แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - patchanok3166

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 19
31
                 “ถ้าเราทำงานแบบ เข้า 8 โมงเช้า ออก 4 โมงเย็น ผลมันก็จะออกมาอีกแบบนึง แต่นี่เราไม่ได้เอาเรื่องเวลามาเป็นตัวกำหนด ต่อให้มันจะเกินเวลาชีวิตเราไปเท่าไหร่ เราก็ไม่ได้มานั่งคิด” เจาะเบื้องหลังความคิด “ข้าราชการดีเด่น” คนต้นแบบวิชาชีพพยาบาลและการแพทย์ ผู้ทุ่มทั้งเวลา พลังสมอง แรงกายและแรงใจ เพื่อฉุดชีวิตเพื่อนมนุษย์ให้หลุดพ้นจากโคลนตม ผ่านบทบาท “นางพยาบาลชุมชนนักพัฒนา” ผู้เยียวยาบาดแผลทางสังคมด้วยใจศรัทธา จนใครๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่เธอทำช่างน่ายกย่อง และเป็นยิ่งกว่าแค่คำว่า “หน้าที่” อย่างแท้จริงมั่นใจได้เลยว่า หลังจากได้ทำความรู้จักกับเจ้าของชื่อ “โย-อุบลวรรณา เรือนทองดี” โลกของ “พยาบาล” ที่หลายคนคุ้นชินจะเปลี่ยนไปตลอดกาล คือเปลี่ยนจากภาพการให้บริการในสถานพยาบาลตามกะเวลาที่ได้รับมอบหมาย กลายเป็นภาพของการลงพื้นที่ดูแลผู้ป่วยโดยไร้กฎเกณฑ์ใดๆ ไม่มีกรอบแม้แต่คำว่า “นางพยาบาล-คนไข้” เข้ามาครอบไว้ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นระหว่างสถานะ “พี่-น้อง” “ลูกหลาน-ตายาย” อย่างที่หลายชีวิตในชุมชน อ.บางปลาม้า มีโอกาสได้รับรู้ถึงความรู้สึก จนถึงขั้นซึมลึกลงไปถึงหัวใจ เช่นเดียวกับเรื่องราวน่าประทับใจที่เกิดขึ้นกับ “ป้าแอ๊ด” หนึ่งในคนไข้ในความรับผิดชอบของ “นางพยาบาลผู้ให้” รายนี้ ที่ถูกฟื้นชีวิตให้กลับคืนมาใหม่ จาก “ผู้ป่วยติดเตียง” นอนแน่นิ่งด้วยโรคทางใจ ให้กลับมาลุกเดินสร้างประโยชน์ให้สังคม“ลักษณะอาการของเขาตามการวินิจฉัยทางการแพทย์แล้วก็คือ “โรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง” ค่ะ ก่อนหน้านี้ที่มาพบตั้งแต่ช่วงแรกๆ เขาก็จะมีอาการนอนนิ่งเฉย นิ่งชนิดที่เป็นผักเลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และไม่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม ใครจะพูดอะไรก็ไม่หือไม่อือ ไม่สบตา เหมือนสภาพทางสังคมของเขาถูกตัดขาดไป ถึงกับต้องคอยให้คนมาดูแล พลิกตะแคงป้อนข้าวให้สภาพที่เจอครั้งแรก พี่แกนอนตัวแบน ตัวราบไปกับพื้นเลย ไม่พูดไม่จา ไม่สบตา เอาแต่นอนและเอาแต่หลับตาอย่างเดียว ส่วนที่คอก็สวมลูกประคำ ไม่ว่าใครจะมาพูดมาคุยด้วยก็ไม่ตอบสนอง ไม่กระดุกกระดิกตัวเลย จนพลอยกระทบร่างกายของพี่เขาไปด้วย คือนอนนานจนมือเขาแข็งไปเลย เพราะเส้นยึด ข้อต่างๆ เลยติดไปด้วย แต่มาวันนี้พี่เขาก็ลุกขึ้นมานั่ง และทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองได้แล้วถามว่าอะไรทำให้แกเปลี่ยนไปได้ ถ้าให้ประเมินจากมุมมองของพยาบาล พี่ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องของสัมพันธภาพระหว่างพี่กับพี่แอ๊ด ที่มันเกิดความไว้วางใจกัน มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน มีความรู้สึกเป็นพี่เป็นน้องกัน และความสม่ำเสมอที่เราเข้ามาหาเขา ด้วยความที่เราไม่ได้เข้าไปอย่างเป็นทางการ หรือเข้าไปแบบพยาบาลเยี่ยมบ้าน แต่เราเข้าไปแบบเพื่อนบ้าน แบบน้องคนนึง แสดงให้เขาเห็นว่าเราเป็นห่วง ถ้ามีโอกาสไหนที่เรามาหาเขาได้ เราก็จะไป บางทีช่วงแรกๆ ที่ไปหา ถ้าแกไม่พูด เราก็ต้องอาศัยการเดาใจเอาไว้ก่อน ถ้าเอาของไปให้ ถ้าแกไม่ถูกใจ เช่น มะละกอ ที่เคยเอาไปให้ และเราก็ไม่รู้ว่าแกไม่กินด้วย แกก็จะบอกว่าเอามาทำไม (หัวเราะ) เลยบอกแกว่าเอามาแล้ว ยังไงก็ต้องกินแหละ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องตลกไปหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกสนุกมากขึ้น เพราะรู้สึกเหมือนมีเพื่อนมาคุย ถ้าวัดจากการประเมินในฐานะพยาบาลก็อาจจะตีความไปได้ว่า มันคงเป็นเรื่องของการรู้สึกมีตัวตน ทำให้เห็นคุณค่าในตัวเอง จากก่อนหน้านี้ที่เขาอาจจะรู้สึกว่าไม่เคยมีตัวตนในสังคม”คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ผู้ป่วยที่ปิดรับการเข้าถึงจากบุคคลภายนอก หรือแม้แต่กับญาติๆ ภายในบ้านเองไปแล้ว ได้กลับมาเปิดหูเปิดตารับรู้โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง แต่นางพยาบาลหัวใจแกร่งรายนี้ก็ค่อยๆ ทุบทะลวงกำแพงใจเหล่านั้นเข้าไป ด้วยการคอยกระตุ้นผ่านวิธีสร้างกำลังใจในหลากหลายรูปแบบ
                หนึ่งในนั้นคือการสัมผัสแสดงความรักต่อกันผ่าน “ภาษากาย” อย่างที่มือเล็กๆ ของเธอกำลังเกาะกุมส่งผ่านพลังไปสู่อีกมือหนึ่ง ตลอดการพูดคุยอย่างเป็นกันเองในระหว่างที่นั่งอยู่ในตัวบ้าน ในฐานะ “น้องรัก” คนนึง “จากที่เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย และรู้สึกเป็นภาระของคนอื่น พี่ก็เริ่มทำความเข้าใจพี่เขาจากจุดนั้น แล้วค่อยๆ ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น จนกระทั่งเขาเริ่มลุกขึ้นนั่งได้ พี่ก็จะเริ่มกระตุ้นเขาเล็กๆ น้อยๆ ไปทีละเรื่อง เริ่มที่เรื่องบ้านไม่สะอาดก่อน (ยิ้ม) พอเขารับรู้ตามที่เราบอก วันต่อมาเขาก็เริ่มลุกขึ้นมาเก็บกวาด ซึ่งมันก็เป็นผลดีต่อเขาในเรื่องของการเคลื่อนไหว ทำให้ข้อต่อต่างๆ ของเขาไม่ยึดพอเราเห็นพัฒนาการหลายๆ อย่างที่ดีขึ้น อย่างเรื่องบ้านที่สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบมากขึ้น เราก็เอ่ยชมเขา ตัวพี่เขาเองก็จะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง และพอเราได้เห็นเขารู้สึกดีกับตัวเองได้ในเรื่องนั้น พี่ก็อยากเห็นเขาภูมิใจในตัวเองมากขึ้น มากกว่าเรื่องการจัดการตัวเองภายในบ้าน  คือพี่อยากให้เขาได้มีตัวตนในสังคม อยากให้คนภายนอก คนที่อยู่ในสังคมคนอื่นๆ ได้รู้จักพี่แอ๊ด ได้เห็นคุณค่า ตัวตน และความสามารถของพี่เขา ก็เลยบอกพี่แอ๊ดว่าจะชวนไปสอนภาษาอังกฤษ เพราะก่อนหน้านี้ พี่เขาเคยทำงานที่สถาบันเทคนิคการแพทย์ รับเจาะเลือด ตรวจแล็บ ซึ่งเป็นแล็บที่ตั้งอยู่เมืองนอก ทำให้ไม่ได้ใช้ชีวิตที่ไทยมากนัก และต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารอยู่ตลอด พี่เลยอยากให้พี่เขาได้ดึงความสามารถของตัวเองที่มีอยู่ออกไปใช้ ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ซึ่งพี่เขาก็รับปากแล้วนะคะว่าจะออกไปสอนให้ ต้องบอกว่าเคสของพี่แอ๊ด ถือว่าเป็นเคสที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จนเกินความคาดหมายของพี่อยู่เหมือนกัน เพราะจากที่เขาเป็นคนไม่สุงสิงกับใครเลย เราก็ทำให้เขาอยากลุกขึ้นมาช่วยคนอื่นได้แล้ว” ถ้าให้เดาบทบาทการทำงานจากตำแหน่ง “พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หัวหน้างานส่งเสริมสุขภาพ กลุ่มงานเวชปฏิบัติครอบครัวและชุมชน โรงพยาบาลบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี” คงไม่มีใครวาดภาพออกว่าขอบข่ายความรับผิดชอบ ที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงต้องแบกรับไว้ จะขยายวงกว้างออกไปขนาดไหน แต่เมื่อได้ตามรอยไปดูผลงานของ “หมอโย” ที่หลายๆ คนเรียกกัน จึงพอจะเข้าใจได้มากขึ้นว่า เหตุใด “นางพยาบาลชุมชนนักพัฒนา” รายนี้ จึงได้รับการยกย่องให้เป็น “ข้าราชการดีเด่น” ผู้อุทิศตนเพื่อส่วนรวม เพราะไม่ใช่แค่เข้าไป “รักษา” อาการป่วยของชาวบ้านเท่านั้น แต่งานของเธอยังกินความหมายไปถึงการ “เยียวยา” ทุกช่องโหว่ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นด้วย เช่นเดียวกับครอบครัวของ “ยายฉวีวรรณ” ที่เหลือเพียง 2 ชีวิต ตา-ยาย อาศัยอยู่ร่วมกัน ท่ามกลางความไม่พร้อมด้านสภาพแวดล้อม ทั้งตัวบันไดขึ้นบ้านที่ไม่มีราว แถมยังสูงชัน เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ไปจนถึงตัวห้องส้วมที่ยังคงเป็นส้วมนั่งยอง แทนที่จะเป็นส้วมชักโครกตามสุขอนามัย “หลังจากที่พี่ได้ลงพื้นที่ไปดู พี่เลยเข้าไปคุยกับทางเทศบาลว่า สภาพความเป็นอยู่ของ 2 ตายายคู่นี้ มันไม่เหมาะสมเลย มันเสี่ยงต่อการหกล้ม วิธีการที่จะแก้ไขและป้องกันการหกล้มก็คือ การปรับสิ่งแวดล้อมที่จำเป็นก่อน ก็คือราวบันไดกับส้วม เพราะถ้าคนแก่ล้ม เขาจะเสี่ยงต่อการข้อสะโพกหัก ซึ่งถ้าหักแล้ว โอกาสที่จะได้นอนติดเตียงก็มีสูงมาก แต่งานใหญ่ขนาดนี้ พี่ทำคนเดียวไม่ได้แน่นอนค่ะ พี่เลยต้องไปหาคนที่เขามีทรัพยากร มีความเชี่ยวชาญ มีความพร้อม เราเลยเกิดการรวมกลุ่มคณะทำงานขึ้นมา ซึ่งประกอบไปด้วย นักธุรกิจก่อสร้างที่เราไปขอความช่วยเหลือ, คหบดีที่ช่วยสนับสนุนเรื่องเงิน ฯลฯ  พี่ก็เข้าไปบอกเขาตรงๆ เลยค่ะว่า เรามีโครงการแบบนี้อยู่นะ มีความจำเป็นต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างลักษณะนี้ ต้องการงบประมาณเท่านี้ เพราะทางหลวงเขาไม่มีเงินสนับสนุนตรงนี้มาให้ จนตอนนี้ทุกอย่างก็ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว” สิ่งที่เธอได้ตอบแทนกลับมาหลังเข้าไปเยียวยา ไม่ใช่เพชรนิลจินดา แต่มันคือ “ความอิ่มเอมใจ” จึงทำให้งานที่ต้องประสานงาน ต้องแลกกับหงาดเหงื่อในระยะยาวแบบนี้ ไม่เคยสร้างคำว่า “เหนื่อย” ให้เกิดขึ้นเลยในความรู้สึกของเธอ

