แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - patchanok3166

หน้า: [1] 2 3 ... 20
1
ฤาไม่มีบันไดไต่ลง(6)"รอดไม่ รอด……?"

เพื่อนๆคงได้อ่านข่าว หมอชาญชัย หมอ ชาญชัย มอบ ทนายความ ไปฟ้องศาลอาญา ที่ ขอนแก่นเรียก ค่าเสียหาย5ล้านบาท อ้าง พรบ คอมพิวเตอร์ ปี2560 เพื่อนๆ คงอยาก ทราบรายละเอียด เชิงลึก นะครับลองติดตาม และ คิดพิจารณา ไปพร้อมๆกันนะครับ
ข้อเท็จจริง
1.มีการเผยแพร่ ในLineแพทยสมาคม และเผยแพร่ไปทั่ว
2.มีคำ2คำ ที่ อาจทำให้หมอชาญชัยเสียหาย "ทุจริต"และ "ปปช มาสอบแล้ว"

ข้อกฎหมาย
1.คำ2คำ ดังกล่าว เข้าข่าย ป อาญา ม 326หรือไม่?ทนายหมอชาญชัย ต้องนำสืบให้ได้ว่า หมอชาญชัย "เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือ ถูกเกลียดชัง หรือไม่" โทษ คุก1ปี
2.เข้า ป อาญา ม 326 ด้วยไหม?ทนายฯต้องแถลงลงรายละเอียด ว่า มีการ โฆษณา ด้วยหรือไม่? โทษ คุก2ปี
3.เข้าข่าย พรบ คอมพิวเตอร์ ปี60ด้วยไหม?ลองดูข้อ11ที่ผมคัด

โดยสรุป มาให้อ่าน"โพสต์ด่าผู้อื่น มี กม อาญาอยู่แล้ว(ม326, ม 328)ไม่มีข้อมูลจริง หรือ ถูกตัดต่อ เอาผิดผู้โพสต์ได้" โทษ คุก 3ปี

ข้อพิจารณา
ข้อเท็จจริง บวก กับ ข้อกฎหมาย ทั้ง3ข้อ เพื่อนๆ คิดว่า "รอด ไม่รอด …? คับ"
แสดงความคิดเห็น โดย สุจริตใจ และสุภาพได้นะครับ เมื่อวาน อกพ รพ ขก และทีม ไปทวงถามความคืบหน้า คดี อดีต ผอ รพ. ขก กับ ปปช ก็น่าติดตาม นะครับ ยื่น ปปช ปี2558ถึงวันนี้ ยังเงียบสงบไม่เคลื่อนไหว ลองอ่าน ผู้จัดการ ออนไลน์ ที่ คัดมาให้ นะคับ

#หมออุ๋ยคับ
https://mgronline.com/local/detail/9630000070533
หมอชาญชัยฟ้องปลัด สธ.หมิ่น เรียกค่าเสียหาย 5 ล้านhttps://www.nationtv.tv/main/content/378784292/

https://www.facebook.com/wachira.pengjuntr
10กรกฎาคม2563
............................................................................................
ความคิดเห็น...
อมร แก้วใส
ตำแหน่งปลัดนี่ใหญ่นะ ทำไมกล้ากล่าวปดมดเท็จ ใส่ความลูกน้อง ใจทำด้วยอะไร ยังจะให้อยู่ในระบบราชการอยู่ด้าย เสียหายมากนะ หรือรองนายก รมต.ยังจะเชื่อถือ อนุทิน ชาญวีรกูล สาธิต ปิตุเตชะประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha หรือเป็นนโยบายรัฐบวม

2
ฤาจะไม่หาบันไดไต่ลง(5)
"ตกลงจะแก้ไข"ความไม่มี 'ธรรมาภิบาล'กรณีหมอชาญชัยหรือ จะล็อบบี้ ลดกระแสข่าว ที่ เป็นภัยต่อตนเอง"

ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งใจจะเขียน เรื่อง คลินิกชุมชนไม่อบอุ่นภาคปฎิบัติ ตอนที่5 ต้องขอเพื่อนๆ เลื่อนไปอีกแหละคับ เพราะก่อนจะเขียน มานั่งอ่าน Hfocus เรียบเรียงTimes line ของChanchai effect เริ่ม26พค63ซึ่งเขียนไว้ดีมาก(ขอชื่นชมและขอขอบคุณ คนเขียน นะคับ)เรื่อง มาสิ้นสุดที่2กค63
จากนั้น เงียบและดูเหมือนผู้มีอำนาจและหน้าที่ กำลังมีการปฏิบัติการ"ลับ"บางอย่าง เลยจำเป็นต้องเลื่อนเรื่องนี้ขึ้นมานะคับ ผมเคยสงสัย เรื่องนี้ เลยLineถามเรื่องนี้กับน้องรักที่ insider(วงใน)พอสมควร ใน กสธ ทั้งฝ่ายประจำ(ชั้น3)ฝ่ายการเมือง(ชั้น4)ได้คำตอบ พอประเมินสถานการณ์ ได้นะคับผม "เรื่อง หมอชาญชัย ผู้มีอำนาจ เขาจะเอาอย่างไร?"
น้องรัก "เห็นเงียบอยู่นะครับ และได้สั่ง ข้าราชการ ในสังกัด สธความในห้ามนำออกความนอกห้ามนำเข้า และ จะมีการจัดแถวกำชับ ขันน๊อต ผู้บริหารส่วนภูมิภาค 2รุ่น ผอ รพศ/รพท 1รุ่น นพ สสจ 1รุ่น ที่ เขาใหญ่เร็วๆนี้นะครับ"

ผมคิดในใจ(เพราะไม่เคยคิดนอกใจใคร555)"ใกล้ ฤดู โยกย้าย แต่งตั้ง 'ผบห ทุกระดับ ' จะคิดถึงเก้าอี้ ของตนเอง ไม่มีใครมาสนใจ เรื่อง ของ หมอชาญชัย หรอก คับ

พอผู้มีอำนาจ ไม่อยากให้ใครให้ข่าว เพราะ ต้องการ ลดโทนข่าว ลดกระแสข่าว Chanchai effect มีหรือ ที่ แหล่งข่าวใน กสธ จะไม่ทำตามอีกหน่อย ข่าวนี้ คงค่อยๆเงียบไป เหมือนข่าวอื่นๆแบบไทยๆนะคับ"

ผม ลองถามผู้สื่อข่าว และ บรรณาธิการข่าว ที่สนิทสนมกันว่าข่าวนี้ จะไปต่อเนื่องไหม?อย่างไร? ได้คำตอบว่า "นักข่าวฯบรรณาธิการข่าวฯถูกล็อบบี้ อย่างหนัก เพื่อให้หยุดนำเสนอ ข่าว หมอชาญชัย" แม้แต่ ผมเอง(นักข่าวอิสระ สังกัด หมออุ๋ยคับ)ยังถูกล็อบบี้อย่างหนักเลยคับ บอกว่า "เบาๆหน่อย"
เพื่อนๆว่าไงเหลือแต่พวกเรา 'พลเมืองตื่นรู้"ที่ต้องสู้อย่างโดดเดี่ยว แล้วละคับ เอาไงดี คับ?
ผมคิดว่า(my opinion)พวกเขา(ผู้มีอำนาจ)คงไม่คิดแก้ปัญหา แล้วละคับ คงคิดแต่จะแก้ข่าวและหยุดข่าวเท่านั้น มั่งคับ?
https://www.hfocus.org/content/2020/07/19707

#หมออุ๋ยคับ
8กรกฎาคม2563
https://www.facebook.com/wachira.pengjuntr
.....................................................................................
ความคิดเห็น...

ยอร์น จิระนคร
การใช้อำนาจไม่เป็นธรรม การกดขี่ ดำเนินต่อไป อยู่ที่เราจะ ยอม หรือ จะ หยุดมัน

เจี๊ยบ เจี๊ยบ
ยอร์น จิระนคร เราจะยอมหรือ? ข้าราชการที่ไม่ห่วงเก้าอี้ จะยอมให้สิ่งที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นแบบปกติหรือป่าว จะยอมอำนาจมืดรึป่าว เด่วก็คงรู้กัน ขอให้กำลังใจฝ่ายที่เรียกร้องความเป็นธรรมและความถูกต้องคะ อย่ายอมแพ้

3
ฤากำลังจะหาบันไดไต่ลง(4)"อาจเจอบันได ผุ และ กร่อน ?"
ต่อจากเมื่อวาน(3)

ขั้นตอน4-5ที่ข้ามไป
จาก1-3 แล้ว 6เลย 2ขั้นตอนสำคัญ ที่ ข้าม คือ
4.ขั้นตอนที่ "ศปท"จัดทำข้อเสนอ ต่อ ปสธ
    4.1คำว่า"มอบ ศปท"โปรดดำเนินการ แปลว่าอะไร? แปลว่า แปลง มติ ครม12กย60 เป็นการปฏิบัติ แล้วลุยเลยเช่นนั้นรึ?
    4.2 เพื่อนๆมาช่วยกันแปลอาจจะดีกว่า ก่อน"แปล"พวกเรามาเรียนรู้สถานะและอำนาจหน้าที่"สปท"ก่อนดีกว่า นะครับ

