผล)
    ช่วยรักษาและบรรเทาอาการโรคไทรอยด์ (ผล)
    ช่วยป้องกันโรคไหลตาย (ผล)
    ในประเทศบังคลาเทศนิยมใช้ใบในการรักษาโรคลมชัก (ใบ)
    มีส่วนช่วยบรรเทาอาการโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ชาตามมือตามเท้า (ผล)
    ช่วยบำรุงกำลัง (เนื้อไม้)
    ช่วยบำรุงธาตุ (ราก , แก่น , เนื้อไม้)
    ช่วยบำรุงไขมันในร่างกาย (แก่น , เนื้อไม้)
    รักษาไข้ รวมถึงไข้มาลาเลีย (ราก , ใบ)
    ช่วยดับพิษร้อน (ราก)
    ช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ (ผล)
    ช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ (ผล)
    ช่วยขับเสมหะ (ผล)
    มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน (ผล)
    บรรเทาอาการเจ็บคอ เจ็บในปาก (ใบ)
    แก้อาการปวดหู (ใบ)
    ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเลือดออกตามไรฟัน ทั้งยังช่วยสมานแผลที่เกิดในช่องปาก (ผล)
    ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร (ราก)
    แก้อาการท้องเสีย (ใบ)
    ช่วยรักษาโรคบิด (ใบ)
    ช่วยขับปัสสาวะ (ผล)
    ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร (ยอดอ่อน)
    ช่วยขับพยาธิ (ราก)
    ช่วยรักษาโรคเท้าช้าง (น้ำยาง)
    ช่วยฆ่าเชื้อ (ผล)
    ช่วยในการสมานแผล (ผล , ยาง)
    ใช้รักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง (เปลือกต้น)
    ช่วยแก้อาการคัน (ราก)
    ในประเทศอินเดียนิยมใช้รากเพื่อรักษาแผลที่เกิดจากเบาหวาน (ราก)
    แก้กลากเกลื้อน (เมล็ด , น้ำยาง)
    แก้อาการเนื้อหนังชาในโรคเรื้อน (เมล็ด)
    ช่วยรักษาแผลเนื้องอก (น้ำยาง)
    ช่วยรักษาหูด (น้ำยาง)
    ช่วยทำลายตาปลาและช่วยกัดทำลายเนื้อด้านในที่เป็นปุ่มโต (น้ำยาง)
    ใช้พอกดับผิษ (ผล)
    ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อตามข้อ (ผล)


มะนาวโห่


‘มะนาวโห่’ หรือชื่อเรียกจริงๆ คือ ‘หนามแดง’ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย หรืออาจเรียกว่าเป็นไม้ต้นขนาดเล็กก็ได้ มีความสูงเพียง 5 เมตร มียางสีขาว ออกใบเดี่ยว ออกดอกเป็นช่อยาว มีกลีบดอกสีขาว หรือสีชมพู ออกผลเป็นรูปไข่สีแดงชมพู หรือดำ

สรรพคุณทางยา ของ มะนาวโห่


    ผล : ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน
    ใบ : ช่วยแก้อาการเจ็บคอ เจ็บในปาก แก้ท้องเสีย อาการปวดแก้วหู หรือแม้แต่แก้ไข้ก็ทำได้
    แก่น : ช่วยบำรุงธาตุ บำรุงไขมันในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรง
    เนื้อไม้ : ช่วยบำรุงธาตุ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ทั้งยังช่วยบำรุงไขมันในร่างกายได้อีกด้วย
    ราก : ใช้แก้อาการคัน บำรุงธาตุ ช่วยขับพยาธิ ทำให้เจริญอาหาร ดับพิษร้อน ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ใช้แก้ไข้ได้อีกด้วย


  หากมองย้อนกลับไป การที่ ‘มะม่วงหาว มะนาวโห่’ กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยเฉพาะบรรดาคนที่รักสุขภาพ น่าจะหมายถึงผลของ ‘มะนาวโห่’ หรือผลของ ‘หนามแดง’ เสียมากกว่า เพราะมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในทุกพื้นที่ จากการสอบถามพบว่ามะนาวโห่เป็นพืชที่ดูแลง่าย ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน อีกทั้งในแต่ละระยะของการออกผลก็จะให้สีที่แตกต่างกัน บางบ้านก็ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับด้วย ส่วนการนำผลมารับประทานก็จะต้องเป็นผลที่มีสีดำ จะให้รสชาติอมเปรี้ยว อมหวาน กินแล้วสดชื่น กระชุ่มกระชวย แถมยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย

02 มิย.61 ขอขอบคุณ sanook.com

217
วิจารณ์สนั่นโซเชียล แน่ใจนะว่ายุค 4.0 ปล่อยคนไข้ต้องยืนตากแดดต่อคิวยาวเหยียด ล้นออกมานอกตัวอาคารโรงพยาบาลศรีสัชนาลัย สุโขทัย


จากกรณีที่มีกระแสในโลกโซเชี่ยลมีเดีย แชร์ส่งต่อและวิพากษ์วิจารณ์ภาพถ่ายจากโพสต์ผู้ใช้เฟซบุ๊ก "เอ นฤดล สวนปราง" เป็นภาพคนไข้จำนวนมากกำลังยืนต่อแถวรอรับบริการ กระทั่งล้นออกมานอกอาคารโรงพยาบาล ยืนอยู่ที่ถนนเกือบถึงโรงจอดรถของโรงพยาบาลศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเชิงตำหนิ ประชดประชันและแชร์ส่งต่อกันเป็นจำนวนมาก


ต่อมาผู้สื่อข่าวติดต่อสอบถามไปยัง เจ้าของโพสต์ดังกล่าว ซึ่งให้ข้อมูลว่า เมื่อเวลา 08.00 น. เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.) ตนได้ไปโรงพยาบาลดังกล่าว เนื่องจากเป็นไข้ ปวดหัว ไอ เจ็บคอ เสียงแห้ง เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ต้องตกใจอย่างมากเมื่อเห็นภาพคนไข้ไม่ต่ำกว่า 30-50 คน ยืนต่อคิวมาจากในอาคาร ยาวเหยียดออกมาด้านนอก จนเกือบถึงที่จอดรถหน้าโรงพยาบาล โดยไม่มีร่มหรือเต็นท์บังแดด บังฝนให้แต่อย่างใด


นายนฤดล ได้สอบถามผู้ที่มายืนรอทราบว่ามารอกันตั้งแต่ตี 5 ตนจึงเปลี่ยนใจไม่เข้าไปรับบริการ กลับบ้านมาซื้อยารับประทานแล้วนอนพักผ่อน ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว โดยก่อนออกมาจากโรงพยาบาลได้ถ่ายรูปแล้วมาโพสต์ลงโซเชียล เพื่อหวังให้ผู้เกี่ยวข้องได้มีการพัฒนาการบริการแก่ประชาชนและคนไข้ให้ดีกว่านี้


เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง น.พ.สุทนต์ ทั่งศิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีสัชนาลัย ที่ได้เปิดเผยสั้นๆ ว่า ทางโรงพยาบาลแห่งนี้มีคนไข้เป็นจำนวนมากทุกวัน ประกอบกับสถานที่ค่อนข้างคับแคบ ไม่สามารถขยับขยายได้ บุคลากรที่จะให้บริการก็ไม่เพียงพอ


สำหรับเหตุการณ์ตามที่มีการแชร์กันในเฟซบุ๊กกนั้น มีผู้ติดตามมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก ทั้งต่อว่าและเห็นใจ ซึ่งได้มีผู้ให้ความเห็นว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นช่วงยื่นบัตรรอรับบัตรคิว และน่าจะเป็นวันคลินิกคนไข้เบาหวาน ทำให้มีคนใช้บริการเยอะ แต่หากเคยไปรับบริการ หน้าห้องบัตรจะมีพื้นที่ไม่เยอะ ทำให้คนไข้จะต้องยื่นบัตรยืนต่อแถวตามยาว แถวก็จะต้องยาวออกมาด้านนอกในลักษณะแบบนี้ เพราะไม่มีทางให้ปัดหางแถวไปทางอื่นตามสภาพความคับแคบของโรงพยาบาล





