แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - patchanok3166

หน้า: 1 ... 16 17 [18] 19
256
 เปิดใจหนุ่มขับเก๋งสีขาวไม่ยอมหลบรถพยาบาล รับ ไม่ได้เปิดทางเพราะเปิดเพลงเสียงดัง แต่พอมองกระจกเห็น ก็หลบทางให้ พร้อมขอโทษทุกคนและครอบครัวผู้เสียชีวิต

          จากกรณีที่มีคลิปรถเก๋งสีขาวไม่ยอมหลบรถพยาบาล ที่กำลังบรรทุกผู้ป่วยขั้นโคม่า จนผู้ป่วยนั้นเสียชีวิตในภายหลัง (อ่านข่าว สุดทน จ่อเสนอเพิ่มโทษคนขับขวางรถฉุกเฉิน หลังทำคนไข้ดับเพราะคนขับไร้น้ำใจว่อน )

          ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2561 เว็บไซต์ สปริงนิวส์ รายงานว่า แฟนหนุ่มเจ้าของรถคันดังกล่าว ได้ยอมรับผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งว่า ตนเองเป็นคนขับรถในวันนั้น แฟนสาวไม่ได้นั่งมาด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่ได้หลบซ้ายเพื่อเปิดทาง เป็นเพราะเปิดเพลงเสียงดัง ไม่ได้ยินเสียง เมื่อมองกระจกหลังก็หลบซ้ายทันที

ต่อมาตนทราบว่า ผู้บาดเจ็บเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ก็ตกใจและรู้สึกไม่ดี ซึ่งที่พูดออกมาไม่ได้เป็นการรับผิดชอบแทนแฟนสาว สุดท้ายตนอยากจะขอโทษทุกคนและครอบครัวผู้เสียชีวิต

 20 เมษายน 2561  kapook.com

257
เรื่องการลักลอบขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (dietary supplement) ที่มีส่วนผสมของยาแผนปัจจุบัน โดยเฉพาะยาแผนปัจจุบันที่มีการยกเลิกหรือเพิกถอนทะเบียนตำรับยาไปแล้วเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก เพราะการยกเลิกหรือเพิกถอนทะเบียนตำรับยานั้นหมายถึงยานั้นมีสรรพคุณไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่จะได้รับเมื่อมีการใช้ยานั้น การนำมาผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นความเสี่ยงต่อผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ไซบรูทามีน (Sibutramine) เป็นยาที่เคยใช้อยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งในตลาดยา ในฐานะยาที่ใช้ควบคุมน้ำหนัก หากต่อมาพบว่า ยานี้มีผลข้างเคียงที่สำคัญและเป็นอันตรายคือผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เพราะข้อมูลการศึกษาทางคลินิก เพราะข้อมูลการศึกษาทางคลินิก (SCOUT : Sibutramine Cardiovascular OUTcome Trial) ชี้ให้เห็นว่า

ยาดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงต่อกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมองถึงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงน้ำหนักที่ลดลงของผู้ที่ได้รับยานี้กับผู้ที่ได้รับยาหลอกแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ทำให้บริษัทที่ผลิตยานี้เพิกถอนทะเบียนตำรับยาโดยสมัครใจ (เมื่อประมาณปลายปี 2553) จากเวลาดังกล่าวเกือบ 10 ปี ก็ยังมีปัญหาการปลอมปนผลิตภัณฑ์นี้ลงในสูตรผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการลดน้ำหนัก

การปลอมปนยาแผนปัจจุบันมีอยู่อย่างแพร่หลาย ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความมั่นใจและเพื่อให้เกิดผลจากการใช้ยา (ซึ่งปกติผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะไม่สามารถโฆษณาสรรพคุณด้านการรักษาหรือป้องกันโรคได้อยู่แล้ว) เมื่อผู้ใช้ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแล้วได้ผลก็จะเกิดการใช้ซ้ำและบอกกันปากต่อปาก แต่ผลร้ายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการปลอมปนนั้นเป็นความเสี่ยงที่ผู้บริโภคไม่อาจคาดการณ์ได้

ไหนๆ ก็พูดเรื่องทะเบียนยาแล้ว ก็ขออธิบายเสริมความเกี่ยวกับคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในวงการเภสัชสาธารณสุข 2 คำ คือ การเพิกถอนทะเบียนตำรับยา และการยกเลิกทะเบียนตำรับยา หลายครั้งพบว่ามีการใช้คำที่สับสนกันระหว่างการเพิกถอนทะเบียนตำรับยากับการยกเลิกทะเบียนตำรับยา ซึ่งทั้ง 2 คำนี้มีผลทางกฎหมายที่แตกต่างกันดังนี้ (ข้อเขียนอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหมายเลข 2)

1. การเพิกถอนทะเบียนตำรับยา เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง เพิกถอนทะเบียนตำรับยา ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ยาที่ถูกเพิกถอนทะเบียนตำรับยา ไม่สามารถผลิต ขาย หรือนำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรอีกต่อไป

2. การยกเลิกทะเบียนตำรับยา เมื่อทะเบียนตำรับยาถูกยกเลิกแล้ว ผู้รับอนุญาตผลิตยาและผู้รับอนุญาตให้นำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักรห้ามผลิตหรือห้ามนำเข้าอีกต่อไป แต่ยาที่ยกเลิกทะเบียนตำรับยานั้นยังสามารถขายได้ภายใน 6 เดือน สำหรับผู้รับอนุญาตขายยา ซึ่งทั้งผู้รับอนุญาตผลิตยาและผู้รับอนุญาตให้นำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักรก็ยังสามารถขายส่งยาดังกล่าวได้ภายใน 6 เดือนเช่นกัน เนื่องจากถือว่าเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขายส่งสำหรับยาที่ตนผลิตหรือนำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรด้วย แล้วแต่กรณี ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 15 วรรคสอง


18 เม.ย. 2561   โดย: MGR Online

258
เขาว่ากันว่า คนเราขับถ่ายทุกวัน จะดีต่อสุขภาพมากที่สุด แต่คุณเคยสังเกตระบบขับถ่ายของตัวเองกันบ้างหรือเปล่า? ยิ่งถ้าคุณขับถ่ายอุจจาระได้น้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์แล้วล่ะก็.. ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าตัวเองกำลัง “ท้องผูก” อยู่แน่นอน


ท้องผูก หมายถึง การที่ลำไส้ไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้ง่ายและสม่ำเสมอ โดยมีความถี่ของการขับถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ร่วมกับก้อนอุจจาระมีลักษณะแข็ง และยากต่อการขับถ่ายออกมา ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการรับประทานอาหารไม่สม่ำเสมอ และมีปริมาณเส้นใยไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ) ผู้ที่มีภาวะลำไส้แปรปรวน การใช้ยาบางชนิด และการใช้ยาระบายไม่ถูกต้อง

ท้องผูก..ดูแลตัวเองอย่างไรดี?
1. ควรดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย 1.5-2.0 ลิตร/วัน

2. ทานอาหารที่มีปริมาณเส้นใยให้เพียงพอ (20-35 กรัม/วัน)

3. ขยับ ออกกำลังกายเป็นประจำ

4. ฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลา

5. หลีกเลี่ยงการใช้ยาระบายต่อเนื่องยาวนานโดยไม่จำเป็น หรือถ้าหากจำเป็นต้องใช้ยา ก็ควรปรึกษาแพทย์เสียก่อน



06 เม.ย  61   ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

259
“ไส้ติ่งอักเสบ” เป็นอาการที่ไม่มีใครอยากเป็น และหลายคนทราบกันดีว่าเกิดจากอาการอักเสบของไส้ติ่ง ซึ่งเป็นอวัยวะส่วนเล็กๆ ติดกับลำไส้ วันดีคืนดีมีอาการอักเสบขึ้นมา เราก็ปวดท้องจนเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลกันอย่างด่วน และคนที่มีความเสี่ยงต่อไส้ติ่งอักเสบก็มีอายุตั้งแต่ 15-45 ปีเลยด้วยซ้ำ ถือว่าเป็นช่วงอายุที่ยาวพอสมควร

ก่อนจะมาดูว่าเม็ดฝรั่งเป็นตัวการของไส้ติ่งอักเสบหรือไม่ เรามาดูที่สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบกันก่อนดีกว่า

 

สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบ เกิดจากอาการอักเสบที่เกิดขึ้นจากเศษอาหารหลุดเข้าไปหมักหมมอยู่ในไส้ติ่งเป็นเวลานานจนของเหลวหรือสารคัดหลั่งไม่สามารถไหลเวียนเข้าไปได้ตามปกติ จึงเกิดอาการอักเสบ โดยสิ่งที่หลุดลงไปในไส้ติ่งจะเป็นอะไรก็ได้ที่ลำเลียงอยู่ในลำไส้ เช่น เศษอาหาร พยาธิ เนื้องอก หรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้นมีอาการบวมจนทำให้ไส้ติ่งอุดตัน อักเสบ หรือติดเชื้อ


เม็ดฝรั่ง สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ?