"สปท เป็นหน่วยงานใหม่ เพิ่งเกิด ตามกฎกระทรวงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่14มิย60นี้เอง(เพิ่งจะ3ปีละอ่อนมาก)
-สถานะ ไม่ใช่ส่วนราชการ สปสธ ตามข้อ2ง่ายๆ คือไม่ใช่กอง(ส่วนกลาง13ภูมิภาค2)แต่เป็นหน่วยงานขึ้นตรง ต่อ ปสธ ตามข้อ6(หน่วยงานลักษณะนี้ที่พวกเราคุ้นเคย คือ ตรวจสอบภายใน ข้อ4 กพร ข้อ5)-การ ออกแบบหน่วยงาน ลักษณะนี้ กพร มี เจตนารมณ์ ให้ หัวหน้าส่วนราชการ ระดับ กระทรวง มี เครื่องมือ ใน การป้องกันและปราบปราม ทุจริตฯ ตามนโยบาย รัฐบาล ซึ่ง มี ทุกกระทรวง  พูดง่ายๆเป็นหน่วยชง งานด้านนี้ ให้ "ปลัด"ตัดสินใจดำเนินการ
-เหตุผล ที่ไม่ให้ เป็น ส่วนราชการระดับกอง(มีอำนาจด้วยตนเองตาม พรบ อย่างน้อย2ฉบับ)และ ไม่เป็นนิติบุคคล (ไม่สามารถทำข้อตกลงหรือทำนิติกรรมได้)เพราะ กพร ไม่อยากให้มีอำนาจเยอะมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องทุจริตฯ
-เพราะ ถ้าใช้อำนาจไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของระบบที่เกี่ยวข้อง ก็ อาจก่อให้เกิดความเสียหายวงกว้างต่อราชการและประชาชนได้(ดู กสธ ตอนนี้ หรือ ดูผลงาน ชิ้นโบแดง ห้ามชาร์ตโทรศัพท์ในที่ทำงาน เป็นต้น)
-ดังนั้น ในทุกกระทรวง กพรและกพ จึงกำหนด ให้ มี หน ศปท(หัวหน้า นะครับ ไม่ใช่ ผอก)เป็นข้าราชการ ระดับ ชพ/ชช เท่านั้น แหละครับ เพราะ เขาต้องการให้หน่วยนี้ใช้อำนาจทุกอย่าง ผ่าน ปลัด เท่านั้น (มีแต่ กสธ เท่านั้นในประเทศนี้ ที่ใช้ข้าราชการประจำ ระดับทรงคุณวุฒิ"ซี10"เงินเดือนเทียบเท่า อธิบดี มาเป็นหัวหน้า เพราะอะไร?ละครับ)"
-อำนาจหน้าที่ ศปท ใน กรณี นี้ คือ ข้อ6(1) เสนอแนะแก่ ปสธ ฯ(อ่านแนบทั้ง พารากราฟ)ดังนั้น สิ่งที่ควรทำ คือ

   4.3 วิเคราะห์ มติ ครม 12กย60 หาข้อมูล ถามความเห็นจากหน่วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตาม มติ ดังกล่าว โดยเฉพาะความเป็นจริงของ ระบบฯ ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติแล้วนำมาสังเคราะห์ จัดทำข้อเสนอ ต่อ ปสธ(ความจริงได้ทำ รึ เปล่า???)

มติ ครม 12กย60 มีหน่วยงาน/ส่วนราชการ ที่ เกี่ยวข้อง3ระดับ คือ
1.ส่วนราชการระดับกรม สปสธ ที่ ศปท ลุยถั่ว ตาม ว128 ลงวันที่2มีค61 ที่ ศปท ขยายมติ ครม ที่ ไม่รู้ว่ามีอำนาจหรือเปล่า?นั่นแหละครับ
2.ส่วนราชการใต้สังกัด กสธ ซึ่งก็คือ สปสธ และอีก8กรม ตาม ว416ลงวันที่26มีค63ยกร่างโดยกองกฎหมาย(ว416นี้เข้าท่า ร่างด้วยมืออาชีพนะครับ ขอชมด้วย1เสียง)
3.หน่วยงาน/ส่วนราชการ อีก10แห่ง แนบตาม มติ ครม อาจต้อง แก้ไข ปรับปรุง ประกาศ หรือ ระเบียบ สำนักนายกฯ หรือเปล่า ก็ไม่รู้?ทำรึยังก็ยังไม่รู้อีกนั่นแหละ?

5.ขั้นตอนที่ ปสธ ทำข้อเสนอ ต่อ รมวสธ ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพราะ ครม สั่ง รมวสธ ไม่ได้สั่ง ปสธ หรือ สปท(ซึ่งใช้อำนาจเกินขอบเขต ตามข้อ6ไปมาก)
ไปดำเนินการทั้งหมด เพื่อ ให้ รมวสธ ได้วินิจฉัย ว่าข้อเสนอดังกล่าว ตรงตามเจตนารมณ์ ของ มติ ครม ดังกล่าว หรือ ไม่?หรือ รมวสธ จะมีนโยบาย อะไรเพิ่มเติมไหม ตามอำนาจหน้าที่ที่ตนมี?อีกไหม
เมื่อ รมวสธ มีข้อสั่งการลงมา ปสธ ค่อยไปสั่ง ให้ สปท ไปวางแผนฯนำมาเสนอให้ปสธ อนุมัติ อีกครั้งแล้วค่อย ดำเนินการ ต่อ ตามรายละเอียดใน ข้อ6(1)
แต่ความเป็นจริง ได้ลัดขั้นตอน 6,7,8ไปแล้วตาม ว128,ว33585(Go so Big ซิครับ)

ยังครับท่าน ยังมีอีก หลายเรื่อง เช่น ก่อน ออก ว2214 "ศปท"ยังมีการดำเนินเรื่องใหญ่มาก กระทบกับ บุคคลากรและหน่วยงาน ในสังกัด สปสธ วงกว้าง(กรณีนี้รวมหมอชาญชัย รพ ขอนแก่นและ186รพในสังกัดฯ) คือ รายงานบวกทำความตกลงกับ ปปช(โดยไม่มีอำนาจ ย้ำ ศปท จะทำอะไร ต้อง ผ่าน ปสธ ผู้ถืออำนาจ และเป็นนิติบุคคลเสมอ ไม่สามารถ ทำโดยพลการ หรือ ทำเป็นอย่างอื่นได้ )
ดู ตาม นส ที่ สธ1217/16745ลงวันที่5กค62 ลงนามโดย แทน หน ศปท(หมายเหตุทำมา3ครั้งแล้วครับท่าน มี แนบ)

คำถาม ประสานรายงาน ต่อ ปปช สำคัญมาก นะครับ เพราะจะผูกพัน เมื่อ มีปัญหา มีคดีความ ทั้ง วินัยฯ แพ่ง อาญา ฯลฯ "ทำไม ปสธ ไม่ ลงนามเอง?"
การปฏิบัติราชการ ที่ ไม่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนฯอาจ ฉ้อฉล หรือ อาจ ลุแก่อำนาจ(ทั้งที่ตนเองไม่มีอำนาจ) จะเรียกว่า "มีธรรมาภิบาล"เหรอ ครับ?
บันไดไต่ลงที่สมบูรณ์มั่นคง ควรเป็นอย่างไร? เพราะผมต้องการติเพื่อก่อ และ หาโอกาสพัฒนาสู่อนาคตเพื่อนๆ อดใจ รอพรุ่งนี้ นะครับ
#ByDrWachira

3กรกฎาคม2563
https://www.facebook.com/wachira.pengjuntr
...............................................................................
ความคิดเห็น...
นงนลินี จัยสิน
เรื่องนี้จะเป็นบทเรียนอย่างมากในการทำงานที่ขาดความรู้ความเข้าใจในกฏระเบียบกระทรวง แต่อยากเป็นใหญ่ในกระทรวง
เพราะสุดท้ายต่อให้มีที่ปรึกษาชั้นเลิศก็ไว้ใจใครไม่ได้หมด ต่อให้มีนักการบช.การเงินชั้นเลิศก็ยิ่งไว้ใจไม่ได้ค่ะ
เป็นผู้บริหารระดับสูงมีทางเดียวต้องทำงานหนัก

4
ฤากำลังจะหาบันไดไต่ลง(3)
"ตกลง หา บันไดเจอรึเปล่า?"

คำเปรียบเปรยนะครับ คนจุดไฟเผาบ้าน คงอยากหาบันไดไต่ลงจากบ้านแล้ววิ่งหนีไฟที่ลุกท่วม อย่างมากๆ เลย นะครับ
บันได คือ เงื่อนไขที่นำไปสู่การดับไฟ(ยุติChanchai effect) เงื่อนไข ที่สำคัญ มี2ข้อ
1.การดำเนินการ ตาม มติ ครม 12กย60 มี2ประเด็นย่อย คือ
   1.1 ดำเนินการตามกระบวนการได้ถูกต้อง รึ เปล่า?
   1.2ดำเนินการได้ครบถ้วนสมบูรณ์ รึ เปล่า?
2.กรรมการสอบฯ186รพ สอบไปเจออะไร?แล้ว มีข้อเสนอต่อ ผู้ออกคำสั่งสอบ ว่าอย่างไร?