06 มิ.ย. 61 sanook.com

218
ปัจจุบันในสื่อออนไลน์ได้มีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงการให้บริการของโรงพยาบาลกันอย่างกว้างขวาง ในเรื่องของการบริการที่ล่าช้า และอาจไม่ได้คุณภาพไปบ้าง เช่นเดียวกับ ผู้ใช้เฟซบุ๊ค ชื่อ Kanatuch Panthawong ที่ก็ได้ออกมาเผยแพร่เรื่องราวที่เกิดขึ้นของตนเมื่อได้เข้าไปรับการตรวจอาการที่โรงพยาบาล


โดยระบุข้อความว่า ฝากถึง โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในปริมณฑล คือคุณภาพแย่มากๆครับบอกตรงๆ นัดคนไข้ไว้8โมงเช้า จนบ่าย2ยังไม่ได้ตรวจเอ่อ อันนี้เข้าใจครับว่าคนไข้เยอะต้องตามคิว แต่คนไข้ที่เขาเป็นหนักกว่า วันนี้เห็นมากับตาเลย คนเกิดอุบัติเหตุทางพาหนะขับขี่ หัวแตกเลือดไหลอาบท่วมหัว แต่ต้องมายืนรอคิว (ที่นั่งไม่มี) ทำไมไม่พาเขาไปห้องฉุกเฉินล่ะครับเจ้าหน้าที่ไม่มีเลยหรอ ถ้าเขาเกิดช็อคขึ้นมาทำไงอ่ะ แล้วคุณหมอกลับยืนหัวเราะคนไข้ มันเหมาะสมมั้ยครับ มีจรรยาบรรณความเป็นหมอนิดนึง.. อ่ะทีนี้พอได้ตรวจ ผลสรุปคือวินิจฉัยอาการที่เป็นไม่ได้? เอ่อ..ถ้าตรวจไม่ได้ ก็ไม่ควรนัดมาตั้งแต่แรกครับเสียเวลา ไม่รู้ว่าจบหมอมาจริงๆหรือเปล่า หมอก๊อปปี้หรือเปล่านะคือถ้าเครื่องมือไม่พร้อมก็น่าจะบอกคนไข้ดีมั้ย อย่างน้อยก็จะได้ทำเรื่องไปรักษาที่อื่น และอีกอย่าง คือผมโดนอะไรกัดมาหรือเป็นอะไรก็ไม่รู้ คุณหมอกลับจ่ายยาสามัญประจำบ้านมาให้.. นี่ผมต้องเสียเวลาทั้งวันเพื่อไปรับยาแก้ไอ แก้เสมหะ แก้แพ้ลดน้ำมูกหรอเห้ยหมอ ฮัลโหล ฮาวทูสตินิดนึงครับ ผมไม่ได้เป็นไข้ครับหมอ! ถ้ามาเพื่อแค่นี้ผมซื้อพาราที่เซเว่นกินแทนก็ได้ครับ ณ โรงพยาบาล


ทั้งนี้มีการแสดงความคิดเห็นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า  เห็นด้วยคับ มันแย่แบบนี้มานานแล้ว ลูก ,ทำใจก็รู้ๆกันอยู่5555555 , เป็นงี้แหละโรงบาลดหี้ยเนี่ย กูโวยวายมากหลายรอบละ ,คนจะตายไห้มานั้งรอหมอ รอเรียดตามคิวควยอถอะ คนไข้ตายพอดี กูต่อยกับบุรุษพยาบาลมาหลายครั้งละเพราะเเม่งบริการเเย่เเบบนี้ ,  ห่วยจริงไรจริง , โดนมาเหมือนกันค่ะโรงบาลปล่อยให้ปวดท้องคลอดจนมดลูกเปิด9เซนเด็กไม่ออกมันก้อให้เบ่งยุนั้นแระค้ะเบ่งจนจะเกือบขาดใจตั้งแต่ตี5ยันบ่ายสามโมงเย็นบอกว่าขอผ่าได้ไหมหมอกับบอกว่าวันนี้ไม่มีหมอผ่า...กว่าจะโทคุยกะหมอใหญ่กว่าจะส่งตัวไปได้เกือบ4โมงเย็น.เกือบตายทั้งแม่ทั้งลูกแร้ว..เข็ดแร้วจิงโรงบาลนี้

06 มิ.ย 61 โดย สำนักข่าวทีนิวส์

219
 พญ.จุฑาธิป พูนศรัทธา
สูตินรีแพทย์ เฉพาะทางด้านการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช โรงพยาบาลเวชธานี


ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย ประสบปัญหาทางนรีเวช โดยโรคบางโรคหรือภาวะบางประการ อาจไม่สามารถเยียวยารักษาได้ด้วยการรับประทานยา หรือผ่าตัดเฉพาะเนื้องอก แต่จำเป็นต้องผ่าตัดนำมดลูกออก ซึ่งการผ่าตัดนำมดลูกออกแต่เดิมนั้นจะทิ้งรอยแผลขนาดใหญ่ อีกทั้งยังใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนาน แต่ปัจจุบันมีเทคนิค "ผ่าตัดส่องกล้องแบบไร้แผล" ไม่ก่อให้เกิดรอยแผลขนาดใหญ่ บาดเจ็บน้อย จึงช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่ผ่านมา


โรคหรือภาวะอะไรบ้าง ที่จำเป็นต้องผ่าตัดนำมดลูกออก?

1.เนื้องอกมดลูก
2.เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมดลูก
3.ภาวะมดลูกหย่อน
4.ประจำเดือนผิดปกติที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยา
5.เยื่อบุมดลูกหนาตัวผิดปกติ
6.ภาวะก่อนเป็นมะเร็งของปากมดลูก
7.มะเร็งที่ปากมดลูก มดลูก หรือรังไข่


แม้ว่าโรคหรือภาวะต่าง ๆ เหล่านี้ จะมีวิธีการรักษาหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานยา การผ่าตัดเฉพาะเนื้องอก ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ แต่เมื่อแพทย์แนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดนำมดลูกออกแล้ว สิ่งที่ผู้ป่วยจะต้องตัดสินใจต่อจากนี้ คือวิธีที่ใช้ในการผ่าตัด โดยนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีเทคนิคการผ่าตัดค่อนข้างหลากหลาย และมีการพัฒนาเพื่อให้การผ่าตัดมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลต่อผู้ป่วยอย่างสูงสุด


4 เทคนิค ในการผ่าตัดนำมดลูกออก


1. การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง เป็นวิธีการผ่าตัดที่ใช้มานาน แพทย์จะเปิดแผลที่หน้าท้องยาวประมาณ 10 ซม. เพื่อเอามดลูกหรือเนื้องอกออก เนื่องจากแผลมีขนาด ใหญ่ การเจ็บแผลหลังผ่าตัดจึงมาก ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นหลังการผ่าตัดมากว่าวิธีอื่น

2. การผ่าตัดเอามดลูกออกทางช่องคลอด ใช้สำหรับผู้ที่มีมดลูกหย่อน ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเนื้องอกมดลูกใหญ่ หรือผู้ที่ต้องผ่าตัดปีกมดลูกร่วมด้วย