เมื่อทราบแล้วว่าอะไรก็ตามที่เข้าไปอุดตันไส้ติ่งจนทำให้อักเสบ ก็เป็นสาเหตุได้ทั้งนั้น ดังนั้นก็ไม่ได้มีเพียงแค่เม็ดฝรั่งเท่านั้นที่เป็นอันตรายต่อการอุดตันของไส้ติ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใดก็มีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ลักษณะของเม็ดฝรั่งมีขนาดและความแข็งพอดีกับการอุดตันของไส้ติ่งเล็กๆ ได้นั่นเอง


อาการของไส้ติ่งอักเสบ

อย่างที่หลายคนทราบกันว่าอาการของไส้ติ่งอักเสบมักมากับอาการปวดท้อง อาจจะไม่ได้ปวดท้องที่ตำแหน่งขวาล่างตั้งแต่แรก อาจจะปวดท้องรอบสะดือก่อน จากนั้น 6-12 ชั่วโมงต่อมาอาจจะเลื่อนมาปวดท้องบริเวณขวาล่าง แต่มีบ้างเช่นกันที่จะปวดบริเวณกลางท้อง หรือท้องส่วนขวาบน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของไส้ติ่งของแต่ละคนว่าอยู่ตรงไหน ยิ่งใครที่ปวดท้องรุนแรงมากทั้งด้านซ้ายขวา อาจมีความเป็นไปได้ว่าไส้ติ่งอาจจะอักเสบรุนแรนจนถึงขั้นเน่า เป็นฝี หรือแตกกระจายทั่วท้องจนเริ่มติดเชื้อ

แต่ก่อนจะปวดท้องจนต้องเข้ารับการผ่าตัดแบบปัจจุบันทันด่วน อาจมีสัญญาณเตือนเบาๆ ที่หลายคนอาจไม่ทราบ เช่น เบื่ออาหาร ทานข้าวไม่ลง คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว และมีไข้ แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าเกี่ยวกับอาการผิดปกติของไส้ติ่ง เลยทำให้ละเลยที่จะเข้าไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล


เพราะฉะนั้น หากใครไม่อยากเสี่ยงต่อไส้ติ่งอักเสบ นอกจากจะต้องทานอาหารโดยเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน หลีกเลี่ยงการทานอาหารแข็งๆ ที่ยากต่อการย่อยของกระเพาะอาหารแล้ว การตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจช่องท้อง และคอยสังเกตอาการ ความผิดปกติของตัวเองอยู่เรื่อยๆ ไม่ละเลยที่จะใส่ใจดูแลตัวเอง ก็ช่วยลดความเสี่ยงไส้ติ่งอักเสบได้เช่นกันค่ะ

09 เม.ย. 61 ข้อมูล :โรงพยาบาลวิภาวดี

260
สถาบันการแพทย์แผนไทย และ ม.รังสิต ตกลงร่วมมือวิจัยและพัฒนาตำรับยาไทยที่เข้ากัญชา ให้เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้โรงพยาบาลแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เป็นหนึ่งในศูนย์วิจัยทดลอง ทั้งในรูปแบบตำรับยาไทย สารสกัดในรูปแบบสเปรย์พ่น ควบคู่กับบูรณาการองค์ความรู้หลายด้าน



เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2561 เวลา 15.00 น. - 18.00 น. ที่ห้องประชุม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้มีการประชุมกัน 3 ฝ่ายระหว่างผู้แทนสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ สถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เรื่องความร่วมมือการวิจัยกัญชาในมนุษย์ตามตำรับยาแพทย์แผนไทย โดยในเบื้องต้นผลการประชุมสรุป มีดังนี้



1. ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันและยินดีที่จะร่วมมือกันในทางวิชาการเพื่อพัฒนาและวิจัยตำรับยาไทยที่เข้ากัญชา โดยมีความเห็นว่าจะต้องอาศัยความรู้ทางเภสัชศาสตร์ในด้านสมุนไพรยุคใหม่ เพื่อมาอธิบาย พัฒนา และผลิตตำรับยาไทยให้เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ควบคู่กับการรักษาแก่นแท้และรากฐานภูมิปัญญาไทยตามวัตถุประสงค์ในการรักษาของตำรับยาไทยเดิม


2. ยินดีในความร่วมมือจัดทำร่างโครงการวิจัย โดยจะใช้ “โรงพยาบาลแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก” ในการเป็นหนึ่งในศูนย์วิจัยการทดลองใน“มนุษย์” ทั้งในรูปแบบตำรับยาไทย สารสกัดกัญชาในรูปแบบสเปรย์พ่น ควบคู่กับบูรณาการองค์ความรู้หลายด้านจากภูมิปัญญาในอดีตและงานวิจัยยุคใหม่ในปัจจุบันเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน


3. ตั้งคณะทำงานร่วมกันประสาน 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้แทนสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข, ผู้แทนคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, และผู้แทนสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เพื่อประสานงานและยกร่างบันทึกความเข้าใจในการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข กับ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2561 นี้ เพื่อนำเสนอผู้บังคับบัญชาให้มีพิธีการลงนามอย่างเป็นทางการต่อไป


12 เม.ย. 2561   โดย: MGR Online

261
“โรคมะเร็งเต้านม” จัดได้ว่าเป็นมะเร็งร้ายอันดับหนึ่งของผู้หญิงทั่วโลก เพราะเป็นมะเร็งในผู้หญิงที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า มีผู้หญิงไทยป่วยเป็นมะเร็งเต้านมรายใหม่ประมาณ 13,000 คนต่อปีหรือ 35 คนต่อวัน ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นทุกปี

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด หากแต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่สัมพันธ์กับการเกิดโรค เช่น ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยเฉพาะหากครอบครัวมีญาติสายตรง เช่น มารดา พี่สาว น้องสาว เป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ มีคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านมหลายคน หรือมีญาติเคยเป็นมะเร็งเต้านมเมื่ออายุน้อย หรือเป็นมะเร็งเต้านมพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง

ปัจจัยด้านฮอร์โมนเพศคือ เริ่มมีประจำเดือนเมื่ออายุน้อยกว่า 12 ปี หรือประจำเดือนหมดช้าหลังอายุ 55 ปี ผู้หญิงที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรคนแรกหลังอายุมากกว่า 30 ปี นอกจากนี้ ผู้หญิงที่กินยาฮอร์โมนทดแทนหลังวัยทองเป็นระยะเวลานานเกิน 5 ปี ปัจจัยทั้งหมดนี้ก็มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน รวมทั้งการดื่มสุรา การฉายรังสีบริเวณทรวงอก และการกินยาคุมกำเนิด ซึ่งพบว่าเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคอยู่บ้าง แต่ไม่ชัดเจนมากนัก

นายแพทย์ ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวัฒโนสถ โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ ในโรงพยาบาลกลุ่มบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS กล่าวว่า มะเร็งเต้านมมีโอกาสรักษาหายขาดสูง ซึ่งอัตราการเสียชีวิตของประเทศไทยถือว่าต่ำกว่ามะเร็งชนิดอื่นมาก หมายถึงมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดี แต่จะดีมากยิ่งขึ้นหากผู้หญิงที่มีความเสี่ยงเข้าสู่การคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เจอมะเร็งเต้านมในระยะแรก และยิ่งรักษาให้หายขาดได้สูงยิ่งขึ้น เนื่องจากมะเร็งเต้านมถือเป็นโรคร้ายที่แฝงมาอย่างเงียบๆ เพราะอาการเริ่มต้นของมะเร็งเต้านม ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้สึกเจ็บ จนกระทั่งก้อนเนื้อเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น

การตรวจเช็กมะเร็งเต้านมนั้น นายแพทย์ ธีรวุฒิ แนะนำว่า สามารถทำได้โดยการตรวจเช็กเต้านมด้วยตนเองว่ามีความผิดปกติหรือมีก้อนหรือไม่ รวมไปถึงการตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ ซึ่งจะช่วยให้ค้นเจอมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หรือระยะก่อนลุกลามเพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิตหรืออัตราการรักษาให้หาย

“การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมนั้น เน้นว่าการทำแมมโมแกรมถือว่าดี สามารถตรวจพบความผิดปกติได้อย่างละเอียดตั้งแต่ขนาดเล็กเพียง 0.5 - 1 เซนติเมตร ช่วยให้การตรวจวินิจฉัยสามารถให้ผลได้อย่างถูกต้อง แต่ในระดับสาธารณสุขยังไม่ได้บรรจุเป็นสิทธิประโยชน์ให้สามารถตรวจได้ทุกคน เนื่องจากไม่คุ้มค่าและบุคลากรอาจมีไม่เพียงพอ ซึ่งประชาชนต้องรับการตรวจเป็นแบบรายบุคคลเอง ดังนั้น การตรวจคัดกรองเบื้องต้นที่ทุกคนทำได้คือ การคลำเต้านมเพื่อค้นหาความผิดปกติด้วยตนเอง” นายแพทย์ ธีรวุฒิ กล่าว

ส่วนข้อกังวลที่ว่า การตรวจคลำเต้านมด้วยตนเองอาจไม่มีประสิทธิภาพที่ดีนัก เพราะกว่าจะคลำเจอก็ต่อเมื่อก้อนมะเร็งนั้นใหญ่มากแล้ว หรือลุกลามไปยังบริเวณอื่นแล้ว เรื่องนี้ นายแพทย์ ธีรวุฒิ ย้ำว่า อย่าได้กังวล ยังคงยืนยันว่า การตรวจคลำเต้านมด้วยตนเองนั้นมีประสิทธิภาพ และสามารถคัดกรองมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นได้ดีถึงแม้จะไม่พบมะเร็งที่เล็กมากก็ตาม

