แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - patchanok3166

หน้า: 1 ... 15 16 [17] 18 19
241
อย. ยกเลิกให้ทะเบียนอัตโนมัติ “เครื่องสำอาง - อาหารเสริม” ผ่านระบบออนไลน์ เพิ่มเจ้าหน้าที่คัดกรอง เร่งออกกฎกระทรวงมาตรฐานโรงงานผลิตเครื่องสำอาง หลัง ก.ย. ยื่นผลิตเครื่องสำอางต้องเป็นโรงงานมาตรฐานตามฐานข้อมูล อย. พร้อมร่วมสภาอุตฯ แก้ปัญหาโลโก้ อย. ปลอม เล็งทำสำนวนร่วม ตร. เอาผิดคนเอี่ยว “เมจิกสกิน - ลีน” โทษสูงสุด ขู่ดารารีวิวสินค้าทำคนตาย เอาผิดถึงขั้นจำคุกด้วย การันตีเองต้องรับผิดชอบคำพูด

จากกรณีการจับกุมผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย “เมจิกสกิน” และ “Lyn” ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่น่าเชื่อถือของเลข อย. เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเลข อย. อยู่ในระบบจริง แต่ไม่ได้ผลิตตามสูตรหรือสถานที่ที่จดแจ้งไว้กับ อย.

วันนี้ (30 เม.ย.) นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงข่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์เป็นผลจากระบบเฝ้าระวังของ อย. ร่วมกับเครือข่าย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่ากระทบกับความเชื่อมั่นของผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในท้องตลาด อย่างไรก็ตาม ต้องชี้แจงว่าผลิตภัณฑ์สุขภาพส่วนใหญ่ยังคงปฏิบัติตตามกฎหมาย แต่ที่เป็นปัญหาจะมี 2 กลุ่มหลักๆ คือ 1. เข้ามาขออนุญาตอย่างถูกต้องกับ อย. แต่ผู้ที่ไม่สุจริตก็จะเอาเลข อย. ที่ได้ไปผลิตสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ เช่น ไม่ผลิตตามสถานที่แจ้งหรือเติมสารหรือลดสารที่ไม่เป็นไปตามสูตรที่แจ้งไว้กับ อย. และ 2. กลุ่มที่ลักลอบผลิตอยู่แล้ว แอบเปิดโรงงาน วัตถุดิบไม่ได้คุณภาพ ซึ่งขณะนี้มีการหารือร่วมกับสภาอุตสากรรมกลุ่มเครื่องสำอาง กลุ่มเสริมอาหาร และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อหามาตรการร่วมกันในการทำให้ระบบคุ้มครองผู้บริโภคเข้มแข็งขึ้น ซึ่งมีหลายข้อเสนอ เช่น เพิ่มโทษทางกฎหมาย การทบทวนการยื่นผ่านระบบออนไลน์ หรือ E-Submission เนื่องจากบางส่วนมองว่าทำให้คนไม่สุจริตได้เลข อย.ง่ายในการไปทำสินค้าไม่ได้มาตรฐาน

นพ.วันชัย กล่าวว่า ในส่วนของ อย. เองจะเพิ่มมาตรการภายใต้หลักการไมให้กระทบผู้ประกอบการที่ดี มี 3 เรื่องหลักๆ คือ 1. เพิ่มเจ้าหน้าที่ในการคัดกรองการยื่นขออนุญาตทางระบบ E-Submission ซึ่งที่ผ่านมาหากยื่นตรงตามหลักเกณฑ์ก็จะออกใบอนุญาตหรือเลข อย. แบบอัตโนมัติ โดยตั้งแต่ ก.ย. 2560 ได้ยกเลิกการให้ทะเบียนอัตโนมัติแล้ว และหลังจากนี้ จะเพิ่มเจ้าหน้าที่ในการคัดกรองอีก ใช้เวลาไม่เกิน 3 วัน เช่น ตั้งชื่อไม่เหมาะสม อ้างสรรพคุณไม่เหมาะสม ก็จะกรองออก และเมื่อมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็จะจับตามองผลิตภัณฑ์นั้นๆ

2. การออกกฎกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้ พ.ร.บ. เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ในการกำหนดมาตรฐานสถานที่ผลิตเครื่องสำอาง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนาม ซึ่งจะออกมาบังคับใช้ในช่วง มิ.ย. นี้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ทั้งจากส่วนกลางและภูมิภาคออกไปตรวจสอบตัวโรงงานทั้งหมด คาดว่า ใช้เวลา 3 เดือนจึงแล้วเสร็จ ในการขึ้นทะเบียนมาตรฐานโรงงานทุกระดับ ทั้งระดับเล็ก เช่น เป็นบ้านคน ซึ่งต้องมีห้องผลิต 2 ห้อง ในการผลิต ชั่ง ผสม บรรจุ การผลิตได้มาตรฐานก็ถืองว่าผ่าน ไปจนถึงระดับโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งการขอจดแจ้งผลิตเครื่องสำอางก็ต้องขออนุญาตผลิตจากสถานที่ผลิตที่เราขึ้นทะเบียนว่าได้มาตรฐานเท่านั้น ซึ่งจะเป็นการช่วยขจัดสินค้าด้อยคุณภาพออกไปจากตลาด ส่วนอาหารเสริมนั้นมีมาตรฐานสถานที่ผลิตตามกฎหมายอยู่แล้ว ทำให้ก่อนขอเลข อย. ให้ผลิตภัณฑ์ ต้องยื่นตรวจสอบโรงงานผลิตก่อน แต่ก็มักพบปัญหาตอนผลิตจริง บางส่วนจะแอบลอบใส่สารอื่นนอกเหนือจากที่จดแจ้งไว้

นพ.วันชัย กล่าวว่า และ 3. สร้างเครือข่ายผู้บริโภคในการร่วมตรวจสอบ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่แอบผลิต เนื่องจากเจ้าหน้าที่ อย. เองมีน้อย อย่างเจ้าหน้าที่ออกตรวจเครื่องสำอางของส่วนกลางมีแค่ 60 คน ส่วนของอาหารมีเพียง 8 คน ขณะที่เครื่องสำอางมีในระบบถึง 7 แสนรายการ เสริมอาหารมีในระบบกว่า 3 หมื่นรายการ และคนที่ตั้งใจทำผิดคงไม่ได้มาบอกก่อนว่าจะแอบผลิตหรือตั้งโรงงานตรงไหน จะเจอก็ตอนวางจำหน่ายแล้ว พลังของผู้บริโภค ทั้งประชาชน สื่อมวลชน เพจต่างๆ ก็จะช่วยตรงนี้ได้ โดยแจ้งเบาะแสหรือตรวจสอบเลข อย. ได้ผ่านสายด่วน 1556 ผ่านไลน์ “FDAThai” ผ่านแอปพลิเคชัน “oryor smart application” และเว็บไซต์ อย.

“ทั้งกรณีเมจิกสกิน และ Lyn อย. จะร่วมกับพนักงานสอบสวนในการทำข้อมูลเพื่อดำเนินคดีสูงสุด ตั้งข้อหาหนักที่สุดเพื่อให้เข็ดหลาบ ก็คือ โทษจำคุก นอกจากนี้ จะประสาน กสทช. ในการอำนวยความสะดวกให้ อย. เข้าไปตรวจสอบโฆษณาทุกชิ้น ซึ่งหากพบว่าไม่เหมาะสม กสทช. จะระงับทันที และในอนาคตจ่อขึ้นแบล็กลิสต์ผู้ประกอบการที่ทำผิดซ้ำๆ ไม่ให้ยื่นขอเลข อย. ได้อีก” นพ.วันชัย กล่าว

นพ.วันชัย กล่าวว่า สำหรับการรีวิวสินค้าของศิลปินดารา ย้ำว่า ถือเป็นการโฆษณาชัดเจน คนที่จะรีวิวต้องตรวจสอบให้ชัดเจน เพราะจะดูแค่ว่ามี อย. อย่างเดียวไม่ได้ เนื่องจากอย่างที่บอกว่ามีบางส่วนแม้จะขอเลข อย. จริง แต่ตอนผลิตไม่ได้ทำตามที่จดแจ้งไว้ ลอบใส่สารอันตรายอื่น ดังนั้น ขอแนะนำว่า หากได้รับการติดต่อให้มารีวิว ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมหรือเครื่องสำอาง ให้ติดต่อมายัง อย. ก่อน โดยอาจมาติดต่อเองหรือต้นสังกัดเข้ามาติดต่อก็ได้ว่า สินค้าตัวนี้ถูกกฎหมายหรือไม่ และใช้คำพูดตามที่เจ้าของสินค้าส่งมาให้แบบนี้ได้หรือไม่ ซึ่งจะช่วยป้องกันในการกระทำผิดกฎหมาย เพราะในส่วนของอาหารเสริมจำเป็นที่จะต้องขออนุญาตโฆษณาก่อน ซึ่งการเข้ามาติดต่อว่าจะโฆษณาด้วยคำพูดเช่นนี้ตามเจ้าของสินค้าส่งมา จะได้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการโฆษณาเกินจริง ทั้งอาหารเสริมและเครื่องสำอาง