เพื่อนๆ มาช่วยกัน พิจารณาข้อ 1.1ก่อนนะครับ "ถูกต้องรึเปล่า?"
เริ่มจาก การ พิจารณา หนังสือ ที่ นร 0505/30341 ลงวันที่15กย60(มติ ครม 12กย60 ประสิทธิภาพสุดยอด)
1.เรื่อง มาตรการป้องกันทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิ์สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ(สังเกต ขอบเขต อยู่ที่เบิกจ่ายยา สวัสดิการข้าราชการ ไม่มี เรื่องการซื้อยาและ5%ยานะครับ มี มือดี ขยายขอบเขตเอง ตามต่อไป!!!)
2.เรียน รมว สธ (ตรงไปตรงมา เป็น ผู้มีอำนาจ ดำเนินการ)
3.อ้างถึง หนังสือ สธ 0217/3382ลงวันที่9สค60ลงนามโดย รมวสธ ยุคนั้น(สังเกต ตัวอ้างถึงนี่แหละสำคัญ เขาจะให้ปฏิบัติตามนี้ นส นี้ ก็ไม่มี เรื่อง การซื้อยาและ5%ยา)
4.สาระสำคัญ โดย สรุป(แนบเต็มมาด้วย)"ลงมติว่า"
    1.รับทราบฯ ตาม กสธ เสนอฯโดยให้ กสธ เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับ กค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ
    2.ให้ กค(กรม บ/ช กลาง)เร่งรัดฯ(นี่เป็นการสั่งการ)

เมื่อเรื่องถึง กสธ มีการดำเนินการดังนี้(ดูการเกษียน นส)
1.เลขานุการ รมวสธ เรียน ปสธ ให้แจ้ง หน่วยงานของท่าน "ศปท"(สังเกต ตัวละครเอก คงกลัว ปสธ สั่งผิดหน่วยงานนะครับ555แซวหน่อย กลัว อจ ขุน มาเม้นนะครับ)
2.ผอ กองกลาง เรียน ปสธ(ไม่มีอะไร เพียงทำหน้าที่ ธุระการ)
3.รองฯ(แทน ปสธ) มอบ ศปท (ไม่บอกว่า ให้ทำอะไร? คงเห็นว่าศปท ขยันและเก่งอยู่แล้ว ไม่ว่ากัน)แต่หารู้ไม่ว่า ศปท ทำงานข้ามขั้นตอนสำคัญ4-5ไป???โผล่ อีกที
6.ศปท เสนอ ปสธ(รองฯลงนามแทน)ตาม นส ที่ สธ 0217/ว128 (ปฐมบท ของการก่อไฟ สิ่งที่ส่งมาด้วย2ชุด สำคัญ แต่ขาดการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ข้อเสนอ เรียกว่าส่งไปทั้งดุ้น แบบว่าพวกเองไปอ่านเองและแปลความเอง)แนบเอกสารคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ ปปช เพื่อ ขยาย มติ ครม(เป็นปัญหาซิครับ คำถาม ใช้ฐานอำนาจใดขยายมติ ครม ???อ้อ อาจเป็น อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จง…??555)
7.เวียน ตอกย้ำอีกครั้ง 13ธค61 นส ที่ สธ 0217/ว33585 ลงนามโดยรองฯ(แทน ปสธ)(ข้อสังเกต "สปท"หน่วยงานใหม่
ที่ขึ้นตรงต่อปสธ(ที่จริงไม่ควรมอบอำนาจให้รองฯควรดูเอง)มีหน้าที่หลักคือการบูรณาการและขับเคลื่อนแผนฯ(ดูรายละเอียด อำนาจหน้าที่ ที่ แนบ)
แต่ขยันใช้อำนาจมาก ดู ถึงวันที่13ธค ยังไม่ถึงปี เวียนหนังสือตั้ง33,585ฉบับ ไม่รู้ได้วิเคราะห์ กันรึเปล่า?ที่เวียนไปขัดแย้ง ซ้ำซ้อน กัน บ้างไหม?

ผมพยายาม อ่านอำนาจหน้าที่ "ศปท"ทั้ง7ข้อแล้วนะครับพบว่า
1.ไม่มีเรื่อง วินัยฯ เพราะเป็นของ กลุ่ม วินัยฯ
2.ไม่มี เรื่อง การยกร่างและเสนอ กฎระเบียบ เพราะ เป็นของ กองกฎหมาย(กอง ออก ว416นั่นแหละครับถูกต้องเลย)

8. ตอกย้ำ และ ขยายแผล 3กพ63 นส ว2214
เมื่อ ผอ ศปท มีอำนาจ ลงนาม ด้วยตนเอง คำว่า186รพอยู่ใน ว•นี่แหละครับ(ดูที่แนบ)ไม่ใช่ เพิ่งมี186รพ เมื่อมีการแถลงข่าว ของ ผู้ที่อ้างว่า นวก อิสระ(ใครชวนมาช่วยเผาบ้านก็ไม่รู้)ว416ก็ไม่ยอมอ้างถึงว.2214แต่อ้างสื่อแทน แสดงว่ากองกฎหมาย เป็นมวย)

ไฮไลท์ แล้ว ขั้นตอนที่4-5ที่ข้ามไปคืออะไร??
ยาวเกินไปแล้ว ขอต่อพรุ่งนี้นะครับ
แล้วเพื่อนๆคิดว่า ปัจจุบัน "หาบันได"เจอยัง???

#หมออุ๋ยคับ
https://www.facebook.com/wachira.pengjuntr
2 กรกฎาคม 2563
..........................................................
ความคิดเห็น...
ฮามีดะ หลังยาหน่าย
ทำกันมานาน จนชินค่ะ หน่วยเหนือจนถึงหน่วยล่าง แต่ส่วนใหญ่ จบแบบเนียนๆไกล่เกลี่ยสำเร็จ แต่คราวนี้ มันยุค 5G การไต่ขึ้นบันได หรือ จะตีลังกาตกบันได ลงมา เป็นที่น่าสนใจ ทั้งนั้นแหล่ะค่ะ เอาเป็นว่า การลงบันได คราวนี้ บาดเจ็บค่ะ มีแผลเหวอะหวะ และ บอบช้ำภายในแน่ๆ ถ้ายังแถ...ไม่เลิก

Pisit Euavongkul
เป็นข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์สำหรับหมอชาญ ถ้ามีการฟ้องร้อง เพราะ ผอ.ศปท.น่าจะใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กม.กำหนดแถมไปขยายขอบเขตของมติ ครม โดยพละการ ดูแล้วน่าจะโดนทั้งยวง ทั้งกลั่นแกล้ง หมิ่นประมาท ใช้อำนาจโดยไม่สุจริตทำให้เกิดความเสียหาย ทั้งเลือกปฏิบัติ ทั้งละเว้นการปฏิบัติโดยมิชอบ

5
นพ.ชาญชัย อดีต ผอ.รพ.ขอนแก่น ให้ทนายยื่นฟ้องปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีที่มีการเผยแพร่การโพสต์ข้อความทางไลน์ว่า นพ.ชาญชัย ทุจริต เรียกค่าเสียหาย 5 ล้าน ศาลรับฟ้องนัดไต่สวนนัดแรก 14 ก.ย.
วันที่ 9 ก.ค.2563 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายกุลพิพัฒน์ เวทศิลป์ ทนายความ ว่า ได้รับมอบหมายจากนายแพทย์ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ยื่นฟ้องนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากได้มีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2560 มีการนำข้อมูลที่บิดเบือน ข้อมูลที่เป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้นายแพทย์ชาญชัย เสียหาย จึงได้ให้ดำเนินคดีในข้อหานี้และเรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท

โดยได้ยื่นไปเมื่อเช้าวันนี้(9 ก.ค.) ศาลจังหวัดขอนแก่นได้รับคำฟ้องไว้แล้ว เป็นคดีอาญา เลขที่ 518/2563 โดยนัดตัดสวนมูลฟ้องวันที่ 14 กันยายน 2563 เวลา 13.30 น.