                “ถ้าเราคิดว่ามันเหนื่อย งานทุกอย่างมันก็เหนื่อยค่ะ กินข้าวก็เหนื่อย นอนก็เหนื่อยได้ จริงๆ นะ (ยิ้ม) ที่เราได้ทำตรงนี้ มันคือความสุข คือความอิ่มเอมใจ พี่คิดจากตัวพี่เองว่า พี่อยากได้รับความสะดวก ความช่วยเหลือ จากคนอื่นยังไง ชาวบ้านเขาก็คงคิดไม่ต่างจากพี่เหมือนกัน พี่ก็เลยอยากจะทำมันต่อไป ทุกวันนี้พี่ทำอยู่ 2 อย่างคือ ทำเพื่อให้ชุมชนอยู่ได้ และทำเพื่อตัวเองด้วย เพราะเมื่อได้ทำ ตัวพี่เองก็มีความสุข หลังจากงานได้บรรลุเป้าหมาย” จากประสบการณ์จริงที่ได้แวะเวียนไปตามบ้านเรือนผู้ป่วย, ตามไปให้บริการในแหล่งชุมชน ทั้งวัดและโรงเรียน ทำให้เธอมองเห็นปัญหาให้สะท้อนภาพสังคมไทยทุกวันนี้ได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือปัญหา “ผู้สูงอายุ” ที่นับวันจะน่าเป็นห่วงมากขึ้นทุกที “ถือเป็นปัญหาระดับประเทศเลย เรื่องผู้สูงอายุ ตอนนี้ผู้สูงอายุเฉพาะแค่ใน จ.สุพรรณบุรี ก็มีกว่า 20 เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งถือว่ามีจำนวนเยอะ และส่วนใหญ่ ผู้สูงอายุในพื้นที่จะอยู่คนเดียว หรือไม่ก็อยู่ด้วยกัน 2 คน ตา-ยาย มีโรคประจำตัว รวมถึงสิ่งแวดล้อมหลายๆ อย่างในบ้านก็ไม่เหมาะต่อสภาวะของเขาด้วย  ปัญหาหนักตอนนี้คือเรื่องอุบัติเหตุ ที่ต้องเฝ้าระวังในผู้สูงอายุ รวมถึงโรคประจำตัวอย่าง เบาหวาน, ความดัน ที่เป็นกันเยอะ จุดนี้แหละที่พี่มองว่าเป็นความน่ากังวล และต้องพยายามติดตามดูอย่างใกล้ชิด” และการจะแก้ปัญหาในชุมชนให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันของคนในนั้น ทุกวันนี้เป้าหมายของหมอโยจึงคือการพยายาม “สร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง” ซึ่งเป็นโจทย์เดียวกับที่ทางกระทรวงได้ตั้งเอาไว้ “ประเด็นที่ 1 คือ “การสร้างเครือข่าย” เพราะทางโรงพยาบาลหรือแม้แต่ตัวพี่เองคนเดียว ไม่สามารถทำอะไรให้มันสำเร็จได้หรอก เพราะพี่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้น ถ้ามีปัญหา พี่เลยต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งก็คือเครือข่ายเพื่อนในพื้นที่ประเด็นต่อมาคือเรื่อง “ชุมชนเข้มแข็ง” คือเขาสามารถดูแลและส่งเสริมสุขภาพของเขาเองได้ แม้แต่เพื่อนบ้าน คนในชุมชน หรือสิ่งแวดล้อมในชุมชน ให้มีความแข็งแรง เช่น ปลอดขยะ สัตว์ทุกตัวได้รับการฉีดวัคซีน มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ  ที่บ้านเขาเองก็ต้องปลอดภัย มีราวบันได มีส้วมที่ช่วยอำนวยความสะดวก มีราวจับ มีพื้นกันสะดุด ทั้งหมดคือสิ่งแวดล้อมที่ควรมีอยู่ในครอบครัว คือถ้าเขาสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ในชุมชน นั่นคือการตอบโจทย์คำว่า ชุมชนเข้มแข็ง ที่เราต้องการแล้วค่ะ”
“ถามว่าเคยท้อไหมเวลาไม่ได้รับความร่วมมือจากคนอื่นๆ? ก็ต้องบอกว่าไม่เคยท้อเลยค่ะ (ยิ้ม) อาจจะเพราะพี่เป็นคนไม่ค่อยเก็บเอาอะไรมาคิดมาก แค่คิดว่าถ้าพี่ทำในหน้าที่ของพี่ โดยที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร พี่ก็มั่นใจว่าพี่จะทำมันต่อ และถึงแม้ใครคนนั้นจะไม่ให้ความร่วมมือกับพี่ พี่ก็คิดว่ามันก็ยังเหลืออีกหลายคน ที่น่าจะพร้อมร่วมมือกับพี่ได้ และพี่ก็จะไปแสวงหาวิธี หาเพื่อนจากทางอื่น ยกตัวอย่าง สมัยก่อนที่พี่ทำโครงการออกกำลังกายในชุมชนใหม่ๆ ผู้ใหญ่บ้านบางชุมชน เขาจะไม่ยอมมาร่วมกับเราเลย เพราะเขามองว่าเรื่องสุขภาพไม่ใช่หน้าที่ของเขา เป็นหน้าที่ของหมอ แต่พอไปคุยกับอีกชุมชน เขากลับเห็นดีเห็นงาม เห็นความสำคัญไปกับเราได้ และเราก็โน้มน้าวชวนเขามาทำได้สำเร็จ หลังจากนั้น พอชุมชนนึงลงมือทำ และทำได้สำเร็จ ชุมชนที่เคยปฏิเสธเรา เขาก็เริ่มอยากทำตาม หลังจากนั้นเขาก็ไปเชิญชวนกันเอาเอง พอเห็นผลแบบนี้ มันเลยยิ่งทำให้เราไม่เคยท้อเลย” นี่แหละคือทัศนคติบวกๆ ของนางพยาบาลมืออาชีพคนนี้ ซึ่งส่งผลให้หลากนวัตกรรม-หลายโครงการ ที่เธอเป็นผู้ริเริ่ม ประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มตั้งแต่ “โครงการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในชุมชน” ที่มีจุดน่าสนใจตรงที่ นอกจากการชักชวนชาวบ้านให้มาเต้นแอโรบิกแล้ว ยังมีการสอนรำวงย้อนยุค, เต้นบาสโลบ (Paslop) รวมถึงการหยิบเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่าง “รำโทน” เข้ามาเป็นสีสันดึงดูดพ่อแม่พี่น้องในท้องที่ให้มาเข้าร่วมอีกด้วย “ตอนนี้ที่ทำกันอยู่ ก็จะมีลำวงย้อนยุค, ออกกำลังกาย แล้วก็เต้นบาสโลบ ส่วนตัว “รำโทน” มันเป็นศิลปะท้องถิ่นของที่นี่เลยค่ะ พอเราฟื้นฟูกลับขึ้นมา แน่นอนว่ามันได้เข้ามาช่วยในเรื่องการยืดเส้นยืดสาย การขยับร่างกาย ทำให้พวกเขามีสุขภาพแข็งแรง  พอสุขภาพกายดี สุขภาพจิตก็จะแข็งแรงตามไปด้วย เพราะได้มีการพูดคุย แลกเปลี่ยน ได้เฮฮาร่วมกัน มันก็ช่วยลดความเครียด และเกิดความรู้สึกผูกพัน เกิดความรักต่อกันในระหว่างผู้คนในหมู่บ้าน จากเมื่อก่อนตอนเริ่มทำแรกๆ มีชาวบ้านมาร่วม 6 คู่เองค่ะ แล้วก็เข้าร่วมแบบ มาบ้าง-ไม่มาบ้าง แต่หลังจากนั้นมันก็ขยายไปในพื้นที่อื่น ทำให้เครือข่ายนี้เริ่มเข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งก็ยังต้องพยายามต่อไปค่ะ เพราะเรื่องของการสร้างรากฐานด้านสุขภาพตรงนี้ บางทีเราอาจต้องใช้เวลาถึง 10 ปีขึ้นไปด้วยซ้ำ ถึงจะทำให้วัดผลหลายๆ อย่างได้ชัดเจน” “กางเกงวิเศษ” ก็คืออีกหนึ่งนวัตกรรมที่เกิดจากหัวคิดสร้างสรรค์ของเธอคนนี้อีกเช่นกัน เป็นกางเกงที่ถูกออกแบบตัดเย็บมาเพื่อรองรับ “การตรวจมะเร็งปาดมดลูก” โดยเฉพาะ ทำให้ชาวบ้านที่เคยเขินอายเพราะต้องสวมผ้าถุง แล้วถกให้แพทย์ตรวจ มีความกล้าที่จะก้าวขาเข้ามาใช้บริการกันมากขึ้น เพราะกางเกงที่ช่วยแก้ปัญหาตัวนี้ “สมัยก่อนผู้หญิงเวลาไปขึ้นขาหยั่ง เขาก็ต้องใส่ผ้าถุง และต้องถกขึ้นมาหมด ทำให้ต้องโป๊ และพี่ก็เห็นปัญหาตรงนั้น ในฐานะของผู้หญิงด้วยกัน เรารู้ว่าเราไม่อยากโป๊ ก็เลยทำกางเกงวิเศษขึ้นมา และตอนนั้นเป้า (จำนวนคนที่เข้ามาตรวจโรคมะเร็งปากมดลูก ตามกำหนดของกระทรวง) ของพี่ก็ต่ำมาก ต่ำถึงขนาดนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดต้องตามเรียกตัวพี่ทุกเดือน คนรับผิดชอบพี่ก็เครียด พี่เองก็เครียดไปด้วยเพราะสงสารพี่เขา ก็เลยคิดว่าเราน่าจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างนึง แล้วพี่ก็คิดไปถึงเรื่องกางเกงระหว่างตรวจปากมดลูกขึ้นมา ตัวกางเกงก็เป็นกางเกงธรรมดานี่แหละค่ะ ที่เจาะตรงกลาง แล้วก็มีผ้าเตี่ยวปิดด้านหน้า ซึ่งพอนำมาใช้มันก็ได้ผลจริงๆ เพราะหลังจากนั้นคนก็มาตรวจมะเร็งปากมดลูกกับพี่เยอะขึ้น จนเป้าหมายหรือจำนวนคนที่ตั้งเอาไว้ก็ครบ ทำให้พี่ไม่ต้องถูกเรียกดูผลงานเพราะได้เป้าคนตรวจต่ำเหมือนเดิมอีก พอตรวจพบปุ๊บ เราก็ส่งตัวเขาไปตรวจรักษาต่อที่โรงพยาบาล ทำให้คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น คนอื่นเขาเรียกว่ามันเป็นนวัตกรรมที่เราคิดค้นขึ้นมา แต่พี่เรียกว่ามันเป็น “เครื่องมือพิทักษ์สิทธิสตรี” ในการตรวจมะเร็งปากมดลูก ซึ่งได้จดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว สำหรับพี่แล้ว การจะทำให้เกิดผลได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หลักๆ เลยก็ต้องขึ้นอยู่กับ “วิธีคิดของคนทำงาน” เป็นอย่างแรกเลยที่สำคัญที่สุด ต่อมาก็คือ “มุมมองของคนปฏิบัติที่มีต่อสิ่งที่เขาทำ” คือถ้าเขาบอกว่า เขาทำงานแค่ 8 ชั่วโมงตามเวลาราชการก็พอ คือเข้า 8 โมงเช้า แล้วไปสิ้นสุด 4 โมงเย็น ผลที่ออกมาก็จะได้อีกแบบนึง ในขณะเดียวกันที่เรามองว่า เราไม่ได้เอาตัวเวลามาเป็นตัวกำหนด แต่เรามองไปที่เป้าหมายเป็นหลัก เพราะฉะนั้น ทำยังไงก็ได้ให้มันถึงเป้าหมาย เวลาที่ใช้จะเกินหรือจะกินเวลาชีวิตเราไปเท่าไหร่ เราก็ไม่ได้มานั่งคิดตรงนั้น  หรือแม้แต่เรื่องของวิธีการ ทางกระทรวงไม่ได้มานั่งกำหนดว่า คุณต้องทำตามนี้นะ 1-2-3-4-5 ตามลำดับ คือเขาอาจจะมีการกำหนดคร่าวๆ มาไว้ให้บ้าง แต่พอลงพื้นที่ปฏิบัติจริง คนทำงานต้องตีโจทย์เองให้แตก และคิดวิธีให้ออกเองว่า ฉันจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ยังไง นี่คือวิธีการทำงานของพี่นะคะ พี่จะคิดว่าพี่จะทำยังไงให้ถึงเป้าหมาย ถ้าพี่ได้รับมอบหมายอะไร พี่จะพยายามทำมันอย่างเต็มที่ ถ้าทำวิธีแรกแล้วยังไม่ได้ ก็ต้องลองย้ายไปอีกวิธี หรือถ้าเปลี่ยนวิธีแล้ว ยังทำไม่สำเร็จอีก ก็ค่อยลองไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มมีอคติก่อนที่จะลงมือทำ ก็จะบอกตัวเองตลอดว่า ถ้าไม่ลองทำแล้วจะรู้เหรอว่า มันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น เราต้องลองทำ!!