“การจับกุมผลิตภัณฑ์เมจิกสกิน และ Lyn ถือเป็นการทลายสินค้าครั้งใหญ่ในรอบหลายปีของ อย. ซึ่งปรากฏการณ์ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการจัดระเบียบผู้มีชื่อเสียงในสังคมที่จะทำการรีวิว และทำให้ผู้บริโภคสินค้าเกิดความตื่นตัว โดยจะดำเนินการส่งหนังสือเตือนให้ระมัดระวังในการโฆษณาไปยังต้นสังกัดที่มีศิลปินดาราอีกครั้งหนึ่งภายใน พ.ค. นี้ ซึ่ง อย. เคยส่งไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี 2560 แต่ไม่ได้รับความสนใจ ซึ่งครั้งนี้จะส่งไปใหม่ เพราะกำลังอยู่ในความสนใจ เชื่อว่าโฆษณาเกินจริงจะหายไป” นพ.วันชัย กล่าวและว่า สำหรับหลังจากขอจดแจ้งและผลิตแล้ว อย.ก็จะมีระบบออกสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์ด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องเพิ่มโทษหรือไม่ นพ.วันชัย กล่าวว่า คิดว่าควรเพิ่มโทษ แต่การแก้กฎหมายต้องใช้เวลา อย่างไรก็ตาม ตัวบทกฎหมายปัจจุบันมีปรับตั้งแต่ 5 พันบาทถึงแสนบาท จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 2 - 3 ปี สิ่งที่ทำได้เลย คือ จะหาข้อมูลและสินค้าที่มีผลกระทบสูง จะทำสำนวนร่วมกับตำรวจตั้งข้อหาสูงสุดที่กฎหมายมีในปัจจุบันให้เข็ดหลาบ โดยเฉพาะกรณีดาราที่รีวิวสินค้าแล้วสินค้านั้นไปทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนการจะสังเกตดาราคนดังในเรื่องของการรีวิวนั้น หากยิ่งรีวิวหลายตัวให้น่าสงสัย โดยเฉพาะเครื่องสำอาง เพราะหนึ่งคนคงไม่มีใครใช้หลายตัว

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้เครื่องหมาย อย. ยังคงเชื่อถือได้หรือไม่ นพ.วันชัย กล่าวว่า เครื่องหมาย อย. เป็นที่เชื่อถือมานาน ประเทศโดยรอบก็เชื่อถือ แต่จาการที่เศรษฐกิจขยายตัว มีผู้ประกอบการไม่สุจริตมากขึ้นถือโอกาสเอาเครื่องหมาย อย. ไปหลอกลวง เครือข่ายสังคตมต้องช่วยกันให้เครื่องหมาย อย. เป็นเครื่องหมายที่มีคุณภาพ เป็นสมบัติสังคมร่วมกัน ไม่ให้เอาไปใช้ในทางที่ผิด ต้องทำให้ปลอมยากมากขึ้น ซึ่งทางสภาอุตสาหกรรมได้หารือว่าจะเข้ามาช่วย อย. ในการทำให้ตรา อย. ปลอมได้ยากที่สุด เพื่อไม่ให้เอาไปใช้หลอกคนอื่น ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่อยู่ระหว่างดำเนินการให้เร็วที่สุด

เมื่อถามถึงสินบนนำจับสินค้าผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย นพ.วันชัย กล่าวว่า ขอให้ประชาชนร่วมกันแจ้งเข้ามา เพราะหากมีการจับกุมและศาลพิจารณาตัดสินคดีแล้วสั่งปรับกี่บาท ซึ่งเงินค่าปรับนั้นจะแบ่งเป้น 80% ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งคนแจ้งเบาะแส เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการจับกุม โดยผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับสินบนนำจับ 1 ใน 4 ของ 80% นี้ ส่วนอีก 20% จะเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน

เมื่อถามถึงผลิตภัณฑ์ Lyn ที่พบข้างผู้เสียชีวิตในจังหวัดปราจีนบุรี เป็นล็อตเดียวกับที่ตรวจสอบที่ จ.ชลบุรีหรือไม่ นพ.วันชัย กล่าวว่า ดูจากเลขแล้วเป็นล็อตเดียวกับที่ประกาศที่ชลบุรี ส่วนขั้นตอนการเก็บผลิตภัณฑ์ก็พยายามตามเก็บอยู่ อย่างไรก็ตาม ซึ่งหลังจากพบว่าสินค้าผิดกฎหมายจะมีการประกาศไว้ในเว็บไซต์ อย. ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้น ผู้บริโภคสำคัญเมื่อทราบว่าเป็นผลิตภัณฑืที่ผิดกฎหมายแล้ว หากพบเห็นใครขายหรือวางอยู่ในท้องตลาดขอให้รีบแจ้ง อย. เพื่อจัดการให้หมด ส่วนผลิตภัณฑ์ Lyn นั้น ขอประกาศเลยว่าห้ามรับประทานทั้งหมด



30 เม.ย. 256  โดย: MGR Online

242
สภาการพยาบาลออกประกาศเตือน “พยาบาล” ทั่วประเทศ โฆษณา รีวิว หรือชักชวนให้ซื้อสินค้า ภายใต้เครื่องแบบ สัญลักษณ์ หรือแสดงตนว่าเป็นพยาบาล เข้าข่ายผิดจริยธรรมตามข้อบังคับ ด้าน สธ. เตือนบุคลากรสาธารรสุขโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพภายใต้เครื่องแบบ มีโทษทางวินัยด้วย


จากกรณีการจับกุมผลิตภัณฑ์เมจิกสกิน และ Lyn ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงบุคลากรทางการแพทย์บางส่วน ทั้งแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ ฯลฯ ที่มีการโฆษณาขายสินค้าหรือรีวิวผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ โดยทางแพทยสภาเตรียมเรียกสอบจริยธรรม นพ.ปิยะพงษ์ โหวิไลลักษ์ ที่ทำการโฆษณาสินค้าเครือข่ายเมจิกสกิน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาการพยาบาล ซึ่งดูแลสมาชิกพยาบาลทั่วประเทศ ได้ออกประกาศสภาการพยาบาล ลงวันที่ 30 เม.ย. 2561 เรื่อง สภาการพยาบาลถึงเพื่อนสมาชิก ระบุว่า จากข่าวในสื่อสังคมออนไลน์และสื่อต่างๆ เกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพทำการโฆษณา หรือขายสินค้าโดยอ้างอิงสรรพคุณที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ทำให้สภาการพยาบาลรู้สึกห่วงใยสมาชิกผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์เป็นอย่างมาก


อยากขอให้ช่วยกันบอกต่อและตักเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา พี่ๆ น้องๆ ในวิชาชีพ ว่า การโฆษณาสินค้า โดยใช้เครื่องแบบหรือสัญลักษณ์ของพยาบาล หรือแสดงตนว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ทำการชักชวนและแนะนำให้ผู้ป่วยหรือผู้อื่นใช้ หรือซื้อผลิตภัณฑ์ เพื่อผลประโยชน์แห่งตน อาจเข้าข่ายกระทำความผิดทางจริยธรรมตามข้อบังคับสภาการพยาบาล ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ.2550 และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาได้ โดยจะอ้างว่าไม่ทราบข้อกฎหมายหรือข้อบังคับของสภาการพยาบาลไม่ได้


นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องสำอาง ทางเว็บไซต์โดยใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง บุคคลที่น่าเชื่อถือ หรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งตามกฎระเบียบข้าราชการพลเรือน เจ้าหน้าที่ไม่สามารถโฆษณาหรือเป็นแบบการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพหรือการบริการ โดยเฉพาะการใส่เครื่องแบบหรือชุดที่แสดงให้เห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข จึงขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลหรือรีวิวสินค้า ในรูปแบบโฆษณาแฝงทางเว็บไซต์ออนไลน์ หรือออฟไลน์ ซึ่งการใช้ตำแหน่งหน้าที่โฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอาจผิดวินัยข้าราชการพลเรือน


“กรณีอาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบตามมาตรา 83(3) และอาจเป็นความผิดทางวินัย กรณีข้าราชการกระทำการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาผลประโยชน์ซึ่งอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน ทำให้ประชาชนไม่ศรัทธาและไม่ให้ความร่วมมือกับทางราชการตามมาตรา 83(5) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 โดยจะต้องให้กลุ่มเสริมสร้างวินัยและระบบคุณธรรมพิจารณาเป็นกรณีไป ทั้งนี้ ขอเตือนประชาชนให้เลือกซื้อสินค้าจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากสายด่วน อย. 1556 , Oryor Smart Application ,Line : FDAthai หรือเว็บไซต์ fda.moph.go.th สำหรับบริการสุขภาพและคลินิกทุกประเภทให้ตรวจสอบที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพที่ 02-193-7000” นพ.โอภาส กล่าว




เผยแพร่: 1 พ.ค. 2561 โดย: MGR Online

243
นายกสภาเภสัชกรรม ออกประกาสเตือน “เภสัชกร” โฆษณา รีวิว ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย เข้าข่ายผิดจริยธรรม หากตรวจพบพร้อมเอาโทษทางจริยธรรมอย่างเด็ดขาด


วันนี้ (2 พ.ค.) ภก.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี นายกสภาเภสัชกรรม ลงนามในประกาศสภาเภสัชกรรมที่ 12/2561 เรื่อง การกระทำที่เข้าข่ายเป็นการโฆษณาหรือการทำ “รีวิว” ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายทางสื่อต่างๆ ใจความว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า มีผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมได้มีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการโฆษณาหรือการทำ “รีวิว” ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายทางสื่อต่างๆ ทำให้กลุ่มประชาชนผู้บริโภคเข้าใจผิด ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภคทั่วไปนั้น การกระทำดังกล่าว นอกจากจะเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 แล้ว ยังถือเป็นการกระทำความผิดทางจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรมภายใต้ข้อบังคับสภาเภสัชกรรมว่าด้วยจรรยาบรรณฯ พ.ศ. 2538 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2546 อีกด้วย


สภาเภสัชกรรมมีความกังวลต่อสมาชิกผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ขอให้ช่วยกันส่งข่าวว่า การกระทำดังกล่าว อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดต่อจรรยาบรรณได้ ซึ่งหากสภาเภสัชกรรมตรวจพบการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวแล้ว สภาเภสัชกรรมจะต้องดำเนินการทางจรรยาบรรณฯ ต่อสมาชิกผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน


นอกจากนี้ ในประกาศยังระบุถึงกรอบหรือเกณฑ์การกระทำที่เข้าข่ายการกระทำความผิดของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมโดยสังเขป โดยระบุว่า ข้อบังคับสภาเภสัชกรรม ว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. 2538 ข้อ 9 ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต้องไม่หลอกลวงหรือให้คำรับรองอันเป็นเท็จ หรือให้ความเห็นโดยไม่สุจริตในเรื่องใดๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่แก่สาธารณชนหรือผู้มารับบริการ ให้หลงเข้าใจผิดเพื่อประโยชน์ของตน ข้อ 15 ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต้องไม่โฆษณา ใช้ จ้าง หรือยินยอมให้ผู้อื่นโฆษณาการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของตน หรือ ของผู้อื่น


ข้อบังคับสภาเภสัชกรรม ว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2546 ข้อ 30 ผู้ประกอบวิชาชีพที่เป็นผู้ให้ความรู้เรื่องยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ในลักษณะต่างๆ และโดยสื่อต่างๆ ต้องพึงระวังมิให้การกระทำดังกล่าวของตน หรือให้ผู้อื่นนำการกระทำดังกล่าวไปทำให้เข้าใจว่า ส่งเสริมหรือสนับสนุน ผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องที่ให้ความรู้นั้น




เผยแพร่: 2 พ.ค. 2561    โดย: MGR Online

244
 เชื่อได้เลยว่า หลายๆ คน คงจะชอบเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน อยู่ไม่มากก็น้อย อาจจะเป็นเพราะว่าความเคยชิน ต้องการอัปเดตอะไรบางอย่าง หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ทราบหรือไม่ว่า พฤติกรรมดังกล่าว อาจจะก่อให้เกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคเบาหวาน หรือ โรคความดันโลหิตสูง ได้


โดยข้อมูลดังกล่าว ทางแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยว่า การเล่นโทรศัพท์มือถือก่อนนอนนั้น จะมีแสงสีฟ้า หรือ Blue Light ที่ส่งผลกระทบในการผลิตสารเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นสารที่ควบคุมการหลับและการตื่น ดังนั้น การเล่นโทรศัพท์ก่อนนอนมากกว่า 2 ชั่วโมง จะส่งผลให้เกิดการนอนไม่หลับ หรือ หลับไม่สนิทได้ เนื่องจากการได้รับแสงสีฟ้าในเวลากลางคืน จะทำให้สมองคิดว่าช่วงเวลาดังกล่าว ยังคงเป็นเวลากลางวัน ซึ่งจะทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ และส่งผลกระทบต่อสายตาอีกด้วย


ซึ่งผลกระทบที่เกิดจากนอนไม่หลับ หรือ พักผ่อนไม่เพียงพอ นั้น ก็มีหลายปัจจัยเช่นกัน ได้แก่ ร่างกายอ่อนล้าในตอนกลางวัน ระบบความจำมีปัญหา รวมไปถึงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอันเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย อาทิเช่น การวูบหลับในขณะใช้รถใช้ถนน หรือใช้เครื่องจักร อีกทั้งยังทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานไม่เต็มที่ อาจทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือเกิดภาวะอ้วนตามมา รวมไปถึงเสี่ยงในการใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์เพื่อช่วยในการนอนหลับอีกด้วย



โดยแพทย์หญิงพรรณพิมล ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าเพื่อสุขภาพที่ดีควรงดเล่นโทรศัพท์มือถือก่อนเข้านอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับการทำงานของดวงตาเข้าสู่พักผ่อน ซึ่งหากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้โทรศัพท์มือถือก่อนนอน ควรใช้อุปกรณ์ที่สามารถป้องกันแสงสีฟ้า เช่น แผ่นกรองแสงถนอมสายตาจากแสงสีฟ้า หรือ แอพลิเคชั่นที่ช่วยตัดแสงสีฟ้า เป็นต้น เพื่อถนอมสายตาและทำให้นอนหลับได้ดีนั่นเอง





 26 เม.ย. 2561 โดย: MGR Online

245
หนุ่มๆ สาวๆ เคยไหมครับ ดื่มหนักไปหน่อย พอตื่นเช้ามามึนตึบ วินเวียน บางครั้งหนักกว่านั้นถึงขั้นลุกไม่ขึ้นกันเลย อาการแบบนี้มาจากการผลของการดื่มแอลกอฮอล์ หรือเรียกว่าอาการ แฮงค์ นั่นเอง


วันนี้สำหรับใครที่แฮงค์บ่อยๆ เรามีอาหารที่สามารถบรรเทาอาการเมาค้างได้มาฝาก ลองไปหากินกันดูนะครับ ดื่มครั้งต่อไปจะได้แฮงค์น้อยลง


1.สตรอเบอร์รี่

ไม่ต้องเป็นสตรอเบอร์รี่ลูกโตๆ นำเข้าจากต่างประเทศก็ได้ เอาที่หาซื้อง่ายๆ ด้วยรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ และวิตามินซี ที่อยู่ในสตรอเบอร์รี่ จะทำให้อาการเมาค้างของคุณทุเราลงได้ แต่หากไม่อยากกินแบบสดๆ เอาไปปั่นทำเป็นสมูทตี้ก็จะดีไม่น้อย ยิ่งผสมน้ำกีวีเข้าไปด้วย เขาว่ากันว่าสูตรนี้จะแก้เมาได้ดีมากๆ เลย


2..เครื่องดื่มวิตามิน

เครื่องดื่มประเภทนี้เดี๋ยวนี้หาซื้อได้ง่ายมากมีทั้งในร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อ หากคุณรู้ตัวว่าจะต้องออกไปลั่นลาควรหาซื้อมาดื่มไว้ก่อนนะครับครับ เพราะเครื่องดื่มชนิดนี้จะมีวิตามินบีและวิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยลดอาการแฮงก์และอาการปวดหัวได้


3.ช็อคโกแลต

ถ้าที่บ้านบังเอิญไม่มีผลไม้ติดไว้เลย แต่มีช็อกโกแลต คุณสามารถแก้แฮงค์ ได้ด้วยช็อกโกแลตนี่ล่ะครับ เพราะด้วยคุณสมบัติทำให้สมองตื่นตัว กระฉับกระเฉง เมื่อกินเข้าไปก็เลยฟินเบาๆ อ๋อ เกือบลืมบอกไป ถ้าไม่อยากมานั่งแก้แฮงค์หลังปาร์ตี้หนักๆ ลองทาน ช็อกโกแลตปิดท้ายดูสิครับ เขาว่ามันช่วยให้ไม่แฮงค์ได้ดี


4.ขนมปังโฮลวีตหรือซีเรียล

ขนมปังโฮลวีต เป็นขนมปังที่อุดมไปด้วยธัญพืชนานาชนิด ถ้ากินยามเช้าหลังจากที่แฮงค์ จะช่วยดูดซึมแอลกอฮอล์ในร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าไม่มีขนมปังโฮลวีต ลองมองหาซีเรียลธัญญาหารมากินกับนมไขมันต่ำ ก็ถือเป็นการให้พลังงานที่ดีแก่ร่างกาย เพราะบ้างครั้งเรามึนเพราะร่างกายต้องการอาหารนั่นเอง


5.แตงโม

ผลไม้ที่เหมาะๆ สุดในหน้าร้อนแบบนี้ หาซื้อก็ง่ายมีทั้งที่ตลาด และซุปเปอร์มาเก็ต ใครรู้ตัวว่ายังไงก็ต้องไปปลดปล่อยนอกบ้าน ซื้อมาติดตู้เย็นไว้เลยนะครับ เพราะแตงโม มีสารสำคัญที่ชื่อ Citrulline ในเนื้อ และในเม็ด มีสรรพคุณ ช่วยแก้กระหายน้ำและ ถอนพิษสุรา ร้อนๆ มึนๆ ดับด้วย แตงโมแช่เย็นครับ


6.น้ำสมุนไพรไทย

ถ้าเกิดอาการคลื่นเหียนอยากอาเจียน ลองชงน้ำขิงดื่มดู เดี๋ยวนี้เขามีขิงผงสำเร็จรูปขายกัยเยอะแยะ นอกจากนี้น้ำกระเจี๊ยบ สมุนไพรของไทยเรานี่ก็ช่วยได้ ดื่มน้ำกระเจี๊ยบเย็นๆ รสเปรี้ยวชุ่มฉ่ำ ช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้ไม่ยาก หรือถ้ายังไม่หายล่ะก็แนะนำ น้ำเก็กฮวย ถ้าโลกหมุน ปวดและวิงเวียนศีรษะ เพราะเก็กฮวยมีสรรพคุณช่วยลด อาการปวดเวียนได้



25 เม.ย. 61  โดย Sanook.com

246
 หมอมะเร็งจุฬาฯ จี้ สธ.บอกผลวิจัย "สมุนไพร" สูตรแสงชัยให้ชัด ช่วยคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างไร หวั่นสังคมเข้าใจคลาดเคลื่อน แจงวิจัยในหลอดทดลองฆ่าเซลล์มะเร็งไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะวิจัยในมนุษย์ต่อ ห่วงกรมแพทย์แผนไทยฯ ให้ใบรับรองหมอพื้นบ้าน ทั้งที่ยังไม่รู้ผลของสมุนไพร และยังให้แจกต่อทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ผล


จากกรณีผลวิจัยประสิทธิภาพของสมุนไพรสุตรหมอแสง หรือนายแสงชัย แหเลิศตระกูล จ.ปราจีนบุรี โดยพบว่า ไม่มีผลในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง 7 ชนิดในระดับหลอดทดลอง ซึ่งนายแสงชัยยืนยันจะเดินหน้าแจกสมุนไพรต่อไป และไม่มีการชี้แจงต่อประชาชน โดยอ้างว่าจะประชาชนอยากรู้ว่าจะแจกสมุนไพรต่อหรือไม่มากกว่าอยากรู้ผลวิจัย