นายกุลพิพัฒน์ กล่าวว่า จากที่มีการกล่าวหาว่านายแพทย์ชาญชัย เรียกรับเงิน 5 เปอร์เซ็นต์จากบริษัทยา พอมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนสรุปว่ามีมูล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน ยังไม่วินิจฉัยว่า นายแพทย์ชาญชัย กระทำการทุจริต แต่มีการโพสต์ถามปลัดว่าทำไมถึงย้าย ผอ.ชาญชัย ซึ่ง นายแพทย์สุขุม ฯ ปลัดกระทรวง ฯ ก็เข้ามาตอบว่า ทุจริต ทั้งที่คณะกรรมการสอบสวนฯยังไม่วินิจฉัยว่าทุจริต และอีกประเด็นที่มีการเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์คือ ข้อที่บอกว่า ปปช.มาสอบแล้ว ทั้งที่ ปปช.ยังไม่รับเรื่องและยังไม่อยู่ในกระบวนการของ ปปช. สองข้อความนี้เป็นการนำเข้าบิดเบือน นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ตอนนี้ฟ้องข้อหาเดียว แต่มีต่อเนื่องการกระทำความผิด เช่น ให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน การสืบสวนสอบสวนที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ตามระเบียบปฏิบัติของกระทรวง รอข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินคดีต่อไปอีก

"วันนี้ยื่นฟ้องเฉพาะนายแพทย์สุขุม และขณะนี้ทางทีมทนายกำลังสืบหาข้อเท็จจริงอื่น ๆ ที่มีบุคคลร่วมกระทำความผิด ซึ่งเราจะดำเนินการฟ้องอีกหลายคดี เพราะว่าการกระทำของบุคคลเหล่านี้ เป็นเหตุทำให้ ผอ.ชาญชัย ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง เกียรติยศ เกียรติคุณ ที่สะสมมาเป็นเวลา 30 กว่าปี"นายกุลพิพัฒน์ กล่าว

9 ก.ค. 2563

6
นพ.ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล หารือ “อนุทิน” ยอมรับ “พญ.อัมพร” ปธ.สอบวินัยคนใหม่ เหตุถูกต้องตามกลไก ส่วนยื่นเรื่อง สอบวินัยปลัด สธ. กรณีละเว้น ล่าสุด “รมว.สธ.” รับเรื่องอยู่ระหว่างดำเนินการ

เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 2 ก.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้มีการหารือร่วมกับ นพ.ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ซึ่งถูกย้ายมาอยู่ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรณีมีบัตรสนเท่ห์กล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบในเรื่องรับเงินบริจาคบริษัทยา จนถูกกล่าวหาว่า ฉ้อราษฎรบังหลวง จนเกิดกระแส SAVEธรรมาภิบาล SAVEหมอชาญชัย

นพ.อนุทิน กล่าวภายหลังหารือ ว่า ตนไม่ได้เรียก แต่ นพ.ชาญชัย มาพบเอง โดยแกยอมรับ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 5 เป็นประธานกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ส่วนที่ปลัดสธ.ชี้แจงเรื่องที่ถูกร้องเรียนในเรื่องนพ.ชาญชัย นั้น ตนได้ให้ทีมงานสรุปเรื่องราวอยู่ เพราะข้อมูลเยอะมาก จึงต้องมีคนสรุปให้อยู่ ส่วนสงสัยตรงไหนก็จะค่อยเชิญทีมหารือ และพิจารณาอย่างเป็นธรรมอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อถามว่ามีกรอบการดำเนินการหรือไม่ นพ.อนุทิน กล่าวว่า จะดำเนินการเร็วที่สุด

ด้าน นพ.ชาญชัย กล่าวว่า ตนได้ขออนุญาตเข้าพบ นายอนุทิน กรณีที่มีคำสั่งตั้ง พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 5 เป็นประธานกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ว่าตนไม่คัดค้านที่ พญ.อัมพร จะมาเป็นคนสอบและในวันนี้จะยื่นหนังสือไปยังกองวินัยว่าไม่คัดค้าน เพราะคิดว่าเป็นธรรมาภิบาลที่กระทรวงสาธารณสุขได้ดูแล ทั้งนี้นายอนุทินก็ไม่ได้ย้ำหรือฝากอะไรเป็นพิเศษ จากนี้ก็จะมีการดำเนินการสืบสวนตามระบบต่อไป

“ส่วนกรณีที่โดนย้ายออกจากโรงพยาบาลขอนแก่นที่ไม่เป็นธรรมนั้น ผมก็ได้ไปยื่นเรื่องร้องทุกข์ไว้กับคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) และนพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แล้ว อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีที่มีการยื่นหนังสือต่อ รมว.สธ. ให้มีการสอบวินัย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรณีมีการละเว้นไม่ตรวจสอบ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผอ.โรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี ที่เคยไปรับตำแหน่งเป็นผอ.โรงพยาบาลขอนแก่นระยะหนึ่งนั้น ท่านรมว.สธ. ก็ได้มีการดำเนินการเรื่องนี้แล้ว”นพ.ชาญชัย กล่าว

นพ.ชาญชัย กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ศูนย์บริหารทรัพยากรโควิด19 มีหน้าที่บริหารจัดการทรัพยากรให้พอใช้ ร่วมถึงมีการคาดการณ์ไว้หากเกิดการระบาดรอบใหม่ ต้องใช้ทรัพยากรมากน้อยแค่ไหน ไทยจะมีทรัพยากรเพียงพอหรือไม่ สามารถจัดหาเวชภัณฑ์ต่างๆได้จากที่ไหน โดยได้มองทั้งของจากภายในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ศูนย์ทรัพยากรโควิด มีการทำงานที่ดีอยู่แล้ว มีผู้รับผิดชอบที่แข็งขัน

นพ.ชาญชัย กล่าวต่อว่า การต่อสู้เรียกร้องขององค์กรแพทย์จากรพ.ต่างๆ นั้น เป็นเพียงเรื่องที่ตนถูกตั้งกรรมการสอบเรียกร้องให้เกิดธรรมาภิบาลในกระทรวงสาธารณสุขในภาพรวม ที่ต้องให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง สิ่งที่ตนและองค์กรแพทย์ต่างๆ ทำอยู่ก็เพื่อต้องการให้สังคมได้รับรู้ รับทราบว่าการตรวจสอบ สอบสวนสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ ต้องทำอย่างมีธรรมาภิบาล ซึ่งมีขั้นตอนที่เป็นปกติ ก็ต้องทำตาม ตนไม่ได้เรียกร้อง หรือขอเปลี่ยนตัวประธานสอบมากเกินไป แต่เรื่องการสอบสวนวินัยต้องไม่เจาะจง ไม่มีฝ่ายใดรู้ว่าต้องสอบใคร และคนถูกสอบก็ต้องไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนมาสอบ ซึ่งทางกลุ่มวินัยได้จัดลำดับเอาไว้แล้วว่าเรื่องที่ 1 ต้องเป็นผู้ตรวจราชการท่านใด เรื่องต่อไป เป็นท่านใด นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของการสอบวินัย หากทำตามนี้ก็ไม่มีปัญหา

Thu, 2020-07-02 -- hfocus team

7
องค์กรแพทย์ขอนแก่น รับได้ “พญ.อัมพร” ประธานสอบสวนวินัยฯ “หมอชาญชัย” คนที่ 3 เหตุเป็นไปตามกลไกปกติ เผยมั่นใจความเป็นกลาง เชื่อมั่นในความเป็นธรรม

หลังจากองค์กรแพทย์โรงพยาบาลขอนแก่น ร่วมกับตัวแทนเครือข่ายบุคลากรสาธารณสุขโรงพยาบาลต่างๆ เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง เพื่อเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดำเนินการกู้ธรรมาภิบาลกระทรวงสาธารณสุข และขอให้ย้าย นพ.ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น กลับมารพ.ขอนแก่นตามเดิม หลังจากถูกย้ายมายังสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขด้วยกล่าวหา “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” ส่วนการสอบสวนฯก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ เนื่องจากล่าสุดผู้บริหารสธ. ได้เปลี่ยนประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นพ.ชาญชัย เป็น พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตบริการสุขภาพที่ 5

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตบริการสุขภาพที่ 5 กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระบบราชการ โดยดำเนินการตามหน้าที่ คือ ต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบก่อน จึงจะมีการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ขณะเดียวกันผู้ถูกกล่าวหาก็สามารถยื่นเรื่องคัดค้านกรรมการฯ หรือประธานกรรมการที่จะมาสอบสวนได้เช่นกัน ซึ่งหากตรงนี้ผ่านพ้นไปได้ ไม่มีการยื่นคัดค้านก็จะเข้าสู่กระบวนการสอบสวนฯต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกกดดันกับการเป็นประธานกรรมการสอบสวนวินัยฯ ซึ่งเปลี่ยนมา 2 ครั้งแล้วหรือไม่ พญ.อัมพร กล่าวว่า ถึงจุดนี้ก็ต้องทำตามหน้าที่ที่พวกเราทุกคนต้องทำให้ได้ผลดีที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ตนตั้งใจ และต้องขอขอบคุณทุกความห่วงใยที่มีการสอบถามเข้ามาส่วนตัว

ด้าน พญ.กนกวรรณ ศรีรักษา ประธานองค์กรแพทย์ โรงพยาบาลขอนแก่น กล่าวว่า สำหรับ พญ.อัมพร เป็นผู้ตรวจราชการเขต 5 ซึ่งถือเป็นกลไกตามปกติตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หากมีการแต่งตั้ง พญ.อัมพร ตั้งแต่ตอนแรกก็ไม่มีปัญหา ดังนั้น เมื่อ ขณะนี้ได้เข้าสู่กลไกปกติ ตนก็เชื่อมั่นในอาจารย์ เชื่อมั่นในความเป็นนักวิชาการ เป็นจิตแพทย์เด็ก เชื่อมั่นในความเป็นธรรม ส่วนที่มีการยื่นหนังสือเรียกร้องไปยังท่านนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น ก็หวังว่าเรื่องจะไม่ย้อนกลับไปที่กระทรวงสาธารณสุขเหมือนเมื่อครั้งแรก เนื่องจากหากเป็นเช่นนั้นทุกอย่างก็ไม่มีผลอะไรอยู่ดี