“เมื่อก่อนอาจมีการบอกว่า คลำเต้านมตัวเองแล้วเจอก้อน คือเจอก้อนใหญ่แล้ว และมีการศึกษาในจีน และรัสเซีย บอกว่าไม่ได้ช่วยลดอัตราการตาย แต่เป็นการศึกษาเมื่อนานมาแล้ว และเมื่อก่อนยารักษามะเร็งก็ไม่ได้ดีเท่าปัจจุบัน แต่ทุกวันนี้การรักษาดีขึ้น ก้อนขนาด 2 เซนติเมตรก็สามารถคลำเจอ หรือแม้แต่คลำเจอก้อนขนาด 5 เซนติเมตร แต่ยังไม่ลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองก็สามารถรักษาได้ จึงมองว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแนวคิดแล้ว และกลับมารณรงค์เหมือนเดิมว่า ต้องคลำเต้านมหาความผิดปกติด้วยตนเอง ส่วนการตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรม ก็ชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพที่ดีกว่า แต่ก็มีราคาค่าใช้จ่าย ซึ่งแนะนำว่าหากมีความเสี่ยงหรือผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ก็ควรตรวจทุกประมาณ 1 ปี อายุมากกว่า 55 ปี อาจตรวจ 2 ปีครั้ง” นายแพทย์ ธีรวุฒิ กล่าว

การป้องกันให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งเต้านม ก็คือหมั่นตรวจเช็กร่างกายสม่ำเสมอ และอย่าละเลยการตรวจสอบสังเกตอาการด้วยตัวเอง หากพบความผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ช่วยตรวจเช็ก อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะถ้าตรวจพบแต่เนิ่นๆ จะได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที มีโอกาสรักษาโรคมะเร็งให้หายได้สูง


9 เม.ย. 2561  โดย: MGR Online

262
การอาบน้ำในหน้าหนาวเป็นอะไรที่ต้องทำใจ ยิ่งหากจำเป็นต้องอาบน้ำเย็นในหน้าหนาวเพราะที่พักไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น โถ...มาดูกันค่ะว่า วิธีอาบน้ำในหน้าหนาวให้หนาวน้อยที่สุด ควรทำยังไงดี

          อากาศหนาว ๆ แบบนี้บางทีก็แอบเข้าใจฝรั่งเหมือนกันว่าทำไมเขาไม่ชอบอาบน้ำ ทว่าด้วยวัฒนธรรมและความเคยชินทำให้เราติดการอาบน้ำเป็นประจำ อย่างน้อยต้องอาบ 2 ครั้งต่อวันใช่ไหมคะ แต่ด้วยสภาพอากาศในระยะนี้ที่อุณหภูมิลดลงอย่างไม่ทันตั้งตัว หนาวขึ้นมาซะเฉย ๆ การอาบน้ำในแต่ละครั้งจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำใจกันสักพัก และถ้าสุดท้ายยังไงก็ต้องอาบน้ำ งั้นเรามาดูวิธีอาบน้ำหน้าหนาวที่จะช่วยให้เราหนาวน้อยที่สุด พร้อมวิธีเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ กัน

วิธีอาบน้ำเย็นในหน้าหนาว

          สำหรับคนที่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ครั้นจะต้มน้ำอาบก็ดูจะยุ่งยากไปนิด ไม่เป็นไรค่ะ เรามาอาบน้ำเย็นแบบสบายกาย ไม่หนาวเหน็บจนเกินไปด้วยวิธีอาบน้ำเย็นในหน้าหนาวกันเลย

1. อุดรูกันลมผ่าน

          สำหรับคนที่ต้องอาบน้ำเย็นเพราะไม่มีน้ำอุ่น แนะนำให้ใช้ผ้าอุดช่องว่างระหว่างประตูห้องน้ำกับพื้น เพื่อกันไม่ให้ลมหนาวพัดเข้ามาในระหว่างที่เราอาบน้ำอยู่ วิธีนี้จะช่วยลดความเหน็บหนาวได้ในเบื้องต้น

2. ทำธุระให้เสร็จก่อนค่อยอาบน้ำ

          เริ่มจากการขับถ่ายให้เรียบร้อย ต่อด้วยแปรงฟัน และล้างหน้า หากต้องการสระผมด้วยก็ให้ก้มหัวสระโดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้า จากนั้นใช้ผ้าขนหนูซับผมและโพกผมไว้ เสร็จแล้วก็ค่อยถอดเสื้อผ้า เตรียมตัวอาบน้ำจริง ๆ แล้วจ้า

3. ถูสบู่ก่อน

          มือเราที่เปียกน้ำจากการล้างหน้า แปรงฟัน ให้เทสบู่ใส่มือนั้นเลยค่ะ จากนั้นก็ถู ๆ พอให้สบู่มีฟอง แล้วถูสบู่ตามตัวให้ทั่วทั้ง ๆ ที่ตัวยังแห้ง ซึ่งอาจได้ความรู้สึกฝืด ๆ นิดหน่อย ทว่าวิธีนี้แหละที่จะทำให้เรารู้สึกอยากได้น้ำมาราดตัว เป็นกลอุบายให้ไม่ต้องยืนทำใจนานเวลาจะอาบน้ำนั่นเอง

4. ราดน้ำที่แขน-ขาก่อน

          การอาบน้ำเย็นในหน้าหนาวอย่างปลอดภัย แนะนำให้เริ่มเอาน้ำราดที่มือ เท้า แขน และขาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ค่อย ๆ ราดน้ำที่ตัว วิธีนี้จะช่วยให้ร่างกายได้ปรับอุณหภูมิกับความเย็นของน้ำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความเย็นจะลดระดับลงกว่าตอนที่เอาน้ำราดหัว ราดตัวเป็นอันดับแรก อีกทั้งการไล่ปรับอุณหภูมิวิธีนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงการเป็นหวัด ไม่สบายจากภาวะอุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงเฉียบพลันด้วยนะคะ

5. รีบอาบน้ำให้ไว

          เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอาบน้ำเย็นนาน ๆ แน่ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ ดังนั้นรีบถูรีบล้างโดยใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีกำลังเป็นเวลาที่พอดีค่ะ จากนั้นก็คว้าผ้าเช็ดตัวมาซับความชื้นจากร่างกายได้เลย

6. ทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นทุกครั้ง

          ควรทาโลชั่นหลังจากอาบน้ำเสร็จทันที (3-5 นาที) ซึ่งจะทำให้ครีมซึมซาบสู่ผิวหนังได้มากที่สุด ป้องกันผิวสูญเสียความชุ่มชื้นจนก่อปัญหาผิวแห้งแตกได้ง่าย

          ในกรณีที่มีเครื่องทน้ำอุ่น อยากอาบน้ำอุ่น เราก็มีวิธีอาบน้ำอุ่นในหน้าหนาวมาฝากค่ะ


วิธีอาบน้ำอุ่นในหน้าหนาว

        ใครมีเครื่องทำน้ำอุ่นติดห้องน้ำ ช่วงนี้ก็ถือโอกาสใช้งานให้คุ้มกับค่าติดตั้งไปเลยค่ะ ทว่าการอาบน้ำอุ่นในหน้าหนาวจำเป็นต้องมีเคล็ดลับนิดหน่อย เพื่อความสะอาดและปลอดภัยต่อผิวหนังของเรานั่นเอง มาดูกันค่ะว่า วิธีอาบน้ำอุ่นหน้าหนาว ควรทำยังไงบ้าง

1. ไม่ควรอาบน้ำนานเกิน

        บางคนเพลินกับการอาบน้ำอุ่นค่ะ จนมัวแต่เอาน้ำราดตัวไม่ยอมเลิก เสียเวลาเลยเถิดไปกับความฟินตรงนี้มาก ซึ่งไม่ใช่แค่เสียเวลาด้วยซ้ำค่ะ แต่การอาบน้ำอุ่นนาน ๆ อาจทำให้ผิวแห้งเสีย แตกลอก เพราะผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นไปกับน้ำอุ่นนั่นเอง ดังนั้นหากใครอาบน้ำอุ่นในหน้าหนาว ก็ควรอาบน้ำประมาณ 10-15 นาที หรือไม่เกิน 30 นาทีนะคะ

2. ควรปรับอุณหภูมิของน้ำให้อุ่นกำลังดี

        ด้วยความที่อากาศหนาว หลายคนเลยมักจะปรับอุณหภูมิน้ำอุ่นในระดับร้อนสุด อีกทั้งยังปรับระดับน้ำให้ไหลน้อยลง ทวีความร้อนให้น้ำขึ้นไปอีก ซึ่งการอาบน้ำร้อน ๆ เช่นนี้เสี่ยงต่อปัญหาผิวมากมายเลย ตั้งแต่อาการผิวแห้ง แตก ลอก ไปจนถึงผิวหนังอาจติดเชื้อโรคได้ง่าย นอกจากนี้ก็อย่าลืมปรับอุณหภูมิร่างกายด้วยการราดน้ำที่เท้า ขา แขน ก่อนราดทั้งตัว

3. สลับอาบน้ำเย็นในช่วงท้าย

        ฟินกับน้ำอุ่นจนอาบน้ำใกล้จะเสร็จแล้ว ให้แข็งใจปิดการทำงานของเครื่องทำน้ำอุ่น แล้วปล่อยให้สายน้ำเย็น ๆ ชโลมร่างกายเพื่อเป็นการปิดรูขุมขน และปรับสมดุลของผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งเสียน้อยลงได้

4. ทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นทุกครั้ง

        ควรทาโลชั่นหลังจากอาบน้ำเสร็จทันที (3-5 นาที) ซึ่งจะทำให้ครีมซึมซาบสู่ผิวหนังได้มากที่สุด ป้องกันผิวสูญเสียความชุ่มชื้นจนก่อปัญหาผิวแห้งแตกได้ง่าย



