แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - patchanok3166

หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 20
166
เนื่องด้วยฤดูกาลที่อากาศมีการเปลี่ยนแปลง เข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว ร่างกายต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และหนึ่งในโรคสำคัญที่มีโอกาสติดเชื้อ ทำให้เกิดอาการป่วยง่ายๆ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก คือโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV เชื้อนี้มองเผินๆ อาจเหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะอันตรายอาจถึงแก่ชีวิตได้


 
ไวรัส RSV คืออะไร?

ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง สามารถเกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ส่วนมากแล้วมักเกิดในเด็กเล็กๆ ที่อายุต่ำกว่า 3 ปี สำหรับในประเทศไทยอาจพบการระบาดได้บ่อยในช่วงฤดูฝน หรือช่วงปลายฝนต้นหนาว


 
ไวรัส RSV ติดต่อกันอย่างไร?

การติดต่อของเชื้อ RSV นี้สามารถติดต่อผ่านสารคัดหลั่งต่างๆ ในร่างกาย เช่น น้ำมูก น้ำลาย ละอองจากการไอ จาม โดยเฉพาะการติดต่อจากการสัมผัส ซึ่งหากเด็กได้รับเชื้อ ระยะฟักตัวของโรคจะอยู่ที่ประมาณ 5 วัน


 
อาการเมื่อติดเชื้อไวรัส RSV

โดยในช่วง 2-4 วันแรก มักมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล เมื่อการดำเนินโรคมีมากขึ้น ส่งผลให้ทางเดินหายใจส่วนล่างมีการอักเสบตามมา ทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ และโรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ ในบางรายเกิดอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงครืดคราด มีเสมหะในลำคอมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการที่ต้องพึงระวัง คือ หากมีอาการไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ไอจนอาเจียน หายใจเร็วหอบจนชายโครงหรืออกบุ๋ม หายใจออกลำบากหรือหายใจมีเสียงวี้ด (wheezing) รับประทานอาหารหรือนมได้น้อย ซึมลง ปากซีดเขียว เพราะผู้ป่วยที่มีอาการหนักมีโอกาสเสียชีวิตเนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้สูง


 ทั้งนี้จากข่าวที่เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ แชร์ประสบการณ์เรื่องราวของผู้ปกครองรายหนึ่งที่มีลูกยังเล็กอายุเพียง 5 เดือน แต่ติดเชื้อไวรัส RSV ทำให้เกิดปอดอักเสบ โดยคาดว่าติดเชื้อจากการสัมผัสจากผู้อื่นที่มาจับหรือหอมแก้มลูกของตนนั้น การติดเชื้ออาจเกิดจากการสัมผัสจากผู้อื่นที่ป่วยหรือเป็นพาหะได้ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กเล็ก อยากเข้าไปสัมผัสจับมือ หอมแก้ม โดยไม่ได้ทำความสะอาดร่างกายหรือล้างมือก่อนสัมผัส เมื่อไปจับต้องโดนตัวเด็ก หรือสัมผัสโดนปากหรือจมูก ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อได้เช่นกัน ผู้ใหญ่ควรระมัดระวัง อย่าเผลอแพร่เชื้อให้เด็กเล็กโดยไม่รู้ตัว


 
การรักษาจากการติดเชื้อไวรัส RSV

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV โดยตรง แต่ใช้วิธีการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอดและดูดเสมหะออก จะช่วยลดความรุนแรงของอาการไอและอาการหายใจหอบเหนื่อยได้


 
การป้องกันจากเชื้อไวรัส RSV

โรคติดเชื้อไวรัส RSV ใช้เวลาในการฟื้นไข้ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ไข้หวัดธรรมดา รวมถึงอาการรุนแรงเป็นปอดบวมซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตลูกน้อยได้ เชื้อไวรัสนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอ สิ่งสำคัญคือการป้องกันการติดเชื้อ RSV ซึ่งทำได้โดยการรักษาความสะอาด ผู้ปกครองควรดูแลความสะอาดให้ดี หมั่นล้างมือตัวเองและลูกน้อยบ่อยๆ เพราะการล้างมือ สามารถลดเชื้อที่ติดมากับมือทุกชนิดได้ถึงร้อยละ 70


ควรรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะครบ 5 หมู่ และให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายในอากาศที่ถ่ายเท ไม่อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง


ปกติแล้วในผู้ใหญ่มักไม่ติดเชื้อโรคนี้เพราะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพอ แต่ผู้ใหญ่มีโอกาสสัมผัสเชื้อนี้ได้ และหากไม่ล้างมือให้สะอาดก็อาจทำให้เด็กเล็กติดเชื้อจากผู้ใหญ่ได้ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองที่ลูกมีอาการป่วย ควรแยกเด็กออกจากเด็กปกติ ไม่ไปอยู่ในสถานที่แออัด ควรดูแลทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวและแยกไว้ต่างหากเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเข้าเรียนในเนอร์สเซอรี่หรือโรงเรียนอนุบาลแล้ว หากมีอาการป่วยควรให้หยุดเรียนจนกว่าอาการจะหายเป็นปกติ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อได้อีกทางหนึ่ง



01 ก.ย.61  ขอขอบคุณ  ข้อมูล :นายแพทย์พรเทพ สวนดอก กุมารแพทย์สาขาโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลกรุงเทพ

167
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2561 ที่ผ่านมา ระบุว่า การทานไข่ 1 ฟองทุกวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอันตรายอย่างหลอดเลือดหัวใจมากถึง 18% และยังช่วยลดความเสี่ยงของภาวะเลือดออกในสมองของโรคหลอดเลือดสมองได้มากถึง 28% เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้ทานไข่อีกด้วย


งานวิจัยนี้ได้ทำการเก็บข้อมูลจากคนทั่วไปอายุ 30-79 ปีจำนวน 400,000 คนจากที่ต่างๆ กันถึง 10 ที่ในประเทศจีน นักวิจัยให้อาสาสมัครทานไข่วันละฟอง และเก็บข้อมูลเปรียบเทียบกับคนที่ไมได้ทานไข่วันละฟองยาวนานถึง 9 ปี พบว่าคนที่ทานไข่วันละฟองมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดหัวใจแข็ง หัวใจวาย และโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดและหัวอื่นๆ น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ทานไข่วันละฟอง


หากใครที่มีความกังวลถึงเรื่องของคอเลสเตอรอลในไข่แดง สามารถลดการทานไข่แดงให้น้อยลงได้ แต่ยังสามารถทานได้บ้างบางส่วน (ไม่จำเป็นต้องงด 100%) และสามารถเลือกวิธีปรุงไข่ให้ดีสุขภาพได้มากยิ่งขึ้น โดยเลือกทานไข่ต้ม ไข่ตุ๋น (ปรุงน้อยๆ) ไข่ดาวน้ำ หรือไข่คน (ใส่น้ำมันหรือเนยน้อยๆ) แทนการทานไข่เจียวไข่ดาวตามปกติได้


02 ก.ย. 61  ขอขอบคุณ     ข้อมูล :Harvard Health Publishing

168
วิจารณ์หนัก กรมแพทย์แผนไทย MOU ร่วมการยาสูบแห่งประเทศไทย ทำสารสกัดนิโคตินรูปแบบแผ่นแปะบุหรี่ นักกฎหมาย มธ.เผยยกเลิกทำ MOU แล้วเหตุขัดกฎหมายระหว่างประเทศด้านยาสูบ


นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมการบริหารศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ทำ MOU ร่วมกับ การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) และองค์กรธุรกิจ โดยการทำ MOU ครั้งนี้ ยสท.ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจมีฐานะเป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ.การยาสูบแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2561 หรือชื่อเดิมที่รู้จักกันคือโรงงานยาสูบ ร่วมเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ทำบันทึกความร่วมมือดังกล่าวด้วยกับกรมการแพทย์แผนไทยฯ เพื่อจัดทำสารสกัดนิโคตินในรูปแผ่นแปะอดบุหรี่ โดยระบุบทบาทหน้าที่ของ ยสท.ไว้ว่า ส่งเสริมการปลูกยาสูบและพัฒนาสายพันธุ์ที่มีปริมาณสารสำคัญสูง แล้วนำมาต่อยอดผลิตภัณฑ์จากสารสกัดนิโคตินเพื่อใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ รวมทั้งศึกษาวิจัยพัฒนากระบวนการผลิตยาสูบเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มต่อไป


นายไพศาล กล่าวว่า การที่หน่วยงานสาธารณสุข ที่มีเป้าหมายในการดำเนินงานเพื่อสุขภาวะของประชาชน ได้มีความร่วมมือกับ ยสท.ที่เป็นอุตสาหกรรมยาสูบ ทำให้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก จนกระทั่งกรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้ยกเลิกการทำ MOU กับ ยสท. เนื่องจากการดำเนินของกรมแพทย์แผนไทยฯ ในเรื่องนี้ ขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศด้านควบคุมยาสูบคือ กรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) โดยในมาตรา 5.3 ได้ระบุชัดเจนว่า หน่วยงานของรัฐพึงยกเลิกความตกลงที่ทำกับอุตสาหกรรมยาสูบหรือบริษัทบุหรี่ในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ซึ่งหากหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานสาธารณสุข มีความร่วมมือกับ ยสท.แล้ว อาจส่งผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายสุขภาพของประเทศในอนาคต เพราะเป็นการสนับสนุนให้มีการพัฒนาใบยาสูบและผลิตภัณฑ์ยาสูบ


“ทั้งนี้ การแก้ปัญหาเรื่องนี้ในระยะยาว กรมควบคุมโรคควรเร่งรัดผลักดันให้มีการเสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อจำกัดการติดต่อหรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับอุตสาหกรรมยาสูบต่อสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่ง นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพ และทีมนักวิชาการ เคยช่วยยกร่างระเบียบนี้เสนอต่อผู้บริหารกรมควบคุมโรคมาหลายปีแล้ว” นายไพศาล กล่าว




เผยแพร่: 4 ก.ย. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

169
กก.สปสช.ชี้ แนวคิดให้ผู้ป่วยบัตรทองร่วมจ่าย 10-20% ประหยัดเงินแค่หลักพันล้าน แต่ส่งผลผู้มีรายได้น้อยมารับบริการน้อยลง ย้ำถ้าเก็บจริงต้องเก็บเหมือนกันทุกกองทุน และต้องหาวิธีแก้ไขผลกระทบด้วย


จากกรณีข่าวกระทรวงการคลังมีแนวคิดลดสิทธิบัตรทอง โดยให้ประชาชนที่มีรายได้เกินกว่า 100,000 บาทต่อปี หรือมีฐานะดี จ่ายเงินเองด้วย เช่น จ่าย 10% บัตรทองจ่าย 90% เป็นต้น เพื่อแบ่งเบาภาระเงินงบประมาณ โดยคงสิทธิเดิมให้คนจนผู้มีรายได้น้อย


วันนี้ (4 ก.ย.) นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สัดส่วนภาคประชาชน กล่าวว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง ไม่ใช่แค่สิทธิของประชาชนอย่างเดียว แต่พิสูจน์แล้วว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า โดยผลการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชี้ว่า การลงทุนในระบบหลักประกันสุขภาพ 100 บาท จะได้ผลตอบแทน 20 บาท เพราะมีผลในเชิงเศรษฐกิจด้วย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยา เครื่องมือแพทย์ โลจิสติกส์ ฯลฯ ซึ่งธนาคารโลกประเมินแล้วพบว่า ไทยลงทุนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คนที่ได้ประโยชน์ คือ คนที่มีรายได้ระดับล่างสุด 20% มีอำนาจซื้อมากขึ้นทุกปี เพราะไม่ต้องเก็บเงินไว้สำหรับสุขภาพ สามารถเก็บเงินไว้ใช้จ่ายสิ่งของจำเป็นอื่นๆ มากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน ส่วนประเทศที่ไม่มีระบบหลักประกันฯ อำนาจการซื้อของคนที่มีรายได้ต่ำสุด 20% ลดลงเรื่อยๆ


นพ.สุวิทย์ กล่าวว่า เมื่อมองเป็นการลงทุน คำถามคือ ประชาชนควรร่วมลงทุนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการร่วมลงทุนหรือร่วมจ่ายมี 2 ประเภทคือ จ่ายก่อนป่วย และจ่ายหลังป่วย โดยจ่ายก่อนป่วยคือ เบี้ยประกัน ซึ่งมีเพียงประกันสังคมเท่านั้นที่มีเบี้ยประกัน บัตรทองและสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ไม่มี ถ้าจะมีเบี้ยประกันกับบัตรทอง ก็ควรมีเบี้ยประกันสำหรับสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการด้วย มิเช่นนั้นจะไม่เป็นธรรม และต้องจ่ายอย่างเป็นธรรม ใครรายได้มากก็จ่ายมาก ใครรายได้น้อยก็จ่ายน้อย ส่วนการจ่ายหลังป่วย มี 3 แบบ 1. Co-payment หรือค่าเหยียบแผ่นดิน เข้าไปใช้บริการก็ต้องจ่ายทันที ซึ่งมีเฉพาะบัตรทอง


2.Deductible หรือจ่ายขั้นต่ำก่อนประกันจ่าย เช่น ค่ารักษา 1,000 บาท ถ้ารักษาไม่เกิน 1,000 ก็จ่ายเต็มตามจำนวนเงินจ่ายจริง แต่ถ้าค่ารักษา 1,500 บาท ก็จ่ายที่เพดาน 1,000 บาท อีก 500 ประกันจ่าย เป็นต้น ขณะนี้ยังกองทุนสุขภาพในเมืองไทยยังไม่มีการจ่ายแบบนี้ และ 3. Co-insurance หรือร่วมประกัน ซึ่งเป็นข่าวในขณะนี้ เช่น ค่ารักษาพยาบาล 100 บาท ประกันจ่าย 90 บาท ผู้ป่วยจ่าย 10 บาท ระบบนี้ดีน้อยที่สุด การวิจัยทั่วโลกรวมทั้งงานวิจัยในประเทศไทยซึ่งตีพิมพ์เมื่อเร็วๆ นี้ โดยอาจารย์ อุดมศักดิ์ โง้วศิริ จากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ พบว่า การร่วมจ่ายแบบนี้ทำให้คนใช้บริการน้อยลง โดยที่คนจนหรือคนที่มีรายได้ต่ำจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ที่สำคัญคือการไปรับบริการที่น้อยลง เกิดทั้งกับบริการที่จำเป็นและไม่จำเป็น หรือพูดง่ายๆว่ายอมป่วยอยู่บ้านแม้ว่ามีความจำเป็นต้องใช้บริการ


“เรื่องนี้ไม่ได้เป็นข่าวที่มีแถลงการณ์หรือยืนยันอย่างเป็นทางการจากกรมบัญชีกลาง เราก็ว่ากันไปตามข่าวและข้อมูลเชิงวิชาการ สมมติถ้าจะทำกับบัตรทอง ปัจจุบันรัฐใช้งบประมาณปีละ 180,000 ล้านบาทกับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ถ้าจะให้ร่วมจ่าย 10% อย่างมากสุดก็ได้ 18,000 ล้านบาท แต่เมื่อไม่เก็บจากคนจนซึ่งขั้นทะเบียนไว้ประมาณ 10 ล้านคนจากจำนวนผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 45 ล้านคน ก็หักออกไปอีก 25-30% เงิน 18,000 ล้านบาท ก็เหลือประมาณ 10,000 ล้านบาท และยังมีอีกส่วนที่มีสิทธิแต่ไม่ใช้สิทธิ เช่น ไปใช้บริการหน่วยบริการที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วควักเงินจ่ายเอง เมื่อหักลบออกไปอีก รวมๆแล้วก็จะประหยัดงบประมาณได้ไม่มาก ประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท” นพ.สุวิทย์ กล่าว