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการตั้งประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นพ.ชาญชัย โดยเดิมเป็น นพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงเขต 6 แต่เกิดคำถามว่า เป็นการคัดเลือกประธานสอบสวนฯ ที่ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนเนื่องจาก โรงพยาบาลขอนแก่น การจะตั้งผู้ตรวจฯ มาสอบสวนควรเป็นในเขตพื้นที่สุขภาพที่ 5 ไม่ใช่ข้ามเขต กระทั่งนพ.สุเทพ ขอถอนตัวเนื่องจากติดภารกิจ และมีการตั้งประธานสอบฯคนใหม่ คือ นพ.พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ เขต 11 แทน ก็เกิดคำถามอีกเช่นเดิม จนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้องออกมาการันตีความเป็นกลาง กระทั่งล่าสุดได้เปลี่ยนประธานคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 3 คือ พญ.อัมพร ซึ่งเป็นผู้ตรวจราชการเขต 5

Sat, 2020-06-27  -- hfocus team

8
              กรรมการบอร์ด สปสช.ภาคประชาชนหวั่นโรงพยาบาลเข้าใจผิดเรียกเก็บเงินคนไข้บัตรทองที่มารับบริการนอกเวลาทุกกรณี แจงหากคนไข้บัตรทองไม่ประสงค์เข้ารับบริการในคลินิกพิเศษนอกเวลา เพราะคิดว่าอาการที่มาเป็นอาการฉุกเฉินในมุมของคนไข้ หน่วยบริการต้องจัดระบบบริการไว้รองรับต่างหากด้วย ย้ำในกรณีที่ผู้ป่วยบัตรทองมา รพ.ด้วยอาการฉุกเฉินหรือมีเหตุอันควร ห้ามเรียกเก็บเงินในกรณีเหล่านี้
              ผศ.ภญ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สัดส่วนภาคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดให้บริการคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาและเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วยบัตรทองว่า คนไข้ที่เข้ารับบริการอาจมีหลายประเภท บางคนมีเจตนาเข้าคลินิกพิเศษเพราะต้องการความสะดวกสบายหรือพบเแพทย์เฉพาะทางก็สามารถทำได้เพราะมีกติกาของ สธ. ออกมารองรับ
              อย่างไรก็ดี ในส่วนของคนไข้ที่เจ็บป่วยฉุกเฉินหรือมีเหตุอันควร และไม่มีเจตนาเข้ารับบริการในคลินิกพิเศษ ทางโรงพยาบาลหรือหน่วยบริการก็ต้องจัดระบบบริการไว้ให้ด้วยว่าจะให้ไปรับบริการที่ไหนที่จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น เด็กเป็นไข้ แม้อาจจะไม่ได้ฉุกเฉินมากนัก แต่ในมุมคนไข้อาจรู้สึกว่าฉุกเฉิน จะรอถึงเช้าก็กังวลใจ ขณะที่แพทย์อาจจะมองว่ากินยาลดไข้ก็หายแล้ว ไม่ต้องมาโรงพยาบาลก็ได้ ซึ่งในมุมของ สปสช. ต้องมีมุมมองของผู้ป่วยมาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาด้วย ไม่ใช่เฉพาะมุมของผู้ให้บริการฝ่ายเดียว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นป่วยฉุกเฉินระดับสีเขียว เหลือง หรือแดง ก็สามารถเข้ารับบริการได้

             "เรื่องนี้ที่ผ่านมาคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติก็ตั้งทีมมาพิจารณา เราคุยกันว่าถ้าคนไข้มีอาการฉุกเฉินไม่ว่าสีอะไรก็ตาม หน่วยบริการต้องจัดระบบบริการให้เขาได้รับการรักษา เป็นระบบคู่ขนานไปกับคลินิกนอกเวลาสำหรับคนไข้ที่ไม่ประสงค์จะใช้ช่องทางพิเศษ" ผศ.ภญ.ดร.ยุพดี กล่าว

              ผศ.ภญ.ดร.ยุพดี กล่าวอีกว่า ประเด็นดังกล่าวมีการหารือกันในที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพหลายครั้งแล้ว และมีความเข้าใจผิดของโรงพยาบาลในการติดป้ายประกาศเรียกเก็บเงินเป็นระยะๆ ซึ่งที่ประชุมก็ได้ขอให้กระทรวงสาธารณสุขทำหนังสือซักซ้อมความเข้าใจไปยังโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะถ้าไม่ทำความเข้าใจร่วมกัน สุดท้ายก็จะกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างคนไข้กับโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น

              "ก็เป็นไปได้ว่าอาจเกิดความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน ดังนั้นจึงอยากให้แก้ตั้งแต่ต้นน้ำ โรงพยาบาลอาจมีความยุ่งยากที่ต้องจัดหลายระบบ ทั้งคลินิกพิเศษ ห้องฉุกเฉิน แล้วยังต้องมีอีกหนึ่งระบบมารองรับคนไข้บัตรทองที่ไม่ได้ฉุกเฉินรุนแรงสีแดงและไม่อยากประสงค์ไปใช้คลินิกพิเศษ แต่มติมันออกมาอย่างนั้น ถ้าคุณไม่สามารถจัดระบบบริการได้ แล้วเขาจำเป็นต้องไปใช้คลินิกพิเศษนอกเวลา คุณก็ไม่มีสิทธิเก็บเงินเขา เพราะโรงพยาบาลไม่ได้จัดระบบที่ไม่ต้องเสียเงินไว้ต่างหากสำหรับเขา" ผศ.ภญ.ดร.ยุพดี กล่าว

เผยแพร่ Fri, 2019-05-10 11:28   เผยแพร่โดย -- hfocus

9
                  "กรมป่าไม้" ประกาศแจกกล้าไม้หายาก ไม้หวงห้าม หลังมี มีประกาศราชกิจจาฯ อนุญาตประชาชน-เอกชน ปลูกตัดขาย "ไม้หวงห้าม" 158 ชนิด และ "ไม้หายาก" 13 ชนิด ในที่ดินกรรมสิทธิ์ และครอบครองได้แล้วโดยไม่ต้องขออนุญาต สนใจติดต่อขอรับกล้าไม้ได้ที่สถานีเพาะชำกล้าไม้ 116 สถานี ทั่วประเทศ
                 
                  เมื่อวันที่ 15 พ.ค. เพจ "บางอ้อ" ได้โพสต์เชิญชวนผู้ที่สนใจปลูกไม้หวงห้าม และ ไม้หายาก ในที่ดินของตนเอง ทางส่วนเพาะชำกล้าไม้ สำนักส่งเสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้ ได้จัดการหากล้าไม้มาแจกฟรี สำหรับ เกษตรกร ประชาชนทั่วไป หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ที่สนใจนำกล้าไม้ปลูกเพื่อสาธารณะประโยชน์ หรือเพื่อการต่างๆ ทั้ง ยางนา , พะยูง , มะค่า , แดง , ประดู่, ฯลฯ หาสนใจสามารถติดต่อขอรับกล้าไม้ได้ที่สถานีเพาะชำกล้าไม้ 116 สถานี ทั่วประเทศ

                  สำหรับหลักเกณฑ์ในการขอรับกล้าไม้

                               1. ผู้ขอรับกล้าไม้ต้องยื่นคำขอและมาขอรับกล้าไม้ด้วยตนเอง (ตามแบบคำขอรับกล้าไม้พร้อมหลักฐาน)

                               2. ตรวจสอบชนิดไม้ที่ต้องการนำไปปลูกว่ามีชนิดไม้ที่ต้องการหรือไม่

                               3. ติดต่อขอรับกล้าไม้ได้ที่ศูนย์เพาะชำกล้าไม้ สถานีเพาะชำกล้าไม้ และหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่แจกจ่ายกล้าไม้ โดยไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมใด ๆ ทั้งสิ้น

                               4. ประชาชนทั่วไปสนใจติดต่อขอรับกล้าไม้ได้รายละไม่เกิน 1,500 ต้น/ปีหากมีโครงการปลูกต้นไม้ที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการค้าและมีพื้นที่เป้าหมายชัดเจน สามารถขอรับกล้าไม้ได้มากกว่ารายละ1,500 ต้น/ปี โดยให้ยื่นหนังสือแสดงโครงการ พร้อมหลักฐานประกอบแนบคำขอ

                               5. ศาสนสถาน หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชนทั่วไป ขอได้หน่วยงานละไม่เกิน 10,000 ต้น/ปี แต่หากมีโครงการปลูกต้นไม้ที่ไม่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการค้าและมีพื้นที่เป้าหมายชัดเจน สามารถขอรับกล้าไม้ได้มากกว่ารายละ10,000 ต้น/ปี โดยให้ยื่นหนังสือแสดงโครงการพร้อมหลักฐานประกอบแนบคำขอ