วันนี้ (25 เม.ย.) รศ.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ โรคมะเร็งครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในฐานะอุปนายกสมาคมมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ควรต้องประกาศให้ชัดเจนว่าไม่ได้ผล คือ ไม่ได้ผล เพราะหากบอกว่ามีผลในเรื่องของคุณภาพชีวิตก็ต้องมีผลในเรื่องการศึกษาหรือเปรียบเทียบให้ชัดว่า ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างไร เพื่อให้สาธารณะทราบข้อเท็จจริงอย่างแท้จริง เช่น มีการเปรียบเทียบระหว่างกินกับไม่กิน ผลเป็นอย่างไร ส่วนที่ระบุว่า อาจทำให้มีผลต่อสภาพจิตใจ ทำให้มีกำลังใจ นั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าเซลล์มะเร็งไม่ได้ตายหรือหายไป ดังนั้น การจะมาพูดว่าทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นก็ต้องพูดให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นสังคมอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน


"การจะพูดว่าอาการดีขึ้นจากการรับประทานสมุนไพรนั้น วัดได้ยาก หากไม่มีผลการศึกษาที่ชัดเจน เพราะอาจเป็นผลดีที่สืบเนื่องจากการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันอยู่แล้ว หรือคนไข้เพิ่งผ่านการรักษาจนจบคอร์ส ทั้งการฉายแสง การทำคีโมบำบัด และเมื่อมารับประทานสมุนไพรก็อาจดีขึ้น เนื่องจากฟื้นตัวแล้ว ตรงนี้จึงบอกไม่ได้ว่า เป็นผลดีจากอะไรกันแน่ ซึ่งกรณีที่นายแสงชัยบอกว่า หลายคนกินแล้วดีขึ้น ก็ต้องมีตัวชี้วัดว่าดีเพราะอะไร" รศ.นพ.วิโรจน์กล่าว


ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายแสงชัยจะยังแจกสมุนไพรต่อไป เพราะเป็นแค่การวิจัยในหลอดทดลอง ไม่ได้ทดลองในมนุษย์ รศ.นพ.วิโรจน์ กล่าวว่า หลักของการศึกษาวิจัยต้องเริ่มจากหลอดทดลองในห้องปฏิบัติการ หากไม่ส่งผลใดๆ ก็จบ เพราะหากไม่ส่งผลแล้วก็ไม่จำเป็นต้องศึกษาวิจัยในมนุษย์ หรือที่เรียกว่าในระดับคลินิก แต่หากส่งผลดีก็จะวิจัยต่อในมนุษย์ และการจะทดสอบในมนุษย์ก็ต้องผ่านคณะกรรมการจริยธรรมในมนุษย์ด้วย แต่สำหรับนายแสงชัยไม่ได้มีตรงนี้ และพฤติกรรมการแจกสมุนไพร แม้จะบอกว่าเป็นแคปซูล ไม่ได้บอกว่าเป็นยา แต่พฤติกรรมมีการแจก และยังจดรายละเอียดผู้ป่วย ซึ่งพฤติกรรมเหมือนหมอ แต่ไม่มีใบประกอบโรคศิลปะ แบบนี้ไม่ถูกต้อง ที่สำคัญกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กลับให้ใบรับรองหมอพื้นบ้านถึงจะบอกว่า แค่รับรองภูมิปัญญา แต่ก็ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี ดูความเหมาะสมหรือไม่ เพราะกรณีนี้มีการแจก มีคนไปต่อคิวรับจำนวนมาก และไม่มีทางทราบเลยว่า ใครรับประทานไปแล้วผลหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร


“เรื่องนี้ต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบ อย่าง สธ.ถือเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลเรื่องนี้ และควรต้องมีข้อบังคับ หรือกฎหมายอะไรหรือไม่ มิเช่นนั้น ในอนาคตก็จะมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นอีก มีคนไปรอรับคิวสมุนไพร หรืออะไรก็ตามที่อาจบอกว่ารักษาโรคนั้นโรคนี้ได้ ยิ่งโรคมะเร็งยิ่งน่ากลัว และพอเขามาขอยื่นใบรับรอหมอพื้นบ้านก็ให้หมด และพอตรวจสอบสารออกฤทธิ์แล้วไม่พบประสิทธิภาพ แต่ก็ยังให้แจกต่อไปอีก แบบนี้ความเสี่ยงก็อยู่ที่ประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการควบคุมให้ดีหรือไม่" รศ.นพ.วิโรจน์ กล่าว




25 เม.ย. 2561  โดย: MGR Online

247
“กาแฟ” ถือได้ว่าเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่นิยมดื่มกันทั่วโลก เนื่องจากดื่มแล้วจะช่วยให้กระชุ่มกระชวย กระปรี้กระเปร่า ตื่นตัว แต่ในทางกลับกันหากดื่มมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุที่จำเป็นเหล่านี้…

1.แคลเซียม

การดื่มกาแฟมากเกินไปจะทำให้สูญเสียแคลเซียมได้ เพราะเนื่องจากแคลเซียมจะถูกขับออกไปพร้อมกับปัสสาวะที่เป็นผลจากฤทธิ์ของคาเฟอีน และหากยิ่งได้รับคาเฟอีนมากจะทำให้สูญเสียมวลกระดูกมากตามไปด้วย ซึ่งนักวิชาการได้สำรวจผู้ดื่มกาแฟ โดยพบว่ามีบุคคลจำนวน 90% ดื่มกาแฟแล้วจะมีการขับถ่ายแคลเซียมออกมากับปัสสาวะเป็น 1 เท่าของผู้ที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ และยิ่งในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนด้วยแล้ว หากดื่มกาแฟมากเกินไปจะยิ่งทำให้เป็นโรคกระดูกผุได้ง่าย ทั้งนี้ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเสริมให้กับร่างกายเป็นประจำ

อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ บรอกโคลี, คะน้า, ข้าวโอ๊ต, ปลา, เต้าหู้, ถั่วขาว, ถั่วแระ, เมล็ดงา, อัลมอนด์, นมถั่วเหลือง, นมจืด เป็นต้น



2.แมกนีเซียม

คนที่ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำจะกระตุ้นให้ไตขับแมกนีเซียมออกจากร่างกายในปริมาณมาก ซึ่งแมกนีเซียมมีความจำเป็นต่อการทำงานของเส้นประสาท และกล้ามเนื้อ ถ้าหากร่างกายขาดแมกนีเซียมจะทำให้นอนหลับยาก สมาธิสั้น เป็นตะคริว ตาหรือกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก ไม่สามารถบังคับอวัยวะต่างๆ ให้เคลื่อนไหวตามต้องการได้ เนื่องจากมีการผิดปกติของระบบประสาท กล้ามเนื้อ ระบบทางเดินอาหารและการย่อยผิดปกติ เลือดแข็งตัวช้า ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ ฯลฯ เป็นต้น

อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง ได้แก่ ข้าวกล้อง, ปลาทู, กล้วย, อัลมอนด์, อะโวคาโด, โยเกิร์ตไม่มีไขมัน


3.สังกะสี

การดื่มกาแฟมากเกินไปจะมีผลต่อการดูดซึมธาตุสังกะสี เนื่องจากคาเฟอีนจะมีผลต่อการดูดซึมและขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุดังกล่าวได้ ซึ่งหากร่างกายขาดสังกะสีมักจะแสดงออกมาด้วยอาการทางผิวหนัง เช่น ผิวหยาบกร้าน ผิวแห้งลอกไม่มีความชุ่มชื้น ขนตามร่างกายร่วง ผิวหนังเป็นรอยเขียวฟกช้ำได้ง่าย มีการอักเสบระคายเคืองที่ผิวหนัง และยิ่งผู้หญิงที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรการขาดธาตุสังกะสีจะส่งผลไปถึงการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของลูกน้อยได้



โดยในแต่ละวัยควรได้รับสังกะสี ดังนี้

-เด็กอายุระหว่าง 1-10 ปี ควรได้รับวันละ 10 มิลลิกรัม
-เด็กวัยรุ่นอายุ 11-22 ปี ควรได้รับ 15 มิลลิกรัม
- ผู้ใหญ่อายุ 23-51 ปี ควรได้รับวันละ 15 มิลลิกรัม
-หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรได้รับวันละ 20-25 มิลลิกรัม



อาหารที่มีธาตุสังกะสีสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์, ตับ, อาหารทะเลโดยเฉพาะหอยนางรม เป็นต้น


4.ธาตุเหล็ก

เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างยิ่ง มีความสำคัญต่อการผลิตเฮโมโกลบินส่วนประกอบที่สำคัญของเม็ดเลือดแดง, ไมโอโกลบินที่เป็นเม็ดสีแดงในกล้ามเนื้อ และเอนไซม์บางชนิด ซึ่งหากร่างกายขาดธาตุเหล็กจะส่งผลให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ปวดศีรษะ หน้ามืด วิงเวียน ตัวซีด ใจสั่นได้ง่าย นำไปสู่โรคโลหิตจางได้ เป็นต้น โดยกาแฟเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลงได้ถึง 35%

อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์, อาหารทะเล, ไข่แดง, เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อแดง, ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ, ธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี, ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ผักบุ้ง บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น

หมายเหตุ

-หากคุณเป็นบุคคลหนึ่งที่ติดกาแฟอย่าลืมทานอาหารที่มีแร่ธาตุข้างต้นเสริมเข้าไปอย่างเด็ดขาด!
-การดื่มกาแฟในปริมาณที่ไม่มากเกินจนไป คือต้องดื่มไม่เกินวันละ 1-2 แก้ว (โดย 1 แก้ว = 150 มิลลิลิตร มีคาเฟอีน 80 มิลลิกรัม)
- ต้องได้รับคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายน้อยกว่า 200 มิลลิกรัมต่อวัน






23 เม.ย. 2561   โดย: MGR Online

248
สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ เผยโรคท้าวแสนปมเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ไม่ใช่โรคติดต่อ สามารถอยู่ร่วมกับผู้ป่วยได้ตามปกติ วอนสังคมอย่ารังเกียจ ควรให้กำลังใจเพื่อให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตในสังคม ได้อย่างปกติ


แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคท้าวแสนปมเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นได้บ่อย พบอัตราการเกิดโรคจากประชาชน 2,500 คน พบผู้ป่วยได้ 1 คน ซึ่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสการเกิดโรคเท่ากัน โดยมีอาการก้อนขึ้นตามผิวหนัง อาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่มาก ร่วมกับมีปานสีน้ำตาลขนาดค่อนข้างใหญ่ และรักแร้ตกกระ



โรคท้าวแสนปมก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนกับอวัยวะต่างๆ ได้หลายอวัยวะ เช่น กระดูกสันหลัง ระบบตา ระบบข้อ โรคไต ความดันโลหิตสูง มะเร็ง อาการทางประสาท เช่น ลมชัก ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคท้าวแสนปมที่ได้ผลดี จะเน้นการรักษาตามอาการและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนเป็นหลัก ได้แก่ การตรวจทางจักษุวิทยา การตรวจคัดกรองมะเร็ง และการตรวจวัดความดันโลหิตทุกปี สำหรับการรักษาก้อนตามผิวหนังจะขึ้นกับตำแหน่งและจำนวนก้อนที่เป็น หากเป็นก้อนเดี่ยวหรือมีจำนวน ไม่มากและอยู่ในบริเวณที่ผ่าตัดได้ แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยวิธีการผ่าตัดออก แต่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีก โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อขอให้ประชาชนอย่างได้รังเกียจ ควรให้กำลังผู้ป่วยเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้ตามปกติ


ดร.นายแพทย์เวสารัช เวสสโกวิท ที่ปรึกษาผู้อำนวยการด้านวิชาการ สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าโรคท้าวแสนปมเกิดจากการกลายพันธุ์ในยีน การกลายพันธุ์จะทำให้โปรตีนที่มีหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับเนื้อเยื่อของเส้นประสาทผิดปกติทำให้เกิดการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อตามแนวเส้นประสาท และเกิดการ กดทับเส้นประสาท อาจมีอาการเจ็บ การรับรู้การสัมผัส หรือการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ โรคท้าวแสนปมมีการถ่ายทอดพันธุกรรมแบบเด่น คือ หากผู้ป่วยมีบุตร บุตรจะมีโอกาสเป็นโรคเดียวกันได้ถึงร้อยละ 50 นอกจากนี้ยังสามารถพบได้จากความผิดปกติของยีนในร่างกาย ซึ่งไม่ได้รับมาจากบิดามารดาโดยตรง ถึงร้อยละ 50 ของผู้ป่วยทั้งหมด




21 เม.ย. 61 ข้อมูล :สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

249
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ชวนประชาชนกินผัก ผลไม้กลุ่มที่มีสรรพคุณต้านตะคริว หลังพบเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาการเสียชีวิตจากการจมน้ำ เกิดจากอาการตะคริว

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ฤดูร้อนจะพบข่าวการจมน้ำเสียชีวิตบ่อย ๆ เนื่องจากการลงเล่นน้ำในแม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง ถือว่าเป็นวิธีการช่วยดับความร้อนอีกได้อีกวิธีหนึ่ง จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2561 ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 22 มีนาคม 2561 ช่วงระยะเวลาแค่เดือนกว่าๆ พบเด็กจมน้ำเสียชีวิตแล้ว 26 ราย สาเหตุของการจมน้ำส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการเป็นตะคริวใต้น้ำ อาการตะคริวคือ การเกร็งตัว ทำให้มีอาการปวดและเป็นก้อนแข็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดฉับพลันและเป็นอยู่เพียงชั่วขณะก็จะทุเลาไปได้เอง อาจเกิดที่กล้ามเนื้อส่วนใดๆ ของร่างกายก็ได้ แต่ที่พบบ่อย ได้แก่ กล้ามเนื้อน่องและต้นขา อาจมีอาการขณะออกกำลังกาย ขณะเดิน ขณะนั่งพักหรือนอนก็ได้ พบได้ทุกวัย ส่วนตะคริวที่เป็นตอนกลางคืนพบบ่อยในคนวัยกลางคนและสูงอายุ สาเหตุการเกิดอาการตะคริวไม่ทราบแน่ชัด แต่มักเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป การออกกำลังกายที่ใช้แรงหรือออกกำลังกายติดต่อกันนานๆ เช่น วิ่งทางไกล ว่ายน้ำ เล่นกีฬา หรือเกิดจากภาวะเกลือแร่ เช่น โซเดียม โพแตสเซียม แคลเซียม แมกเนเซียม ในเลือดต่ำ ภาวะการณ์ตั้งครรภ์ร่างกายขาดแคลเซียม หรือการใช้ยาขับปัสาวะ ยาขยายหลอดลม ก็ส่งผลต่อการเกิดตะคริวได้

ทางที่ดีการเตรียมความพร้อมของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ถือว่าเป็นความไม่ประมาท ซึ่งทำได้หลายวิธี ในที่นี้จะแนะนำให้เห็นประโยชน์ของการบริโภคผัก ผลไม้ กลุ่มที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย เพิ่มเกลือแร่ให้ร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการตะคริวได้อีกทางหนึ่ง ได้แก่ กลุ่มสมุนไพรที่มีสารโพแทสเซียม แมกนีเซียมและแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ มะเขือเทศ ส้ม แคนตาลูป รวมถึงผักต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย มีส่วนช่วยเสริมเกลือแร่ให้เพียงพอ  ลดความเสี่ยงต่อการจมน้ำเสียชีวิตในหน้าร้อนได้ และเมื่อเกิดอาการตะคริวการช่วยเหลือในเบื้องต้น คือ การยืดเหยียดบริเวณที่ปวดเป็นก้อนที่เกิดจากกล้ามเนื้อ หดเกร็ง โดยใช้น้ำมันไพลหรือสมุนไพรฤทธิ์ร้อนซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันไพลแบบที่ใช้ง่าย สะดวก รูปแบบสเปรย์ฉีดพ่น นวดเบาๆ จะช่วยคลายกล้ามเนื้อได้ดี

การรับประทานผลไม้ดังกล่าวให้ได้ผลดี ควรเลือกรับประทาน "กล้วยน้ำว้าห่าม" ที่มีรสฝาดออกหวาน จะช่วยบำรุงร่างกาย เนื่องจากกล้วยห่ามมีแคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียมสูง สรรพคุณช่วยชดเชยโพแทสเซียมแก่ร่างกายมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อกล้วยเป็นผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงซึ่งจะถูกย่อยและดูดซึมได้อย่างรวดเร็วช่วยเพิ่มกากใยที่ช่วยในการขับถ่ายรวมทั้งเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้จึงควรรับประทานกล้วย วันละ 2-4 ผล เพื่อป้องกันภาวะขาดเกลือแร่จนเป็นสาเหตุของตะคริว ไม่แนะนำในกลุ่มป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งอาจต้องควบคุมปริมาณการรับประทานตามแพทย์สั่ง



21 เม.ย. 61 ข้อมูล :กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

250
การเปิดปาก บอกอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด ไม่ได้หมายถึงแค่บอกสุขภาพฟัน หรือบอกทัศนคติเมื่อคุณเปิดปากพูด แต่หมายถึง ภายในช่องปากของคุณ สามารถบอกโรคภัยหรือสุขภาพร่างกายของคุณได้แบบแม่นๆ ด้วย

แซลลี เครม (Sally Cram) ทันตแพทย์จากสมาคมทันตกรรมอเมริกันกล่าวว่า “ระบบร่างกายทั้งหมดล้วนเชื่อมโยงกัน บางอย่างที่คุณเห็นในช่องปาก สามารถเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า อาจมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นในร่างกาย” ซึ่งมีตั้งแต่โรคอย่างเบาหวาน กรดไหลย้อน ไปจนถึงโรคที่รุนแรงจนคุณนึกไม่ถึง

และนี่คือโรคที่ทันตแพทย์ของคุณสามารถสังเกตได้จากช่องปาก

1.เบาหวาน (Diabetes) แทบไม่มีส่วนใดของร่างกายหนีผลกระทบจากเบาหวานไปได้ ในช่องปากของคุณก็เช่นกัน สิ่งบ่งชี้ที่โดดเด่นของโรคนี้ก็คือ ลมหายใจซึ่งจะออกมามีกลิ่นคล้ายผลไม้ อันเป็นผลมาจากร่างกายเผาผลาญไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทนน้ำตาล นอกจากนี้ผู้เป็นเบาหวานยังมีความเสี่ยงสูงที่จะมีภาวะปริทันต์อักเสบ ซึ่งมีอาการเหงือกบวม เจ็บ และมีเลือดออก รวมไปถึงอาการอย่างโรคเริมที่ริมฝีปากและปากแห้ง อันเป็นผลจากการติดเชื้อราในปากและลำคอ (อันที่จริงเชื้อเหล่านี้มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว แต่อาการของเบาหวานทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เชื้อจึงขยายตัวและลุกลามได้ง่าย)

2.กรดไหลย้อน (Gerd) อาการกรดไหลย้อน เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการเสียดท้อง แสบหน้าอก กรดที่ไหลกลับขึ้นมายังนำไปสู่กลิ่นปาก แผลเปื่อยและปากแห้งรวมถึงกรดยังทำร้ายเคลือบฟันของคุณให้กร่อนได้ด้วย อันที่จริงอาการกรดไหลย้อนนั้นระบุด้วยการสังเกตอย่างเดียวทำได้ยาก แต่ทันตแพทย์จะบอกคุณได้ชัดเจนมากขึ้น หากรู้ว่าคุณกำลังทานยาอะไรอยู่ในช่วงนั้น ดังนั้นจะเป็นการดีหากบอกหมอว่า คุณกำลังทานยาตัวไหนอยู่ แม้จะไม่ใช่ยาที่แพทย์สั่งจ่ายก็ตาม