3. การผ่าตัดส่องกล้องทางหน้าท้อง ปัจจุบันเป็นวิธีที่แพร่หลายมากขึ้น และเป็นมาตรฐานในหลายประเทศทั่วโลก แพทย์จะเปิดแผลขนาดเล็ก 0.5-1 ซม. จำนวน 3-4 แผลที่หน้าท้อง แล้วใช้กล้องและเครื่องมือเข้าไปผ่าตัดในช้องท้อง ข้อดีคือ “แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว” เมื่อเทียบกับการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง

4. การผ่าตัดส่องกล้องแบบไร้แผล เป็นวิธีการผ่าตัดแบบใหม่ ผู้ป่วยจะ “ไม่มีแผลที่หน้าท้อง” เลย โดยแพทย์จะผ่าตัดส่องกล้องเข้าทางรูเปิดตามธรรมชาติ เช่น ช่องคลอดในสตรี แล้วใช้เครื่องมือเข้าไปผ่าตัดเพื่อนำเนื้องอกหรือมดลูกออก ซึ่งแพทย์สามารถเห็นรอยโรคได้อย่างชัดเจนผ่านทางกล้อง นอกจากนี้ การห้ามเลือดระหว่างผ่าตัด สามารถทำได้ดีกว่าการผ่าตัดทางช่องคลอดแบบเดิม ด้วยการผ่าตัดวิธีนี้ ผู้ป่วยจึง “ไม่มีแผล เจ็บปวดน้อย ฟื้นตัวไว” ความพึงพอใจหลังการผ่าตัดค่อนข้างมาก และนับว่าประสบความสำเร็จในเรื่องของความสวยงามของการผ่าตัด (Cosmetic Result) อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าผู้ป่วยทุกรายจะสามารถรับการผ่าตัดส่องกล้องแบบไร้แผลได้ ขึ้นอยู่กับภาวะของผู้ป่วยแต่ละบุคคล และพิจารณาของแพทย์ในการเลือกใช้วิธีผ่าตัดที่เหมาะสม

โรคหรือภาวะใด ที่เหมาะสมในการผ่าตัดส่องกล้องแบบไร้แผล?

•เนื้องอกมดลูก ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก
•ติ่งเนื้อ หรือเนื้องอกในโพรงมดลูก
•เยื่อบุมดลูกหนาตัวผิดปกติ
•พบเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูกแต่ยังไม่ใช่มะเร็ง
•เนื้องอกรังไข่บางประเภท

อย่างไรก็ตาม วิธีการผ่าตัดส่องกล้องแบบไร้แผลยังเป็นวิธีใหม่ การผ่าตัดจึงจำเป็นต้องใช้ความชำนาญและแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้ ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดทางนรีเวช ควรปรึกษาแพทย์ผู้ผ่าตัด ถึงแนวทางการผ่าตัด ข้อดี และข้อเสียในการผ่าตัด เพื่อให้ได้รับการผ่าตัดที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย


5 มิ.ย. 2561   โดย: MGR Online

220
ก่อนอื่นคุณรู้ไหมว่าต้นไม้ต้นไหนให้พลังงานที่ดี และต้นไม้ต้นไหนให้พลังลบกับบ้าน หรือไม่ถูกหลักฮวงจุ้ย ซึ่งต้นไม้ต่างๆ นั้นให้พลังงานที่แตกต่างกัน รวมไปถึงในเรื่องตำแหน่งการวางต้นไม้ก็มีผลต่อฮวงจุ้ยในบ้านและออฟฟิศ


เนื่องจากต้นไม้มีผลต่อหลักฮวงจุ้ย เพราะต้นไม้ทำให้พลังชี่ขับเคลื่อน สิ่งแรกที่สังเกตง่ายๆ ว่าต้นไม้ต้นไหนดีต่อเรื่องฮวงจุ้ยก็คือลักษณะเฉพาะของต้นไม้นั้นๆ อย่างเช่นต้นไผ่ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง คราวนี้มาดูกันดีกว่าว่าลักษณะของต้นไม้ที่ดี ส่งเสริมพลังบวกให้กับสถานที่ต่างๆ ต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง

ลักษณะต้นไม้ฮวงจุ้ยดี


-ต้นไม้ที่ช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ ต้นไม้ที่มีคุณสมบัติช่วยฟอกอากาศภายในบ้านหรือในสำนักงานให้อากาศดีขึ้น ถือเป็นต้นไม้ที่ดีตามหลักฮวงจุ้ย ซึ่งก็มีต้นไม้สวยๆ หลายประเภทเข้าข่ายนี้


-ต้นไม้ที่เราเชื่อกันว่าส่งเสริมเรื่องทรัพย์สิน เงินทอง ต้นไม้เหล่านี้ สำหรับศาสตร์ฮวงจุ้ยถือว่าดี


ลักษณะต้นไม้ฮวงจุ้ยไม่ดี


-ส่วนใหญ่จะพิจารณาจากรูปร่างของต้นไม้เหล่านั้นเพื่อบ่งบอกว่าฮวงจุ้ยไม่ดี เช่นต้นตะบองเพชรเพราะมีความแหลมคม ตามหลักฮวงจุ้ยถือว่าไม่ดี


ตำแหน่งการวางต้นไม้ที่ดี


สำหรับพื้นที่ที่เหมาะสมจะตั้งประดับต้นไม้ภายในบ้านหรือออฟฟิศคือจุดที่มีองค์ประกอบของธาตุไม้ ทิศที่เหมาะสมคือทิศตะวันออก ทิศตะวันออกเฉียงใต้ และทิศใต้

ส่วนทางทิศเหนือนั้นไม่แนะนำให้ปลูกต้นไม้ หรือวางต้นไม้ไว้เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หรือทิศตะวันตก หากจำเป็นต้องปลูกในทิศเหล่านี้ก็อย่าปลูกมาก ให้มีต้นไม้จำนวนระดับปานกลางจะเหมาะสมกว่า

ตำแหน่งฮวงจุ้ยต้นไม้นั้นขึ้นอยู่กับทิศและธาตุ เมื่อคุณเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มีความสัมพันธ์กัน มันก็จะไม่ใช่เรื่องยากในการหาตำแหน่งและนำต้นไม้มาปลูกในบ้านหรือออฟฟิศเพื่อเสริมเรื่องฮวงจุ้ย



04 มิ.ย. 61   โดย thespruce

221
ศูนย์ข่าวศรีราชา - แพทย์- พยาบาล และ จนท.หน่วยกู้ภัยเพียวเยี้ยงไท้ ศรีราชา จ.ชลบุรี เร่งช่วยเหลือหญิงสาววัย 22 ปี คลอดลูกภายในรถที่จอดอยู่ริมทางสายหนองแขวะ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี หลังสามีกำลังพาไปส่งยังโรงพยาบาลแต่ไม่ทัน หลังภรรยาปวดท้องคลอดอย่างรุนแรง เบื้องต้นปลอดภัยทั้งแม่และลูก


เมื่อเวลา 07.00 น. วันนี้(5 มิ.ย. 2561) ศูนย์วิทยุรับแจ้งเหตุหน่วยกู้ภัยเพียวเยี้ยงไท้ ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งว่ามีหญิงสาวคลอดลูกมากระทันหันบนรถยนต์ที่จอดอยู่บริเวณริมถนนหน้าหมู่บ้านตอกไพศาลหนองแขวะ ต.บึง อ.ศรีราชา หลังรับแจ้งจึงประสานแพทย์ และพยาบาล โรงพยาบาลแหลมฉบัง เดินทางร่วมตรวจสอบและให้การช่วยเหลือ


ในที่เกิดเหตุ พบแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยฯ กำลังให้การช่วยเหลือ น.ส.จารุวรรณ สุดพวง อายุ 22 ปี ที่คลอดบุตรอยู่บริเวณเบาะด้านหลัง ภายในรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ยาลิส สีขาว หมายเลขทะเบียน งต - 1876 ชบ.