                  หลักฐานการขอรับกล้าไม้

                               1. บัตรประชาชน

                               2. ถ้าเป็นโครงการต้องแนบรายละเอียดโครงการ เอกสารที่ดินและแผนที่สังเขป
            1. หน่วยงานเพาะชำกล้าไม้ เมื่อได้รับคำขอจะพิจารณาแจกจ่าย
กล้าไม้ได้ตามจำนวนที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงจำนวนผู้ยื่นคำขอ ปริมาณกล้าไม้ที่มีอยู่และจำนวนพื้นที่ปลูกเป็นหลัก

            2. เจ้าหน้าที่ผู้ได้รับหนังสือแสดงโครงการจะตรวจสอบหลักฐานเบื้องต้นก่อน หากเป็นโครงการที่สมควรสนับสนุนกล้าไม้ให้พิจารณาเสนอความเห็นเกี่ยวกับจำนวนกล้าไม้ที่ควรสนับสนุน โดยคำนึงถึงเป้าหมายของโครงการ จำนวนผู้ยื่นโครงการ ปริมาณกล้าไม้ที่มี และจำนวนพื้นที่ปลูก เป็นหลัก

            อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ มีประกาศราชกิจจาฯ อนุญาตประชาชน-เอกชน ปลูกตัดขาย "ไม้หวงห้าม" 158 ชนิด และ "ไม้หายาก" 13 ชนิด ในที่ดินกรรมสิทธิ์ และครอบครองได้แล้วโดยไม่ต้องขออนุญาต รวมถึงนิรโทษคดีเก่า ดันที่ดินรกร้าง 96 ล้านไร่ถูกใช้ประโยชน์มากขึ้น ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ ฉบับที่ 8 มีผลนับตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2562


เผยแพร่: 16 พ.ค. 2562 11:53   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

10
                  กระทรวงสาธารณสุข เร่งผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ดูแลประชาชนร่วมกับทีมหมอครอบครัวครบ 6,500 ทีมภายใน 10 ปี ตาม พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 ประชาชนเข้าถึงระบบบริการใกล้บ้าน ที่มีคุณภาพ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กทม. นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ผศ.ดร.นพ.อภินันท์ อร่ามรัตน์ ประธานราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เปิดการปฐมนิเทศโครงการปฏิบัติงานเพื่อการสอบวุฒิบัตรแสดงความรู้ ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว ประจำปีการศึกษา 2562 โดยมีแพทย์จบใหม่ที่ได้รับคัดเลือกจากสถาบันการศึกษาและคณะกรรมเขตสุขภาพที่เกี่ยวข้องทั้ง 13 เขตสุขภาพ ให้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 132 คน
                  นพ.สุขุม กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพใกล้บ้าน ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ลดความแออัดและลดระยะเวลารอคอยการรักษาในโรงพยาบาลใหญ่ มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวทำงานร่วมกับสหวิชาชีพเป็นทีมหมอครอบครัว 1 ทีมดูแลประชาชน 10,000 คน โดยได้ร่วมกับราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันอุดมศึกษา ผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ตั้งเป้าหมายมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวครบ 6,500 ทีมภายใน 10 ปี
ขณะนี้จัดตั้งแล้ว 996 ทีม ในปี 2562 มีเป้าหมายให้ครบ 1,170 ทีม รวมทั้งมีการจัดการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมหมอครอบครัวให้มีคุณภาพ มาตรฐานสูงขึ้น มีการวางแผนกำลังคน และวางแนวทางขับเคลื่อนการผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว โดยการสร้างเครือข่ายสถาบันการผลิต 1 เครือข่าย 1 จังหวัดภายในปี 2567 สนับสนุนให้แพทย์สอบอนุมัติบัตรเป็นแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวเพื่อทำงานในคลินิกหมอครอบครัว รวมทั้งการเพิ่มแรงจูงใจต่าง ๆ เช่น ความก้าวหน้าในวิชาชีพ ค่าตอบแทน เป็นต้น สนับสนุนการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.2562 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2562
                  นพ.สุขุม กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการนี้ เป็นการสร้างแรงจูงใจและสิทธิพิเศษให้แพทย์จบใหม่ มาศึกษาต่อในสาขาแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เป็นหลักสูตร 3 ปี โดยไม่ต้องลาเรียน เปิดรับสมัครนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายผ่านระบบรับสมัครทางเว็บไซต์ของกระทรวง เรียนในจังหวัดที่เปิดรับภายในเขตสุขภาพ ไม่ต้องจับฉลากเลือกพื้นที่ตามเงื่อนไข เมื่อผ่านการฝึกอบรมจะมีคุณสมบัติในการสอบเพื่อรับวุฒิบัตรเป็นแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และต้องปฏิบัติงานอีกหนึ่งปีในพื้นที่ตามเงื่อนไขของโครงการ ขณะที่แพทย์ใช้ทุนทั่วไปจะต้องปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มพูนทักษะอย่างน้อยหนึ่งปี จึงจะสามารถลาเรียนเพื่อศึกษาต่อแพทย์ประจำบ้านในสาขาแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวได้ ซึ่งจะทำให้มีการกระจายตัวของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว รองรับการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ รวมถึงการพัฒนาการเรียนการสอนด้านเวชศาสตร์ครอบครัวในทุกภาคของประเทศ

Tue, 2019-05-14 22:50 -- hfocus

11
                   กระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลทุกแห่ง ทำประกันภัยรถพยาบาลชั้น 1 เพิ่มความคุ้มครองผู้ขับขี่ เจ้าหน้าที่ และผู้ป่วยที่ใช้รถพยาบาล ตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2562 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกแห่ง ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญและห่วงใยความปลอดภัยของผู้ป่วย ญาติ และเจ้าหน้าที่ขณะนำส่งผู้ป่วย ได้มีนโยบายให้โรงพยาบาลทุกแห่งต้องทำประกันภัยรถพยาบาล ชั้น 1 ภาคสมัครใจ และเพิ่มวงเงินประกันภัยคุ้มครองผู้โดยสารหากเสียชีวิตหรือทุพลภาพถาวรเป็นคนละ 2,000,000 บาท สูงสุด 7 ที่นั่ง โดยรถพยาบาลที่หมดประกันภัยฉบับเดิมให้ต่อประกันภัยฉบับใหม่กับบริษัทประกันภัยที่มีข้อตกลงร่วมกัน จำนวน 4 บริษัท
                  นอกจากนี้ ได้กำชับให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุของรถพยาบาลอย่างเคร่งครัด โดยพนักงานขับรถพยาบาลต้องผ่านการอบรมหลักสูตรฝึกอบรมของกระทรวงสาธารณสุข และตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง จำกัดความเร็วของรถพยาบาล ไม่เกิน 80 กม./ชม. หรือไม่เกินที่กฎหมายกำหนด ในรถต้องมีผู้โดยสารรวมพนักงานขับทั้งหมดไม่เกิน 7 คน ทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัย และห้ามทำหัตถการขณะรถเคลื่อนที่ รถพยาบาลทุกคันต้องติดตั้งอุปกรณ์ GPS และกล้องวงจรปิดบันทึกภาพ ห้ามขับรถฝ่าสัญญาณไฟแดงทุกกรณี และให้คำนึงถึงเวลาทำงานที่เหมาะสมของบุคลากรสาธารณสุขทุกระดับ