วิธีเพิ่มความอบอุ่นหลังอาบน้ำเสร็จ

1. อบผ้าเช็ดตัว

          ทริคที่จะช่วยให้ร่างกายได้รับความอุ่นทันทีหลังจากเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาสด ๆ ร้อน ๆ แนะนำให้นำผ้าขนหนูไปตากแดดทั้งวัน ก่อนนำมาใช้ หรือใครที่เปลี่ยนผ้าเช็ดตัวทุกวัน จะนำผ้าเช็ดตัวหลาย ๆ ผืนมาวางซ้อน ๆ กัน แล้วเอาไปอบในตู้เสื้อผ้า หรือวางในที่ที่แดดส่องถึงก็ได้ค่ะ เวลาเราหยิบผ้าเช็ดตัวเหล่านี้มาใช้ ก็จะได้ความอบอุ่นเพิ่มเติมอย่างง่าย ๆ แล้ว

2. เช็ดตัวในห้องน้ำ

          เมื่อเราอาบน้ำ อุณหภูมิของร่างกายจะถูกถ่ายเทออกมา เราจะรู้สึกได้ถึงไอร้อนอบอวลอยู่ในห้องน้ำให้พออุ่น ซึ่งช่วงเวลานี้แหละที่เราสามารถซึมซับความอบอุ่นเข้าสู่ร่างกายได้ ดังนั้นเช็ดตัวให้แห้งสนิทตั้งแต่ในห้องน้ำไปเลย แล้วค่อยออกมาแต่งตัว

3. ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ 1 แก้ว หลังอาบน้ำเสร็จ

          หลังอาบน้ำเสร็จร่างกายเราอาจจะยังสะท้านกับความเย็นของอากาศอยู่สักพัก ดังนั้นลองแก้หนาวด้วยการดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ สักแก้ว หากเป็นตอนเช้าอาจดื่มชาร้อน กาแฟร้อน โกโก้ร้อน เหล่านี้ก็ได้ ทว่าหากเป็นช่วงก่อนนอน แนะนำเป็นนมร้อน หรือน้ำเต้าหู้อุ่น ๆ ซึ่งไม่มีคาเฟอีนแทนค่ะ

          - 12 สูตรเครื่องดื่มร้อน กายอุ่นใจอุ่นต้อนรับหน้าหนาว

          - 10 อาหารคลายหนาว เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายได้ด้วยการกิน​

          ไม่ว่าจะเลือกอาบน้ำเย็นหรือน้ำอุ่น เราก็อยากฝากไว้สักนิดค่ะว่า พยายามหลีกเลี่ยงการอาบน้ำเวลาดึกมาก ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิจะลดต่ำ อากาศจะหนาวมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นโรคหวัด รวมทั้งควรใส่ใจสบู่ที่ใช้ โลชั่นที่ทา หากเป็นไปได้ให้เลือกใช้สบู่ที่ปราศจากส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ชั้นผิวหนังในร่างกาย ส่วนโลชั่นก็ควรเลือกชนิดที่มีมอยซ์เจอไรเซอร์มากขึ้น หรือมีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้มากกว่าปกติ


08 มี.ค  61  ขอขอบคุณข้อมูลจาก  กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข


263
  รู้สึกวูบตอนลุก-นั่ง เร็ว ๆ หรือก้มหน้าแล้วเวียนหัว โดยเฉพาะตอนเปลี่ยนท่ามักจะหน้ามืด ต้องเช็กร่างกายคร่าว ๆ เราเป็นโรคอะไรร้ายแรงหรือเปล่า   

          สำหรับคนที่มีอาการวิงเวียน บ้านหมุน หน้ามืด หรือเหมือนจะเป็นลม ขณะเปลี่ยนอิริยาบถ โดยเฉพาะตอนนอนอยู่แล้วลุกจากเตียงแบบเร็ว ๆ ต่อมาก็เกิดอาการหน้ามืด วูบ คล้ายจะเป็นลม หรือในบางคนอาจมีภาวะใจสั่น หัวใจเต้นเร็วขึ้นบ้างในบางครั้ง คงเกิดความสงสัยในสุขภาพของตัวเองขึ้นมาโดยพลันว่าเรากำลังมีโรคร้ายอย่างโรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคความดันต่ำอยู่หรือเปล่า

          ทว่าความจริงแล้ว ภาวะเปลี่ยนท่าแล้วเกิดอาการวิงเวียน ทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า ภาวะความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนท่า ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะพามารู้จักความผิดปกติของร่างกายที่เกิดขึ้นบ่อยในหลายคน แถมบางคนยังเกิดอาการนี้บ่อยครั้งกันค่ะ

รู้จักภาวะความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า คืออะไร

          ภาวะความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Postural or Orthostatic Hypertension เป็นความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิตเมื่อมีการเปลี่ยนท่าที่ฝืนต่อแรงโน้มถ่วงของโลก อธิบายง่าย ๆ ก็คือ โดยปกติแล้วหัวใจเราจะปั๊มเลือดไปเลี้ยงสมองในอัตราคงที่และสม่ำเสมอ หัวใจจะบีบตัวช้า ๆ ไม่ต้องทำงานหนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างทันทีจนส่งผลให้ศีรษะกับหัวใจอยู่คนละระนาบกัน เช่น การนอนอยู่แล้วลุกขึ้นมากะทันหัน นั่งนาน ๆ แล้วผุดลุกขึ้นเร็ว ๆ หรือก้มหน้ากะทันหัน ระบบไหลเวียนเลือดก็ต้องปรับตัวเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงสมองให้ทัน ซึ่งในบางครั้งการเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่ง เลือดจะไหลลงสู่ด้านล่างตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้ร่างกายดึงเลือดกลับไปเลี้ยงสมองไม่พอ ความดันเลือดต่ำทันที และส่งผลให้เกิดอาการวิงเวียน หน้ามืด เหมือนจะเป็นลมได้

 โดยนอกจากอาการหน้ามืดแล้ว บางคนอาจมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็วขึ้น เนื่องจากหัวใจกำลังพยายามปรับตัวและทำการสูบฉีดเลือดกลับเข้าสู่หัวใจเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงสมองให้เร็วที่สุด  ซึ่งภาวะความดันตกขณะเปลี่ยนท่านี้ เป็นกระบวนการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติตามปกติ และร่างกายจะเข้าสู่ภาวะปกติได้เมื่อระบบประสาทอัตโนมัติเกิดความสมดุล ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้อย่างสม่ำเสมอ และเพียงพอต่อความต้องการของสมอง

          นั่นจึงเป็นคำตอบว่า เวลาก้มหน้าแล้วหน้ามืด หรือหันเร็ว ๆ แล้วเวียนหัว อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอาการวูบนาน ๆ ซึ่งก็ถือว่าภาวะนี้ไม่อันตรายต่อสุขภาพเท่าไรค่ะ เว้นเสียแต่ว่า เกิดอาการหน้ามืดแล้วล้มลงศีรษะฟาดพื้น หรือเกิดอาการวูบในกรณีที่อยู่ในสถานการณ์เสี่ยง ๆ อย่างริมถนน กำลังขับรถ หรือทำงานกับเครื่องจักรบางชนิด เป็นต้น



ภาวะความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า ใครเสี่ยง ?

          จริง ๆ แล้ว หากมีการเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็ว ทุกคนก็มีโอกาสเจอภาวะนี้ได้ แต่อาจมีคนบางกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงมากกว่าเพื่อน เช่น

          - ผู้สูงอายุ

          - ผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจ เช่น รายที่มีการเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจล้มเหลว

          - ผู้ป่วยโรคทางสมอง หรือระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน โรคปลายประสาทอักเสบ

          - ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณการควบคุมความดันโลหิตเสียการทำงานจากพยาธิสภาพของโรค

          - ผู้ที่มีอาการความดันโลหิตต่ำ

          - ผู้ที่มีปัญหาของต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไทรอยด์หรือต่อมหมวกไตทำงานไม่มีประสิทธิภาพ

          - มีภาวะขาดน้ำ เช่น คนที่ดื่มน้ำน้อย, เจอภาวะอากาศร้อนทำให้สูญเสียน้ำมาก, ทำงานกลางแจ้ง, เล่นกีฬาจนเสียเหงื่อมาก, สูญเสียน้ำจากอาการท้องเสียอย่างรุนแรง อาเจียน ฯลฯ

          - ผู้ที่ดื่มสุราเรื้อรัง

          - ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น การทานยารักษาความดันโลหิตสูง ยานอนหลับ ยารักษาโรคทางจิตเวชบางชนิด


ป้องกันได้ไหม ถ้าไม่อยากเปลี่ยนท่า หน้ามืด ?