โดยสามีของ น.ส.จารุวรรณ เล่าว่าขณะกำลังขับรถพาภรรยาไปส่งที่โรงพยาบาล แต่ปรากฏว่าภรรยา ได้เกิดปวดท้องอย่างแรง และคลอดลูกออกมากระทันหัน จึงรีบจอดรถข้างทางและโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ เพื่อให้การช่วยเหลือ


ทั้งนี้เด็กที่คลอดออกมาเป็นเพศหญิง ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ หน้าตาน่ารักน่าชัง และเป็นบุตรคนที่ 2ของครอบครัวแห่งนี้ ซึ่งแพทย์ ได้ทำการบล็อกสายสะดือระหว่างแม่กับเด็ก ก่อนทำการตัดสายสะดือและจะใช้ลูกยางดูดน้ำคล่ำในปากและจมูกเด็ก พร้อมห่อตัวด้วยผ้าสะอาดก่อนนำขึ้นรถพยาบาลไปดูแลต่อที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เพื่อพักฟื้นร่างกายต่อไป



5 มิ.ย. 2561   โดย: MGR Online

222
กรมสุขภาพจิต เผย “หมอ รพ.กาฬสินธุ์” ฆ่าตัวตาย ไม่มีประวัติป่วยโรคซึมเศร้า แต่มีปัญหาอารมณ์ฉุนเฉียว ปลีกตัว ไม่ค่อยยุ่งกับใคร ห่วงสถิติคนไทยฆ่าตัวตายเพิ่ม ในกลุ่มวัยรุ่น - คนทำงาน


วันนี้ (29 พ.ค.) น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงกรณีแพทย์จังหวัดกาฬสินธุ์ กระโดดเม่น้ำชีฆ่าตัวตาย ว่า ได้รับรายงานเบื้องต้นจาก ผอ.รพ.จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ ซึ่งจัดทีมลงไปสอบสวนโรคแล้ว พบว่า เป็นแพทย์ประจำ รพ.จังหวัดกาฬสินธุ์ เรื่องการทำงานที่ผ่านมาไม่มีเคยมีประวัติป่วยและรักษาโรคทางด้านจิตเวช ไม่เคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า แต่เคยเข้ารับคำปรึกษาและแนะนำจาก ผอ.รพ.กาฬสินธุ์ ว่า ให้แพทย์คนดังกล่าวเข้ารับการปรึกษาจิตแพทย์เนื่องจากมีพฤติกรรม มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น บางครั้งมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางอย่างระหว่างการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมอารมณ์ บางครั้งชอบปลีกตัว ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใคร ทั้งนี้ อารมณ์หุนหันพลันแล่นควบคุมอารมณ์ไม่ได้นั้นอาจจะมีความแตกต่างจากโรคซึมเศร้าอยู่ แต่การปลีกตัวออกมาอาจจะเป็นเพียงความรู้สึกของคนรอบข้าง ซึ่งยังไม่ได้ถูกวินิจฉัยโดยแพทย์อย่างจริงจัง


น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า เมื่อดูที่ภาระงานพบว่า ที่ รพ.กาฬสินธุ์ นั้น ปริมาณงานค่อนข้างมาก บุคลากรของ รพ. รับภาระงาน แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็น รพ. ที่มีระบบคุณภาพที่ได้รับการรับรองอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็น รพ. ตัวอย่าง ทั้งเรื่องคุณภาพ และบุคลากรมีความสุขในการทำงาน แต่รายนี้กำลังสอบสวนสาเหตุ เพราะรายนี้ยังคงทำงานได้ตามปกติ เพียงแต่มีบางครั้งที่อารมณ์ฉุนเฉียวเหมือนเป็นบุคลิกภาพส่วนตัว ส่วนเรื่องปัญหาทางการเงินของรพ.นั้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติงาน แต่เป็นเรื่องของผู้บริหารมากกว่า สำหรับการพูดคุยกับครอบครัวนั้นยังไม่ได้ข้อมูลเท่าที่ควร เขายังไม่ได้ให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ เหมือนบอกว่าแพทย์ป่วย ซึมเศร้า แต่เราก็ต้องพยายามดู เพราะคนที่จะทำร้ายตัวเองได้มันต้องถึงจุดหนึ่งไม่มีทาง คิดไม่ออกแล้วว่าจะทำอะไรต่อไป ซึ่งพอมองที่เพื่อนร่วมงานก็บอกว่ารับผิดชอบงานได้ดี แต่ข้อมูลครอบครัวยังไม่เปิดเผยเท่าไร


น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ผู้ป่วยจิตเวช เช่น ซึมเศร้าก็มีโอกาสฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าภาวะทางจิตทั่วไป และมีการทำร้าย ฆ่าตัวตายมากกว่าคนทั่วไป 3 เท่า โดยมากพบในผู้ป่วยซึมเศร้าสูงอายุ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การฆ่าตัวตายของไทยในรอบปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 6.5 ต่อแสนประชากร ถือเป็นตัวเลขที่ยังไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับทั่วโลกจะอยู่ที่ราวๆ 5.8 - 6.4 ต่อแสนประชากร เพราะฉะนั้นของไทยจึงถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สถิติครั้งนี้ของไทยก็นับว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นนิดหน่อยและมีแนวโน้มสูงขึ้นในกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานที่ฆ่าตัวตายด้วยภาวะหุนหันพลันแล่น ไม่สมหวัง


ทั้งนี้ ภาวะสุขภาพจิต ความเครียด วิตกกังวลความรู้สึกไม่สมหวังจะมากขึ้นเรื่อยๆ และนำมาสู่ความวิตกกังวลสูญเสียอารมณ์ที่ดีไป เมื่อสะสมนานๆ ไปจะเกิดเป็นภาวะซึมเศร้าได้ ดังนั้น ขอให้สังเกตคนรอบข้าง อย่าดูแค่การซึม ไ/ม่พูดจากับใคร แต่อยากให้ดูพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม หรือจากคนทั่วไป ให้เราเริ่มต้นจากการพูดคุย ห่วงใย สอบถามเขาก็จะช่วยไม่ให้ลามไปถึงขั้นเป็นภาวะซึมเศร้า






29 พ.ค. 2561  MGR ONLINE.

223
กรมสุขภาพจิต เผยขณะนี้คนไทยป่วยซึมเศร้า 1.5 ล้านคน ย้ำให้พบแพทย์กินยารักษา และยึดหลักปฏิบัติ 8 ข้อ


กรมสุขภาพจิต เผยคนไทยป่วยซึมเศร้า 1.5 ล้านคน เน้นย้ำให้ผู้ที่มีอาการซึมเศร้าทุกคนให้พบแพทย์เพื่อรับการรักษาด้วยยาและกระบวนการแพทย์ที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มเป็นใหม่ๆ โอกาสหายมีสูง เมื่ออาการดีขึ้นเป็นปกติ สามารถดูแลตัวเองต่อได้เช่นปฏิบัติธรรม ควบคู่กินยาต่อเนื่อง พร้อมแนะหลักปฏิบัติตัว 8 ประการ อาทิ อย่าพยายามบังคับตัวเอง หรือตั้งเป้าหมายสูงเกินไป  อย่าตัดสินใจในเรื่องสำคัญในชีวิตมากๆขณะมีอาการ ไม่ควรตำหนิตัวเอง
 