เผยแพร่: 25 ม.ค. 2562 19:24   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

32
                      กลับมาอีกครั้งกับเทศกาล Japan Lover ที่เหล่าสาวกแดนปลาดิบต้องห้ามพลาด เพราะการกลับมาครั้งนี้ไม่ธรรมดา เมื่อ จียู ครีเอทีฟ โดยบอสใหญ่ ยุพเรศ เอกธุระประคัลภ์ คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดจากประเทศญี่ปุ่นมาเสิร์ฟให้คนไทย และประเทศเพื่อนบ้านได้สนุกสุดเหวี่ยง กิน เที่ยว ชอป และเสพความสุขในสไตล์ญี่ปุ่นแบบไร้ขีดจำกัด ในงาน “Japan Expo Thailand 2019” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 - 27 มกราคม 2562 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เวลา 10.00 - 20.00 น.
                      “Japan Expo Thailand 2019” ครั้งที่ 5 โดย บริษัทจียู ครีเอทีฟ จำกัดผู้จัดงาน All Japan Event ระดับเอเชีย พร้อมด้วยผู้สนับสนุนหลัก บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), ร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ, บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน), บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท เจทีบี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน), บริษัท อิออนธนสินทรัพย์ จำกัด (มหาชน) และ โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นไมนิจิ ผนึกกำลังเพื่อสร้างความสุขความสนุกตลอด 3 วันเต็มแล้วในปีนี้ จียู ครีเอทีฟ เปิดโซนเอาใจผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวสไตล์ญี่ปุ่นโดยเฉพาะ โดยเพิ่มจากปีที่แล้วอีก 1 โซน เพื่อให้ผู้มาร่วมงานได้สนุกและชอปกันอย่างเต็มที่ สำหรับโซนTravel & Prefectureใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวญี่ปุ่น ต้องมาโซนนี้เลย ไม่ว่าคุณจะแพลนเที่ยวแบบลุยเดี่ยว เที่ยวเป็นกลุ่ม หรือกำลังมองหาแพกเกจท่องเที่ยวญี่ปุ่นสุดคุ้ม โปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินสุดเลิศ เช่ารถขับเที่ยวญี่ปุ่น ตั๋ว JR Pass หรือตั๋วเข้าสวนสนุกต่างๆราคาพิเศษในโซนนี้ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้ทุกสิ่งอย่าง
                        KEISEI Electric Railway ตั๋วรถไฟจากสนามบินนาริตะและตั๋วรถไฟราคาพิเศษต่างๆจาก KEISEI Electric Railwayด้าน JTBบริษัททัวร์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ที่จะยกขบวนโปรแกรมทัวร์, ตั๋วเครื่องบิน, JR Pass, โรงแรม-เรียวกัง, ตั๋วเข้าสวนสนุก USJ, Tokyo Disneyland และตั๋วเข้าสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมราคาพิเศษมากมาย ส่วนNippon Rent-a-car(นิปปอน เรนท์ อะ คาร์) บริการรถเช่าที่มีสาขากว่า 800 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่นสามารถเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นแบบสะดวกสบายด้วยรถเช่าโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ และTGการบินไทย จัดหนักจัดเต็ม จองบัตรโดยสารไป-กลับประเทศญี่ปุ่น พร้อมข้อเสนอในราคาพิเศษ สำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสารได้ภายในงาน Japan Expo Thailand2019 แบบรวดเร็วฉับไวและโดนใจสาวกญี่ปุ่น
ส่วนใครที่ชอบร่ายรำแบบญี่ปุ่นล่ะก็ ต้องห้ามพลาดAWA ODORI ในงานนี้มีการเต้นรำ Awa Odori เทศกาลเต้นรำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ในจังหวัดโทะกุชิมะ ที่จะเกิดขึ้นภายในงานที่คุณๆ สามารถมีส่วนร่วมและสนุกไปกิจกรรมเต้นรำ AWA ODORI ในวันเสาร์ 26 - อาทิตย์ 27 มกราคม 2562 ช่วงหกโมงเย็นเป็นต้นไป (ข้อมูล: เทศกาลเต้นรำ AWA จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 - 15 สิงหาคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาล Obon ในจังหวัดโทะกุชิมะจังหวัดชิโกะกุในประเทศญี่ปุ่น Awa Odori เป็นเทศกาลเต้นรำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 1.3 ล้านคนต่อปี) ความสนุกยังไม่หยุดเพียงแค่นี้ ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในงาน Japan Expo Thailand2019 เลยทีเดียว ที่จะได้พบกับกิจกรรมจากวัด Chusonji (ชูซนจิ) ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในจังหวัดIwateและยังเป็นวัดที่ถูกเลือกให้เป็น 1 ในมรดกโลกที่สำคัญแห่งภูมิภาคโทโฮกุ ที่สำคัญยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นของการเที่ยวเมืองฮิราอิซูมิที่ดีที่สุดอีกด้วย!!!ส่วนใครที่ชอบสินค้าเกรดพรีเมี่ยมแล้วล่ะก็ ต้องมาโซนนี้ RYUBO DEPARTMENT ขนสินค้าเกรดพรีเมี่ยมจากเมืองโอกินาวะ มาให้ช้อปกันอย่างจุใจด้านBoothจากเมืองและจังหวัดต่างๆ ของญี่ปุ่น ก็จะมาเปิดบูทให้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมทำกิจกรรมกันอย่างเต็มเหนี่ยว ไม่ว่าจะเป็น Chiba / Okinawa /Tokushima /Yamagata/ Hanamaki/Hot Spring ฯลฯ และที่พลาดไม่ได้!!! พบกับพิธีกรฝีปากกล้ากาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ ที่จะมาร่วมพูดคุยประสบการณ์ในการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในสไตล์Talk Showไปกับ กาลาเเมร์ ที่จะมาประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดต่างๆ ในCentral Japan อาทิ Toyama / Gifu /Nagano สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ขอบอกว่าห้ามพลาด เพราะในงาน “Japan Expo Thailand 2019” เปิดโซนอาหารให้เหล่าสาวกแดนปลาดิบได้อิ่มอร่อยกันอย่างเต็มที่กับ Taste of Japan ตลอด 3 วันเต็ม เปิดให้บริการทั้งโซนด้านนอกและด้านในพบกับร้านอาหารที่ยกทัพบินตรงมาจากประเทศญี่ปุ่นกว่า 30 ร้าน ทั้งของคาวและของหวาน ใครที่ชอบกินแกงกะหรี่ ต้องมาร้านนี้ MARUGAME SEIMEN (มารุกาเมะ เชเมง) พบกับเมนูข้าวแกงกะหรี่ไข่ออนเซน, ข้าวหน้าหมูทอดไข่ข้น, อุด้งทอด และเมนูญี่ปุ่นอีกเพียบ เกี๊ยวซ่าต้นตำรับจากโอซาก้า Osaka Ohsho ซึ่งร้านนี้มีสาขามากกว่า 200 สาขาที่ญี่ปุ่นและมียอดขายเกี๊ยวซ่ามากถึง 2 ล้านชิ้นต่อวันทั่วโลก ปั้นสดต่อวัน แป้งบาง นุ่ม ไส้แน่น ย่างในเตาที่ได้ทั้งความกรอบและความนุ่นในชิ้นเดียวกัน จนได้ชื่อว่าเป็น King of Gyoza พร้อมโปรโมชั่นเด็ด Buy 2 get 1 Free ซื้อเกี๊ยวซ่า 6 ชิ้นราคาปกติ 100 บาท จำนวน 2 กล่อง = 200 บาท รับฟรี เกี๊ยวซ่า 6 ชิ้น ของหวานก็มีซอฟท์ครีมจากร้าน HAKODATE SOFTCREAM ด้วยส่วนผสมจากนมวัวของ ฮอกไกโดเข้มข้น ทำให้ได้ซอฟท์ครีมออกมาหอมหวานนุ่มลิ้นไม่เหมือนใคร ถูกใจคนที่ชอบนม เนื้อหนานุ่มที่พร้อมจะละลายในปาก...และที่พิเศษไปกว่านั้น ยังมีบูท MARUKOME อิ่มอร่อยง่ายๆ ได้สุขภาพกับ มารุโคเมะมิโซะซุปญี่ปุ่นแท้ๆ ชวนกันไปกิน ไปเที่ยว และไปชอปกันให้สนุกจุใจในงาน
                      “Japan Expo Thailand 2019” ระหว่างวันที่ 25-27 มกราคม 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ทั้งโซนด้านนอกและด้านใน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ www.japanexpothailand.com, www.gyucreative.com, www.facebook.com/japanexpothailand หรือโทร. 0-2-658-0555 ต่อ 111 Line@ : @Japanexpothailand