นพ.สุวิทย์ กล่าวว่า การประหยัดงบประมาณไปได้หลักพันล้านแต่มีผลกระทบทำให้คนระดับล่างเช่น คนที่ไม่มีบัตรคนจน ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ไปใช้บริการทั้งๆที่มีความจำเป็น แบบนี้จะเหมาะสมหรือไม่ และจะมีการแก้ไขผลกระทบอย่างไร นอกจากนี้ ถ้าจะเก็บ 10% จากบัตรทอง ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการจะเก็บ 10% เหมือนกันหรือไม่ เพราะฉะนั้นหลักการง่ายๆ คือถ้าจะเก็บก็ต้องเก็บให้ทั่วถึง ทำให้เหมือนกันทั้ง 3 กองทุนและหาทางปกป้องคนยากคนจนให้ได้ ถ้าทำได้ มันก็น่าจะรับการยอมรับ และถ้าจะทำจริงๆ กรมบัญชีกลางควรจะเก็บจากสวัสดิการข้าราชการก่อน เพราะเป็นสิทธิที่กรมบัญชีกลางบริหาร ส่วนประกันสังคมต้องให้กระทรวงแรงงานพิจารณา ขณะที่บัตรทองก็เป็นคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพิจารณา แต่ละระบบมีคนรับผิดชอบอยู่



เผยแพร่: 4 ก.ย. 2561    โดย: ผู้จัดการออนไลน์

170
สธ.-กลุ่มเภสัชกร ถกเคร่งร่าง พ.ร.บ. ยาฉบับใหม่ ได้ข้อเสนอแบ่งยา 3 กลุ่ม ยึดมาตรา 13 พ.ร.บ.ฉบับเก่า ให้ 3 วิชาชีพจ่ายยาได้ตามเดิม เตรียมเสนอ รมว.สธ. 5 ก.ย.นี้


ความคืบหน้ากรณีการคัดค้านร่าง พ.ร.บ. ยา พ.ศ. ... จน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายรัฐมนตรี ต้องสั่งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประชุมหาข้อสรุป ขณะที่ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มอบให้ ปลัด สธ.เชิญกลุ่มเภสัชกรมาหารือข้อยุติในวันที่ 4 ก.ย. 2561


วันนี้ (4 ก.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น. นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานการประชุมหารือเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. ยา พ.ศ. ... โดยมีผู้บริหาร สธ. และ อย. เช่น นพ.สุขม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย. เป็นต้น รวมถึงตัวแทนเภสัชกรกลุ่มต่างๆ เช่น ภก.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี นายกสภาเภสัชกรรม ภก.จิระ วิภาสวงศ์ ประธานชมรมเภสัชสาธารณสุขแห่งประเทศไทย ตัวแทนคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ ม.ขอนแก่น กลุ่มเขียวมะกอก กลุ่มรวมใจ และกลุ่มเภสัชกรเพื่อปวงประชา เป็นต้น เข้าร่วม


นพ.เจษฎา กล่าวภายหลังการประชุมว่า จากการหารือยังมีไม่กี่ประเด็นที่ยังเข้าใจไม่ตรงกัน คือ การแบ่งประเภทกลุ่มยา ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่สบายใจมากที่สุด โดยมีการเสนอให้เหลือเพียง 3 กลุ่มตามหลักสากล ส่วนบางประเด็นที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ก็ให้กลับไปใช้มาตราเดิมของ พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 คือ มาตรา 22(5) เรื่องการจ่ายยาของวิชาชีพอื่นๆ ก็ให้กลับไปใช้มาตรา 13 ของ พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 แทน ทั้งนี้ จะนำข้อเสนอดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการร่าง พ.ร.บ. ยา ฉบับใหม่ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป


นพ.สุรโชค กล่าวว่า กลุ่มเภสัชกรเสนอให้แบ่งยาเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ยาควบคุมพิเศษ 2.ยาอันตราย และ 3.ยาสามัญประจำบ้าน แต่จะมีร้านขายยากลุ่มที่เรียกว่า ขย.2 ซึ่งเป็นร้านบรรจุเสร็จ ตรงนี้ต้องไปเขียนเพิ่มเติมให้ชัดว่า เป็นยาประเภทใด และไม่ต้องมีใบสั่งยา แต่ต้องไปเขียนเพิ่มเติมในบทเฉพาะกาล ทั้งนี้ จะมีการนำข้อหารือทั้งหมดเสนอ รมว.สาธารณสุข ในการประชุมผู้บริหาร สธ. วันที่ 5 ก.ย. 2561 เพื่อเสนอประกบกับร่าง พ.ร.บ. ยาฉบับใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องถอนออกมา เพียงแค่ปรับแก้บางมาตราเท่านั้น นอกจากนี้ จะต้องมีการเชิญวิชาชีพอื่นๆ มาหารือด้วย


ภก.จิระ กล่าวว่า สำหรับเรื่องกลุ่มยาที่เราค้าน เพราะร่าง พ.ร.บ. ยา แบ่งยาเป็น 4 กลุ่ม ซึ่งมีการระบุถึงยาแผนปัจจุบันที่ไม่ใช่ยาควบคุมพิเศษและยาอันตราย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นยากลุ่มไหน เป็นยากลุ่ม ขย. 2 ที่เป็นยาบรรจุเสร็จเดิมหรือไม่ ซึ่งจะต้องเขียนให้ชัดว่าคืออะไร จำเป็นต้องมีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ถือว่าพอใจระดับหนึ่งกับผลการหารือ เพราะสุดท้ายก็กลับไปสู่จุดเดิมๆ ที่เป็นอยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วกฎหมายใหม่ ควรได้เห็นอะไรใหม่ๆ ระบบยาประเทศไทยทัดเทียมสากล แต่สุดท้ายแล้วก็ทำเพื่อให้ได้เท่าเดิม แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่เอาร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่เลย เพราะประเด็นที่เห็นตรงกันก้ใช้ไป แต่ข้อขัดแย้งที่ยุติไม่ได้ก็เอา พ.ร.บ.เดิมมาแปะแทน อย่างเรื่องวิชาชีพที่จ่ายยา ก็ใช้ มาตรา 13 พ.ร.บ. ฉบับปี 2510 มาใช้แทน คือ แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ จ่ายยาได้ตามรูปแบบเดิม


ผู้สื่อข่าวรายงาน ในสังคมออนไลน์มีการแชร์ข้อมูลของชมรมเภสัชชนบท ได้จัดทำ 10 ข้อที่ อย.ไม่ได้บอกประชาชน เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ยา ประกอบด้วย 1.(ร่าง) พ.ร.บ.ยาที่ผ่านมา อย.(แค่)ฟังความคิดเห็น แต่ไม่เอาข้อเสนอมาปรับปรุง เพิ่มเติม 2. การผลิตยา ใครก็ทำได้ ทำที่ไหนก็ได้ ประเทศไทยจะเต็มไปด้วยยาที่ไร้มาตรฐาน 3. ไม่มีการทบทวนทะเบียนยา อายุทะเบียน 7 ปี ยาด้อยประสิทธิภาพ ยังคงถูกหลอกขายต่อไป เนื่องจากในร่างกฎหมายไม่ได้ระบุว่า ให้ทบทวนทะเบียนยา มีแค่ว่าใครมาขึ้นทะเบียนก็มาเสนอทุก 7 ปี 4.โฆษณายา ปล่อยตามสะดวก จดแจ้งเลยกรณีแบบ “เมจิกสกิน” คงกลับมาอีก 5.ยาชีววัตถุ ปล่อยจดแจ้งตามสะดวก อินซูลิน (เบาหวาน) มาตรฐานต่ำจะตามมา 6. แจกของขวัญ สวัสดิการพาเที่ยว ยาราคาแพงขึ้น..อีกแล้ว 7.ไม่สนใจหลักถ่วงดุล ทวนสอบ ในระบบยาเกิดความเสี่ยงให้ประชาชนได้รับยาผิด 8.ใครก็ส่งมอบยา แนะนำการใช้ยาให้เราได้ ได้รับยาที่ปลอดภัย เกิดโรคที่เกิดจากยา 9. ขายยาได้ว่อนเน็ต จะยังถูกหลอกลวงกันต่อไป และ10. เจตนารมณ์ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยแต่ย้อนกลับไปใช้แนวคิด พ.ศ. 2510