          อย่างไรก็ตาม อาการเปลี่ยนท่าแล้วหน้ามืดก็มีวิธีป้องกันไม่ให้ร่างกายตกอยู่ในสภาพดังกล่าวนะคะ โดยมีวิธีปฏิบัติตัวตามนี้เลย

          * เคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อนจนเกินไป โดยเฉพาะในผู้สูงอายุซึ่งระบบไหลเวียนเลือดอาจมีประสิทธิภาพลดลงกว่าวัยหนุ่มสาว

          * ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดมีความคล่องตัวมากขึ้น

          * ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอบ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 30 นาทีขึ้นไป จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจแข็งแรงขึ้น

                 - คาร์ดิโอ วิธีออกกำลังกายดี ๆ ได้ทั้งฟิตแอนด์เฟิร์ม กระตุ้นหัวใจให้แข็งแรง

          * รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการที่ดี โดยเฉพาะเพศหญิงควรต้องกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพราะผู้หญิงมีโอกาสสูญเสียธาตุเหล็กในร่างกายมากกว่าเพศชาย เช่น การมีประจำเดือน หรือการตั้งครรภ์ ซึ่งเลือดจะถูกส่งไปเลี้ยงทารกในครรภ์เพิ่มขึ้น *

                 - อาหารบำรุงเลือด กินอย่างนี้สิป้องกันภาวะโรคโลหิตจาง

          * หากภาวะความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่าเกิดจากการใช้ยา อาจปรึกษาแพทย์เพื่อลดขนาดยาลง*

          อย่างไรก็ตาม หากใครยังข้องใจในอาการวูบของตัวเอง เกรงว่าจะส่อโรคร้ายแรงที่ควรต้องรีบรักษาหรือไม่ ลองมาเช็กสาเหตุของโรควูบดูก็ได้นะคะ

                 - 10 สาเหตุโรควูบ อาการหน้ามืดเป็นลมที่อาจถึงตาย !


07 เม.ย 61
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

264
ดอกเก๊กฮวยที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสีสวย สรรพคุณของเก๊กฮวยก็ใช่ว่าจะน้อยหน้ารสชาติและกลิ่นหอม ๆ ล้อมรอบไปด้วยประโยชน์ดีต่อสุขภาพ !

          เก๊กฮวย สรรพคุณสมุนไพรชนิดนี้ไม่ได้มีไว้ทำเครื่องดื่มแก้กระหายอย่างเดียว แต่ดอกเก๊กฮวยที่นำมาต้มเป็นชาเก๊กฮวยก็ดี หรือน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพก็ดี ล้วนแล้วแต่แฝงสรรพคุณเป็นยามาด้วย และหากอยากรู้จักสรรพคุณของเก๊กฮวยให้ถ่องแท้ ลองอ่านบทความด้านล่าง แล้วไปหาน้ำเก๊กฮวยดื่มกันเลย !
เก๊กฮวย มีดีที่ดอก

          เก๊กฮวยเป็นดอกไม้ตระกูลเดียวกับดอกทานตะวันและดอกดาวเรือง เก๊กฮวยในภาษาจีนเรียกว่า จวี๋ฮัว ถ้าแปลเป็นไทยก็จะเรียกกันว่า ดอกเบญจมาศสวน หรือดอกเบญจมาศหนู ส่วนเก๊กฮวยในภาษาอังกฤษ มีชื่อว่า Chrysanthemum 

          ชื่อวิทยาศาสตร์ของเก๊กฮวยนั้นเรียกต่างออกไปในแต่ละสายพันธุ์ โดยเก๊กฮวยดอกขาว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dendranthema morifolium (Ramat.) Tzvel. หรือ Chrysanthemum morifolium Ramat. จัดเป็นพืชในตระกูล Asteraceae ส่วนสายพันธุ์เก๊กฮวยดอกสีเหลือง ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Dendranthema indicum L. หรือ Chrysanthemum indicum L. ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเก๊กฮวยสายพันธุ์สีขาวหรือสีเหลือง สรรพคุณทางยาของเก๊กฮวยก็อยู่ที่ดอกเก๊กฮวยด้วยกันทั้งคู่ค่ะ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นเก๊กฮวย
 
          ต้นเก๊กฮวยเป็นไม้ล้มลุก ขนาดต้นสูงประมาณ​ 60-150 เซนติเมตร เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่อากาศหนาว ในไทยจึงนิยมปลูกเก๊กฮวยบนที่ราบสูงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนดอกเก๊กฮวยเป็นดอกขนาดเล็ก มีทั้งดอกเก๊กฮวยสีเหลืองและดอกเก๊กฮวยสีขาว ต้นเก๊กฮวยจะออกดอกได้ดีในช่วงฤดูหนาว โดยส่วนใหญ่จะนิยมเก็บดอกมาตากแห้ง นึ่ง หรืออบแห้ง แล้วนำมาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร


เก๊กฮวย สรรพคุณไม่ธรรมดา

          สรรพคุณทางยาของดอกเก๊กฮวยมีดีอยู่หลายด้าน โดยสามารถจำแนกประโยชน์ของดอกเก๊กฮวยที่เกี่ยวกับสุขภาพได้ ดังนี้

          1. ช่วยดับร้อน ดอกเก๊กฮวยมีฤทธิ์เย็น ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย แก้อาการร้อนใน แก้กระหาย แก้ไข้ โดยใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 5-9 กรัม ต้มกิน หรือทำเป็นชา แล้วดื่มในปริมาณที่เหมาะสม

          2. ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะดื่มชาเก๊กฮวยร้อน ๆ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องจากอาหารไม่ย่อยได้ ทั้งนี้ให้ใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 5-9 กรัม ต้มกิน หรือทำเป็นชา แล้วดื่มในปริมาณที่เหมาะสม

          3. ดีต่อหัวใจ เก๊กฮวยเป็นพืชสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ เพราะมีฤทธิ์ลดระดับความดันโลหิต นอกจากนี้ทางมูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ยังระบุว่า เก๊กฮวยช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย

          4. แก้ตาบวมแดง ในตำรับยาสมุนไพรจีนมักใช้ดอกเก๊กฮวยผสมกับใบหม่อน เก๋ากี้ หรือชุมเห็ดไทย รักษาอาการตาบวมแดงจากการตากลม หรือตาบวมแดงจากภาวะตับพร่อง ไฟในตับมาก โดยใช้ดอกสดล้างสะอาด ตำให้แหลก แล้วนำมาประคบที่ดวงตา

5. แก้วิงเวียน หากมีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน เนื่องจากการกำเริบของหยางในตับ สามารถใช้เก๊กฮวยร่วมกับโกฐสอและสมุนไพรฤทธิ์เย็นชนิดอื่นเพื่อบรรเทาอาการได้

          6. รักษาแผลฝีหนอง และแผลบวม โดยใช้ดอกเก๊กฮวยสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด บดผสมน้ำแล้วดื่ม จากนั้นนำกากดอกเก๊กฮวยมาพอกตามแผล

          7. รักษาผมร่วง ตำรับยาจากประเทศเวียดนามใช้ดอกเก๊กฮวยสดตำละเอียดแล้วกลั่นเอาแต่น้ำมาหมักผม โดยเชื่อว่าดอกเก๊กฮวยสามารถรักษาอาการผมร่วง ช่วยให้สีผมดำ เงางาม ไม่เปลี่ยนเป็นสีเทาก่อนวัยอันควร

          การใช้ดอกเก๊กฮวยให้เป็นประโยชน์เพื่อสุขภาพ ในปัจจุบันจะนิยมนำดอกเก๊กฮวยแห้งมาต้มเป็นน้ำสมุนไพร หรือจิบเป็นชาสมุนไพรกันเสียมากกว่าจะนำดอกเก๊กฮวยมาใช้ภายนอก ดังนั้นเรามาดูวิธีทำน้ำเก๊กฮวยกันค่ะ

วิธีทำน้ำเก๊กฮวย
     
          1. ใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำเดือดประมาณ 2 ลิตร

          2. ต้มดอกเก๊กฮวยสัก 2-3 นาที แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไป (ความหวานตามชอบ)

          3. คนสักพักพอให้น้ำตาลทรายละลายจนหมด ปิดไฟ พักไว้จนเย็น

          4. เมื่อน้ำเก๊กฮวยพออุ่น ๆ สามารถเทใส่แก้วแล้วดื่มได้เลย หรือจะพักน้ำเก๊กฮวยให้เย็นจากนั้นเติมน้ำแข็งดื่มแบบเย็น ๆ ให้ชื่นใจก็ได้

          ทั้งนี้ในการต้มน้ำเก๊กฮวย บางคนอาจใส่ใบเตยลงไปด้วยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม หรืออาจใส่ลูกพุดจีนเพิ่มสีเหลืองให้น้ำเก๊กฮวยมีสีสันมากกว่าเดิมก็ได้เช่นกันค่ะ ว่าแล้วก็ไปหาน้ำเก๊กฮวยมาดื่มเพื่อสุขภาพกันบ้างดีกว่าเนอะ ;)




07เม.ย 61
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ
มูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

265
 “ไม่กินข้าวนะ กำลังไดเอตอยู่” ประโยคนี้คุ้นๆ ไหมคะ คุณอาจจะเป็นคนพูดเอง หรืออาจจะได้ยินคนใกล้ตัวพูดกันอยู่บ่อยๆ ไม่กินข้าวในที่นี้ เป็นไปได้ทั้งการ “ไม่กินข้าว แต่กินเกาเหลา สุกี้ ยำ ส้มตำ ฯลฯ” ไปจนถึง “งดมื้ออาหาร” ไปเลย บางคนทำแล้วได้ผล แต่บางคนก็อาจจะไม่ได้โชคดีเสมอไป หากไม่ทานแป้งเลยจะมีผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้าง Sanook! Health มีคำตอบค่ะ

 

แป้งนั้น สำคัญไฉน?