Wed, 2019-04-17 15:44 -- hfocus

12
                   ผอ.โรงพยาบาลปทุมธานี ร่วมพัฒนา ‘MOPH Connect’ หวังช่วยอำนวยความสะดวกประชาชน ชูจุดเด่นการจองคิวออนไลน์ เหมือนผู้ป่วยเดินทางไปจองคิวเองที่โรงพยาบาล พร้อมวางระบบแจ้งเตือน ‘นัดตรวจ’ อีก 4 สเต็ป ตั้งแต่คืนก่อนตรวจ เช้าวันนัด ก่อนตรวจ 10 คิว ไปจนถึงหลังตรวจเสร็จ นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลปทุมธานี ในฐานะหนึ่งในผู้พัฒนา “MOPH Connect” ซึ่งเป็น Chatbot ในแอปพลิเคชัน LINE กล่าวถึงการนำเทคโนโลยีการสื่อสารมาให้บริการประชาชน ตอนหนึ่งว่า จ.ปทุมธานี มีประชากรเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันอยู่ที่ 2 ล้านราย และโรงพยาบาลปทุมธานีก็เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวของจังหวัด ส่วนโรงพยาบาลที่เหลือเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง ฉะนั้นสถานการณ์ก็คือคนไข้จะเข้ามารับบริการเป็นจำนวนมาก ทุกวันนี้ประมาณวันละ 2,300 ราย
                   “ที่ผ่านมาเราจะพบปัญหาการแย่งคิวกันในตอนเช้า ส่งผลให้โรงพยาบาลเกิดความแออัดตั้งแต่ช่วงเช้า ทางโรงพยาบาลก็ได้พูดคุยกันว่าจะจัดระบบคิวกันใหม่ ซึ่งระหว่างนั้นกระทรวงสาธารณสุขเสนอว่าทำเป็นออนไลน์ดีไหม เราก็สนใจ ทางกระทรวงจึงอยากให้โรงพยาบาลปทุมธานีเป็นโรงพยาบาลนำร่องในการช่วยพัฒนาระบบ เพื่อเป็นต้นแบบให้โรงพยาบาลอื่นๆ นำไปปรับใช้” นพ.อนุกูล กล่าว นพ.อนุกูล กล่าวว่า จากการพูดคุยกันก็พบว่าหากทุกโรงพยาบาลทำโปรแกรมออนไลน์ของตัวเอง คนไทยก็อาจต้องมีโหลดโปรแกรมของแต่ละโรงพยาบาลซ้ำซ้อนกันจำนวนมาก จึงได้คิดถึงของที่มีอยู่แล้วในโทรศัพท์ของทุกคนนั่นก็คือแอปพลิเคชัน LINE ซึ่งจะเป็นช่องทางเข้าไปสู่โรงพยาบาลต่างๆ และนั่นเป็นที่มาของ MOPH Connect “คุณเพียงเข้าไปที่ LINE แล้วก็เป็นเพื่อนกับ MOPH Connect คุณก็จะสามารถเลือกใช้บริการกับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ใดก็ได้ และใน LINE ก็มีโปรแกรมตอบโต้อัตโนมัติที่เรียกว่า Chatbot เราจึงคิดกันต่อว่า หากพัฒนาโปรแกรมคิวออนไลน์ของแต่ละโรงพยาบาลให้มาเชื่อมต่อกับ Chatbot ก็จะสามารถให้คนไข้จองคิวผ่านช่องทางนี้ได้เลย” นพ.อนุกูล กล่าว นพ.อนุกูล กล่าวอีกว่า เมื่อเชื่อมต่อระบบเป็นที่เรียบร้อย คนไข้ที่จองคิวออนไลน์ก็จะเป็นคิวเดียวกับคนไข้ที่เดินทางมาจองคิวที่โรงพยาบาล นั่นหมายความว่าคนไข้ไม่ต้องมาโรงพยาบาลก็สามารถจองคิวได้ มากไปกว่านั้นก็คือระบบจะแสดงให้เห็นด้วยว่าคิวการตรวจ ณ ปัจจุบันอยู่ที่เท่าไรแล้ว นั่นทำให้คนไข้ไม่ต้องนั่งรออยู่ที่หน้าห้องตรวจอีกต่อไป
                   นอกจากนี้ ระบบยังถูกออกแบบให้มีการแจ้งเตือนผู้ป่วยอัตโนมัติอีก 4 ครั้ง ตัวอย่างเช่นถ้าผู้ป่วยมีนัดตรวจในวันพรุ่งนี้เช้า ก็จะมีไลน์แจ้งเตือนว่าคุณมีนัดตรวจเวลาเท่าใด ที่ไหน แผนกไหน โดยการเตือนครั้งแรกจะมาในช่วงเย็น เช่น 18.00 น. และเมื่อถึงวันจริงก็จะมีการเตือนครั้งที่สองในช่วงเช้า ประมาณ 06.00 น. และเมื่อถึงเวลาใกล้ตรวจอีก 10 คิว ก็จะมีการแจ้งเตือนเป็นครั้งที่สาม และหลังจากการตรวจเสร็จสิ้นไปแล้ว 1 วัน ก็จะเตือนครั้งที่สี่เพื่อให้ประเมินคุณภาพการให้บริการ “จากนี้ก็จะมีการพัฒนาเรื่องการแจ้งเตือนอื่นๆ เช่น การแจ้งเตือนให้รับวัคซีน การแจ้งเตือนฝากครรภ์ ไปจนถึงการแจ้งเตือนให้รับประทานยาให้ตรงเวลาในกลุ่มโรคที่จำเป็นต้องรับประทานยาให้ตรงเวลา เช่น ผู้ป่วยวัณโรค ซึ่งขณะนี้มีบางโรงพยาบาลที่ใช้การแจ้งเตือนรายการเหล่านี้บ้างแล้ว” นพ.อนุกูล กล่าว อนึ่ง MOPH Connect คือ Chatbot ผ่าน Line Business Connect ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ระบบ ที่กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของหน่วยบริการ ยกระดับมาตรฐานของโรงพยาบาลในสังกัด และเพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน รองรับการพัฒนาระบบสารสนเทศด้านสุขภาพด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านดิจิทัล
สำหรับ MOPH Connect เมื่อประชาชนเพิ่มเป็นเพื่อนแล้ว จะมีบริการต่างๆ ได้แก่ การค้นหาหน่วยบริการ การตรวจสอบสิทธิรักษาพยาบาล บริการจองคิว บริการฉุกเฉิน 1669 การบริจาค และบริการพิเศษต่างๆ โดยปัจจุบันมีสมาชิก 214,550 ราย



Thu, 2019-04-18 12:16 -- hfocus

13
                  “ปวดท้องประจำเดือน” เป็นอาการที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับผู้หญิงหลายคน แต่ส่วนมากมักจะมองข้าม โดยคิดว่าเป็นเรื่องปกติของการมีประจำเดือน แต่อาการปวดท้องประจำเดือนแบบเรื้อรังและรุนแรง คือสัญญาณเตือนภัยว่าคุณอาจจะเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) สำหรับหลายคนแล้ว เมื่อเกิดอาการปวดท้องประจำเดือน มักใช้ถุงน้ำร้อนประคบ หรือใช้ยาแก้ปวดบรรเทาอาการ แต่ไม่หายขาด ต่อมาเมื่อปวดท้องมากขึ้นก็ต้องใช้ยาปริมาณมากขึ้น อาการที่เคยคิดว่าเล็กน้อย กลับส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน หน้าที่การงาน สังคม และครอบครัว ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงเว็ปไซต์ www.endometriosis-uk.org เปิดเผยผลสำรวจพบว่า ผู้หญิง 10% เป็นผู้ป่วยโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ โดย 50% ของผู้ป่วยมีอาการปวดประจำเดือนร่วมกับปัญหาการมีบุตรยาก ช่วงอายุของผู้ป่วย โดยเฉลี่ยอยู่ในช่วง 20-40 ปี เริ่มตั้งแต่มีประจำเดือนอายุ 10 ปี จนหมดประจำเดือนหรือ “วัยทอง” นอกจากนั้นการสำรวจยังพบอีกว่า กลุ่มผู้ป่วยโรคนี้ 82% ไม่สามารถทำงานได้ตลอดทั้งวันในช่วงที่มีประจำเดือน 