เผยแพร่: 21 ม.ค. 2562 13:56   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

33
สำหรับหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้น “ออกกำลังกาย” อย่างไร อันเนื่องมาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง รวมถึงการมีระยะแรกของการออกกำลังกายที่ยังไม่มีความมั่นใจมากนัก เราขอแนะนำด้วยการ “เดิน” ก่อนดีกว่า เพราะการเดินออกกำลังกายนั้นก็สามารถทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงเช่นเดียวกับการออกกำลังกายในลักษณะอื่นด้วยเช่นเดียวกัน

เดินออกกำลังกายอย่างไรให้มีประโยชน์

-เดินให้ได้อย่างน้อยวันละ 10,000 ก้าวในแต่ละครั้งในการเดิน
-ระยะทางเฉลี่ยแบบไม่นับก้าว อยู่ในเฉลี่ย 6-8 กิโลเมตร
-ก่อนเดินต้องมีการอบอุ่นร่างกาย ด้วยการรยืดเส้นยืดสาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ
-ควรสวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ง่าย เดินสะดวก รวมถึงมีรองเท้าที่พอดี ไม่สร้างความเจ็บปวดให้แก่เท้า ถ้าเป็นรองเท้าผ้าใบจะดีมาก
-ขณะเดิน พยายามรักษาความเร็วให้คงที่ ไม่เดินทอดน่อง เดินๆ หยุดๆ หรือเดินเร็วเกินไป ให้สังเกตตรงความเหนื่อยของตัวเอง ให้อยู่ในอาการหอบเบาๆ มีเหงื่อซึม แต่ยังหายใจทัน และพูดได้
-เลือกทางเดินที่ระดับของพื้นค่อนข้างเรียบเสมอกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการสะดุดล้ม
-ถ้ามีเหตุผิดปกติระหว่างเดิน เช่น หน้ามืด ตาลาย หัวใจเต้นแรงเกินไป ควรหยุดแล้วรีบนั่งพักทันที แต่ถ้าไม่คดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย

ประโยชน์ที่ได้รับ

-เพิ่มความกระฉับกระเฉงให้แก่กระดูกและข้อ
-ช่วยให้การทำงานของหัวใจและปอดดีขึ้น
-ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ โดยเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บได้น้อยที่สุด
-ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีชึ้น
-ช่วยเผาผลาญพลังงาน และไขมันส่วนเกินได้ดี

ข้อควรระวังในการเดินออกกำลังกาย

ในการเดินออกกำลังกายนั้น ควรเลือกสถานที่เดินออกกำลังกายที่ปลอดภัย ไม่อยู่ใกล้ถนนที่มีรถราขวักไขว่ มีจักรยานหรือมอเตอร์ไซค์วิ่งบ่อยๆ รวมถึงปรับระดับความเร็วในการวิ่งให้พอดีกับร่างกายของตัวเอง ไม่เหนื่อยหอบมากจนเกินไป และที่สำคัญควรเดินออกกำลังกายเมื่อร่างกายอยู่ในสภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีเท่านั้น


เผยแพร่: 20 ม.ค. 2562 21:16   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

34
เชื่อว่าหลายๆ บ้านนั้น มักจะนำน้ำที่แช่เห็ดหอมมาเป็นเครื่องปรุงในการทำอาหารด้วย เพราะเชื่อว่าจะเพิ่มความอร่อยให้กับอาหาร และเข้าถึงเนื้อมากขึ้น แต่ทราบหรือไม่ว่า การกระทำดังกล่าว อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพทางอ้อมได้ เพราะในเห็ดหอมแห้งนั้นมีสารอันตรายมากกว่าที่คิด

อันตรายในเห็ดหอมแห้ง
เห็ดหอมที่มีวางขายทั่วไปนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะผ่านกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้เห็ดหอมแห้งอยู่นานมากขึ้น โดยนำไปชุบสารต่างๆ เช่น กรดเกลือ กำมะถัน โดยอาจจะมาจากน้ำปุ๋ยที่ใช้เพาะเลี้ยงเห็ดด้วยอีกทางหนึ่ง สุดท้าย แม้ว่าจะได้เห็ดหอมที่น่ากิน แต่อาจจะแฝงด้วยสารคาร์บอนไดซัลไฟด์ ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเส้นใยเรยอน แผ่นพลาสติกเซโลเฟน ผลิตภัณฑ์ยางพารา แต่ก็มีในภาคอุตสาหกรรมที่อาจลักลอบนำมากำจัดแมลง ซึ่งสังเกตง่ายๆว่า สามารถเก็บได้นานโดยที่แมลงไม่รบกวนเลย

อันตรายของสารคาร์บอนไดซัลไฟ
ถ้าเราได้รับสารดังกล่าวในร่างกาย ในส่วนที่สัมผัสถูกสารนี้อาจมีความระคายเคือง นอกจากนี้อาจมีการรบกวนของระบบประสาท เช่น ทำให้เกิดความตื่นตัวมากเกินไป มึนเมา กระสับกระส่าย แต่ถ้ามีการสะสมทีละนิดละน้อยเป็นเวลานาน อาจทำให้เป็นพิษเรื้อรัง เจ็บหน้าอก ปวดกล้ามเนื้อ สายตาพร่ามัว ความจำเสื่อม แต่ถ้ารับมากเกินไป อาจจะส่งผลต่อชีวิตได้เช่นกัน
เพื่อป้องกันการลดสารตกค้างจากเห็ดหอม ฉะนั้นไม่ควรนำน้ำแช่เห็ดหอมมาประกอบอาหาร นอกจากนี้การเลือกทานเห็ดหอมจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ หรือเลี่ยงไปทานเห็ดหอมสด แทนเห็ดหอมแห้ง ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมต่อสุขภาพ


เผยแพร่: 20 ม.ค. 2562 21:16   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