แป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต เป็นหนึ่งในอาหาร 5 หมู่ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน โดยคาร์โบไฮเดรตเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะแปลงเป็นน้ำตาลกลูโคส มีหน้าที่คอยให้พลังงานแก่ร่างกาย ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ยืน เดิน วิ่ง ทำงาน ออกกำลังกาย ทุกกิจกรรมล้วนแล้วแต่ต้องการพลังงานทั้งสิ้น ดังนั้นหากร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอ อาจทำให้เราขาดพลังงานในการทำกิจกรรมดังกล่าว ไม่เรี่ยวแรง สมองไม่แล่น เหนื่อยง่าย หรืออาจถึงขั้นโหยหิว มือสั่น อยากทานอะไรหวานๆ อาการคุ้นๆ ไหม ใครที่หักดิบอดข้าวไปสักพักหลายคน อาจเคยมีอาการคล้ายๆ กันนี้มาแล้ว

 

อันตรายจากการขาดคาร์โบไฮเดรต

หากเราไม่ทานแป้ง หรือน้ำตาลเลย อะไรจะเกิดขึ้น? แน่นอนว่าอันดับแรกคือ ร่างกายจะไม่มีเรี่ยวแรงในการทำกิจกรรมต่างๆ ขาดพลังงานในการดำรงชีวิต ร่างกายอาจพยายามหาแหล่งพลังงานมาเผาผลาญแทนคาร์โบไฮเดรต โดยการดึงไขมัน และโปรตีนมาเผาผลาญแทน แต่ในเมื่อไขมัน และโปรตีนเป็นตัวที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ สร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง หากโดนดึงมาเผาผลาญพลังงานแทนคาร์โบไฮเดรตอยู่เรื่อยๆ กล้ามเนื้อก็อาจจะลีบแบน ร่างกายซูบผอม ผิวหนังเหี่ยวย่น

นอกจากนี้ เมื่อร่างกายขาดสารอาหารที่สำคัญไป ระบบการทำงานภายในก็จะเริ่มแปรปรวน ภูมิคุ้มกันเริ่มบกพร่อง ตับไตกระเพาะอาหารเริ่มทำงานผิดปกติ รวมไปถึงระบบโลหิต ต่อมน้ำเหลือง และอื่นๆ จึงอาจเป็นช่วงอันตรายที่หลายโรครุมเร้าได้ง่าย เพราะร่างกายจะอ่อนแอ เชื้อแบคทีเรีย และไวรัสอาจเข้ามาก่อโรคให้เราได้ง่ายยิ่งขึ้น

 

ทานแป้งเท่าไรต่อวัน ถึงจะพอดี?

สำหรับใครที่ยังอยากลดความอ้วน ลดน้ำหนัก อย่างปลอดภัย ไร้โรค ยังคงต้องจำกัดปริมาณในการทานแป้งนั่นแหละถูกแล้ว แต่ไม่ควรงดทานเลย 100% ควรทานให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เลืออกทานคาร์โบไฮเดรตที่ดีมีคุณภาพ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดี มีประโยชน์ และไม่มากเกินไปจนเหลือไปสะสมเป็นชั้นไขมันหนาๆ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

คาร์โบไฮเดรตที่แนะนำ คือ ข้าวที่ไม่ได้รับการขัดสี หรือขัดสีน้อย เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังที่ไม่ฟอกขาว เช่น ขนมปังโฮลวีท รวมไปถึงผักผลไม้ที่มีรสหวานน้อย กากใยอาหารเยอะ อย่างมันเทศ ข้าวโพด ก็ยังทานได้ และดีต่อร่างกาย แต่ควรควบคุมปริมาณไม่ให้มากจนเกินความจำเป็นต่อร่างกาย

คิดง่ายๆ คือใน 1 มื้อ ทานได้ 1 กำปั้นมือ ทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ มื้อเย็นจะลดแป้งลงอีกสักนิด และเพิ่มเนื้อสัตว์ และผักผลไม้เข้ามาแทนก็ได้ แต่อย่าถึงกับงดทานแป้ง และน้ำตาลโดยสิ้นเชิง

แต่ถ้าต้องการที่จะลดปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่น่าจะส่งผลดีต่อร่างกาย คือ การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไป โดยเราไม่ควรบริโภคเกินวันละ 6 ช้อน เพราะร่างกายจะนำน้ำตาลไปใช้ไม่ทัน ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ทำให้ตับอักเสบ และเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดตับแข็งได้ รวมทั้ง น้ำตาลที่เกินจะกลายเป็นไขมันที่สะสมอยู่ตามพุงของเรานั่นเอง

สิ่งสำคัญที่คนอยากผอมมักมองข้าม คือนอกจากการควบคุมปริมาณอาหารที่ทานในแต่ละวันแล้ว เราควรเผาผลาญพลังงานที่มีอยู่ออกไปด้วยการออกกำลังกาย ดังนั้นหากต้องออกกำลังกาย ร่างกายของเราจึงจำเป็นต้องมีพลังงานเพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกินด้วย ใครทำได้ตามนี้ รับรองว่านอกจากจะได้รูปร่างดีๆ กลับไปแล้ว ยังได้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไร้โรคภัยเป็นของแถมไปด้วยแน่นอน


08 เม.ย. 61 sanook.com

266
วันก่อนเห็นเพื่อนร่วมงานทานข้าวเสร็จก็ลุกขึ้นหยิบแปรงสีฟันเข้าห้องน้ำทันที เราก็นับถือในความเคร่งครัดของการดูแลสุขภาพช่องปากของตัวเองได้ดีในแบบที่เราไม่เคยทำ แต่ก็น่าสงสัยว่าเราเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยแปรงฟันเกิน 2 ครั้งต่อวัน แต่หมอฟันกลับบอกว่าเราแทบไม่มีฟันผุเลย คราบหินปูนก็ไม่ค่อยมี ไม่ต้องขูดให้เสียเงินเปล่า แต่เพื่อนคนนั้นกลับมีฟันผุมากมาย แถมยังมีปัญหาเรื่องของการเสียวฟันอยู่บ่อยๆ

หรือว่า... การแปรงฟันหลังทานอาหารทันที ไม่ได้ดีต่อสุขภาพฟันอย่างที่เราคิด?

 

มีผลงานวิจัยพบว่า การทานอาหารประเภทน้ำผลไม้ น้ำอัดลม หรืออาหารและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ และมีน้ำตาลสูง จะทำให้สารเคลือบฟันด้านนอกอ่อนตัวลงนานตั้งแต่ 10 oทีไปจนถึง 1 ชั่วโมง ช่วงที่สารเคลือบฟันกำลังอ่อนตัวอยู่นั้น หากทำการแปรงฟันทันที จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้สารเคลือบฟันหลุดลอกได้

เมื่อสารเคลือบฟันหลุดลอก เป็นเหตุให้ฟันไม่แข็งแรง อาจเสี่ยงมีอาการเสียงฟัน ฟันกร่อน ฟันสึก ไปจนถึงฟันผุได้ง่ายเช่นเดียวกัน

 

หากใครที่ยังอยากแปรงฟันเพื่อสุขภาพที่ดีของช่องปากระหว่างวัน ทีคำแนะนำดังนี้


1.แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ก่อน ทานอาหารประเภทเครื่องดื่มน้ำผลไม้ปั่น น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มและอาหารที่มีรสเปรี้ยว และหวานจัด

2.บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าทันทีหลังจากทานอาหารดังกล่าวทันที อาจจะบ้วนซ้ำๆ ได้ พักสัก 1 ชั่วโมง แล้วค่อยลุกไปแปรงฟัน

3.เลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนนุ่ม แปรงฟันให้เบามือ แต่แปรงให้นานขึ้น ดีกว่าการแปรงฟันเร็วๆ แรงๆ

4.หลังแปรงฟัน สามารถบ้วนแต่ฟองทิ้งได้โดยไม่ต้องบ้วนน้ำเปล่าซ้ำ แต่หากรู้สึกไม่สบายปาก ให้บ้วนน้ำเปล่าเพียงครั้งเดียว เพื่อให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันยังคงอยู่ที่ฟันให้มากที่สุด
 

เพียงเทคนิคง่ายๆ เท่านี้ คุณก็จะมีสุขภาพฟันที่ดี โดยไม่ต้องไปพบทันตแพทย์บ่อยๆ แล้วล่ะค่ะ


07  เม.ย 61  ข้อมูล :health2you

267
 รักษาการ ผอ.โรงพยาบาลดอนสัก เขียนใบสั่งยา รักษาอาการยอดนิยม แบบไม่ใช้ยา เน้นออกกำลังกาย คุมอาหาร อย่างสม่ำเสมอ โซเชียลถูกใจแห่แชร์กระหน่ำ

           วันที่ 27 มกราคม 2561 โลกโซเชียลได้มีการแห่แชร์ภาพใบสั่งยาของ นายแพทย์พิรกิจ วงศ์วิชิต แพทย์ชำนาญการ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี โดยได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Piragit Wongwichit ระบุว่า "ใบสั่งยา แบบไม่ใช้ยา แชร์ได้ครับ ไม่หวงสูตรยา"


 ซึ่งใบสั่งยาของ นายแพทย์พิรกิจ มีดังนี้

           ยาลดความอ้วน - วิ่งวันละ 3 กิโล สัปดาห์ละ 4 วัน ควบคุมอาหาร (ไม่อดอาหาร)
           ยาลดความดัน - งดอาหารเค็ม วิ่ง/เดิน วันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 4 วัน
           ยาเบาหวาน - งดอาหารหวาน ออกกำลังกาย เดิน/วิ่ง สัปดาห์ละ 4 วัน
           ยาลดไขมัน - งดอาหารทอด/อาหารมัน ออกกำลังกาย เดิน/วิ่ง สัปดาห์ละ 4 วัน
           สรุป : ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สุขภาพแข็งแรง

05 มี.ค 61ข้อมูลจาก  เฟซบุ๊ก Piragit Wongwichit

268
 นิ่วในไตเกิดจากอะไร ชอบดื่มน้ำเย็นจัด ดื่มน้ำน้อย ทำให้เป็นนิ่วในไตได้จริงหรือ ?