เผยแพร่: 4 ก.ย. 2561  โดย: ผู้จัดการออนไลน์

171
แพทย์แผนไทยเผยยังไม่มีวิจัย “อังกาบหนู” ช่วยรักษามะเร็ง เตรียมเก็บข้อมูลเพิ่มหาทางต่อยอดวิจัย ชี้ วิจัย “สมุนไพร” รักษามะเร็ง มีทั้งหาสารสำคัญฆ่าเซลล์มะเร็ง และดูจากตำรับยาโบราณรักษาอาการคล้ายมะเร็ง จึงพัฒนาต่อยอด เตือนอังกาบหนูต้องกินพอเหมาะ ระวังรากมีการศึกษาทำสเปิร์มลด เสี่ยงเป็นหมันได้


วันนี้ (23 ส.ค.) นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แถลงข่าวสรรพคุณสมุนไพร “อังกาบหนู” ว่า อังกาบหนูเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์อยู่มาก มีรสเย็นและรสเบื่อเมา มีความเป็นพิษเล็กน้อย คล้ายกับฤทธิ์ของเหล้า ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันว่า อังกาบหนูสามารถรักษามะเร็งได้ มีแค่ข่าวว่าชาวบ้าน จ.สุโขทัย 5-13 ราย กินแล้วหายจากมะเร็ง จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่แพทย์แผนไทยลงไปหาข้อเท็จจริง ว่า มีผู้ป่วยในพื้นที่กี่คน ป่วยมะเร็งที่อวัยวะใด ระยะที่เท่าไร รักษาหายจริงหรือไม่ มีผลการตรวจรักษาจากแพทย์ยืนยันหรือไม่ เพราะบางครั้งพบว่า ประชาชนเข้าใจผิดว่า ตัวเองเป็นมะเร็ง แต่ไม่ได้เป็น รวมถึงความหมายการหายจากมะเร็งก็ต่างกัน ซึ่งทางแพทย์ คือ จะต้องไม่มีเซลล์มะเร็งในร่างกายอีก แต่ชาวบ้านอาจแค่ร่างกายดีขึ้น กิน ดื่ม นอนหลับ ไม่ปวด ก็คือหายแล้ว


นพ.ขวัญชัย กล่าวว่า ทั้งนี้ หากพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ก็จะพิจารณาว่า จะศึกษาวิจัยเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร ทั้งนี้ การจะเลือกสมุนไพรหรือตำรับยามาวิจัยว่ารักษามะเร็งได้จริงหรือไม่นั้น จะมี 2 แนวทาง คือ 1.ด้านวิทยาศาสตร์ จะเป็นการหาสารสำคัญของสมุนไพรว่าสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้หรือไม่ แต่การวิจัยเพียงแค่วิธีนี้อาจไม่ยุติธรรมต่อสมุนไพร เพราะสมุนไพรมักจะทำเป็นตำรับยา มีสมุนไพรหลายๆ ตัวมาเป็นยาหลัก ยารอง ยาเสริม ยาแก้ ยาตัด ยาต้าน อย่างตำรับวัดคำประมง ที่มีข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ หัวร้อยรู จากการศึกษาพบว่า สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้ แต่ก็ฆ่าเซลล์ที่ดีในร่างกายด้วย แต่เมื่อนำทั้งตำรับที่มีสมุนไพรกว่า 25 ตัว มาศึกษา พบว่า สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ดี ฆ่าเซลล์ร่างกายน้อยลง เป็นภูมิปัญญาที่ใช้ฤทธิ์สมุนไพรตัวหนึ่งไปแก้พิษอีกตัวหนึ่ง





เผยแพร่:   24 ส.ค. 2561 โดย: MGR Online

172
หากเราประกาศกร้าวต่อหน้าเพื่อนๆ ว่า เราอยากกินคลีน อยากสุขภาพดี สิ่งแรกๆ ที่ทุกคนทราบดี คือเราต้องทานอาหารที่มีไขมันน้อยลง เพราะมันทำให้อ้วน และก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพหลาย ๆ อย่างตามมา  หรือแม้กระทั่งนม ทุกคนก็แนะนำให้ดื่มนมไขมันต่ำ แถมยังยืนยันความดีงามของนมไขมันต่ำได้อีกทาง จากการที่บรรดาโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา เลือกนมไขมันต่ำมาให้นักเรียนดื่ม


แต่ในช่วงหลัง ๆ มานี้ เราจะเห็นข่าวและการรณรงค์ต่อต้านการบริโภคนมไขมันต่ำมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมมีการนำผลการวิจัย ออกมาเปิดเผยว่า การดื่มนมที่มีไขมันปกติ เป็นผลดีต่อร่างกายมากกว่านมไขมันต่ำ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร มาหาคำตอบกันค่ะ


นมไขมันต่ำ ดีต่อร่างกายจริงหรือ?



จากผลงานวิจัยของ Dr. Dariush Mozaffarian ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Circulation ระบุว่า เขาและทีมงานวิเคราะห์ผลการตรวจเลือดของผู้ใหญ่ จำนวน 3,333 คน ที่เข้าร่วมโครงการ วิจัยเป็นระยะเวลานานถึง 15 ปี พบว่า ผู้ที่เลือกดื่มนม หรือทานอาหารที่มาจากนมชนิดที่มีไขมันเต็มที่ ร้อยละ 46 มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่าคนที่ดื่มนมไขมันต่ำ จึงทำให้กล่าวได้ว่า การดื่มนมไขมันต่ำ ก็ไม่ได้ให้ผลดีไปกว่าการดื่มนมที่มีไขมันเต็มที่แต่อย่างใด


นักวิจัยยังกล่าวอีกว่า ถึงแม้นมปกติ จะมีแคลอรีมากกว่านมไขมันต่ำ และผู้เชี่ยวชาญส่วนมากก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงการบริโภค เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน แต่จากการศึกษาใหม่กลับพบว่า เมื่อเราลดปริมาณการบริโภคไขมันลง เราก็จะหันไปบริโภคน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตแทน  ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ส่งผลกระทบต่ออินซูลิน หรือฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน นอกจากนี้ Dr. Dariush Mozaffarian ยังพบว่า นมที่มีไขมันมัน ไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด


นักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่ง ตีพิมพ์บทความลงใน The American Journal of Nutrition ว่า จากข้อมูลผู้หญิงจำนวน 18,438 คน เกี่ยวกับการดื่มและไม่ดื่มนมไขมันต่ำ พบว่า การดื่มนมที่มีไขมัน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการมีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วนได้ถึงร้อยละ 8