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงปัญหาโรคซึมเศร้าว่า ผลการศึกษาของกรมสุขภาพจิตคาดว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคนี้ร้อยละ 3 หรือมีประมาณ 1.5 ล้านคน แต่เข้าถึงการรักษายอดสะสมจนถึงขณะนี้เกือบร้อยละ 59 อีกร้อยละ41 ยังไม่ได้รับการดูแลรักษา ซึ่งภาวะซึมเศร้านี้จัดเป็นความเจ็บป่วย ไม่ใช่คนมีจิตใจอ่อนแอ ผู้ที่เป็นจะมีความรู้สึกไม่สบายใจ เซ็ง ทุกข์ใจ เศร้า ท้อแท้ ซึม หงอย เบื่อ ไม่อยากพูดไม่อยากทำอะไร หรือทำอะไรก็ไม่สนุกเพลิดเพลินเหมือนเดิม โดยผู้ที่มีอาการเกือบทั้งวันและเป็นติดต่อกันจนถึง 2 สัปดาห์ จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า ต้องเข้ารับการรักษาโดยการกินยาควบคุมสารสื่อประสาทให้ทำงานเป็นปกติ ซึ่งมีบริการที่โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ทุกแห่งทั่วประเทศ ใช้เวลารักษาอย่างน้อย  6-9 เดือน ควบคู่กับกระบวนทางการแพทย์เช่นทำจิตสังคมบำบัดร่วมด้วย และเมื่ออาการเข้าสู่สภาวะปกติดีแล้ว สามารถดูแลตัวเองต่อโดยวิธีการอื่นๆ ได้เช่น เข้าวัดปฏิบัติธรรม ออกกำลังกาย แต่ถ้าไม่รีบรักษา อาการซึมเศร้าจะเป็นมากและรุนแรงขึ้น ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ผู้ที่มีอาการ ปรึกษาแพทย์หรือจิตแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านทั่วประเทศ อย่าอายหมอ เพราะเป็นการเจ็บป่วย ต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง


ทางด้านนายแพทย์ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า โรคซึมเศร้าเป็นภัยเงียบด้านสุขภาพ สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกอาชีพ  มีอาการหลักที่ประชาชนสามารถสังเกตได้คือ


1. มีอารมณ์เศร้า หดหู่ ท้อแท้ ซึม หงอย ทั้งที่ตัวเองรู้สึก หรือคนอื่นก็สังเกตเห็น

2. เบื่อ ไม่อยากทำอะไร หรือทำอะไรก็ไม่สนุกเพลิดเพลินเหมือนเดิม

3. เบื่ออาหาร หรือกินมากเกินไป

4. หลับยาก หลับๆตื่นๆ หรือหลับมากไป

5. คิดช้าพูดช้า ทำอะไรช้าลง หรือหงุดหงิด กระวนกระวาย

6. รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง

7. รู้สึกตนเองไร้ค่า สมาธิความคิดอ่านช้าลง

8. คิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ หรืออยากทำร้ายตนเอง


      โดยอาการเหล่านี้เป็นอยู่เกือบทั้งวันและเป็นติดต่อกันจนถึง 2 สัปดาห์ มีผลให้การทำกิจวัตรประจำวัน การเข้าร่วมกิจกรรมด้านสังคม ทำหน้าที่การงานไม่ได้เหมือนเดิม หรือมีความทุกข์ทรมานใจอย่างเห็นได้ชัด หากไม่ได้รับการบำบัดรักษาอย่างถูกต้อง อาการจะคงอยู่นานเป็นเดือน เรื้อรังเป็นปี และกลับเป็นซ้ำได้บ่อย หากมีอาการซึมเศร้ารุนแรง อาจจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่าตัว

 

      นายแพทย์ณัฐกรกล่าวต่อว่า ผู้ที่มีอาการซึมเศร้าและอยู่ระหว่างการรักษา ขอให้กินยาอย่างต่อเนื่องครบตามแพทย์ให้การรักษา อย่าลดยาหรือปรับยาเองแม้ว่า    จะรู้สึกว่าตัวเองอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม สามารถทำงานตามปกติ และขอให้ยึดหลักปฏิบัติ 8 ประการดังนี้

    1.อย่าตั้งเป้าหมายในการทำงานและการปฏิบัติตัวที่ยากเกินไป หรือรับผิดชอบมากเกินไป

    2.แยกแยะปัญหาใหญ่ๆพร้อมทั้งจัดเรียงความสำคัญก่อนหลังและลงมือทำเท่าที่สามารถทำได้

    3.อย่าพยายามบังคับตัวเองหรือตั้งเป้ากับตัวเองสูงเกินไป

    4.พยายามทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น

    5.เลือกทำกิจกรรมที่จะสร้างความรู้สึกที่ดีหรือเพลิดเพลินและไม่หนักเกินไป เช่นออกกำลังกายกายเบาๆ ฟังเพลง

    6.อย่าตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตมากๆ เช่นหย่าร้าง ลาออกจากงาน โดยไม่ได้ปรึกษาผู้ใกล้ชิดที่เคารพหรือไว้ใจ ดีที่สุดคือควรเลื่อนการตัดสินใจออกไปจนกว่าอาการซึมเศร้าจะหายไปหรือดีขึ้นมาก

    7.ไม่ควรตำหนิตัวเอง

    8.อย่ายอมรับความคิดในแง่ร้ายที่เกิดขึ้นขณะมีอาการซึมเศร้า ว่าเป็นส่วนที่แม้จริงของตัวเอง  เพราะความคิดที่เกิดขึ้นมาจากการเจ็บป่วย 

ขอขอบคุณ

02 มิ.ย.61    ข้อมูล :กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

224
ข้าวไรซ์เบอรี่ ถือเป็นอีกพันธุ์ข้าวหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรักสุขภาพ ออกกำลังกายและลดน้ำหนัก ซึ่งจริงๆ แล้วข้าวไรซ์เบอรี่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ปัจจุบันมีการนำไปแปรรูปเป็นขนมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คุ้กกี้ ข้าวตัง ทำไมถึงได้รับความนิยมขนาดนี้น่ะหรอ ตาม Sanook! Health มาดูประโยชน์ดีๆ ของเจ้าข้าวนี้กันเลย

 

ข้าวไรซ์เบอรี่ คืออะไร ?

ข้าวไรซ์เบอรี่เป็นข้าวที่เกิดจากการผสมระหว่างข้าวเจ้าหอมนิลและข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทำให้กลายเป็นข้าวเกษตรอินทรีย์สายพันธ์ใหม่ มีลักษณะเป็น สีม่วงเข้ม เรียวยาว และผิวมันวาว เมล็ดมีความคล้ายคลึงกับข้าวเจ้า สามารถปลูกได้ตลอดปี ในด้านคุณค่าทางอาหารของข้าวไรซ์เบอรี่ถือว่ามีอยู่ครบถ้วน เนื่องจากผ่านการขัดสีแค่บางส่วน

 

มีประโยชน์อะไรบ้าง ?


- สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าข้าวสายพันธ์อื่นๆ

ข้าวไรซ์เบอรี่ถือเป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะมากๆ ซึ่งหมายความว่า หากใครทานข้าวชนิดนี้บ่อยๆ โอกาสที่จะเป็นโรคมะเร็งนั้นน้อยมาก

- ป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน สมองเสื่อม

      ในข้าวไรซ์เบอรี่ มีวิตามินและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น เบต้าแคโรทีน วิตามินอี วิตามินบี1โอเมก้า3 สังกะสี ธาตุเหล็ก และอื่นๆ อีกเพียบ ซึ่งสารอาหารเหล่านี้เองที่จะช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงประสาท คอยช่วยต่อต้านโรคร้ายที่จะเกิดขึ้นกับเรา เหมือนมีบอดี้การ์ดส่วนตัวเลยว่ามั้ยล่ะ

- ลดระดับไขมันและคลอเรสเตอรอล

    เส้นใยอาหารหรือ Fiber ในข้าวไรซ์เบอรี่ถือว่ามีอยู่สูงมากๆ ซึ่งเจ้าเส้นใยนี่แหละที่จะมาช่วยลดไขมันและคลอเรสเตอรอลของคุณให้น้อยลง ยิ่งถ้าเป็นคนชอบออกกำลังกายด้วยล่ะก็ ยิ่งเห็นผลเลยล่ะ นอกจากนั้นยังช่วยควบคุมน้ำหนักและขับถ่ายไปในตัวด้วยนะจะบอกให้

 

      เห็นเมล็ดข้าวสีแปลกๆ ม่วงๆ ดำๆ แบบนี้ แต่ประโยชน์นี่ทำเอาอยากจะรีบออกไปซื้อมาทานเลยทีเดียว ไม่ต้องห่วงเรื่องรสชาติเลย เพราะมันทั้งหอมมันและเหนียวนุ่ม สุขภาพที่ดีอยู่ในมือคุณแล้ว อย่าลืมหามาทานกันล่ะ




01 มิ.ย. 61    บล๊อคเพื่อสุขภาพ,เกร็ดความรู้

225
ไซนัส คืออะไร ?