35
“หม่อน” แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ เลยก็คือ หม่อนที่ปลูกเพื่อรับประทานผล หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “มัลเบอร์รี” หม่อนชนิดนี้ผลจะโตเป็นช่อ เมื่อสุกผลจะเป็นสีดำ มีรสเปรี้ยวอมหวาน นิยมนำมารับประทานสด หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น แยมหม่อน ไอศกรีมหม่อน หม่อนแช่อิ่ม หม่อนอบแห้ง น้ำหม่อน ฯลฯ ส่วนอีกชนิดนั้นก็คือ หม่อนที่ใช้ปลูกเพื่อการเลี้ยงไหมเป็นหลัก หม่อนชนิดนี้จะมีใบใหญ่ และออกใบมากใช้เป็นอาหารของไหมได้ดี ส่วนผลจะออกเป็นช่อเล็ก เมื่อสุกแล้วจะมีรสเปรี้ยว ใช้รับประทานได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่
โดยหม่อนชนิดรับประทานผลนั้น อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิดที่ล้วนแล้วแต่ดีต่อร่างกาย
สรรพคุณของ “ผลหม่อน” หรือ “มัลเบอร์รี่” ต่อสุขภาพ
1. ช่วยบำรุงหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ เพราะมีสารประกอบจำพวกฟลาโวนอยด์ (Flavonoid)
2. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการใช้เปลือกรากประมาณ 90-120 กรัม นำมาทุบให้แหลก แล้วนำมาต้มกับน้ำดื่มเช้าและเย็น หรือจะใช้ใบนำมาทำเป็นชาเขียวใช้ชงกับน้ำดื่มก็ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน
3. ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากในมัลเบอร์รีมีสารที่ชื่อว่า เรสเวอราทรอล (Resveratrol) มีคุณสมบัติควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ให้สูงเกินไป อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดได้อีกด้วย
4. ผลเป็นยาเย็นที่ออกฤทธิ์ต่อตับและไต มีสรรพคุณช่วยบำรุงตับและไต รวมไปถึงรักษาตับและไตพร่อง
5. เพิ่มภูมิคุ้มกัน และป้องกันมะเร็ง เนื่องจากมีมีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างสารแอนโทไซยานิน (Anthyocyanin)
6. ช่วยดับร้อน บรรเทาอาการกระหายน้ำ และทำให้ร่างกายชุ่มชื่น
7. บำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็นเนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินเอ
8. ช่วยแก้อาการท้องผูก เพราะมีปริมาณไฟเบอร์สูง
9.ช่วยผ่อนคลายความเครียด เพราะมีรสหวานและเย็น
10. ช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้มีธาตุเหล็ก อีกทั้งยังมีส่วนป้องกันและยับยั้งการเกิดลิ่มเลือด ป้องกันเส้นเลือดแตกด้วย
11. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ช่วยบำรุงผิวพรรณ และลดการอักเสบของสิว
12. อุดมไปด้วยกรดโฟลิก ที่มีส่วนช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์

เผยแพร่: 15 ม.ค. 2562 18:49   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

36
สปสช.ร่วมกับสภาการพยาบาลลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นบริการตามมาตรา 18 (13) ในประเด็นเกี่ยวกับนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินและระบบปฐมภูมิที่เชื่อมโยงกับคลินิกหมอครอบครัว ด้านนายกสภาการพยาบาลกระตุ้นผู้ปฏิบัติงานบอกเล่าสภาพปัญหาหน้างานเพื่อจะได้หาแนวทางแก้ไข ส่วนเวทีต่อไปเตรียมลงพื้นที่ จ.นครปฐม 11-12 ก.พ. 2562 นี้
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับ สภาการพยาบาล จัดเวทีสื่อสารข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นผู้ให้บริการตามมาตรา 18 (13) ปีงบประมาณ 2562 ระหว่างวันที่ วันที่ 21-22 ม.ค. 2562 ที่ จ.บุรีรัมย์ โดยมีพยาบาลวิชาชีพจากโรงพยาบาลต่างๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นประมาณ 275 คน
นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่าตามที่รัฐบาลมีนโยบายใหม่คือนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ (UCEP) และระบบบริการปฐมภูมิที่เชื่อมโยงกลไกคลินิกหมอครอบครัว (PCC) ทำให้มีผลกระทบและมีปัญหาที่เป็นข้อจำกัดต่อการปฏิบัติงานในพื้นที่เกี่ยวกับระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือปัญหาขัดข้องอื่นๆ อาทิ ด้านการคุ้มครองสิทธิผู้ให้บริการตามมาตรา 18 (4) และผู้รับบริการตามมาตรา 41, การบริการผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินตามนโยบาย UCEP และการบริการผู้ป่วยด้านสูติกรรม และการสนับสนุนระบบปฐมภูมิที่เชื่อมโยงกับคลินิกหมอครอบครัว
ด้วยเหตุนี้ สปสช.จึงร่วมกับสภาการพยาบาล จัดรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 18 (13) ขึ้น เพื่อรับฟังข้อมูลในบริบทของพื้นที่อย่างแท้จริงตลอดจนสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมกับองค์กรวิชาชีพพยาบาลในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ดีมากยิ่งขึ้น
ด้าน รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง นายกสภาการพยาบาล กล่าวว่า จากการสังเกตเวทีรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมาหลายครั้ง พบว่าในส่วนของผู้รับบริการมีความพึงพอใจที่ได้รับหลักประกันสุขภาพ แต่ภาพของผู้ให้บริการยังภาพไม่ชัด ตนจึงให้ความเห็นว่าจะสามารถรับฟังความคิดเห็นของผู้รับบริการแยกต่างหากได้หรือไม่ เพราะเรื่องบางเรื่อง สปสช.ไม่ได้กำหนดหัวข้อในการรับฟังแต่ฝั่งผู้ให้บริการอยากบอกเล่า และการรับฟังจากคนที่อยู่หน้างานจริงๆจะได้ประโยชน์มากขึ้น ขณะที่พยาบาลเป็นบุคลากรที่อยู่หน้างาน น่าจะเป็นผู้ที่บอกเล่าในรายละเอียดได้อย่างมาก ควรจะได้รับฟังจากคนกลุ่มนี้ ทาง สปสช.ได้ตอบรับและจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งเพื่อจัดรับฟังความคิดเห็นเฉพาะของพยาบาล โดยเริ่มเป็นครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาที่ กทม. และปีที่ผ่านมาได้จัดอีก 2 ครั้ง ที่ จ.น่าน และ จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนการประชุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 และจะจัดอีกครั้งที่ จ.นครปฐม ในวันที่ 11-12 ก.พ. 2562 ที่จะถึงนี้
สำหรับหัวข้อการรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้คือเรื่องอุบัติเหตุฉุกเฉินและระบบบริการปฐมภูมิซึ่งเป็นนิวเคลียสของการบริการทุกระดับ ถือเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นและมีประเด็นปัญหาติดขัดในหลายเรื่องซึ่งหากไม่มารับฟังความคิดเห็นจากผู้ปฏิบัติก็คงไม่มีใครได้ยิน หรือได้ยินก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข การจัดให้มีโอกาสเช่นนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ผู้เข้าร่วมประชุมคือคนสำคัญที่จะบอกว่ามีประเด็นอะไรเกิดขึ้นเพื่อจะได้เห็นปัญหาและแนวทางแก้ไข
"ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นสิ่งที่ควรหวงแหน เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน แต่จะทำอย่างไรถึงจะให้ได้ระบบที่ดีที่สุด ยั่งยืนที่สุด ผู้ให้บริการทุกคนได้รับการดูแล ขณะที่ผู้ปฏิบัติก็ต้องมีความสุขด้วย เชื่อว่าน้องพยาบาลทุกคนก็รักระบบหลักประกันสุขภาพและเห็นด้วยว่าเกิดประโยชน์ที่แท้จริงกับประชาชน เพียงแต่จะทำให้ดีกับทุกฝ่ายทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราจะคุยกันในช่วง 2 วันนี้ และสภาการพยาบาลจะสรุปข้อมูลจากการประชุมครั้งนี้ไปผนวกรวมกับข้อมูลที่ได้รับฟังความคิดเห็นครั้งก่อนๆ เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายต่อไป" นายกสภาการพยาบาล กล่าว

เผยแพร่วันที่ : Mon, 2019-01-21 21:23 เผยแพร่โดย : hfocus

37
กระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลที่มีศักยภาพและความพร้อมเปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการ ประชาชนไม่ต้องลางานไปพบแพทย์ เพิ่มทางเลือกการเข้าถึงบริการหลังเลิกงานทุกสิทธิ์ จ่ายเฉพาะส่วนต่าง ลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอยพบแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเวลาราชการ รพ.สังกัด สป.สธ.เปิดแล้ว 15 แห่ง และเตรียมเปิดใน ก.พ.อีก 4 แห่ง ขณะที่สังกัดกรมสุขภาพจิตและกรมการแพทย์อีก 15 ทยอยเปิดในเดือน ม.ค.-ก.พ.62
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของโรงพยาบาลลำปาง ว่า เขตสุขภาพที่ 1 ได้แก่ โรงพยาบาลลำปาง โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่ และโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้เปิดบริการคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการสำหรับประชาชนที่ต้องทำงานในเวลาราชการ อาทิ ข้าราชการ ผู้มีสิทธิประกันสังคมหรือหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ต้องลางานไปพบแพทย์ สามารถเลือกตรวจรักษากับแพทย์เฉพาะทางที่ต้องการ ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่ให้โรงพยาบาลที่มีศักยภาพและมีความพร้อม จัดบริการเพื่อเพิ่มทางเลือกการเข้าถึงบริการหลังเลิกงานทุกสิทธิ์ ลดความแออัดและระยะเวลารอคอยพบแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยจ่ายเพิ่มเฉพาะส่วนต่างตามสิทธิ
เนื่องจากโรงพยาบาลภาครัฐมีผู้รับบริการเพิ่มสูงขึ้น การรอคอยคิวผ่าตัดหรือการตรวจพิเศษต่าง ๆ ในเวลาราชการมีระยะเวลานาน ดังนั้นการเปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการ นอกจากจะช่วยให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็วขึ้น ยังเป็นการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่โรงพยาบาลมีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความมั่นคงด้านการเงินการคลังให้กับหน่วยบริการภาครัฐได้อีกด้วย
นพ.ปิยะสกล กล่าวต่อว่า ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกระเบียบกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2561 และประกาศที่เกี่ยวข้อง 4 ฉบับ โดยกำหนดนโยบายการจัดบริการคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการ อัตราค่าบริการ อัตราค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการจัดบริการ เพื่อให้โรงพยาบาลดำเนินการได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ เป็นแนวทางเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งประชาชนสามารถเลือกรับบริการจากแพทย์เฉพาะทาง เบิกได้ตามสิทธิ และจ่ายส่วนต่างตามประกาศฯ ของกระทรวงสาธารณสุข ข้อมูล ณ วันที่ 11 มกราคม 2562 โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปเปิดบริการแล้ว 15 แห่ง จะเปิดในเดือนกุมภาพันธ์อีก 4 แห่ง กรมสุขภาพจิตเปิดที่โรงพยาบาลศรีธัญญา 1 แห่ง และโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์อีก 14 แห่งจะทยอยเปิดบริการในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2562 ทั้งนี้ โรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่หากมีแพทย์เฉพาะทางและมีความพร้อม ก็สามารถเปิดให้บริการได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
“ในการเปิดบริการคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการ ทุกโรงพยาบาลจะมีการทำประชาพิจารณ์จากประชาชนและเจ้าหน้าที่ ผลการสำรวจความคิดเห็นในโรงพยาบาลนำร่อง 7 แห่งในปี 2561 ได้แก่ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โรงพยาบาลอุดรธานี โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โรงพยาบาลสกลนคร โรงพยาบาลนครปฐม โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา พบว่าประชาชนและเจ้าหน้าที่เห็นด้วยกับการเปิดบริการกว่าร้อยละ 95 ส่วนในปีงบประมาณ 2562 โรงพยาบาลที่ได้รับอนุมัติให้เปิดบริการทุกแห่งได้จัดทำประชาพิจารณ์แล้ว โดยประชาชนเห็นด้วยกว่าร้อยละ 98 (บางแห่งร้อยละ 100) และเจ้าหน้าที่เห็นด้วยกว่าร้อยละ 95” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