หลายคนที่ชอบดื่มน้ำเย็นรู้สึกกลัวและกังวลว่า นี่เรามีโอกาสเสี่ยงเป็นนิ่วในไตด้วยไหม ? แล้วจริง ๆ นิ่วในไตเกิดจากการชอบดื่มน้ำเย็นจัด หรือดื่มน้ำน้อยเกินไปจริงหรือไม่ มาชี้แจงกันค่ะ

ดื่มน้ำน้อยเสี่ยงเป็นนิ่วในไตจริงไหม ?

          พูดถึงประเด็นดื่มน้ำน้อยกันก่อน เรื่องนี้เป็นความจริงค่ะ โดย อ.นพ.มนินธ์ อัศวจินตจิตร์ ศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวผ่านรายการชัวร์ก่อนแชร์ ทางสำนักข่าวไทย ว่า คนที่ดื่มน้ำน้อยจะทำให้สารก่อนิ่วมีความเข้มข้นสูงในปัสสาวะ สุดท้ายจะเกิดการจับตัว ตกผลึกกลายเป็นก้อนนิ่วขึ้นมาได้

ดื่มน้ำเย็นจัดบ่อย ๆ ก็เสี่ยงนิ่วในไตด้วยหรือ ?

          แต่สำหรับกรณีดื่มน้ำเย็นจัดนั้น อ.นพ.มนินธ์ ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่เคยมีหลักฐานทางการแพทย์ว่าเป็นสาเหตุของการเกิดนิ่วในไตได้ ดังนั้นประเด็นนี้จึงไม่เป็นความจริง

          เช่นเดียวกับ พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือคุณหมอผิง ที่ระบุในทวิตเตอร์ @thidakarn ว่า การดื่มน้ำเย็นไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในไต ซึ่งจริง ๆ แล้วนิ่วในไตเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หลักป้องกันเบื้องต้นคือ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอทุกวัน ถ้ามีติดเชื้อทางเดินปัสสาวะควรรีบรักษา อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรัง ไม่รับประทานเครื่องในสัตว์หรือหน่อไม้มากจนเกินไป

แล้วนิ่วในไตเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

          นิ่วในไต เป็นก้อนผลึกขนาดเล็ก ประกอบด้วยหินปูน (แคลเซียม) กับสารเคมีอื่น ๆ เช่น ออกซาเลต เป็นต้น หรือบางรายอาจจะมีขนาดใหญ่ที่เกิดจากสารตกค้างต่าง ๆ ทั้งจากสารอาหารที่เรากินเข้าไป หรือกรดบางชนิดที่ร่างกายขับออกไม่หมด เช่น กรดยูริก โดยเจ้าก้อนนิ่วนี้ไม่ได้สร้างแค่ความเจ็บปวดเพียงอย่างเดียว แต่ยังไปเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคไตอีกด้วย

          สาเหตุที่ทำให้เกิดนิ่วในไตมีหลายประการ เช่น เกิดจากการเสียสมดุลของสารก่อนิ่วกับสารยับยั้งนิ่ว ซึ่งปกติจะขับออกมาในปัสสาวะ ถ้าหากมีสารก่อนิ่วขับออกมากับปัสสาวะมากผิดปกติก็จะจับตัวกลายเป็นตะกอน เมื่อสะสมมาก ๆ เข้าก็จับตัวกันกลายเป็นก้อนนิ่วได้

          นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าการรับประทานอาหารบางชนิด เช่น แคลเซียม หรือออกซาเลตมากเกินไปก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดนิ่วได้ในผู้ป่วยบางราย


นิ่วในไต ป้องกันได้ไหม ?

          นิ่วในไตสามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง เช่น

          - ดื่มน้ำสะอาดให้ได้มากกว่าวันละ 8 แก้วหรือ 2 ลิตร เพื่อให้ร่างกายสร้างน้ำปัสสาวะตลอดเวลา จะช่วยป้องกันการเกิดนิ่วได้

          - ลดอาหารบางประเภทลง เช่น เนื้อสัตว์ อาหารที่มีกรดยูริกสูง (หนังสัตว์ปีก ตับ ไต ปลาซาร์ดีน) อาหารที่มีออกซาเลตสูง (งา ผักโขม ถั่วต่าง ๆ ช็อกโกแลต และชา)

          - พยายามควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

          - ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้นและช่วยลดความเครียด

          ทั้งนี้หากใครมีอาการผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ มีอาการปวดบั้นเอวข้างใดข้างหนึ่งอย่างรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ เพราะนี่คือสัญญาณเตือนของโรคนิ่วในไตได้เช่นกันค่ะ

          -  นิ่วในไต อาการไหนบอกชัด รู้จักปัจจัยเสี่ยงป่วย

06 เม.ย 61
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
รายการชัวร์ก่อนแชร์ 
ทวิตเตอร์ @thidakarn
หน่วยปฏิบัติการวิจัยชีวเคมีและชีววิทยาโมเลกุลของโรคทางเมแทบอลิซึม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 

269
 มะยงชิด ผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารล้นเหลือ สารต้านอนุมูลอิสระก็มีไม่น้อย แถมรสชาติอร่อยจนต่อให้มะยงชิดราคาแรงก็ต้องยอม เพราะ 1 ปีมะยงชิดจะออกผลให้ได้ลิ้มรสสัก 1 ครั้ง !

          เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ เราก็จะเริ่มเห็นผลไม้หน้าร้อนกันมากขึ้น และที่หลายคนนึกถึงมากที่สุดก็น่าจะเป็นมะยงชิด หรือมะปรางลูกเท่าไข่ไก่ รสหวานอมเปรี้ยว กินสด ๆ ก็อร่อย หรือจะนำมะยงชิดไปทำเป็นขนมหวานก็ได้ฟีลชื่นใจไปอีกแบบ และเนื่องจากช่วงนี้เป็นหน้ามะยงชิดจะออกผล วันนี้กระปุกดอทคอมเลยนำสรรพคุณของมะยงชิดมานำเสนอ มาดูกันค่ะว่า คุณค่าทางโภชนาการของมะยงชิดมีดีต่อสุขภาพของเรายังไง


มะยงชิด ผลไม้รสออกหวาน ดาวเด่นในหน้าร้อน

          มะยงชิดจัดเป็นผลไม้ในตระกูลเดียวกับมะปราง หรือเป็นมะปรางอีกชนิดหนึ่ง ทำให้ลักษณะผลของมะยงชิดจะคล้ายคลึงกับมะปรางมาก โดยผลมะยงชิดมีทั้งผลขนาดเล็ก ขนาดปานกลาง และขนาดใหญ่ ตามลักษณะของสายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป ส่วนรสชาติของมะยงชิดผลดิบจะออกเปรี้ยว ถ้าผลสุกจะให้รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย หรือบางพันธุ์อาจมีรสหวานน้อย เปรี้ยวมากก็เป็นได้

มะยงชิด นครนายก ของดีเลื่องชื่อ

          จังหวัดนครนายกเป็นแหล่งปลูกมะยงชิดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่สำคัญมะยงชิดของนครนายกยังเลื่องชื่อตรงที่มะยงชิดที่นี่ให้ผลใหญ่ มีรสหวาน เนื้อหนา เมล็ดเล็ก โดยมะยงชิด นครนายกจะมีสายพันธุ์เด่น ๆ เช่น มะยงชิดพันธุ์ทูลเกล้า มะยงชิดพันธุ์บางขุนนท์ และมะยงชิดพันธุ์ท่าด่าน ซึ่งจัดเป็นพันธุ์มะยงชิดที่ให้ผลดก ผลใหญ่ เปลือกหนากรอบ เมล็ดเล็ก และมีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยทั้งนั้น มะยงชิดของจังหวัดนครนายกจึงเป็นที่นิยมมากนั่นเองค่ะ

          ทั้งนี้มะยงชิดยังมีชื่อเรียกตามแต่รสชาติด้วย โดยถ้ามีรสหวานมากกว่าเปรี้ยวจะเรียกว่า มะยงชิด แต่หากมีรสชาติเปรี้ยวมากกว่าหวานจะเรียกว่า มะยงห่าง ซึ่งในส่วนของรสชาตินั้นก็อย่างที่บอกค่ะว่าเป็นไปตามความแตกต่างของแต่ละสายพันธุ์ ส่วนแหล่งปลูกมะยงชิดในบ้านเราจะมีอยู่ที่นครนายก สุโขทัย ปราจีนบุรี เพชรบูรณ์ และกำแพงเพชร

มะยงชิด มะปราง ความแตกต่างที่สังเกตได้

          แม้มะยงชิดจะเป็นมะปรางชนิดหนึ่ง ทว่าความแตกต่างของมะยงชิดกับมะปรางก็มีข้อสังเกตให้แยกมะยงชิดกับมะปรางได้ดังนี้ค่ะ

          - เนื้อมะยงชิดจะมีรสหวาน ส่วนเปลือกมะยงชิดจะมีรสเปรี้ยว ส่วนมะปรางจะมีรสชาติเปรี้ยวอมหวานทั้งเปลือกและเนื้อใน