ไซนัส ก็คือ โพรงอากาศเล็กๆ ที่อยู่ภายในกะโหลกศีรษะบริเวณรอบๆ จมูก โดยจะมีทางเชื่อมสำหรับเปิดโพรงจมูกอยู่หลายจุดทั้งด้านซ้ายและด้านขวา มีหน้าที่ให้ความอบอุ่นและความชื้นแก่อากาศที่เราสูดเข้าไปในทางเดินหายใจ อีกทั้งยังช่วยในการปรับเสียงพูด ช่วยในเรื่องของการรับรู้กลิ่น รวมถึงสร้างเมือกเพื่อให้ความชื้นและชะล้างโพรงจมูก


ภายในเยื่อบุโพรงไซนัส (โพรงอากาศ) จะมีขนอ่อน หรือที่เรียกกันว่า Cilia ทำหน้าที่โบกพัดเพื่อระบายเอาเมือกที่เป็นเสมหะ หรือน้ำมูกออกมา ซึ่งในภาวะปกติจะมีการระบายของเมือกที่สร้างขึ้นในโพรงไซนัสลงมาที่รูเปิดในโพรงจมูกเพื่อให้ความชื้นและชะล้างโพรงจมูก แต่ถ้าหากรูนั้นถูกปิดกั้นจากอาการต่างๆ อาทิ อาการเป็นหวัด ที่เยื่อบุจมูกและไซนัสจะมีลักษณะที่อักเสบบม อาการติดเชื้อ หรือภูมิแพ้ ผนังกั้นจมูกคด หรือมีริดสีดวงจมูก ก็จะทำให้เมือกในโพรงไซนัสไม่สามารถระบายเมือกออกมาได้ ทำให้เกิดการสะสมหมักหมมจนกลายเป็นแหล่งอาหารสำหรับเชื้อโรคที่ใช้ในการเจริญเติบโตลุกลามจากโพรงจมูกเข้าไปในโพรงไซนัส ส่งผลให้เยื่อบุไซนัสอักเสบบวม ขนอ่อนในโพรงไซนัสสูญเสียหน้าที่ในการขับเมือก อีกทั้งการสะสมของเมือกก็จะมีมากขึ้นกลายเป็นหนองขังอยู่ในโพรงไซนัส เป็นเหตุให้เกิดอาการของโรคไซนัสอักเสบได้

 

ประเภทของอาการไซนัสอักเสบ


อาการของไซนัสอักเสบ สามารถแบ่งออกได้เป็นดังนี้

    -ชนิดเฉียบพลัน มีอาการน้อยกว่า 30 วัน

    -ชนิดกึ่งเฉียบพลัน มีอาการอยู่ระหว่าง 30 - 90 วัน

    -ชนิดเรื้อรัง มีอาการมากกว่า 90 วัน

 

อาการอักเสบอาจเกิดขึ้นกับไซนัสได้ทุกตำแหน่ง ได้แก่

    -ไซนัสข้างตา (Ethmoid sinus)

    -ไซนัสหน้าผาก (Frontal sinus)

    -ไซนัสโหนกแก้ม (Maxillary sinus) เป็นไซนัสประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด

    -ไซนัสที่อยู่ใต้ฐานกะโหลกศีรษะ (Sphenoidal sinus)


ไซนัสอักเสบ นับเป็นโรคติดต่อหรือไม่ ?


ไซนัสอักเสบ นั้นไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เป็นโรคเฉพาะที่เกิดขึ้นกับบุคคลซึ่งสามารถพบได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงที่มีอากาศชื้น อีกทั้งยังสามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย ประมาณ 3 - 5% ของผู้ป่วยที่มาตรวจที่คลินิกหู คอ จมูก ส่วนใหญ่มักตรวจพบว่าอาการไซนัสอักเสบนั้นเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคหวัด ยิ่งในเด็กยิ่งพบมาก เพราะมีโอกาสเป็นหวัดได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่


นอกจากนี้ อาการไซนัสอักเสบที่พบในผู้ป่วยยังพบว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคจมูกอักเสบที่เกิดจากภูมิแพ้ , โรคเยื่อจมูกอักเสบ (Purulent rhinitis), ริดสีดวงจมูก (Nasal Polyps), ผนังกั้นช่องจมูกคด (Deviated nasal septum), รากฟันเป็นหนอง เป็นต้น อีกทั้งผู้ป่วยอาจจะมีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว อาทิ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ , โรคหืด , โรคผิวหนัวอักเสบที่เกิดจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis)


โดยทั่วไปกว่า 0.5% ของผู้ป่วยที่เป็นหวัดจะมีโอกาสเกิดไซนัสอักเสบตามมา ส่วนผู้ที่ป่วยเป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) ก็จะมีอาการไซนัสอักเสบร่วมด้วยประมาณ 40 - 50%


สาเหตุของการเกิดไซนัสอักเสบ


    ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (Acute sinusitis) สาเหตุนี้มักจะเป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนและโรคจมูกอักเสบที่เกิดจากการการภูมิแพ้  ซึ่งเชื้อที่ทำให้ไซนัสอักเสบอาจเกิดจากเชื้อไวรัส อาทิ ไวรัสโรคหวัด , เชื้อแบคทีเรีย , และฮีโมฟีลัส อินฟลูเอ็นซาอี นอกจากนั้นส่วนน้อยก็ยังอาจเกิดจากเชื้อรา อาทิ แอสเปอร์จิลลัส (Aspergillus) ที่หากพบในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน หรือผู้ป่วยที่เชื้อเอดส์มักทำให้การที่มีอยู่แล้วเกิดอันตรายร้านแรง ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดไซนัสอักเสบเฉียบพลัน ได้แก่


        -โรคหวัดเรื้อรัง ทำให้เยื่อบุจมูกบวม รูเปิดไซนัสอุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบของไซนัสได้

        -โรคภูมิแพ้ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้จะมีอาการคันในจมูก , คัดจมูก , น้ำมูกไหล ทำให้ต้องคอยขยี้จมูกและสั่งน้ำมูกอยู่บ่อยๆ ส่งผลให้เยื่อบุจมูกบวม รูเปิดไซนัสอุดตัน เสี่ยงต่อการเกิดไซนัสอักเสบได้ง่ายขึ้น

        -การติดเชื้อของฟัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟันกรามน้อยและฟันกรามด้านบน ซึ่งทั่วไปแล้วพบว่าประมาณ 10% ของการอักเสบของไซนัสที่โหนกแก้มจะมีสาเหตุมาจากฟันผุ เพราะผนังด้านล่างของไซนัสบริเวณนี้จะอยู่ติดกับรากฟัน ในบางรายอาจแสดงอาการชัดเจนภายหลังที่ถอนฟันมาแล้วเกิดรูทะลุระหว่างไซนัสโหนกแก้มและเหงือกขึ้น

        -โรคติดเชื้อต่างๆ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ , โรคไอกรน , โรคหัด