วันที่เผยแพร่: Sun, 2019-01-20 16:59 เผยแพร่โดย: hfocus

38
เดินหน้าตรวจเยี่ยมสร้างขวัญกำลังใจคนทำงานเลิกบุหรี่ทั่วประเทศ ผู้ปฏิบัติงาน โครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทยเทิดไท้องค์ราชัน ปีที่ 3
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลนิธิเครือข่ายหมออนามัย ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กำหนดประชุมตรวจเยี่ยมติดตามสร้างกำลังใจผู้ปฏิบัติงาน โครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทยเทิดไท้องค์ราชัน ปีที่ 3 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดเป็นข้อตกลงการปฏิบัติราชการของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข (Performance Agreement) หรือ PA ประจำปีงบประมาณ 2562 โดยจะมีผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในการประชุมทุกภาค เพื่อมอบนโยบายการดำเนินงาน สร้างขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนรับทราบปัญหา อุปสรรคและแนวแก้ไข ให้การขับเคลื่อนโครงการเป็นไปอย่างราบรื่นและใกล้เคียงเป้าหมายมากที่สุด ทั้งนี้มีเป้าหมายเชิญชวน ชักชวนให้คนเลิกบุหรี่ ให้ได้ 3 ล้านคนในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนพฤษภาคม 2562 นี้
สำหรับการประชุมตรวจเยี่ยมติดตามกำลังใจผู้ปฏิบัติงาน รายเขต 4 ภาคใน 12 เขตสุขภาพ มีรายละเอียดดังนี้
ครั้งที่ 1 เขตสุขภาพ 7-8 วันที่ 17 มกราคม 2562 ณ จังหวัดขอนแก่น
ครั้งที่ 2 เขตสุขภาพ 9-10 วันที่ 24 มกราคม 2562 ณ จังหวัดบุรีรัมย์
ครั้งที่ 3 เขตสุขภาพ 4-6 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 ณ จังหวัดนนทบุรี
ครั้งที่ 4 เขตสุขภาพ 11-12 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ครั้งที่ 5 เขตสุขภาพ 1 วันที่ 14 มีนาคม 2562 ณ จังหวัดเชียงใหม่
ครั้งที่ 6 เขตสุขภาพ 2-3 วันที่ 21 มีนาคม 2562 ณ จังหวัดพิษณุโลก


Fri, 2019-01-04 22:21 เผยแพร่: hfocus

39
สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ แนะ 5 พฤติกรรมดี 4 พฤติกรรมร้าย ใส่ใจสมอง เพื่อสุขภาพที่ดีและพัฒนาการของสมอง ซึ่งหลายคนอาจละเลยการดูแลสุขภาพสมองของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า สมองถือเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย โดยมีหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหว การหายใจ เป็นต้น โดยควบคุมและสั่งการร่างกายให้ทำงานตามความคิด เพื่อให้มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุข โดยสมองมีการทำงานตลอดเวลา ดังนั้นการใส่ใจพฤติกรรมที่ควรปฏิบัติเพื่อให้สมองทำงานได้ดี จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญเพื่อสุขภาพที่ดีของสมอง และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมร้ายๆ ที่อาจทำลายสมอง
พญ.ไพรัตน์ แสงดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า สมองยังมีความเกี่ยงข้องกับอารมณ์ การเรียนรู้ ทั้งนี้มนุษย์จึงควรหันมาใส่ใจพฤติกรรมพัฒนาสมอง โดยมี 5 พฤติกรรมดีดังนี้ กินดี คือรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ลดอาหารบางจำพวกโดยเฉพาะอาหารทีมีน้ำตาลสูง ซึ่งจะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมอง ออกกำลังกายดี การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายโดยรวมและหลอดเลือดแข็งแรง ไม่มีภาวะน้ำหนักเกิน นอนหลับพักผ่อนดี การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายมีเวลาพักเพื่อซ่อมแซมตัวเอง ดังนั้นควรมีเวลาพักผ่อนนอนหลับอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง คิดดี การฝึกคิด ฝึกลงมือทำ จะช่วยให้สมองเกิดการเรียนรู้ และพัฒนากระบวนการคิดให้รวดเร็วขึ้น สนทนาดี การฝึกสนทนาพูดคุยกับคนอื่นๆ เป็นประจำ สม่ำเสมอ จะช่วยให้สมองได้มีการฝึกฝนแก้ปัญหา ส่วนคนที่เก็บตัว ไม่พบปะผู้คน พบว่าสมองมีกระบวนการทำงานในการแก้ปัญหาที่ช้าลง
และควรหลีกเลี่ยง 4 พฤติกรรมร้ายทำลายสมอง ได้แก่ ความเครียด เป็นผลร้ายต่อสภาพจิตใจ และส่งผลกระทบต่อสมองทำให้เสียสมาธิ หรือบางคนนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า สิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะ การอยู่ในอากาศที่ดีจะทำให้สมองได้รับออกซิเจนเพียงพอ สูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำนอกจากทำให้เป็นมะเร็งปอดแล้ว ยังทำให้ร่างกายและสมองได้รับออกซิเจนลดลง และเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคสมองหลายโรค โรคหลอดเลือด ดังนั้น หากพบว่าตนเองมีโรคประจำตัว ควรรักษาแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลเสีย เพราะการรักษาเมื่อเกิดการทำลายของสมองแล้วจะไม่สามารถทำให้สมองกลับมาทำงานได้สมบรูณ์ตามปกติ และจิตใจจะทำงานผิดปกติไปด้วย

Fri, 2019-01-18 23:17 เผยแพ่: hfocus

40
4 องค์กรหมออนามัย จับมือ กระทรวงสาธารณสุข ติดตามผลงานชวนคนเลิกสูบบุหรี่ปีที่ 3 ประเดิมภาคอีสาน เขต 7 และเขต 8 สร้างขวัญกำลังใจคนทำงาน ร่วมผลักดันโครงการสู่เป้าหมาย เลิกบุหรี่ให้ได้ 3 ล้านคนในปี 2562
เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 ในการประชุมเชิงปฏิบัติการติดตามสนับสนุนการดำเนินการและพัฒนาศักยภาพเครือข่าย ตามโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน ปีที่ 3 นพ.อิทธิพล สูงแข็ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขต 7 ได้เป็นประธานการประชุม มี นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การประชุม ร่วมด้วยนายมงคล เงินแจ้ง นายกสมาคมหมออนามัย และนายธาดา วรรธนปิยกุล ประธานมูลนิธิเครือข่ายหมออนามัยร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย เพื่อมอบนโยบายการดำเนินงาน สร้างขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนรับทราบปัญหา อุปสรรคและแนวทางแก้ไข ให้การขับเคลื่อนโครงการเป็นไปอย่างราบรื่นและใกล้เคียงเป้าหมายมากที่สุด
ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย แกนนำสาธารณสุขอำเภอ และผู้รับผิดชอบงานควบคุมการบริโภคยาสูบระดับจังหวัด กว่า 50 คน ณ โรงแรมพิมาน การ์เด้น บูติค โฮเต็ล จ.ขอนแก่น
นพ.อิทธิพล สูงแข็ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขต 7 กล่าวว่า ขอชื่นชมกับการขับเคลื่อนโครงการ 3 ล้าน 3 ปี ที่ผ่านมาตลอด 2 ปี จนทำให้ผู้บริหารระดับสูงเห็นความสำคัญและผลักดันให้เป็นนโยบายการพัฒนาสาธารณสุขที่สำคัญ กำหนดเป็นข้อตกลงการปฏิบัติราชการของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข (Performance Agreement) หรือ PA ประจำปีงบประมาณ 2562 ซึ่งเป็นความท้าทายและกล้าหาญในการทำเรื่องลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพที่สำคัญ ซึ่งการแก้ไขปัญหาเพื่อลดจำนวนการสูบบุหรี่ควรมีจุดสำคัญที่ต้องตระหนักนำไปผลักดันให้เกิดการปฏิบัติ คือ
1) การสร้างฐานข้อมูลผู้สูบบุหรี่และองค์ความรู้การเลิกสูบบุหรี่เพื่อถ่ายทอดให้กับประชาชน
2) รณรงค์การเลิกสูบบุหรี่ร่วมกับการรณรงค์ทางสุขภาพในโรคที่เป็นปัญหาสำคัญโดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม
3) การค้นหาบุคคลและพื้นที่ต้นแบบที่เป็นสื่อในการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจ
4) สร้างมาตรการทางสังคมเพื่อควบคุมพฤติกรรมการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ
และ 5) การเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้สมัครใจเลิกบุหรี่ เช่น การจัดคลินิกเลิกบุหรี่ โดยเฉพาะการมี อสม.เป็นผู้กระตุ้นเสริมสร้างกำลังใจจะช่วยเพิ่มอัตราการเลิกเลิกสูบบุหรี่ได้เพิ่มมากขึ้น
“ความคาดหวังตอนนี้คือ ทำให้ดีที่สุด และเร่งรัดช่วยเหลือทุกอย่าง เพื่อทำให้การขับเคลื่อนโครงการไปสู่ความสำเร็จ โดยเฉพาะ อสม. เป็นกลไกสำคัญเพราะใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด อยากให้ อสม.ใช้ความใกล้ชิด ความคุ้นเคย ความเป็นพี่น้อง ชักชวนและให้ความรู้นำไปสู่การเลิกบุหรี่เพราะบุหรี่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำร้ายคนที่รัก คนในครอบครัว สุดท้ายส่งผลเสียต่อประเทศชาติ และแม้ว่าการทำงานใกล้ครบระยะเวลาที่กำหนดแล้วก็ตาม แต่การรณรงค์เลิกบุหรี่ก็จะยังคงทำต่อและตั้งเปาหมายต่อไป เพื่อทำให้ประเทศไทยปลอดบุหรี่ให้ได้”
นายมงคล เงินแจ้ง นายกสมาคมหมออนามัย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ สมาคมหมออนามัย มูลนิธิเครือข่ายหมออนามัย สมาคมวิชาชีพสาธารณสุข และชมรมสาธารณสุขแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและ สสส.ขับเคลื่อน โครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชันย์ ปีที่ 3 เพื่อประชุมติดตามการทำงาน รับทราบปัญหาอุปสรรค และแนวทางการสนับสนุนเพื่อให้คนเลิกสูบบุหรี่ ได้อย่างน้อย 3 ล้านคน ภายใน 3 ปี โดยเริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2560 และ 2561 โดยจะครบปีที่ 3 ในปี 2562 นี้
นายธาดา วรรธนปิยกุล ประธานมูลนิธิเครือข่ายหมออนามัย กล่าวว่า การลงพื้นที่เยี่ยมติดตามสนับสนุนการดำเนินงานและพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย การขับเคลื่อนโครงการฯ เป็นการมาร่วมกันเสริมพลังครั้งยิ่งใหญ่ เป็นการร่วมทำความดีให้แผ่นดิน ร่วมช่วยให้คนไทยทั่วประเทศเลิกสูบบุหรี่ มีสุขภาพที่ดีทั้งนี้ ผลการดำเนินโครงการในปีที่ 1 และ ปีที่ 2 สามารถชักชวนคนเข้าร่วมโครงการสมัครใจเลิกบุหรี่ 1.4 ล้านคน โดยมีคนสามารถเลิกสูบบุหรี่ได้เกิน 6 เดือน กว่า 2.2 แสนคน