3.มะเร็ง หมอฟันไม่ใช่แค่ตรวจได้ว่าคุณมีฟันผุหรือใช้ไหมขัดฟันได้ถูกต้องหรือเปล่าเท่านั้น แต่ยังสามารถสังเกตอาการที่บ่งชี้ถึงโรคมะเร็งได้ด้วย ไม่ว่าจะมะเร็งส่วนศีรษะ คอ ภายในช่องปากและลำคอด้านใน โดยคุณหมอจะสังเกตความผิดปกติจากจุดสีแดงหรือขาว บาดแผล ตุ่ม ก้อน อาการบวม ที่เป็นสัญญาณผิดปกติภายในช่องปากและส่วนแก้ม รวมถึงยังสามารถสังเกตต่อมน้ำเหลือบริเวณคอ ซึ่งสะท้อนอาการเจ็บป่วยได้ในหลายกรณี รวมถึงโรคมะเร็งด้วย ดังนั้น หากคุณไปหาหมอฟัน ก็สามารถพูดคุยถึงความผิดปกติต่างๆ ในช่องปากที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะหากอาการนั้นกินระยะเวลาเกินสองสัปดาห์ขึ้นไป

44.กระดูกพรุน (Osteoporosis) กระดูกพรุนคือการที่มวลกระดูกบางลง เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อาการของกระดูกพรุนไม่ได้มีการเดินหลังค่อมแบบคนแก่เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงกระดูกส่วนขากรรไกรที่เป็นรากฐานของฟันคุณด้วย ดังนั้นหากใครทีมีอาการเหงือกร่น ฟันโยก โดยไม่มีอาการปริทันต์ใดๆ นั่นเป็นข้อสังเกตว่า คุณอาจเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งเรื่องนี้เครื่องเอ็กซเรย์ทางทันตกรรมสามารถใช้ตรวจหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ เพื่อนำไปสู่การรักษากระดูกที่ถูกต้องต่อไป

5.ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเอดส์ (HIV หรือ AIDS) ฟังดูร้ายแรงจนน่าตกใจ แต่ความจริงก็คือ ผู้ที่มีอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่องจะมีอาการที่บ่งชี้ได้จากภายในช่องปากเยอะมาก ตั้งแต่เชื้อราในปากและลำคอ คล้ายกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน การมีฝ้าขาวบริเวณลิ้น ปากแห้ง (ซึ่งอาจนำไปสู่อาการฟันผุได้) โรคเริมที่ริมฝีปาก โรคเหงือก โรคติดเชื้อเอชพีวี ซึ่งไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งที่ศีรษะและลำคอ นอกจากนี้ ผู้ที่มีเชื้อ HIV ยังอาจมีภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งคาโปซิซาร์โคมา (Kaposi Sarcoma) มะเร็งผิวหนังชนิดหนึ่ง ซึ่งจะปรากฏรอยจุดสีม่วงหรือแดงขึ้นบนผิวหนัง รวมถึงภายในช่องปากด้วย

6กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s syndrome) คือกลุ่มโรคผิดปกติทางระบบภูมิคุ้มกัน อย่างเช่นโรคภูมิแพ้ตัวเอง ที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายกลับมาทำร้ายเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายเอง ผู้ป่วยจึงมีอาการปากแห้ง น้ำลายแห้ง เพราะต่อมน้ำลายถูกทำลาย รวมไปถึงยังมีอาการตาแห้ง แสบตาด้วย นอกจากนี้ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยในกลุ่มอาการโจเกรน ยังมักมีโรคข้ออักเสบชนิดรูห์มาตอยด์และโรคลูปัสร่วมด้วย จึงมักปัญหาเกี่ยวกับการกลืน การพูด และการรับรส สืบเนื่องจากความผิดปกติของส่วนข้อต่อขากรรไกร

7.แพ้กลูเตน (Coeliac Disease) กลูเตน เป็นโปรตีนที่มีอยู่ในพืชจำพวกข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์ คนที่มีอาการแพ้คือร่างกายไม่สามารถย่อยกลูเตนได้ หากทานเข้าไปก็จะก่อให้เกิดการระคายเคือง ส่งผลได้ตั้งแต่ลำไล้เล็ก มาจนถึงในช่องปาก ซึ่งทันตแพทย์สามารถสังเกตอาการได้ ไม่ว่าจะเป็นการมีแผลเปื่อยภายในปาก ปัญหาเคลือบฟัน ไปจนถึงลิ้นแห้งหรือแสบร้อน

8.โลหิตจาง (Anemia) คือภาวะที่เม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อยหรือทำงานผิดปกติ โดยทั่วไปอาการบ่งชี้ของโลหิตจางคืออ่อนเพลียง่าย ซึ่งอาจระบุเจาะจงได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ทันตแพทย์สามารถบอกคุณได้มากกว่านั้น เนื่องจากเนื้อเยื่อช่องปากมีความโปร่งใสมากกว่าเนื้อเยื่อผิวทั่วไป หมอจึงสามารถเห็นถึงสีที่ซีดจางของปากและลิ้น รวมถึงส่วนอื่นๆ ในช่องปากได้อย่างชัดเจนหากผู้ป่วยมีอาการโลหิตจาง

9.ไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease) ไต ทำหน้าที่กำจัดสิ่งสกปรกในร่างกาย หากไตทำงานผิดปกติ ย่อมก่อให้เกิดสารพิษสะสมในร่างกาย และส่งผลต่อระบบอวัยวะอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ในช่องปาก ผู้ที่มีปัญหาโรคไต มักมีลมหายใจกลิ่นคล้ายปัสสาวะหรือไม่ก็เป็นกลิ่นหวานเลี่ยน ปากแห้งอย่างผิดปกติ ซึ่งทันตแพทย์จะสังเกตและสอบถามคุณได้ทันที หากคุณมีอาการดังกล่าว
 

รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมไปหาหมอฟันกันด้วยนะ

18  เม.ย. 61 ข้อมูล :Health.com

251
ในอดีต การผ่าตัดบายพาสหัวใจเพื่อรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน จำเป็นต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมมาช่วยในการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจหยุดเต้น ส่งผลให้เกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด มีผลต่อระบบการทำงานของปอด ไต และสมอง ปัจจุบันการผ่าตัดรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน มีทางเลือกสำหรับผู้ป่วย หนึ่งในนั้นคือการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจแบบไม่ต้องหยุดหัวใจหรือการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump Coronary Artery Bypass Grafting) ทำให้หัวใจไม่ต้องหยุดเต้น ส่งผลดีกับผู้ป่วย ลดผลข้างเคียง ช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปมีคุณภาพชีวิตที่ดีในเร็ววัน เป็นวิธีการผ่าตัดที่น่าสนใจสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาหลอดเลือดหัวใจ

การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจหรือการทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump Coronary  Artery Bypass Grafting) คือ การผ่าตัดหัวใจในขณะที่หัวใจยังเต้นอยู่ โดยนำเครื่องมือเข้ามาเกาะยึดหัวใจให้หยุดนิ่งในตำแหน่งที่ทำการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจยังเต้นเป็นจังหวะ ข้อดีของการผ่าตัดบายพาส ด้วยเทคนิคหัวใจไม่หยุดเต้น (Off-Pump CABG) ที่หลายคนไม่รู้คือ

1. ลดอัตราการเสียชีวิต การผ่าตัดบายพาสหัวใจโดยใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมนั้น จำเป็นต้องหยุดหัวใจเพื่อที่จะใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนแทนปอด จากนั้นใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมปั๊มเลือดเข้าไปเลี้ยงร่างกายส่งผลให้ความดันโลหิตไม่เป็นไปตามปกติ จากที่ประมาณ 120/70 อาจจะอยู่ที่ประมาณ 60-65 เท่านั้น ดังนั้น ในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบในช่วงที่ทำการผ่าตัดบายพาสหากความดันโลหิตค่อนข้างต่ำ อาจส่งผลต่อระบบการหมุนเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ยิ่งในผู้สูงวัยที่มีเส้นเลือดในสมองตีบและเคยป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ การผ่าตัดบายพาสหัวใจโดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump CABG) นั้นเป็นผลดีต่อการรักษาอย่างมาก และยังช่วยลดโอกาสไตวายและการล้างไตในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่หัวใจบีบตัวไม่ค่อยดี

2. เสียเลือดน้อย ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดบายพาสแบบหัวใจหยุดเต้น (On-Pump CABG) หรือการผ่าตัดบายพาสแบบหัวใจไม่หยุดเต้น (Off-Pump CABG) จำเป็นจะต้องให้ยาละลายลิ่มเลือดขณะผ่าตัด (Heparin) ซึ่งหากทำการผ่าตัดแบบ Off-Pump CABG ที่ไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมจะใช้ยาละลายลิ่มเลือดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบOn-Pump CABG ที่ต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมถึง 3 เท่า ทำให้เสียเลือดน้อยกว่าถึง 70% และไม่ต้องให้เลือดเพิ่มในขณะผ่าตัด


3. ฟื้นตัวเร็ว เนื่องจากการผ่าตัดบายพาส ด้วยเทคนิคหัวใจไม่หยุดเต้น (Off-Pump CABG) ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีน้อยกว่ามาก เพราะหากเป็นการผ่าตัดบายพาสแบบหัวใจหยุดเต้น (On-Pump CABG) ที่ต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมจะมีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบทั่วร่างกาย เนื่องจากเลือดผ่านเครื่องปอดหัวใจเทียมเพื่อเพิ่มออกซิเจนแล้วกลับไปในตัวผู้ป่วยอีกครั้ง เลือดออกมากผิดปกติหลังผ่าตัด รวมถึงการฟื้นตัวและการทำงานของหัวใจอาจลดลงหลังผ่าตัด ดังนั้นหากผ่าตัดแบบ Off-Pump CABG ที่ไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมจะทำให้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้หมดไป และสามารถนำเครื่องช่วยหายใจออกจากผู้ป่วยได้ทันทีหลังจากผ่าตัดถึง 80% ในขณะที่การผ่าตัดแบบ On-Pump CABG ผู้ป่วยจะต้องใส่เครื่องช่วยหายใจหลังผ่าตัดอย่างน้อย 3 - 4 ชั่วโมง การนำเครื่องช่วยหายใจออกได้เร็วช่วยลดปัญหาแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น เพราะอวัยวะต่างๆ ทำงานตามปกติ กลับไปใช้ชีวิตได้เร็วยิ่งขึ้น