        -เป็นผู้ที่ชอบใช้ยาพ่นจมูกโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะว่ายาพ่นจมูกบางตัวจะทำให้เกิดภาวะติดยาและเยื่อบุจมูกบวมเรื้อรังได้ อีกทั้งยังทำให้ความรู้สึกในการรับกลิ่นลดลงอีกด้วย

       - มีความผิดปกติของโพรงหลังจมูก เช่น เป็นริดสีดวง , เนื้องอกในจมูก , ผนังกั้นช่องจมูกคด หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าในจมูก

        -การสูบบุหรี่จัด หรือการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี อาทิ การอยู่ในชุมชนแออัด อาศัยอยู่ในย่านโรงงาน การได้รับมลพิษทางอากาศ หากได้รับสาร หรือกลิ่นเหล่านี้เข้าไปในจำนวนมากๆ เป็นประจำ จะมีผลทำให้ภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง จึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นไซนัสอักเสบได้ง่ายขึ้น

        -การว่ายน้ำบ่อยๆ หรือการดำน้ำลึกๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการสำลักน้ำเข้าไปในจมูกและไซนัสได้ อีกทั้งยังอาจมีเชื้อราเข้าไปสะสมจนเป็นเหตุให้เกิดการอักเสบได้ นอกจากนี้ สารคลอรีน (Chlorine) ที่ถูกใช้ในสระว่ายน้ำก็ยังเป็นสารเคมีที่ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุไซนัสได้ด้วยเช่นกัน

        -การถูกกระทบกระแทกที่บริเวณใบหน้าอย่างรุนแรง เนื่องจากอาจทำให้โพรงไซนัสโพรงใดโพรงหนึ่งแตกหัก ช้ำบวม หรือมีเลือดออกภายในโพรง เป็นเหตุให้เกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาภายหลัง

        -การเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศที่เกิดขึ้นรอบตัวแบบทันที อย่างในกรณีของการที่เครื่องบินขึ้น หรือลงจอดแบบทันที หรือจากการดำน้ำลึก หากว่ารูเปิดของไซนัสในขณะนั้นบวมอยู่ในขณะเป็นหวัด หรือโพรงจมูกในช่วงที่กำลังอักเสบจากอาการภูมิแพ้กำเริบ ก็จะส่งผลให้เยื่อบุบวมมากขึ้นได้ อีกทั้งอาจมีการหลั่งสารคัดหลั่ง หรือมีเลือดออก ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบ พบได้โดยมากที่ไซนัสหน้าผาก


    -ไซนัสอักเสบเรื้อรัง (Chronic sinusitis) ส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ เชื้อแบคทีเรียที่ไม่พึ่งออกซิเจน (Anaerobic bacteria) , สแตฟีโลค็อกคัส (Staphylococcus) , ฮีโมฟิลัส อินฟลูเอ็นซาอี (Haemophilus influenzae) , เคลบเซลลา นิวโมเนียอี (Klebsiella pneumoniae) , กลุ่มแบคทีเรียแกรมลบ (Gram-negative bacteria) ในบางครั้งก็อาจมีการติดเชื้อหลายชนิดร่วมกัน นอกจากนั้นส่วนน้อยก็อาจเกิดจากเชื้อรา อาทิ แอสเปอร์จิลลัส (Aspergillus) ที่มักทำให้เกิดโรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง อันเป็นเหตุมาจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อเชื้อรา (Allergic fungal sinusitis) พบได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันโรคแข็งแรงเป็นปกติ โดยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังนี้มักพบว่าเป็นภาวะแทรกซ้อมจากไซนัสอักเสบเฉียบพลันที่ไม่ได้ถูกรักษาอย่างถูกต้อง รวมถึงยังพบปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีก ได้แก่

        -การไม่รับการรักษาที่ถูกต้องเพียงพอในขณะที่ป่วยเป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลันอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจเกิดจากผู้ป่วยเองที่ขาดการรักษาจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง

        -การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนซ้ำซาก

        -การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น การอยู่ในชุมชนแออัด , การอยู่ในย่านโรงงาน , การได้รับมลพิษทางอากาศ ควันบุหรี่ รวมถึงการสูบบุหรี่จัด

        -การมีโรค หรือภาวะที่ทำให้มีการอุดตันของรูเปิดของไซนัส

        -การมีโรค หรือภาวะที่ทำให้ขนอ่อน (Cilia) ที่คอยโบกพัดเพื่อระบายสิ่งคัดหลั่งออกข้างนอกเสียไป ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งคัดหลั่งในไซนัส ก่อนให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ อย่างในกรณีที่เป็นภาวะหลังเป็นโรคหวัด

        -เกิดโรคกรดไหลย้อนขึ้นที่คอและกล่องเสียง (Laryngopharyngeal reflux – LPR)

       - เป็นโรคทางทันตกรรมเรื้อรัง

        -มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ หรือลดลง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ , เบาหวาน , ปลูกถ่ายอวัยวะ , ผู้มีภาวะโลหิตจาง , ขาดสารอาหาร , มีอารมณ์แปรปรวน , มีความเครียดสูง

        -มีปัจจัยเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ที่ส่งผลให้เกิดการบวมของเยื่อบุจมูก เยื่อบุไซนัส และรูเปิดไซนัสบวม ทำให้มีสิ่งคัดหลั่งสะสมอยู่ในไซนัส ก่อให้เกิดการติดเชื้อ


ใครบ้างที่โอกาสเสี่ยงป่วยเป็น ‘ไซนัสอักเสบ’ ได้


ในความเป็นจริงแล้วใครๆ ก็สามารถที่จะเป็น ‘ไซนัสอักเสบ’ ได้ แม้แต่เด็กแรกเกิดที่มีโพรงอากาศ หรือไซนัสขนาดเล็กก็ตาม แต่ก็มีคนอยู่หลายกลุ่มที่เสี่ยงเป็นโรคไซนัสอักเสบได้ง่ายกว่าคนทั่วๆ ไปอยู่ ดังนี้ …

    -ผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก : เมื่อเกิดอาการแพ้ก็จะมีลักษณอาการคล้ายกับคนเป็นหวัด เยื่อบุจมูกจะมีอาการบวม รูเปิดไซนัสจะตีบตัน ทำให้เกิดการอักเสบภายในไซนัสได้

    -ผู้ที่มีความผิดปกติของช่องจมูก : ยกตัวอย่าง ผู้ที่มีผนังกั้นระหว่างช่องจมูกคด ทำให้ช่องจมูกนั้นมีความกว้างเล็กกว่าปกติจนทำให้เกิดอาการแน่นและคัดจมูก อีกทั้งยังเป็นการขัดขวางการไหลเวียนของน้ำมูกตามปกติที่จะไหลไปมางด้านหลัง ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

    -ผู้ที่สุบบุหรี่และผู้ที่อยู่ในเขตที่มีมลภาวะเป็นพิษ : การทำพฤติกรรมดังกล่าว หรือการอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวจะทำให้ภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลงได้ จึงทำให้มีโอกาสที่จะเป็นไซนัสอักเสบได้ง่ายขึ้น


        สระว่ายน้ำที่มีการใส่สารคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค : การว่ายน้ำในสระน้ำที่มีคลอรีน หรือถูกทำการฆ่าเชื้อด้วยโอโซนก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นไซนัสอักเสบขึ้นได้ เพราะเราอยู่ในสภาวะเช่นนั้นเป็นเวลานานก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุได้