Dr. Dariush Mozaffarian กล่าวว่า “เราควรต้องหยุดให้คำแนะนำผู้บริโภค ด้วยการอ้างอิงทฤษฎีเก่า ๆ และเราควรจะหันมามองภาพรวมของการบริโภคอาหาร หรือความสัมพันธ์ของการบริโภคอาหารแต่ละชนิด ที่มีผลต่อกันและกัน ไม่ใช่การเพ่งเล็งไปที่อาหารชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่น เมื่อเราบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง เราจะได้รับพลังงานที่เพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิว จนต้องมาบริโภคน้ำตาล หรือแป้งเข้าไปเพิ่ม นอกจากนี้ไขมันในนม มีผลต่อเซลล์ในร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับ และช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และยังลดความอยากน้ำตาลลงได้อีกด้วย”


ทราบอย่างนี้แล้ว ก็ดื่มนมได้อย่างสบายใจมากขึ้นนะคะ สิ่งที่ควรเลี่ยงน่าจะเป็นน้ำตาลมากกว่า เลือกดื่มนมจืด ทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้หนทางสู่สุขภาพดีก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วล่ะค่ะ

20 ส.ค.61    sanook.com

173
กรมการแพทย์เผยสัญญาณเตือนเสี่ยง “โรคหลอดเลือดสมอง” หากพบอาการแขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง สับสนพูดลำบาก พูดไม่รู้เรื่อง มองเห็นลดลง มีปัญหาการเดิน มึนงง ให้รีบไปพบแพทย์ใน 3 ชั่วโมงครึ่ง ช่วยรักษาชีวิตลดภาวะพิการได้ อัมพฤกษ์ - อัมพาต


จากกรณี “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” ผู้จัดละครคนดัง เกิดอาการวูบกลางกองถ่ายจนต้องส่งตัวเข้าโรงพยาบาล โดยพบว่าเกิดจากอาการเส้นเลือดในสมองตีบ ขณะนี้ทางครอบครัวแจ้งว่าอาการเริ่มดีขึ้น ตื่นเป็นระยะ และพูดคุยกับภรรยาและลูกได้เล็กน้อย


วันนี้ (17 ส.ค.) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เส้นเตือดสมองตีบเป็นอาการหนึ่งของโรคหลอดเลือดสมองซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่งของโรคทางระบบประสาท และเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญในอันดับต้นๆ ของประเทศ โรคนี้หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงทีส่วนใหญ่จะมีความพิการหลงเหลือตามมา ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง มีญาติสายตรงป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะมีอาการเตือนสำคัญ คือ แขนและขาอ่อนแรงซีกเดียวของร่างกาย สับสน พูดลำบาก พูดไม่รู้เรื่อง ตามองเห็นลดลง ข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง มีปัญหาการเดิน มึนงง อาการเหล่านี้มักเกิดฉับพลันให้รีบมาพบแพทย์ด่วนที่สุดภายใน 3 ชั่วโมงครึ่ง จะรักษาชีวิตและฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติหรือใกล้เคียงได้มากที่สุด สำหรับการลดความเสี่ยง ได้แก่ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม ไขมันสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก งดเครื่องดื่มมึนเมา เลี่ยงสูบบุหรี่ และตรวจสุขภาพประจำปี


พญ.ไพรัตน์ แสงดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัญหาที่สำคัญของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง คือ การที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จำเป็นต้องรักษาหรือฟื้นฟูด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้ร่างกายมีสภาพที่ดีขึ้นสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น สำหรับวิธีการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตควรทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างแพทย์ผู้ป่วยและผู้ดูแลเพื่อการดูแลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เนื่องจากเป็นการฟื้นฟูผู้ป่วยที่เจ็บป่วยเรื้อรังหรือฉับพลันเพื่อลดความพิการหรือป้องกันความพิการให้ได้มากที่สุดสามารถใช้ชีวิตให้เป็นปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับการวินิจฉัยโรคว่าคนไข้อ่อนแรงจากอัมพฤกษ์ อัมพาตหรือไม่ หรือเป็นที่กล้ามเนื้อและกระดูก แพทย์จะซักประวัติและอาจเอกซเรย์สมองร่วมด้วย หากพบว่าเป็นโรคดังกล่าวจะส่งให้แพทย์ดูแลอาการให้สภาพคงที่จากนั้นส่งไปยังศูนย์ฟื้นฟูเพื่อกายภาพบำบัดตามลำดับ


“ประชาชนจึงควรมีความรู้เบื้อต้นในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและการทราบถึงอาการเบื้องต้นเพื่อการส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้ทันเวลา จะยิ่งมีโอกาสสูงมากในการเยียวยาอาการให้ดีขึ้น เช่น การให้ยาละลายลิ่มเลือดในภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ และการดูแลที่เหมาะสมในผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดในสมองแตกจะช่วยลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน ตลอดจนการลดอัตราการเสียชีวิตได้” พญ.ไพรัตน์กล่าว



 17 ส.ค. 2561   โดย: MGR Online

174
กรมควบคุมโรค เฝ้าระวัง "โรคอีโบลา" ประเทศคองโก หลังพบยอดตายล่าสุด 41 ราย สัปดาห์เดียวเพิ่มขึ้น 7 ราย คัดกรองเข้มต่อเนื่อง ผู้ที่มีประวัติเดินทางมาจากประเทศระบาด


วันนี้ (17 ส.ค.) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในเมืองนอร์ธกีวู ซึ่งเป็นการระบาดระลอกที่ 2 ของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือและการดำเนินงานป้องกัน ควบคุมโรคในพื้นที่ประเทศคองโก โดยสถานการณ์ล่าสุดมีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในเมืองนอร์ธกีวู มีจำนวน 57 ราย และเสียชีวิตแล้ว 41 ราย มีผู้ป่วยที่ยืนยันเพิ่มจากสัปดาห์ก่อน 14 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 7 ราย และยังคงทำงานอย่างเต็มที่ร่วมกับหน่วยงานในประเทศที่จะควบคุมและยุติการระบาดในครั้งนี้


นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามประกาศ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้มีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีค้างคาวกินผลไม้เป็นพาหะ และเป็นโรคที่ติดต่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านการสัมผัสโดยตรงหรือรับประทานสัตว์ป่าที่ติดเชื้อ หรือสัมผัสสารคัดหลั่ง การติดต่อจากคนสู่คน โดยการคลุกคลีใกล้ชิด สัมผัสกับเลือด สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะ เป็นต้น อาการสงสัยหลังสัมผัสเชื้อ ได้แก่ มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย และมีผื่นนูนแดงตามตัว


"กรมควบคุมโรคยังคงเฝ้าระวังโรคดังกล่าวอย่างต่อเนื่องใน 3 ระดับ คือ 1.ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ 2.โรงพยาบาลภาครัฐและภาคเอกชน และ 3.ในระดับชุมชน พร้อมกำชับด่านควบคุมโรคทั่วประเทศ ให้คัดกรองผู้ที่มีประวัติเดินทางมาจากพื้นที่ระบาดในทุกๆ ช่องทางเข้า-ออก ทั้งที่ด่านสนามบิน ด่านท่าเรือ และด่านชายแดน หากพบผู้เดินทางมีอาการคล้ายโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาจะรับเข้าดูแลในโรงพยาบาลที่จัดเตรียมไว้ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด เพื่อตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาตามมาตรฐานที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเดินทาง" นพ.สุวรรณชัย กล่าว




 17 ส.ค. 2561    โดย: MGR Online





175
รพ.วัดไร่ขิง จัดโครงการตาปลอมเฉพาะบุคคล 999 ดวงฟรี ถวายเป็นพระราชกุศล รัชกาลที่ ๙ ถึงสิ้นปี 64 เผยยังเหลือโควตาอีก 332 ดวง ชวนผู้ยากไร้สูญเสียดวงตาเข้ารับบริการ อธิบดีกรมการแพทย์ ชี้ ส่วนใหญ่เสียดวงตาจากอุบัติเหตุรุนแรง เผย ดวงตาปลอมเฉพาะบุคคลครอบคลุมแค่สิทธิราชการ