 

การผ่าตัดบายพาส ด้วยเทคนิคหัวใจไม่หยุดเต้น (Off-Pump CABG) ที่ในระยะยาวนั้นผลการรักษาไม่แตกต่างกับการผ่าตัดแบบหัวใจหยุดเต้น (On-Pump CABG) สิ่งสำคัญที่สุดคือ การผ่าตัดรักษากับแพทย์ที่มากด้วยประสบการณ์ทำให้การผ่าตัดรวดเร็วขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษา เพราะไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ป่วยด้วย รวมถึงความพร้อมของโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือในการรักษาแบบครบองค์รวม ย่อมช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ให้ผู้ป่วยมั่นใจในการรักษา การผ่าตัดได้ผลที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วย


18 เม.ย. 61     ข้อมูล :นพ.วิฑูรย์ ปิติเกื้อกูล รองผู้อำนวยการศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

252
แพทย์แนะกินอยู่รู้ทันป้องกันเบาหวาน

อธิบดีกรมการแพทย์ เผย โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หายและยังมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่โรคเบาหวานไม่น่ากลัวอย่างที่คิด หากรู้จักควบคุมเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่เครียด และหมั่นตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยลดเสี่ยงโรค


นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เบาหวานเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่ไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ตามปกติ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและถูกขับออกมาทางปัสสาวะ เนื่องจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินจากการที่ตับอ่อนผลิตไม่พอใช้หรือผลิตแล้วใช้ไม่ได้ตามปกติ เมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่นานจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ส่งผลทำให้หลอดเลือดเสื่อมเสียหายและทำลายอวัยวะส่วนปลายทาง เช่น ไต สมอง หัวใจ เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ความดันโลหิตและไขมันสูงร่วมด้วย

โดยปกติในกระแสเลือดของเราจะมีน้ำตาลอยู่ในระดับที่พอดีสำหรับการนำไปใช้คือ 70-120 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากระดับน้ำตาลในเลือดเกิน 180 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไตจะกรองน้ำตาลออกมาในปัสสาวะทำให้สามารถตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะได้ โรคเบาหวาน มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่พึ่งอินซูลินมักพบในเด็กหรือวัยรุ่น ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินทุกวันตลอดชีวิตถ้าขาดจะเป็นอันตรายได้ และชนิดที่ไม่พึ่งอินซูลินพบมากกว่าชนิดแรก ประมาณร้อยละ 90-95 ของคนไข้เบาหวาน มักพบในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 40 ปี

สำหรับอาการที่บ่งชี้ว่าเป็นโรคเบาหวาน เช่น ปัสสาวะบ่อยและมาก ปัสสาวะกลางคืน คอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก หิวบ่อย กินจุ แต่น้ำหนักลด ผอมลง อ่อนเพลีย เป็นแผลหรือฝีง่ายแต่หายยาก คันตามผิวหนังและอวัยวะสืบพันธุ์ ตาพร่ามัว ชาปลายมือปลายเท้าความรู้สึกทางเพศลดลง โดยมีสาเหตุมาจากภาวะน้ำหนักเกิน ความอ้วน ขาดการเคลื่อนไหวไม่ออกกำลังกาย และกรรมพันธุ์ มักพบโรคนี้ในผู้ที่มีบิดา มารดา เป็นเบาหวานลูกจะมีโอกาสเป็นเบาหวาน 6-10 เท่าของคนที่พ่อแม่เป็นเบาหวาน ความเครียดเรื้อรังทำให้อินซูลินทำงานนำน้ำตาลเข้าเนื้อเยื่อไม่เต็มที่ รวมถึงเชื้อโรคหรือยาบางชนิด เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองหรือต่อมหมวกไต เป็นต้น โรคเบาหวานถึงแม้ว่าจะเป็นโรคเรื้อรังและมีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง แต่ก็สามารถป้องกันได้โดยการควบคุมระดับน้ำตาลและปัจจัยเสี่ยง เช่น บริโภคอาหารที่สมดุลกับสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เครียด และตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้น

 

อธิบดีกรมการแพทย์ แนะ หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานควรเข้ารับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดจากสถานบริการรักษาพยาบาลพื้นฐาน โดยก่อนตรวจจะต้องงดอาหารทุกชนิดยกเว้นน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และควรดูแลสุขภาพเลือกรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีกากใยมากขึ้น เช่น ข้าวซ้อมมือ รับประทานผักให้มากขึ้นเน้นรับประทานประเภทผักใบ เช่น ผักกาดขาว คื่นฉ่าย ตำลึง คะน้า เป็นต้น นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส จะช่วยให้ห่างไกลโรคได้


18 เม.ย. 61 ข้อมูล :กรมการแพทย์

253
 ปัญหาลูกตื่นกลางดึก ไม่ยอมนอน ไม่ใช่เรื่องเล็กที่ควรมองข้าม เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพในเด็กที่ถ้าปล่อยไว้ไม่แก้ไขตั้งแต่แรกเริ่มจะกลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรัง และยังทำลายความสุขของทุกคนในครอบครัว  เนื่องจากถ้าเด็กหลับสนิทจะตื่นขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มกับความสดใส ร่าเริง กระฉับกระเฉง ไม่งอแงง่าย ตรงกันข้ามถ้านอนไม่หลับ กระสับกระส่ายตลอดคืน พฤติกรรมที่จะปรากฏชัดคืองอแง พูดอะไรไม่ฟัง สมาธิสั้น ซึ่งจะทำให้พ่อแม่และสมาชิกเข้าสู่ภาวะเครียดที่ต้องรับมือกับอารมณ์รุนแรงหลากหลายของเด็ก

     ที่สำคัญเมื่อนอนไม่พอหรือรู้สึกไม่สบายตัวจนต้องตื่นกลางดึกอยู่บ่อยๆ Growth Hormone ฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายของเด็กเจริญเติบโตจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งความไม่สดชื่น อารมณ์ที่แปรปรวนจากการนอนไม่พออาจส่งผลให้เด็กสมาธิสั้นไม่จดจ่อกับการเรียนรู้ทำให้พัฒนาการในแต่ละขวบวัยไม่ถูกกระตุ้นให้เติบโตถึงขีดสุด
ที่สำคัญเมื่อหลับๆ ตื่นๆ อาการหาวนอนระหว่างวันยังจะทำให้เด็กเบื่ออาหารจนพาลไม่อยากทำอะไรอีกด้วย
 

ปัญหาลูกนอนไม่หลับ ไม่รีบแก้ เรื่องใหญ่แน่

      สาเหตุของการตื่นกลางดึกของเด็กมีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน  อาทิ  จากความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย ปวดหัว เป็นไข้ ตัวร้อน บางรายอาจเป็นเพราะนอนกลางวันมากเกินไป รวมถึงไม่มีกิจกรรมให้เด็กได้ออกกำลังหรือเล่นซนจนเหนื่อย อีกหนึ่งสาเหตุใหญ่คือเรื่องของสิ่งแวดล้อมรอบตัว อากาศไม่ถ่ายเท ร้อนจัดหรือหนาวจัดเกินไปจนทำให้เด็กรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว หลายบ้านอาจจะเลือกควบคุมอุณหภูมิห้องด้วยการเปิดเครื่องปรับอากาศขณะลูกหลับเพราะคิดว่าจะทำให้อุณหภูมิสม่ำเสมอ แต่ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นจากการแก้ไขด้วยวิธีนี้คือลมจากเครื่องปรับอากาศที่มาปะทะตัวเด็กโดยตรงอาจทำให้ร่างกายสะสมความเย็นจนเกิดความไม่สบายตัวได้ ด้วยความที่สภาพร่างกายของเด็กจะบอบบางกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า

 เมื่อรู้ถึงสาเหตุ วิธีแก้ก็ไม่ยาก หากไม่ใช่จากอาการเจ็บป่วยทางร่างกายที่ต้องอาศัยเครื่องมือทางการแพทย์เข้าช่วย พ่อแม่และผู้ปกครองก็มีหน้าที่ในการส่งเด็กเข้านอนให้เป็นเวลา พร้อมกับสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลาย เล่านิทานให้ฟัง ปิดไฟให้มืดสนิท ถ้ากังวลว่าจะเงียบเกินไป แนะนำให้เปิดเพลงเบาๆ ที่มีเสียงประกอบธรรมชาติ อาทิ เสียงน้ำตก เสียงลม หรือเสียงนกร้องให้เขาฟังไปด้วย รวมถึงระหว่างวันอย่าให้เด็กนอนกลางวันนานเกินไป และแบ่งเวลาให้เขาได้ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาบ้างเพื่อให้ร่างกายต้องการการพักผ่อนอย่างเต็มที่

     การใส่ใจกับอุณหภูมิขณะเข้านอนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกสบายตัวจนหลับสนิท โดยอุณหภูมิที่เหมาะที่สุดคือ 25 องศา ไม่ร้อน ไม่หนาวจนเกินไป และควรเลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีโหมด Wind-Free Cooling   ให้ลมไม่ปะทะตัวลูกโดยตรงเพื่อป้องกันอาการเจ็บป่วย เนื่องจากเด็กยิ่งเล็กยิ่งต้องระวังเรื่องความเย็นที่พอดีเป็นพิเศษ