          - ผลมะยงชิดมีสีเหลืองออกส้ม ส่วนผลมะปรางจะมีสีเหลืองนวล หรือเหลืองออกทอง

          - รสชาติของมะยงชิดจะออกหวานเด่นกว่าเปรี้ยว แต่มะปรางจะมีรสเปรี้ยวนำหวานมากกว่า

คุณค่าทางโภชนาการของมะยงชิด

          ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย แสดงคุณค่าทางโภชนาการของมะยงชิดปริมาณ 100 กรัม หรือมะยงชิดประมาณ 3-4 ผล ดังนี้

          - พลังงาน 62 กิโลแคลอรี

          - น้ำ 85 กรัม

          - โปรตีน 0.5 กรัม

          - ไขมัน 0.3 กรัม

          - คาร์โบไฮเดรต 14.2 กรัม

          - ใยอาหาร 1.6 กรัม

          - เถ้า 0.3 กรัม

          - โซเดียม 2 มิลลิกรัม

          - โพแทสเซียม 137 มิลลิกรัม

          - แมกนีเซียม 6 มิลลิกรัม

          - แคลเซียม 1 มิลลิกรัม

          - ฟอสฟอรัส 13 มิลลิกรัม

          - เหล็ก 0.28 มิลลิกรัม

          - สังกะสี 0.10 มิลลิกรัม

          - ไอโอดีน 1.8 ไมโครกรัม

          - เบต้าแคโรทีน 207 ไมโครกรัม

          - วิตามินซี 25 มิลลิกรัม

          - น้ำตาล 13 กรัม

มะยงชิด สรรพคุณดีต่อสุขภาพไม่น้อย

          นอกจากรสชาติมะยงชิดจะหวานอร่อยแล้ว  สรรพคุณของมะยงชิดก็ดีต่อสุขภาพของเราไม่น้อย โดยเราจะไล่เลียงประโยชน์ของมะยงชิดต่อสุขภาพให้เห็นชัด ๆ ตามนี้

1. ต้านอนุมูลอิสระ

          มะยงชิดปริมาณ 100 กรัม หรือราว ๆ 3-4 ผล มีเบต้าแคโรทีนอยู่มากถึง 207 ไมโครกรัม ซึ่งเบต้าแคโรทีนก็จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่ได้จากผัก-ผลไม้ที่มีสีส้ม สีเหลือง มะยงชิดจึงมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระในตัวเอง อีกทั้งเบต้าแคโรทีนที่อยู่ในผลมะยงชิด ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงด้วยนะคะ

2. บำรุงสายตา

          เบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ กล่าวคือ เมื่อร่างกายได้รับเบต้าแคโรทีนเข้าไป ร่างกายจะเปลี่ยนเบต้าเคโรทีนเป็นวิตามินเอให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และสรรพคุณของวิตามินเอก็เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า มีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตา ดังนั้นมะยงชิดที่มีสารตั้งต้นของวิตามินเออยู่จำนวนไม่น้อย จึงมีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตาของเราไปด้วยนั่นเอง

3. ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน

          ในผลมะยงชิดมีวิตามินซีอยู่ด้วยนะคะ และวิตามินซีก็มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดเลือดออกตามไรฟัน อีกทั้งวิตามินซียังมีส่วนช่วยบำรุงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะโรคหวัดต่าง ๆ

4. เติมความสดชื่นให้ร่างกาย

          มะยงชิดเป็นผลไม้ที่มีเนื้อเยอะ ฉ่ำน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ กินแล้วช่วยเติมความสดชื่นให้ร่างกายได้อย่างทันทีเลยล่ะค่ะ

5. ช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูก

          สรรพคุณด้านนี้ต้องยกผลประโยชน์ให้แคลเซียมและฟอสฟอรัสในผลมะยงชิดเลยค่ะ เพราะทั้งแคลเซียมและฟอสฟอรัสเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อกระดูกมาก ๆ มีส่วนช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง พร้อมกันนั้นก็ช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน และโรคกระดูกเสื่อม

          นอกจากความอร่อยแล้ว มะยงชิดยังมีสรรพคุณไม่น้อยเลยนะคะ จัดว่าเป็นผลไม้ที่ควรค่าแก่การรับประทานจริง ๆ



06 เม.ย 61  ขอขอบคุณข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย 

270
สอบปากคำแพทย์หญิงเจ้าของคลินิกในฐานะพยาน ยังไม่มีความคืบหน้า อ้างเครียด เตรียมส่งหลักฐานไปสถาบันนิติเวชเพื่อตรวจหาดีเอ็นเอประกอบกับผลดีเอ็นเอจากซากทารก 4 ศพ

วันนี้ (19 ก .พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าหลังตำรวจกว่า 50 นาย พร้อมเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เข้าตรวจค้นคลินิกศรีสมัยการแพทย์ และบ้านพักอีก 4 แห่งเมื่อ 4 วันที่ผ่านมา ของแพทย์หญิงศรีสมัย (สงวนนามสกุล) เจ้าของคลินิกดังกล่าว และยังรับราชการนายแพทย์ระดับ 7 โรงพยาบาลหัวหิน ซึ่งได้ยึดหลักฐานต่างๆ เก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจภูธรหัวหินหลายรายการ ทั้งรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ 100 หมายเลขทะเบียน กษท ประจวบคีรีขันธ์ 261 ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ที่ นายสุวิทย์ อายุ 35 ปี ซึ่งเป็นชายในภาพวงจรปิดที่ขับขี่นำถุงดำออกจากคลินิก

นอกจากนั้น ยังมีเบาะ ผ้าขนหนู ถุงมือยางที่ใช้แล้ว รวมทั้งกรดเกลือ 2 แกลลอน ซึ่งได้ถูกใช้ไปบางส่วนแล้ว ยึดได้จากรีสอร์ตของแพทย์หญิงในตำบลทับใต้ ตลอดจนใบเวชระเบียน (ทะเบียนคนไข้ที่มาใช้บริการคลินิก) ทั้งนี้ ในส่วนของรถยนต์ที่แพทย์หญิงใช้ขนของอกจากคลินิกไปไว้ที่รีสอร์ตในตำบลทับใต้ ก็ต้องนำมาตรวจสอบเช่นกันซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการ

พ.ต.อ.สิทธิชัย ศรีโสภาเจริญรัตน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหัวหิน กล่าวว่า หลังจากวานนี้ในการเดินทางไปสอบปากคำแพทย์หญิงเจ้าของคลินิกในฐานะพยานในช่วงเย็นที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลหัวหิน ซึ่งแพทย์หญิงนอนพักรักษาตัวอยู่ตั้งแต่คืนวันที่มีการเข้าตรวจค้นคลินิก ถึงแม้ว่า 3 วันที่ผ่านมา จะพยายามเข้าไปสอบปากคำในฐานะพยานแต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก เนื่องจากาทีมพนักงานสอบสวนสอบปากคำได้เพียงนิดเดียว ทางแพทย์หญิงได้ขอพนักงานสอบสวนว่ารู้สึกอ่อนเพลีย มีอาการเครียด และขอพักผ่อน

พ.ต.อ.สิทธิชัย ศรีโสภาเจริญรัตน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหัวหิน กล่าวว่า การเข้าสอบปากคำแพทย์หญิงเจ้าของคลินิกในฐานะพยาน ถึงแม้จะยังไม่คืบหน้ามากนัก ซึ่งทางตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ได้พยามตรวจสอบลายนิ้วมือที่ยึดหลักฐานต่างๆ มาได้ ไม่ว่าจะเป็นเบาะ ถุงมือใช้แล้ว ผ้าขนหนู และสิ่งของอีกหลายรายการที่ยึดมาได้ โดยทางพิสูจน์หลักฐานได้แยกตรวจดีเอ็นเอ และจะส่งไปยังสถาบันนิติเวชเพื่อตรวจสอบกับดีเอ็นเอของซากทารกที่ส่งไปตรวจทั้งหมด ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ส่วนการสอบปากคำแพทย์หญิงทุกวันก็จะทำไปต่อเนื่อง ซึ่งหากการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ มีความชัดเจนเมื่อไหร่ตำรวจก็จะแจ้งข้อกล่าวหา แต่ตอนนี้ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหาใคร

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในส่วนของรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด หมายเลขทะเบียน กข 7149 ประจวบคีรีขันธ์ ที่แพทย์หญิงใช้ขนเบาะ ผู้ขนหนู ถุงมือ ถุงดำ กรดเกลือ และอื่นๆ ออกไปจากคลินิกศรีสมัยการแพทย์นั้น ทางตำรวจยอมรับว่ายังไงก็ต้องนำรถยนต์มาตรวจสอบด้วยแต่ขณะนี้นี้ยังไม่ได้ดำเนินการแต่อย่างใด

ขณะที่ประชาชนชาวหัวหินต่างวิจารณ์กันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่พบศพเด็กทารก 4 ศพตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา จนวันนี้เกือบ 1 สัปดาห์แล้ว ชาวบ้านเห็นว่ายังไม่มีอะไรคืบหน้าเห็นออกมาตอบกับสื่ออย่างเดียวว่า “สอบในฐานะพยาน” และเรื่องดังกล่าวก็ยังไม่เห็นทางกระทรวงสาธารณสุข ออกมาดำเนินการอะไรทั้ง ที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลหัวหิน จึงอยากเห็นตำรวจทำงานในคดีดังกล่าวให้มีความคืบหน้าไปมากกว่านี้เพราะสังคมจับตามมองอยู่

ขอขอบคุณ

 06 มี.ค 61 ข้อมูล : 77kaoded

หน้า: 1 ... 16 17 [18] 19