วันนี้ (2 ส.ค.) ที่โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) จ.นครปฐม นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวภายหลังเปิดประชุมวิชาการ “การพยาบาลและการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยผ่าตัดนำลูกตาออก และการใส่ตาปลอม” ว่า ผู้ป่วยที่จะต้องได้รับการผ่าตัดนำตาออกจากเบ้าตา มีหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ 80% พบว่า มาจากการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง จนลูกตาแตกไม่สามารถผ่าตัดเก็บลูกตาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังมีการติดเชื้อที่รุนแรงหลังอุบัติเหตุ ซึ่งการผ่าตัดเอาลูกตาออกจะต้องใส่ตาปลอม โดยตาปลอมนั้นมี 2 ชนิด คือ 1.ตาปลอมสำเร็จรูป ซึ่งทำจากพลาสติก ราคาอยู่ที่ประมาณพันกว่าบาท ซึ่งผู้ป่วยทั้ง 3 สิทธิกองทุนสุขภาพ คือ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ประกันสังคม และสวัสดิการ สามารถเบิกจ่ายได้ แต่พบว่า ลูกตาปลอมสำเร็จรูปอาจไม่ได้มีสีเดียวกับดวงตาอีกข้างและใช้ได้ไม่นาน ทำให้ไม่มีความสมจริง และ 2.ตาปลอมเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นทำดวงตาให้เหมือนกับดวงตาอีกข้างที่เหลือมากที่สุด ทำจากอะคริลิก โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 5 พันกว่าบาท โดยสามารถเบิกจ่ายได้เฉพาะสิทธิข้าราชการ ส่วนสิทธิอื่นๆ ยังต้องจ่ายค่ารักษานี้เอง



นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ รพ.เมตตาประชารักษ์ จึงจัดโครงการตาปลอม 999 ดวงตาถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด้จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยที่สูญเสียดวงตาที่ยากไร้ด้อยโอกาส สามารถเข้าถึงบริการใส่ตาปลอมเฉพาะบุคคลได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ ม.ค. 2560 ถึง 31 ธ.ค. 2564 ซึ่งขณะนี้การให้บริการตั้งแต่เริ่มจนถึง 1 ส.ค. 2561 มีผู้เข้ารับบริการตาปลอมเฉพาะบุคคลจากโครงการนี้ทั้งหมด 321 ราย และมีผู้ลงชื่อเข้าร่วมโครงการเพื่อรับตาปลอมเฉพาะบุคคลอีก 346 ราย ซึ่งสถานพยาบาลที่สามารถให้บริการดวงตาปลอมเฉพาะบุคคลได้ มีทั้งสิ้น 15 แห่งทั่วประเทศ โดยที่ต่างจังหวัดมีให้บริการได้มีเพียง จ.นครปฐม จ.ขอนแก่น และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่เหลืออยู่ในกรุงเทพมหานครทั้งหมด ดังนั้น โครงการนี้ยังมีโควตารับผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการอีกประมาณ 332 ราย ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดที่ www.mettaprothesis.com หรือ โทร. 034-388700-2 ต่อ 3129 หรือ 3108



“สำหรับโครงการนี้อยากให้ผู้ที่ใช้สิทธิบัตรทองหรือประกันสังคมมาลงทะเบียน เนื่องจากยังไม่เป็นสิทธิประโยชน์ ส่วนสิทธิข้าราชการขอให้ไปใช้สิทธิตามระบบของตนเอง นอกจากนี้ สามารถร่วมบริจาคได้ที่ บัญชีชื่อ กองทุนเงินบริจาคเพื่อศูนย์ตาปลอม รพ.เมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) ธนาคารกรุงไทย สาขาสามพราน เลขที่ 734-0-56275-3 ซึ่งหากมีเงินบริจาคมากพอก็สามารถให้บริการผู้ด้อยโอกาสฟรีเพิ่มได้อีก” นพ.สมศักดิ์ กล่าว





เผยแพร่: 2 ส.ค. 2561   โดย: MGR Online

176
“หมอสุภัทร” ฝากถึงว่าที่ปลัด สธ.คนใหม่ ออกนโยบายติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาทุก รพ. ลดค่าไฟฟ้า ประหยัดเงินมาเพิ่มคุณภาพบริการ เผย รพ.จะนะ เตรียมติดตั้งเพิ่ม 20 กิโลวัตต์ คาด 4-5 ปี คืนทุน เงินบำรุงสิ้นปีจะไม่มีตัวแดง


วันนี้ (8 ส.ค.) นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา และกรรมการชมรมแพทย์ชนบท ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ “นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ” ถึง นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คนใหม่ ที่จะมารับตำแหน่งในวันที่ 1 ต.ค. 2561 ว่า ปัจจุบันค่าไฟฟ้าโรงพยาบาลจะนะ ในเดือนกรกฎาคม 2561 ลดลงจากปี 2560 น้อยกว่าที่คาด คือ ต้องจ่ายค่าไฟฟ้า 213,129 บาท ลดลงจากกรกฎาคม ปี 2560 ราว 65,000 บาท ไม่มากอย่างที่หวัง เพราะค่าเฉลี่ยทั่วไปที่ลดได้อยู่ที่เดือนละ 80,000 บาท สาเหตุอะไรที่ค่าไฟพุ่ง ทั้งที่เดือนกรกฎาคม ก็แดดดี คิดไปคิดมา ก.ค.เป็นเดือนแห่งการประชุม ห้องประชุมที่มี 3 ห้อง แทบไม่ว่าง ด้วยทั้งจากการประชุมภายในเพื่อเตรียมการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (re-accreditation HAรอบ 3) หรือโครงการต่างๆ ที่ต้องเร่งรัดก่อนสิ้นปีงบประมาณ การใช้ไฟฟ้ากลางวันกับเรื่องแอร์จึงพุ่งขึ้น ส่วนแสงสว่างหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เครื่องซักผ้านั้น ไม่ได้เป็นภาระเพิ่ม เพราะยอดผู้ป่วยทรงๆ


แบบนี้หากจะลดค่าไฟฟ้าลงไปให้ได้อีก ต้องติดตั้งแผงโซลาร์เพิ่มอีกครับ แปลว่า เรายังติดไม่มากพอ ผมก็บ่นๆว่าจะติดมาพักหนึ่งแล้ว เดือนกันยายนนี้ลงมือแน่นอนครับ ติดตั้งเพิ่มอีก 20 กิโลวัตต์ (จากเดิมที่ติดตั้งไปแล้ว 20 กิโลวัตต์เมื่อปี 2560)


เราติดตั้งด้วยเงินบำรุงของโรงพยาบาลเองครับ เงินที่เก็บสะสมมาเรื่อยตลอดปี (งบประมาณกระทรวงสาธารณสุขหรือ สปสช.นั้นยังไม่มีและยังไม่เปิดช่องในเรื่องนี้) นี้คือ การลงทุนครับ ไม่เกิน 4-5 ปีก็คืนทุนแล้ว คุ้มค่าสุดๆ เงินบำรุงสิ้นปีงบของ รพ.จะนะก็ไม่ตัวแดง จึงพอจะควักกระเป๋าติดตั้งเพิ่มได้ครับเป็นงบสัก 750,000 บาท


ผมก็ฝันๆ ไว้ว่า ท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุขท่านใหม่ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย จะเห็นความสำคัญ มีนโยบายเรื่องการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาทุกโรงพยาบาล เพื่อลดค่าไฟฟ้า จะได้เอาเงินที่ประหยัดได้ตลอดอายุของระบบโซลาร์เซลล์ 25 ปี ซึ่งมีจำนวนมากโขอยู่ มาเพิ่มคุณภาพบริการ แถมยังได้ลดโลกร้อนตามแนวทาง SDG ให้ทั่วโลกเขาชื่นชมได้อีกด้วย