หนึ่งในตัวเลือกที่พ่อแม่หลายคนใช้แล้วยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าดีคือ เครื่องปรับอากาศเพื่อสุขภาพ Samsung Wind- Free เพราะกระจายความเย็น แบบลมไม่ปะทะตัว ถือเป็นหนึ่งเดียวจากเครื่องปรับอากาศซัมซุงพลังเย็นสบายกระจายทั่วห้องผ่าน 21000 micro holes อยู่มุมไหนของห้องก็กระจายความเย็น ไม่ใช่แค่การส่งความเย็นจุดใดจุดหนึ่งเหมือนเครื่องปรับอากาศทั่วไป จึงไม่ทำให้หนาวเป็นจุดจุด สร้างความรำคาญ กระตุ้นอาการภูมิแพ้ หรือทำให้รู้สึกไม่สบาย

      “กินอิ่ม นอนหลับ” ยังคงถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ แข็งแรงทั้งกายและใจ พร้อมกับมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ในทุกด้าน ดังนั้นอย่ามองข้ามความสุขพื้นฐานข้อนี้เด็ดขาด เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้ซับซ้อนหรือยุ่งยากอะไรเลย


19 เม.ย. 61 sanook.com

254
ปกติชอบนอนท่าไหนกันคะ? แล้วหลับสบายหรือเปล่า? ว่ากันว่าท่านอนสามารถบอกลักษณะนิสัยของคนเราได้ แต่นอกจากนั้นท่านอนยังอาจเป็นตัวกำหนดคุณภาพในการนอน รวมถึงคุณภาพชีวิตในแต่ละวันที่เหลือได้ด้วย เพราะหากนอนไม่ถูกท่าตลอดทั้งคืน ความปวดเมื่อยย่อมตามมาจนอาจรบกวนการใช้ชีวิตไปตลอดทั้งวันได้

แล้วแต่ละท่านอนมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร เราควรเลือกนอนท่าไหน มาดูกันเลยดีกว่า


1.นอนหงาย

นอนหงาย คือการนอนเอาแผ่นหลังแนบไปที่นอน เหยียดขาตรง แขนแนบข้างลำตัว หากคุณไม่มีปัญหาสุขภาพอะไรเป็นพิเศษ ท่านอนหงายดูจะเป็นท่านอนที่เหมาะสมที่สุด เพราะจะช่วยให้สรีระร่างกายอยู่ในแนวตรงไปตลอดทั้งคืน จึงป้องกันอาการปวดเมื่อยคอ และหลังได้ นอกจากนี้ใครที่เป็นผู้ป่วยโรคไหลย้อน รวมถึงใครที่อยากดูแลผิวพรรณให้เต่งตึงไร้ริ้วรอย รักษาหน้าอกให้อยู่ทรงสวย ต้องเลือกท่านอนหงายนี่แหละ แต่สรีระของคนที่มีสะโพกอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ เพราะมีช่องว่างระหว่างแผ่นหลังส่วนล่างเมื่อนอนแนบไปกับที่นอน ดังนั้นจึงแนะนำให้หาหมอนบางๆ มาหนุนบริเวณขาเล็กน้อย เพื่อให้แผ่นหลังแนบกับที่นอนได้สนิทมากขึ้น รู้สึกสบายมากขึ้น

2.นอนตะแคง


ท่านอนตะแคง คือการนอนเอาด้านข้างลำตัวแนบกับที่นอน ไม่ว่าจะเป็นด้านซ้ายหรือด้านขวา ตำแหน่งของแขน และขาแตกต่างกันไปตามแต่ละคน เป็นท่านอนอีกหนึ่งท่าที่หลายคนชอบ เพราะช่วยรักษาแนวกระดูกสันหลัง และคอให้ตรงตลอดทั้งคืนได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการกรน ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ และเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน และหญิงตั้งครรภ์อีกด้วย แต่ใบหน้าด้านที่แนบหมอนอาจมีความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยได้ และอาจจะต้องใช้หมอนบางๆ คั่นระหว่างเข่าทั้งสองข้าง เพื่อช่วยลดแรงกดบริเวณสะโพก ป้องกันอาการเมื่อยหลังได้

3.นอนขดตัว

การนอนขดตัว คือท่านอนตะแคงที่งอเข่าขึ้นมาชิดหน้าอก และก้มหน้า แม้ว่าจะดูว่าเป็นท่านอนที่ดูไม่ปกตินัก แต่ท่านี้ช่วยลดอาการนอนกรน และเหมาะกับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปสู่ทารกได้ดี และช่วยลดแรงกดของมดลูกลงสู่บริเวณตับได้ ท่านอนนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หรือผู้ป่วยพาร์กินสันด้วย เพราะมีงานวิจัยสนับสนุนว่าการนอนขดตัวช่วยให้ของเสียจากสมองที่ทำให้เกิดโรคในระบบประสาทถูกกำจัดออกไปได้ดีกว่าการนอนท่าอื่นๆ แต่ท่านอนขดตัวอาจเสี่ยงมีอาการปวดหลัง ปวดคอ เกิดริ้วรอยบใบหน้า รวมไปถึงหน้าอกหย่อนคล้อยด้วย และข้อควรระวังคือ ไม่ควรขดตัวจนหลัง และคอให้งอจนเกินไป เพื่อให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น

4.นอนคว่ำ

การนอนคว่ำ คือการนอนเอาลำตัวด้านหน้าแนบไปกับที่นอน โดยเอียงใบหน้าไปด้านข้างแนบกับหมอน แม้ว่าจะเป็นท่านอนที่เหมาะกับคนที่นอนกรน เพราะเป็นท่าที่ช่วยให้หายใจได้ค่อนข้างสะดวก แต่ก็เป็นท่านอนที่อาจเสี่ยงต่อการนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน เพราะอาจทำให้ไม่สบายตัวนัก โดยเฉพาะคอ และหลัง อาจต้องขยับร่างกายเปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ นอกจากนี้ยังเสี่ยงเกิดริ้วรอยบนใบหน้า รวมถึงหน้าอกหย่อนคล้อยได้ ดังนั้นอาจใช้หมอนนุ่มๆ ที่รับกับสรีระของตัวเองเพื่อช่วยให้การนอนท่านี้สบายมากยิ่งขึ้น

 

การเลือกท่านอนให้เหมาะสมกับสุขภาพของตัวเอง นอกจากลองเลือกท่านอนที่ช่วยแก้ปัญหาสุขภาพตามที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังสามารถลองเปลี่ยนท่านอนไปเรื่อยๆ เพื่อหาท่านอนที่เหมาะสมได้ด้วยตัวเองได้ เพราะท่านอนอาจจะขึ้นอยู่กับสรีระของแต่ละคน เช่น ผู้หญิงที่เนื้อสะโพกเยอะ (ก้นงอน) อาจจะนอนตะแคงข้างสบายว่านอนหงาย อย่างไรก็ตามหากมีปัญหาในการนอน ไม่ว่าจะนอนท่าไหนก็ไม่สบาย นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท เกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ นอนละเมอ หรือปัญหาอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขต่อไป





19 เม.ย. 61  ข้อมูล :พบแพทย์

255
ในเมืองไทยพบผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับมากถึง 14,000 คนต่อปี  มีอัตราการเป็นมะเร็งตับต่อ 100,000 ประชากรเป็นอันดับที่ 8 ของโลก ที่แย่ไปกว่านั้น ผู้ป่วยมะเร็งตับยังมีโอกาสรอดจากมะเร็งตับนั้นมีเพียง 13% เท่านั้น นั่นหมายความว่าผู้ป่วยมะเร็งตับมีโอกาสที่จะเสียชีวิตมากถึง 87% เลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่ามะเร็งตับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1



มะเร็งตับ มีสาเหตุมาจากอะไร?
ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุของมะเร็งตับ มาจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิต การดื่มกินอาหารของเราเองนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็น

- ดื่มแอลกอฮอล์จัด

- ทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ที่เสี่ยงต่อพยาธิใบไม้ตับ

- ทานอาหารที่อาจมีส่วนประกอบของดินประสิว เช่น ปลาร้า ปลาส้ม แหนม ไส้กรอก กุนเชียง เนื้อเค็ม

- ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี และซี โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วไม่ยอมไปรับการรักษา จนปล่อยให้ตับติดเชื้อเรื้อรัง ตับอักเสบเป็นเวลานานๆ

- รับสารพิษ “อะฟลาทอกซิน” เป็นเวลานาน (พบได้ในถั่วที่เก็บรักษาไม่ดี และอาหารแห้งอื่นๆ)

- รับสารเคมีบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น การรับฮอร์โมนเพศชายเป็นเวลานาน

- เป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หรือเป็นผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน/เป็นโรคอ้วน



สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็งตับ
สาเกตุที่โรคมะเร็งตับอันตราย และน่ากลัวกว่าที่เราคิด เพราะระยะแรกๆ จะยังไม่แสดงอาการอะไรเลย จนกระทั่งเริ่มมีอาการมากๆ ซึ่งสามารถสังเกตตัวเองได้ ดังนี้

1.ปวดท้องบริเวณท้องขวาส่วนบน

2.ท้องบวมขึ้น

3.น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

4.เบื่ออาหาร

5.อ่อนเพลีย

6.มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ

7.คลำพบก้อนที่บริเวณตับ (ท้องขวาส่วนบน)

8.ตัว และตาเหลือง


มะเร็งตับ มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง


การรักษาโรคมะเร็งตับ สามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาวะความรุนแรงของโรค  ขนาดและลักษณะของเซลล์มะเร็ง สุขภาพของผู้ป่วย และอื่นๆ

วิธีรักษาได้แก่ ผ่าตัด ฉายรังสี เคมีบำบัด และการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ (ขนาดก้อนในตับต้องน้อยกว่า 5 เซนติเมตร และผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 70 ปี)



20 เม.ย. 61   ข้อมูล :โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

หน้า: 1 ... 15 16 [17] 18 19