Fri, 2019-01-18 22:44 -- hfocus

41
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจพร้อมมอบบัตร Smart card อสม.ให้ชมรม อสม.ลำปาง เผย อสม.ลำปางมีการใช้งานแอปพลิเคชัน “Smart อสม.” มากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ
เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2562 ที่ศูนย์แสดงสินค้าเซรามิกและหัตถอุตสาหกรรม อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมติดตามการพัฒนาศักยภาพ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ให้กำลังใจการทำงานและมอบบัตร Smart card ให้แก่ชมรม อสม.จังหวัดลำปางทั้ง 13 อำเภอ ว่า รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาคุณภาพระบบบริการปฐมภูมิ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและได้รับบริการที่มีคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ ลดความแออัดในโรงพยาบาล โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเปราะบาง การสร้างความเข็มแข็งของชุมชน เน้นการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาตามบริบทของพื้นที่ โดยใช้กลไกขับเคลื่อนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) คลินิกหมอครอบครัว และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ผ่านเกณฑ์คุณภาพเป็น รพ.สต.ติดดาว
พลเอกฉัตรชัย กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดพัฒนา อสม. 4.0 เพื่อรองรับกับบริบทปัญหาที่เปลี่ยนแปลง ตอบสนองนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล โดยให้ อสม.มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Skill) ทํางานผ่านแอปพลิเคชัน ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านสุขภาพให้ประชาชน มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) การปฐมพยาบาลเบื้องต้น มีจิตอาสาและเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ และความมีจิตอาสา ส่งผลต่อการทํางานสาธารณสุขเชิงรุกให้มีประสิทธิภาพที่สอดคล้องกับเป้าหมาย ของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยจังหวัดลำปางมี อสม.ทั้งสิ้น 18,847 คน และมีการใช้งานแอปพลิเคชัน “Smart อสม.” มากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ
“บัตร Smart card ที่มอบให้ในวันนี้ เพื่อให้เป็นบัตรประจำตัว อสม. มีฐานข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง เป็นทั้งบัตร ATM และบัตรชำระค่าบริการในร้านที่รองรับบัตร ช่วยให้ อสม.มีความสะดวก คล่องตัวมากขึ้น เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ที่มีจิตอาสาในการช่วยเหลือดูแลด้านสุขภาพแก่ประชาชนในพื้นที่” พลเอกฉัตรชัย กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ให้เป็น รพ.สต.ติดดาว เป็นนโยบายสําคัญภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ด้านสาธารณสุข เพื่อยกระดับหน่วยบริการระดับปฐมภูมิให้ได้มาตรฐาน ประกอบด้วย 5 ดี ได้แก่ การบริหารดี ประสานงานดี ภาคีมีส่วนร่วม บุคลากรดี บริการดี และประชาชนมีสุขภาพดี โดยจังหวัดลำปางมี รพ.สต.ทั้งหมด 141 แห่ง ได้ดำเนินการพัฒนาโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายแบบบูรณาการในระดับอำเภอได้แต่งตั้งทีมพี่เลี้ยงสนับสนุนและพัฒนาคุณภาพรพ.สต.ครบทั้ง 13 อำเภอ ทำหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาตามส่วนขาดของ รพ.สต. จากการประเมินตั้งแต่ปี 2560-2561 มี รพ.สต.ผ่านเกณฑ์ ระดับ 5 ดาว จำนวน 44 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 31.20 สูงกว่าเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุขที่ตั้งไว้ร้อยละ 25 ตั้งเป้าหมายพัฒนา รพ.สต.ทุกแห่งให้ผ่านเกณฑ์ รพ.สต.ติดดาว ระดับ 5 ดาว ภายในปี 2563

Fri, 2019-01-18 22:59 -- hfocus

42
กระทรวงสาธารณสุข ระดมจักษุแพทย์ เครื่องมือแพทย์ จากเขตสุขภาพที่ 4 และมูลนิธิ พอ.สว. ผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2562 ที่โรงพยาบาลปทุมธานี จ.ปทุมธานี นพ.สมยศ ศรีจารนัย สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 4 เปิดโครงการผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อส่งเสริมและเพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดการรอคิวผ่าตัด ลดภาวะแทรกซ้อน และลดความพิการ ตลอดจนเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุ
นพ.สมยศ กล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสาขาจักษุ เขตสุขภาพที่ 4 ได้จัดทำโครงการผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตาฯ รองรับผู้ป่วยจากโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งรัฐบาลมอบเป็นของขวัญให้คนไทย และผู้ป่วยอื่นๆที่คัดกรองไว้แล้วจำนวน 109 คน นัดมาทำการผ่าตัดพร้อมกันที่โรงพยาบาลปทุมธานี โดยระดมจักษุแพทย์ พยาบาล เครื่องมือแพทย์ อาทิ กล้องผ่าตัดตา เครื่องสลายต้อกระจก จากโรงพยาบาลอ่างทอง โรงพยาบาลสระบุรี โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า มูลนิธิ พอ.สว. และโรงพยาบาลปทุมธานี ทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการได้อย่างรวดเร็ว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นพ.สมยศ กล่าวต่อว่า โรคต้อกระจก เกิดจากความผิดปกติของเลนส์ตา พบมากในผู้สูงอายุ เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ตาบอดได้ ปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยโรคต้อกระจกประมาณ 1.2 แสนคนรอคอยการผ่าตัด และมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 4 หมื่นคน กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าว ได้กำหนดให้เรื่องตาอยู่ในแผนพัฒนาระบบบริการ (Service Plan) ส่งเสริมและเพิ่มการเข้าถึงบริการให้กับผู้ป่วย ตั้งเป้าลดอัตราความชุกของตาบอดให้ต่ำกว่าร้อยละ 0.5 ตามเกณฑ์องค์การอนามัยโลก ล่าสุดได้จัดทำโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ ที่มีบริการตรวจคัดกรองสุขภาพตา ค้นหาและนำผู้ป่วยเข้าสู่ระบบบริการอีกหนึ่งช่องทาง ประชาชนเข้าถึงบริการและพอใจกับโครงการดังกล่าว