เผยแพร่: 8 ส.ค. 2561     โดย: MGR Online

177
เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกถกเถียงกันเป็นประจำทุกปี สำหรับกรณีที่โรงเรียนแห่งต่างๆ มีการจัดกิจกรรมวันแม่เพื่อให้นักเรียนได้รำลึกถึงพระคุณของผู้เป็นแม่ ด้วยการนำพวงมาลัยมากราบเท้าแม่ ที่นอกจากจะสร้างความตื้นตันใจแก่แม่ลูกหลายคู่ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างประสบการณ์ไม่ได้ดีให้กับเด็กอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่มีแม่มาร่วมงานดังกล่าว


อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊ก สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการจัดงานวันแม่จำ โดยได้เล่าระสบการณ์ส่วนตัวว่า สมัยที่ตนเป็นเด็กและมีงานวันแม่นั้น คุณแม่มักจะไม่สะดวกมาร่วมงาน เพราะต้องลางานมาจากที่ทำงาน ซึ่งพอตนโตขึ้น และได้ทำงานกับคนที่มีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของบาดแผลจากความสัมพันธ์ในวัยเด็ก (attachment trauma)


นอกจากนี้ยังเปิดเผยอีกว่า การจัดงานลักษณะดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลลบกับเด็กหลาย ๆ คน เช่น เด็กที่ต้องอยู่กับญาติ เพราะพ่อแม่แยกทางกัน, เด็กที่ถูกทอดทิ้งทางอารมณ์ สนิทกับพี่เลี้ยงและสุนัขที่เลี้ยงมากกว่า, เด็กที่พ่อแม่ลำเอียง ปฏิบัติกับพี่น้องดีกว่าตัวเขา, เด็กที่ถูกพ่อแม่ลงโทษด้วยวิธีการรุนแรงบ่อย ๆ หากทำอะไรไม่ถูกใจ รวมไปถึงเด็กที่แม่กำลังป่วยหนัก หรือเสียชีวิตไปแล้ว





14 ส.ค. 61  โดย sanook.com

178
กทม. ร่วมศิริราช และสมาคมพฤฒาวิทยาฯ ทำเกณฑ์ประเมิน “คลินิกผู้สูงอายุ” หวังเพิ่มคุณภาพ ให้บริการมีคุณภาพ ค้นพบโรคเรื้อรังได้ตั้งแต่ระยะต้น ช่วยผู้สุงอายุมีสุขภาพ คุรภาพชีวิตที่ดี เฉลิมพระเกียรติ 86 พรรษามหาราชินี


วันนี้ (10 ส.ค.) นายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วย ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมแถลงข่าวโครงการความร่วมมือพัฒนาคลินิกผู้สูงอายุคุณภาพ กรุงเทพมหานคร - ศิริราชพยาบาล เฉลิมพระเกียรติ 86 พรรษามหาราชินี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงมีคุณูปการต่อประชาชนผู้สูงอายุไทย โดยการขยายการดำเนินงานของคลินิกผู้สูงอายุคุณภาพให้ครอบคลุมโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร



นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า คณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ และสมาคมพฤฒาวิทยาและเวชศาสตร์ผู้สูงอายุไทย จะสนับสนุนข้อมูลทางด้านวิชาการและการวิจัย เพื่อจัดทำคู่มือผู้สูงอายุกำหนดเกณฑ์การประเมินคลินิกผู้สูงอายุในโรงพยาบาลให้มีคุณภาพสูงขึ้น โดยจะนำหลักเกณฑ์ที่ได้ไปจัดทำคู่มือเพื่อให้โรงพยาบาลทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงสถานพยาบาลต่างๆ ในพื้นที่ กทม. ใช้เป็นเกณฑ์ในการพัฒนาคลินิกผู้สูงอายุให้ได้มาตรฐานมีคุณภาพในการให้บริการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในเขต กทม. และจะขยายสู่ศูนย์บริการสาธารณสุขและคลินิกชุมชนอบอุ่น เพื่อร่วมจัดบริการที่มีคุณภาพแก่ผู้สูงอายุต่อไป โดยคลินิกผู้สูงอายุคุณภาพดังกล่าว จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการค้นพบโรคเรื้อรังในระยะเริ่มแรก ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตนเอง และดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งปัจจุบัน กทม.มีผู้สูงอายุจำนวน 978,455 คน


“การค้นพบโรคเรื้อรังในระยะเริ่มต้นในผู้สูงอายุ การส่งเสริมฟื้นฟูสมรรถภาพให้สามารถพึ่งตนเอง และช่วยเหลือสังคมได้ สร้างโอกาสให้ผู้สูงอายุประกอบกิจกรรมร่วมกัน สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม เป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้สูงอายุได้ตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง” นายทวีศักดิ์ กล่าว


ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า สัดส่วนผู้สูงอายุในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในปี 2563-2564 คือ ประชากรมีอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งผู้ป่วยสูงอายุมีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากผู้ป่วยผู้ใหญ่ทั่วไป เช่น หกล้ม ไม่เดิน ความสามารถทางสมองเสื่อมถอย เป็นต้น ซึ่งระบบการดูแลสุขภาพของประเทศไทยในปัจจุบัน ไม่สามารถตอบสนองต่อความจำเป็นและความต้องการในด้านการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ จึงจำเป็นต้องมีคลินิกผู้สูงอายุ ซึ่งมีบทบาทไม่เพียงแค่ด้านการวินิจฉัยโรค การรักษาโรค แต่ต้องผนวกเรื่องการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูบำบัด ตลอดจนการคำนึงถึงปัจจัยด้านสังคม



เผยแพร่: 10 ส.ค. 2561  โดย: MGR Online

179
สิทธิบัตรทองยังจำกัดปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ “มะเร็งเม็ดเลือดขาว-ต่อมน้ำเหลือง” ในเด็ก เฉพาะผู้บริจาคที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด หมอมะเร็งรามาฯ ชี้ โอกาสเข้ากันได้แค่ 25% เผยสามารถค้นหาเซลล์พ่อแม่เพื่อปลูกถ่ายให้ลูกได้ หวังพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุม ร่วมการใช้สเต็มเซลล์ผู้บริจาคสภากาชาดไทย เผยอยู่ระหว่างหารือ


ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง หัวหน้าโครงการโรคมะเร็งในเด็ก สาขาโลหิตวิทยาและโรคมะเร็ง ภาควิชากุมารศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะคณะทำงานสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ออกแบบสิทธิประโยชน์มะเร็งโลหิตวิทยาในเด็ก กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเด็ก เฉลี่ยแล้วพบถึงปีละ 600 คน และมีถึง 200 คน ที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการปลูกถ่ายเม็ดเลือด หรือการทำสเต็มเซลล์ไขกระดูก ซึ่งยังคงไม่พบว่า เกิดจากสาเหตุใด แต่สำหรับผู้ป่วยในสิทธิบัตรทอง ยังไม่สามารถครอบคลุมการรักษาได้ทั้งหมด เนื่องจากมีกฎระเบียบระบุเอาไว้ว่า จะสามารถปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ได้จากผู้บริจาคที่เป็นพี่น้องตามสายเลือดเท่านั้น