                   ผศ.นพ.ศรีเธียร เลิศวิกูล ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เป็นโรคเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ไม่ว่าจะใช้ยาหรือการผ่าตัด ตราบใดที่ผู้หญิงยังมีประจำเดือน มีฮอร์โมนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรค และมีความเสี่ยงเป็นโรคซ้ำไปจนถึงช่วงวัยทอง 
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือการวินิจฉัยโรคที่ล่าช้า ตามรายงานของ www.endometriosis-uk.org ระบุว่าแพทย์ใช้เวลาวินิจฉัยโรคนี้เฉลี่ย 7-8 ปี ส่งผลให้อาการของโรครุนแรงขึ้นและการรักษาทำได้ยากลำบากมากกว่าเดิม ผู้ป่วยที่หยุดการรักษาแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้งสูงถึง 40% ภายใน 5 ปี ดังนั้นการรักษาต้องกินยาระยะยาว เพื่อควบคุมฮอร์โมนไม่ให้กระตุ้นการเกิดโรคไปจนถึงช่วงวัยทองหรือหยุดยาในช่วงที่ต้องการมีบุตร
แพทย์แนะวิธีการรักษา 3 แนวทาง การรักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ทำได้ 3 วิธี แนวทางแรก คือรักษาด้วยยา ได้แก่
                         1. ยาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) กรณีที่มีอาการปวดไม่มาก
                         2. ยาคุมกำเนิด รวมถึงยาเม็ด ยาฉีด ยาฝัง แผ่นแปะคุมกำเนิด และวงแหวนคุมกำเนิดทางช่องคลอด
                         3. ยาฮอร์โมนกลุ่มโปรเจนติน มักใช้ในกรณีที่อาการปวดไม่ดีขึ้นหรือมีข้อห้ามจากยาคุมกำเนิด
                         4. ยาฮอร์โมนกลุ่มแอนโดรเจน เป็นยาฮอร์โมนกระตุ้นลักษณะเพศชาย และ
                         5. ยากลุ่ม Gonadotropin releasing hormone agonist (GnRHa) เป็นยาที่ช่วยหยุดการทำงานของรังไข่ชั่วคราว ทำให้ไม่มีการผลิตฮอร์โมนเพศมากระตุ้นโรค
แนวทางที่สอง คือรักษาด้วยการผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยมีอาการปวดประจำเดือนมาก มีถุงน้ำช็อคโกแลต (chocolate cyst) ขนาดใหญ่ หรือทานยาแล้วไม่ได้ผล และ แนวทางที่สาม คือการรักษาร่วมกันระหว่างการใช้ยาและการผ่าตัด เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำอีก หลังผ่าตัดแล้วควรเลือกใช้ยาที่ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงต่ำ เนื่องจากต้องใช้ยาเป็นเวลานาน  “ยาแต่ละชนิดล้วนมีประสิทธิภาพบรรเทาปวดใกล้เคียงกัน แต่ผลข้างเคียงอาจแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนาการผลิตยาดีขึ้น ปลอดภัยสำหรับการรักษาในระยะยาว”
อันตราย หากปล่อยไว้อาจลุกลามไปอวัยวะสำคัญ  ผศ.นพ.ศรีเธียร กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ แต่ทางทฤษฎีเชื่อว่าเกิดจากการที่เลือดระดูหรือประจำเดือนไหลย้อนกลับเข้าไปในอุ้งเชิงกราน ผ่านทางท่อนำไข่ โดยเลือดประจำเดือนจะมีเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ ซึ่งปกติแล้วร่างกายมีกลไกในการกำจัดเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกเหล่านี้ แต่กรณีผู้หญิงบางคนมีความผิดปกติของกลไกในการกำจัดเซลล์ ทำให้เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดออกมานั้นไปฝังตัวและเจริญเติบโตตามจุดต่างๆ ทั้งในตัวมดลูก (Endometriosis internal) และนอกมดลูก (Endometriosis external)  อาการที่เกิดขึ้นหลักๆ คือปวดประจำเดือน ปวดท้องน้อย เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ ปวดท้องน้อยเรื้อรัง มีบุตรยาก และอาการอื่นๆที่เกิดร่วมด้วยในกรณีที่ตัวโรคลุกลามไปอวัยวะอื่น  เช่น กระเพาะปัสสาวะ บริเวณลำไส้ ปอด  บางคนอาจไปที่สมองทำให้มีอาการเลือดออกจนต้องผ่าตัด “โรคนี้สามารถไปอยู่ที่ไหนของร่างกายก็ได้ กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นโรคนี้ จะสัมพันธ์กับการมีประจำเดือน คือ เริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อย หรือเข้าสู่ภาวะวัยหมดประจำเดือน(วัยทอง) ช้ากว่าปกติ สตรีที่มีประจำเดือนออกมากและนานหลายวัน รอบเดือนมาถี่ สตรีที่มีบุตรคนแรกตอนอายุมาก รวมถึงพันธุกรรมในกรณีที่ญาติสายตรงเป็นโรคนี้ เรามีโอกาสเป็นสูงขึ้น และยังพบว่าการรับประทานสัตว์เนื้อแดง อาหารที่มีไขมันสูง ก็เพิ่มความเสี่ยงของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เช่นกัน”  แนะพบแพทย์ทันเวลา ดีกว่าซื้อยากินเอง ผู้หญิงจึงไม่ควรคิดว่าการปวดประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ ต้องได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุและหมั่นสังเกตอาการตัวเองดีๆ ว่ามีแนวโน้มจะเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือไม่ ที่สำคัญคืออย่าใช้เพียงถุงน้ำร้อนประคบ หรือซื้อยากินเอง ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยที่เร็วและทันเวลา ผศ.นพ.ศรีเธียร แนะนำว่าผู้หญิงบางคนที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์อาจไม่กล้าตรวจภายใน ดังนั้น แพทย์สามารถเลือกใช้การตรวจด้วยวิธีอื่นแทน เช่น การวินิจฉัยจากอาการ อัลตร้าซาวน์ หากพบว่าเป็นโรคก็ต้องไปพบแพทย์เฉพาะทางสูติแพทย์ เพื่อดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ต่อเนื่องในระยะยาว ขณะที่การออกกำลังกาย การรับประทานผักและผลไม้ ช่วยลดและป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ด้วย


Tue, 2019-01-29 14:44 -- hfocus

14
                  สถาบันโรคทรวงอก เตือนผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวายเรื้อรัง ตาบอด และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน อันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการหันมาใส่ใจดูแลตนเอง ชี้หากพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า เบาหวานเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมน์อินซูลิน หรือการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนอินซูลิน หรือร่วมกันทั้ง 2 อย่าง ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนน้ำตาลที่ได้รับมาจากอาหารเป็นพลังงาน จนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 126 มก./ดล. อีกทั้งหากป่วยเป็นโรคเบาหวานในระยะเวลานานๆ จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าปกติ เพราะโรคเบาหวานจะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง หลอดเลือดแดงตีบหรืออุดตัน ในส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะที่พบบ่อย คือ หัวใจ สมอง ไต ตา เท้า ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวายเรื้อรัง ตาบอด และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันอันตรายถึงชีวิตได้
ทั้งนี้ความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานเกิดได้จากหลายปัจจัยได้แก่
                            1.กรรมพันธุ์
                            2.ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนลงพุง
                            3.มีพฤติกรรมการบริโภคไม่เหมาะสม
                            4.ขาดการออกกำลังกาย
                            5.อายุมากขึ้น
                            6.สตรีที่มีประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์
                            7.พบผิวหนังสีคล้ำดำเหมือนกำมะหยี่บริเวณลำคอหรือรักแร้
                   ดังนั้น ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการหันมาใส่ใจดูแลตนเอง หากพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน พญ.วิพรรณ สังคหะพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน คือ เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก ตามัว มือเท้า ชา บวม ปัสสาวะบ่อย นอกจากนี้ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ไขมันสูง สูบบุหรี่ ควรตรวจเช็คโรคเบาหวานเช่นกัน เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงร่วมกันที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการหันมาใส่ใจดูแลตนเอง โดยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงของหวาน ชา กาแฟ น้ำอัดลม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด รวมทั้งระวังไม่ให้เกิดภาวะติดเชื้อ รับประทานยาหรือฉีดยาตามคำแนะนำของแพทย์ และหมั่นตรวจสุขภาพ ตา ไต หัวใจ เท้า และสมองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่จะเกิดในอนาคตต่อไป


เผยแพร่ Tue, 2019-03-05 16:32 โดย -- hfocus

15
                  กรมอนามัย เตือนผู้ที่น้ำหนักตัวเกิน ควรจำกัดปริมาณในการกินไอศกรีม เพราะไอศกรีมมีส่วนผสมของไขมัน และน้ำตาลสูง ทำให้ระดับคอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงขึ้นได้ พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ไอศกรีมเป็นของหวานที่ช่วยสร้างความสดชื่นในหน้าร้อนได้เป็นอย่างดี เพราะมีส่วนประกอบหลัก คือ ครีม น้ำนม หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม เช่น โยเกิร์ต นมผง นมเปรี้ยว แถมยังมีสารที่ให้รสชาติหวาน เช่น กลูโคสไซรัป ฟรุกโตส น้ำผึ้ง หรืออาจมีน้ำมันพืช ไข่ กะทิเพิ่มด้วย หากบริโภคมากเกินไปอาจทำให้ผู้บริโภคน้ำหนักเพิ่มขึ้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงไอศกรีมที่มีไขมันสูง และควรระวังน้ำตาลที่อยู่ในไอศกรีมด้วย เนื่องจากไอศกรีมบางประเภทในโฆษณาว่ามีไขมัน 0% แต่กลับมีน้ำตาลสูงถึง 3.5-6.5 ช้อนชา จึงไม่ควรกินบ่อย
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า ผู้ที่มีคอเรสเตอรอลสูง ควรเลือกกินไอศกรีมที่มีไขมันน้อยหรือไม่มีไขมันเลย เช่น ไอศกรีมเชอร์เบต และสำหรับผู้ที่มีไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง ควรกินไอศกรีมเป็นครั้งคราวและจำกัดปริมาณไอศกรีมทุกชนิด เนื่องจากส่วนผสมของไขมันและน้ำตาลที่มีอยู่ในปริมาณมากมีผลทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงขึ้นได้
                  สำหรับผู้ต้องการลดน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงไอศกรีมที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เนื่องจากไอศกรีมดัดแปลง 1 แท่ง ประกอบด้วยไขมันอิ่มตัว นมผง หางนม น้ำตาล ซึ่งให้พลังงาน 150 -230 กิโลแคลอรี่ มีน้ำตาลอยู่ 4-5 ช้อนชา โดยใน 1 วัน ไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา และก่อนซื้อควรดูฉลากโภชนาการเป็นส่วนประกอบก่อนการบริโภค เพื่อให้ทราบปริมาณพลังงาน น้ำตาลและไขมัน จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้กินมากเกินไปและเลือกกินไอศกรีมจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ เพื่อลดความเสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากไอศกรีมที่ไม่สะอาด


เผยแพร่ Thu, 2019-03-14 15:42 โดย  -- hfocus

หน้า: [1] 2 3 ... 20