ลักษณะอาการเมื่อเป็นไซนัสอักเสบ


ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน


   ในผู้ใหญ่มักมีอาการปวดที่บริเวณใบหน้าเมื่อเกิดการอักเสบ เช่น ปวดที่บริเวณหัวตา , หน้าผาก โหนกแก้ม , รอบๆ กระบอกตา , หลังกระบอกตา ในบางรายอาจรู้สึกคล้ายกับปวดฟันตรงซี่บน ซึ่งอาจปวดเพียงข้างเดียว หรือปวดทั้งสองข้าง โดยอาการปวดจะเป็นแบบตื้อๆ หรือหน่วงๆ ในบางครั้งจะมีอาการมึนศีรษะร่วมกับการปวด อีกทั้งอาการปวดมักจะเกิดขึ้นในตอนเช้า หรือบ่ายเวลาที่ก้มศีรษะ หรือเปลี่ยนท่า 


    ผู้ป่วยที่มีเป็นไซนัสเฉียบพลันจะมีอาการคัดแน่นจมูกอยู่ตลอดเวลา พูดเสียงขึ้นจมูก มีน้ำมูกเป็นหนองออกข้นเหลือง หรือเขียว หรืออาจมีเสมหะข้นเหลือง หรือเขียวไหลจากด้านหลังจมูกลงในคอ ทำให้ต้องคอยสูด หรือขากออก ในบางรายอาจมีไข้สูงจนหนาวสั่น ซึ่งในขณะที่มีไข้นั้นก็จะมีอาการปวดศีรษะและปวดบริเวณใบหน้าร่วมด้วย รวมถึงยังมีอาการอ่อนเพลีย ไอเรื้อรังเป็นเวลานาน เจ็บคอ ระคายคอ เสียแหบ ปวดหู หูอื้อ หายใจมีกลิ่นเหม็น อีกทั้งความรู้สึกในการรับรู้กลิ่น หรือลดชาติก็ลดลงไปด้วย

 

ผู้ป่วยไซนัสเรื้องรังที่เป็นเด็ก


    ในป่วยเด็กที่มีอาการไซนัสเรื้อรังนั้นมักมีอาการที่ไม่ชัดเจนเท่าผู้ใหญ่ แต่เมื่อเป็นหวัดก็มักมีระยะเวลานานกว่าปกติกว่าจะหาย ยกตัวอย่าง เมื่อเป็นหวัดทำให้มีน้ำมูก แต่น้ำนั้นอาจใส หรือข้นเป็นหนอง มีอาการไอติดต่อกันนานกว่า 10 วัน ซึ่งมักจะไอในช่วงกลางวันและกลางคืน รวมถึงมีไขต่ำและหายใจมีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย ในเด็กบางราย อาจแสดงอาการเป็นหวัดที่รุนแรงกว่าปกติ เช่น มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส มีน้ำมูกข้นเป็นหนอง มีอาการปวดที่บริเวณใบหน้า หลังตื่นนอนก็จะสังเกตเห็นได้ว่าจะมีอาการบวมรอบๆ ดวงตา นอกจากนี้ ในเด็กที่มีอาการของหูอักเสบเรื้อรังและหอบหืด ก็ควรนึกถึงว่าอาจมีความเสียงที่จะเป็นไซนัสอักเสบเผื่อไว้ด้วย อีกทั้งในเด็กบางรายที่ป่วยเป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลันจะมีอาการกำเริบมากกว่าปีละ 6 ครั้ง แต่ละครั้งจะนานกว่า 10 วัน

 

ไซนัสอักเสบเรื้อรัง

     ผู้ป่วยที่มีอาการไซนัสอักเสบเรื้อรังมักมีอาการต่อเนื่องทุกวันนานเกิน 90 วัน ผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ มักจะมีอาการคัดแน่นจมูก มีเสมหะข้นเหลือง หรือเขียวไหลจากด้านหลังจมูกลงในคอ เมื่อหายใจก็จะมีกลิ่นเหม็น มีความรู้สึกในการรับรู้กลิ่น หรือรสชาติลดลง แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีไข้แบบที่พบในไซนัสอักเสบเฉียบพลัน

    ผู้ป่วยไซนัสอักเสบเรื้อรังที่เป็นเด็กมักมีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล เมื่อหายใจจะมีกลิ่นเหม็น มีโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบน หรือหูชั้นกลางอักเสบซ้ำซาก

 

วิธีป้องกันไซนัสอักเสบ

  เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดอาการไซนัสอักเสบ หรือลดอาการรุนแรงที่เกิดขึ้น ควรจะปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

        1.รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ขั้นแรกให้ออกกำลังกายเป็นประจำแบบไม่ต้องหักโหม เพื่อเป็นการเสริมสร้างให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรค ต่อมาให้พักให้เพียงพอ อย่าอดนอน หรือนอนดึกบ่อยๆ เพราะหากร่างกายอ่อนแอก็จะมีโอกาสติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย และสุดท้าย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทุกวัน โดยให้ลด หรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ด้วย

        2.ให้หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อย่าง มลพิษทางอากาศ ควันบุหรี่ และกลิ่นที่ผิดปกติ โดยแนะนำให้อยู่ในสถานที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีฝุ่นละออง ไม่มีเกสรดอกไม้ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้

        3.หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ ดำน้ำ หรือกระโดดน้ำ เมื่อมีอาการคล้ายกับหวัดกำเริบ

        4.หลีกเลี่ยงภาวะที่อุณหภูมิมีการแปรเปลี่ยนฉับพลัน อาทิ การเข้าๆ ออกๆ ห้องปรับอากาศ หรือการอยู่ในรถยนต์ที่ตากแดดร้อนๆ เป็นเวลานานๆ เป็นต้น

        5.ไม่ควรใช้ยาพ่นจมูกโดยที่ไม่ได้รับคำปรึกษาจากแพทย์

        6.ควรเดินทางไปรับการตรวจโพรงจมูก จาก แพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก ปีละครั้ง

        7.พยายามดูแลตัวเองไม่ให้เป็นหวัด เพราะหากเราเป็นหวัดก็สามารถทำให้เป็นไซนัสอักเสบได้

        8.การป้องกันไซนัสไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก สามารถทำได้โดยพยายามแก้ไขและป้องกันไม่ให้มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมาซ้ำได้อีก เช่น การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และหากมีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน ไม่ว่าจะเป็น โรคหวัด โรคคออักเสบ หรือฟันผุ จะต้องรีบรักษาให้หายโดยเร็ว แต่ถ้าหากเป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ริดสีดวงจมูก ผนังกั้นช่องจมูกคด เหล่านี้ก็ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม

        9.สำหรับผู้ที่เป็นหวัด มีน้ำมูก หรือมีเสมหะในคอในลักษณะข้นเหลือง หรือเขียว เป็นหวัดต่อเนื่องติดต่อกันนานกว่าปกติ (นานเกิน 10 วัน) หรือเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง แนะนำว่าควรจะไปปรึกษาแพทย์ เพราะอาจจะเป็นผลที่เกิดจากไซนัสอักเสบ

 

      ใครจะคิดว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรา โดยเฉพาะบริเวณศีรษะ หรือใบหน้านั้นจะมีผลมาจากการที่เราไม่สบาย หรือเกิดความเครียดเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นอาการที่บอกถึงความไม่แข็งแรงและการมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่ต่ำกว่าปกติ ฉะนั้น เราจึงควรหันมาเริ่มต้นออกกำลังกาย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงดูแลตัวเองให้ดีในทุกๆ ด้าน เราจะได้เอาเวลาที่มีอยู่ไปทำสิ่งต่างๆ ที่มีประโยชน์ หรือสิ่งที่เราอยากทำ ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเข้าโรงพยาบาล หรือรักษาอาการไซนัสให้เปลืองเวลา เพราะชีวิตเรายังต้องอยู่เพื่อตัวเองและเพื่อคนอื่นๆ ไปอีกนาน






04 มิ.ย. 61    Sanook! Health

หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 20