ศ.นพ.สุรเดช กล่าวว่า กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ไม่อาจรักษาให้หายได้ด้วยเคมีบำบัด แต่ต้องรักษาต่อยอดด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ซึ่ง สปสช.มีการพัฒนาสิทธิประโยชน์โดยสามารถปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ได้เฉพาะกับพี่น้องที่มีเซลล์ตรงกัน แต่ความเป็นจริงแล้ว โอกาสที่เซลล์จะสอดคล้องกับทั้งผู้บริจาคและผู้รับซึ่งเป็นพี่น้องกันมีโอกาสแค่ 25% ซึ่งเซลล์ของพ่อและแม่ไม่มีทางตรงกันอยู่แล้ว การพัฒนาขีดความสามารถในการรักษาพบว่า ปัจจุบันแพทย์สามารถค้นหาเซลล์ในพ่อแม่เพื่อปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ให้กับลูกที่ป่วยได้ แต่ต้องยอมรับว่าสิทธิประโยชน์ตรงจุดนี้ยังไม่ได้ถูกพัฒนา เพราะยังติดขัดด้านงบประมาณ เช่นเดียวกับการขอปลูกถ่ายจากผู้บริจาคของสภากาชาดไทยที่ยังติดขัดในแง่งบประมาณ แต่ขณะนี้ทราบว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อประสานงานไปยังสภากาชาดไทยในการขอรับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ซึ่งต้องรอดูว่าจะมีการพิจารณาเป็นอย่างไร



“ผู้ป่วยรายแรกที่ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เกิดขึ้นเมื่อราว 30 ปีก่อน แต่สำหรับสิทธิประโยชน์บัตรทองเพิ่งให้สิทธิมาประมาณ 10 ปี และมีเด็กที่ได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ไปแล้วราว 300 คน ซึ่งถือว่าน้อยมาก หากเทียบกับจำนวนผู้ป่วยในเด็ก เพราะปัจจุบันยังคงมีผู้ป่วยในเด็กจำนวนมากที่รอการปลูกถ่าย ซึ่งบางส่วนก็เป็นการปลูกถ่ายผ่านการบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาล ซึ่งต้องยอมรับว่าเงินบริจาคมีมากกว่างบประมาณที่ สปสช.ให้มา ทั้งนี้ ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในเด็กมีความจำเป็นต้องปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ซึ่งแผนการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมมากกว่าเดิมเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องพิจารณา ซึ่งต้องดูว่าคุ้มค่าหรือไม่ ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องร่วมประชุมกันเพื่อหาประโยชน์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วย” ศ.นพ.สุรเดช กล่าว






เผยแพร่: 3 ส.ค. 2561   โดย: MGR Online

180
จากกรณีข่าวที่ ไขมันทรานส์(Trans Fat) จะถูกห้ามผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายในประเทศไทย มีผลบังคับใช้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า หรือภายในเดือน ม.ค. 62 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ในราชกิจจานุเบกษา นับจากวันที่ 11 ก.ค. 61 นั้น เรามาทำความรู้จักไขมันชนิดนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่า


ขมันทรานส์ (Trans Fat) จัดเป็นกลุ่มไขมันในกลุ่มไขมันอิ่มตัว เป็นชนิดไขมันที่จะเข้าไปเปลี่ยนไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นไขมันอิ่มตัว ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์มากๆ จะส่งผลให้ระดับ “ไขมันเลว” (LDL) ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น และ “ไขมันชนิดดี” (HDL) ลดลง จึงมีผลทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาสารพัด ดังนี้



ไขมันทรานส์ (Trans Fat) เสี่ยงโรคอะไรบ้าง


1.โรคอ้วน
เพราะ ไขมันทรานส์ เป็นไขมันที่ย่อยได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่น ทำให้ตับต้องใช้วิธีสลายไขมันชนิดนี้ด้วยวิธีต่างจากปกติ จึงก่อให้เกิดความผิดปกติ คือ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไขมันส่วนเกินมากขึ้นนั่นเอง


2.โรคหลอดเลือดหัวใจ
เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด อีกทั้งยังติดอันดับ 1 ใน 4 การเสียชีวิตของประชาชนเกือบทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย โรคนี้เกิดจากการมีไขมันจับที่ผนังของหลอดเลือดหัวใจ ดังนั้น การรับประทานอาหารไม่มีประโยชน์และอาหารที่มีไขมันสูงก็ทำให้เสี่ยงต่อโรคนี้ได้


3.โรคเส้นเลือดอุดตันในสมอง
ไขมันทรานส์ เพิ่มความเสี่ยงภาวะสมองขาดเลือด เส้นเลือดอุดตันทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่สะดวก และอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้


4.ความดันโลหิตสูง
เป็นภาวะความดันเลือดภายในหลอดเลือดแดงสูงกว่าปกติตลอดเวลา สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานอาหารที่มีรสหวาน มัน โซเดียมสูงจนเกินไป และการบริโภคไขมันก็มีส่วนเป็นเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงตามมาได้ ทางที่ดีควรหันมารับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยสูง ธัญพืช ปลาที่อุดมไปด้วยกรดไขมันที่ดีต่อร่างกายแทน

5.โรคเบาหวาน
ไขมันทรานส์ ส่งผลให้ฮอร์โมนอินซูลินในร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน และอาจนำไปสู่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้

6.โรคซึมเศร้า
รู้หรือไม่ว่าการรับประทานไขมันทรานส์ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าได้มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ มีงานศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยสเปนได้ตีพิมพ์ในห้องสมุดแพทย์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งกล่าวไว้ว่าไขมันทรานส์มีส่วนทำให้เกิดอาการของโรคซึมเศร้าได้ โดยจากการเก็บข้อมูลของนักศึกษาจำนวน 12,059 คน เป็นเวลา 6 ปี มีรายงานว่านักศึกษาจำนวน 657 คนเกิดอาการของโรคซึมเศร้าชนิดใหม่ขึ้นมา และงานวิจัยชิ้นนี้ยังพบว่าการกินไขมันทรานส์มากๆ มีแนวโน้มจะเกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย

7.โรคอัลไซเมอร์
มีงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่าคนที่มีระดับไขมันทรานส์ในเลือดสูงจะมีขนาดของสมองที่เล็กกว่าคนทั่วไป และการที่สมองหดเล็กลงนั้นถือเป็นอาการหนึ่งของโรคอัลไซเมอร์อย่างหนึ่ง ซึ่งการรับประทานอาหารที่กรดไขมันโอเมกา-3 สามารถช่วยป้องกันโรคดังกล่าวได้

8.โรคจอประสาทตาเสื่อม
เพราะไขมันสามารถเข้าไปอุดและสะสมที่หลอดเลือดที่เอาไว้เลี้ยงจอประสาทตา จึงทำให้สายตาแย่ลงได้

นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก ถุงน้ำดีอักเสบ โรคมะเร็ง เป็นต้น



ไขมันทรานส์ (Trans Fat) พบได้ในอาหารประเภทไหน

สามารถพบได้มากในอาหารทอด ขนมขบเคี้ยว และมักใช้ในการทำอาหารและขนมของคนตะวันตก เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป คุกกี้ แครกเกอร์ โดนัท เฟรนช์ฟราย พิซซา ไก่ทอด ป็อปคอร์น ลูกชิ้นทอด ขนมปัง ตลอดจนส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เบเกอรีอย่างมาการีน เนยขาว ครีมเทียม เป็นต้น

วิธีห่างไกล ไขมันทรานส์ (Trans Fat)

1. หลีกเลี่ยงอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ อาหารที่ปรุงด้วยเนยเหลว เนยขาวหรือมาการีน


2. ตรวจสอบข้อมูลโภชนาการและส่วนผสมที่ฉลากบรรจุภัณฑ์ทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารนั้นปราศจากไขมันทรานส์


3.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่ปราศจากไขมัน ผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่ำหรือปราศจากไขมัน เป็นต้น
4.เลือกรับประทานไขมันชนิดดีแทน เช่น ปลาทะเลน้ำลึก อัลมอนด์ อะโวคาโด ฯลฯ เพราะไขมันชนิดดีจะช่วยทำหน้าที่ในการขจัดคอเลสเตอรอล หรือไขมันชนิดไม่ดีที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือด โดยจะขับออกจากร่างกายผ่านตับ และน้ำดีนั่นเอง
5.หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน วันละ 30-60 นาที



เผยแพร่: 31 ก.ค. 2561   โดย: MGR Online

หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 20