Sun, 2019-01-20 17:06 -- hfocus

43
“อภิสิทธิ์” ยืนยัน ประชาธิปัตย์ไม่มีนโยบายร่วมจ่าย พร้อมเดินหน้าให้สิทธิประชาชนตกหล่น ระบุ ไม่รวมกองทุนสุขภาพ แต่จะเปิดช่องให้ผู้ประกันตนเลือกใช้บัตรทองได้ จ่อใช้ยาแรงโรงพยาบาลเอกชนรีดค่ารักษาพยาบาลแพง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวในเวทีเสวนามองไปข้างหน้า “พรรคการเมืองกับการสร้างหลักประกันสุขภาพเพื่อคนไทยทุกคน” ซึ่งอยู่ภายใต้งานรำลึก 11 ปี นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิมิตรภาพบำบัด เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2562 ตอนหนึ่งว่า ทุกวันนี้มี 2 เรื่องที่ซ้อนกันอยู่ หนึ่งคือระบบหลักประกันสุขภาพ กับอีกหนึ่งคือระบบสุขภาพในภาพรวม ซึ่งขอยืนยันก่อนว่า ปชป.มองเรื่องของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นเรื่องของระบบสวัสดิการ เป็นเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีการพูดถึงเรื่องร่วมจ่าย ณ จุดบริการ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า คำว่าถ้วนหน้านั้น กรณีที่ภาคประชาสังคมแสดงความเป็นห่วงว่ายังมีคนชายขอบหรือผู้มีปัญหาด้านสถานะตกหล่นและไม่ได้รับสิทธิในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) นั้น ปชป.เห็นว่าก็ควรจะให้สิทธิกับประชาชนเหล่านั้น
“ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ไปเส้นทางนั้น ขอยืนยันว่าเรามองเรื่องนี้เป็นเรื่องของรัฐสวัสดิการ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่ ปชป.มองว่าเป็นความท้าทายในอนาคตนั้น 1. ปัญหาระบบการเงินการคลัง อยากจะย้ำว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเกิดปัญหาปีแล้วปีเล่า ทำให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กับสำนักงบประมาณ รัฐบาล ต้องต่อรองกัน และตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็พบว่างบประมาณที่ได้รับไม่เป็นไปตามที่ สปสช.คิดว่าควรจะเป็น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงกติกาในการจัดสรรงบประมาณ ส่วนกองทุนอื่นๆ อีก 2 กองทุน คือประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการนั้น ปชป. มองว่ามาตรฐานการรักษา และคุณภาพของยาต้องเท่าเทียมกัน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า สิ่งในประเด็นการรวมกองทุนนั้น ปชป.อาจมีมุมมองที่แตกต่างออกไปบ้าง เช่น ประกันสังคม เรามองว่าผู้ประกันตนต้องเสียเงิน 2 ต่อ คือเสียทั้งภาษีเพื่อมาดูแลระบบ และยังต้องเสียเงินสมทบอีก ดังนั้นสิ่งที่ประชาธิปัตย์อยากนำเสนอก็คือ เราควรเปิดโอกาสให้คนในระบบประกันสังคมตัดสินใจว่าเขาอยากจะอยู่ในระบบนี้หรือไม่ ถ้าเขาไม่อยากเสียเงินสมทบก็ต้องเปิดช่องให้เขาสามารถออกมาอยู่ในระบบบัตรทองได้
สำหรับสวัสดิการข้าราชการนั้น ส่วนตัวคิดว่าผู้ที่ตัดสินใจเข้ามารับราชการได้ตัดสินใจบนเงื่อนไขว่าเขาจะได้รับสิทธินี้ ดังนั้นถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงควรจะเริ่มต้นจากคนที่เข้ารับราชการรายใหม่ และหากมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องไปคิดว่าสิทธิที่เขาพึงจะได้นั้น เมื่อเอาออกมาแล้วจะชดเชยให้เขาอย่างไร
“ถ้าเราคิดว่าจะยกระดับมาตรฐานคุณภาพให้ดีขึ้น ประเด็นของผมคืออย่าไปคิดแต่ว่าจะรวมกองทุน เพราะสิ่งที่ผมเกรงคือหากเรารีบไปสู่การยุบกองทุน ผมไม่แน่ใจว่าถ้าบริหารจัดการกันอยู่อย่างในปัจจุบันแล้ว คุณภาพของคนที่ที่อยู่ในระบบหลักประกันจะดีขึ้น แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่คนเคยได้จากระบบราชการจะเสื่อมถอยลง ประเด็นหลักก็คือต้องหาเงินมาสนับสนุนให้เพียงพอ และระบบสวัสดิการที่มาจากภาษีนั้น เราต้องมาพูดกันด้วยว่าระบบภาษีเป็นธรรมหรือไม่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาลแพงในโรงพยาบาลเอกชน ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องคำนึงถึง เพราะทุกวันนี้กฎหมายอ่อนเกินไป การกำหนดให้เพียงแค่แจ้งค่ารักษาพยาบาลคงไม่เพียงพอ และในอดีตที่ ปชป.เป็นรัฐบาล เราได้เคารพธรรมนูญสุขภาพที่ระบุว่าไม่ให้รัฐบาลไปสนับสนุนธุรกิจด้านทางการรักษาพยาบาลหรือสุขภาพ เพราะนั่นจะเป็นตัวที่จะสร้างความเหลื่อมล้ำและดึงทรัพยากรจากภาครัฐไปจัดบริการ

Fri, 2019-01-18 10:51 -- hfocus

44
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย พร้อมชื่นชมการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบบริการประชาชน สู่การเป็น สมาร์ท ฮอสปิทัล ใช้ระบบเรียกคิวอัตโนมัติ รู้ลำดับคิวตัวเองผ่านสมาร์ทโฟน นัดหมายผู้ป่วยลงทะเบียนตรวจล่วงหน้า จัดส่งยาผู้ป่วยถึงบ้าน จัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยด้วยอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ สะดวกรวดเร็ว ลดการใช้กระดาษ ลดความแออัดและการรอคอยคิว
เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2562 นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ว่า ขอชื่นชมโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ยได้นำเทคโนโลยีมาพัฒนาปรับเปลี่ยนระบบการให้บริการทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็ว และจัดเก็บข้อมูลสุขภาพผู้ป่วย ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ ตามนโยบายพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลในสังกัด ให้เป็น สมาร์ท ฮอสปิทัล (Smart Hospital)
โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ยได้นำเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบทั้ง 4 ด้านคือ Smart Appointment การนัดหมายผู้ป่วยลงทะเบียนตรวจล่วงหน้า, Smart Service ระบบจัดการคิวอัตโนมัติ, Smart Delivery การจ่ายยา จัดส่งยาผู้ป่วยถึงบ้าน, Smart Intermediate Care การเชื่อมโยงข้อมูล แผนการรักษาผู้ป่วย และ Long Term Care เพื่อลดความจำเป็นในการมาโรงพยาบาล รวมถึงการส่งข้อมูลการรักษาอย่างต่อเนื่องไร้รอยต่อ
นพ.ไพศาล กล่าวต่อว่า จากการดำเนินงาน Smart Hospital ของโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ยพบว่า ได้พัฒนาครอบคลุมในทุกด้าน อาทิ มีการโทรนัดตรวจล่วงหน้าในบริการทันตกรรม กายภาพบำบัด แพทย์แผนไทย การจัดการระบบคิวอัตโนมัติ ซึ่งผู้ป่วยสามารถรู้คิวการตรวจโดยการแสกน QR Code ทำให้ผู้ป่วยมีเวลาทำกิจกรรมอื่นได้ก่อน ลดการรอคอย ลดความแออัดหน้าห้องตรวจ การส่งหมอไปตรวจรักษาจ่ายยาผู้ป่วยถึงบ้าน เน้นในกลุ่มผู้ป่วยด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง และการรับผู้ป่วยหลังผ่าตัด จากโรงพยาบาลแม่ข่ายมาดูแล กายภาพบำบัด ฟื้นฟูสภาพก่อนส่งกลับบ้าน
โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green and Clean Hospital) ใช้ระบบโซลาร์เซลล์ประหยัดพลังงานไฟฟ้า เปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED ทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้า ห้องฉุกเฉินใช้ประตูเลื่อนอัตโนมัติร่วมกับเซ็นเซอร์ โดยไม่ต้องใช้มือสัมผัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีน้ำดื่มบรรจุแก้วไว้บริการแก่ประชาชนตามจุดต่างๆ ของโรงพยาบาล จากผลการประเมินความพึงพอใจพบว่าผู้ป่วยมีความพึงพอใจเพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่มีความสุข ทำให้การบริการดีขึ้น

Fri, 2019-01-18 09:07 -- hfocus

45
"สุดารัตน์" นำทีมเพื่อไทย ชู รพ.บ้านแพ้วโมเดล รพ.ออกนอกระบบแห่งเดียวของไทย เดินหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค เฟส 2 ด้วยกระจายอำนาจ รพ.ออกนอกระบบ ตามนโยบายรักษาคุณภาพ ยาดี ไม่ต้องรอคิว สร้างขวัญกำลังใจหมอพยาบาล
เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 ม.ค.62 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยพร้อมด้วย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรคฯ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แกนนำพรรค, นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา แกนนำพรรค, นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค, นายดนุพร ปุณณกันต์ และคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย เปิดตัวว่าที่ผู้ลงสมัคร ส.ส.สมุทรสาคร เขต 3 พ.ต.อ.วิเลข ศรีนิเวศน์ ใน อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร โดยได้เดินทางมาที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว เพื่อพบปะและพูดคุยกับทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลฯ จากนั้นจึงได้ลงพื้นที่บริเวณตลาดริมคลองบ้านแพ้ว
โดยคุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า สำหรับยุทธศาสตร์ที่สำคัญของพรรคเพื่อไทยนั้นก็คือ เรื่องของการให้บริการทางด้านการแพทย์ และการดูแลผู้ป่วยให้ได้รับบริการที่รวดเร็วทันสมัย ตามยุทธศาสตร์ชูโรงที่ว่า “สร้างสุขภาพดีถ้วนหน้า บริการดี ยาดี ไม่ต้องรอคิว” โดยมีการประยุกต์เอาเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาให้บริการทางการแพทย์ ทำให้ประชาชนคนไทยทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างมีคุณภาพทัดเทียมกัน ซึ่งในอดีตสมัยยุคของ นายกฯทักษิณ นั้นเคยทำสำเร็จมาแล้วกับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ส่วนในปัจจุบันพรรคเพื่อไทยจะพาเดินสู่เฟส 2 ก็คือเดินไปสู่การสร้างสุขภาพดีถ้วนหน้า
"เนื่องจากที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแล้วสภาพก็ลุ่มๆ ดอนๆ มาโดยตลอด ฉะนั้นในครั้งนี้เราจึงได้นำเสนอโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในเฟสที่ 2 หรือเรียกว่าเป็นก้าวใหม่ของ 30 บาท ที่จะมุ่งไปสู่การสร้างสุขภาพดีถ้วนหน้า ด้วยการให้บริการที่ดี ยาที่ดี ไม่ต้องรอคิว แล้วก็มุ่งไปสู่การกระจายอำนาจที่จะคืนโรงพยาบาลทั่วประเทศให้กับประชาชน โดยมีโมเดลที่คล้ายๆ กับบ้านแพ้ว" คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
ประธานยุทธศาสตร์ฯ พรรคเพื่อไทย กล่าวด้วยว่า โดยพรรคเพื่อไทยมุ่งมั่นว่าคนไทยต้องมีสุขภาพดี และเชื่อมั่นว่าโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคนั้นไม่ได้เป็นตัวทำให้ระบบการให้บริการทางการแพทย์ล้มละลายเสียหายอย่างที่มีผู้นำทางการเมืองบางคนเคยกล่าวไว้ และพรรคเพื่อไทยยังเชื่อมั่นอีกว่างบประมาณที่นำมาใช้เพื่อการสร้างสุขภาพที่ดีของคนไทยนั้น สำคัญกว่าการซื้อเรือรบแน่นอน
ทั้งนี้วันเดียวกัน คุณหญิงสุดารัตน์โพสต์ facebook คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan ระบุว่า
ก้าวต่อไปของสามสิบบาท สู่การสร้างสุขภาพดีถ้วนหน้า “รักษาคุณภาพ ยาดี ไม่ต้องรอคิว สร้างขวัญกำลังใจหมอพยาบาล” “ชูโรงพยาบาลบ้านแพ้ว เป็นต้นแบบกระจายอำนาจ #คืนโรงพยาบาลให้ประชาชน”

Thu, 2019-01-17 18:36 -- hfocus

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 19