แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - today

หน้า: [1]
1
ห่วงไข้มาลาเรียกลายพันธุ์ระบาดอาเซียน
ข่าวต่างประเทศ
ไทยรัฐฉบับพิมพ์
24 ก.ค. 2562 06:35 น.

 
วารสาร “แลนเซต” รายงานสถานการณ์ว่าด้วยโรคติดเชื้อ อ้างผลการศึกษาวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ระบุเตือนเมื่อ 23 ก.ค. พบเชื้อปรสิตต้นเหตุไข้มาลาเรีย อันมีสาเหตุจากยุงกัด เกิดการกลายพันธุ์ดื้อยาและกำลังแพร่ระบาดรุนแรงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มจากกัมพูชาขยายตัวเข้า สปป.ลาว ไทย และเวียดนาม ทั้งพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อไข้มาลาเรียกลายพันธุ์มากราวครึ่งหนึ่ง ไม่ได้รับการบำบัดรักษาด้วยตัวยาทางเลือกที่ถูกต้องอันดับแรก ทำให้นักวิจัยห่วงกังวลว่าเชื้อไข้มาลาเรียกลายพันธุ์ ซึ่งต้านทานยารักษาโรคอาจแพร่ระบาดไปไกลถึงทวีปแอฟริกา จะยิ่งทำให้ความพยายามแก้ปัญหาหยุดยั้งโรคร้ายยุ่งยากขึ้นอีก


รายงานระบุ ที่ผ่านมาการรักษาผู้ป่วยไข้มาลาเรียใช้ยาผสมกัน 2 ชนิด คือ อาร์เทมิซินิน (artemisinin) และไพพิราควิน (piperaquine) โดยเริ่มใช้ยา 2 ชนิดนี้ในกัมพูชาเมื่อปี 2551 แต่พอล่วงถึงปี 2556 นักวิจัยพบเชื้อไข้มาลาเรียดื้อยาทั้งสองชนิดนี้ครั้งแรกในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเชื้อไข้มาลาเรียเริ่มกลายพันธุ์ดื้อยาได้สูงถึงราว 80 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์อยู่ระหว่างใช้ตัวยาทางเลือกอื่นบำบัดรักษาไข้มาลาเรียกลายพันธุ์ ทั้งเร่งวิจัยตัวยารักษาไข้มาลาเรียชนิดใหม่ๆ โดยขั้นตอนกระบวนการคืบหน้าไปเรื่อยๆ แต่ปัญหาคือความพยายามกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง พาหะการแพร่เชื้อไข้มาลาเรียตามภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงยังไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากนัก ทำให้จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไข้มาลาเรียในภูมิภาคนี้ยังสูงขึ้นเรื่อยๆ

ไข้มาลาเรียเริ่มระบาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เฉลี่ยชาวโลกติดเชื้อไข้มาลาเรียปีละราว 219 ล้านราย เสียชีวิตราว 435,000 ราย ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่คือกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการป่วยเบื้องต้นจากไข้มาลาเรีย คือ รู้สึกหนาวสั่น ป่วยไข้สูง และเหงื่อออกมาก หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีจะเกิดอาการระบบหายใจบกพร่อง ตามด้วยอวัยวะร่างกายทำงานล้มเหลวและเสียชีวิต.

https://www.thairath.co.th/news/foreign/1621440

2
รพ.น่านห่วงชาวนา! โรคเนื้อเน่า-แบคทีเรียกินเนื้อคนระบาด เตือนอย่าปล่อยลุกลาม
วันที่ 24 กรกฎาคม 2562 - 08:34 น.


แพทย์เมืองน่านห่วงชาวนา หลังพบ โรคเนื้อเน่า-แบคทีเรียกินเนื้อคนระบาด  พบผู้ป่วยแล้ว 25 ราย เข้าไอซียู 1 ราย เผยปล่อยให้อาการหนักอาจถึงขั้นเสียชีวิต
วันที่ 24 ก.ค. นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน ได้ทำการตรวจอาการผู้ป่วย โรคเนื้อเน่า และ หนังเน่า หรือ แบคทีเรียกินเนื้อคน ที่กำลังระบาดในช่วงนี้อย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้มีผู้ป่วยจากพื้นที่ต่าง ๆ เข้ามารักษาที่โรงพยาบาลน่าน ด้วยอาการเป็นไข้ เท้าบวมแดง มีแผลตุ่มพุพอง ลุกลามเป็นบริเวณกว้าง จำนวน 25 ราย และมีอาการรุนแรง มีอาการติดเชื้อ เข้ารับการรักษาในไอซียู 1 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติไปดำนา ลุยโคลน และโดนหอย หรือเศษแก้วบาด เศษไม้ตำเท้า และไม่ได้ทำแผล หรือรักษาใด ๆ เนื่องจากต้องทำนาให้เสร็จ ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในบาดแผล และเพิ่มจำนวนจนเกิดอาการรุนแรงได้

นพ.พงศ์เทพ กล่าวว่า ส่วนใหญ่โรคนี้จะระบาดในฤดูฝน ในช่วงที่เกษตรกรลงดำนา ลุยโคลน โดยโรคเนื้อเน่าส่วนใหญ่ อาการจะมีผิวหนังบวมแดงร้อน ถ้าเชื้อลงลึกกินทั้งชั้นผิวหนังจะพบตุ่มพุพอง และค่อย ๆ เปลี่ยนสีเป็นสีม่วง และถ้าเนื้อตายจะกลายเป็นสีดำ บางรายอาจจะต้องตัดขา หรืออาจจะมีการติดเชื้อเข้ากระแสเลือด ไข้สูง และทำให้เสียชีวิต ซึ่งการรักษานั้น ทางแพทย์จำเป็นต้องตัดเนื้อตายออกให้หมด และให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ ซึ่งถ้าเชื้อยังไม่ลุกลามเข้ากระแสเลือด ผลลัพธ์ของการรักษาจะค่อนข้างดี


นพ.พงศ์เทพ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ป่วยบางรายที่ไม่ได้ลงนา หรือไม่มีบาดแผลก็อาจจะติดเชื้อดังกล่าวได้ โดยการเกา หรือมีบาดแผลถลอกเล็กน้อย เชื้อสเตรปโตคอคคัส หรือสแตปฟิโลคอคคัส ที่อยู่บริเวณผิวหนังอาจจะเข้าไปในแผลแล้วเกิดการติดเชื้อ ถ้าผู้ใดมีผิวหนังบวมแดงอย่างรวดเร็ว แล้วมีตุ่มพุพองที่ผิวหนัง แนะนำให้รีบมาตรวจรักษาก่อนที่อาการจะลุกลามจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

“จึงขอเตือนให้ผู้ที่ทำนา ถ้ามีแผลตามร่างกาย ขอให้รีบขึ้นจากโคลน รีบล้างแผลโดยให้น้ำสะอาดไหลผ่าน ซับด้วยผ้าสะอาด และปิดแผล ถ้ามียาฆ่าเชื้อโพวิโดนไอโอดีนสามารถใช้ทาแผลได้ แล้วรีบมาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือโรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อให้ตรวจรักษาต่อไป” นพ.พงศ์เทพ กล่าว

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_2737783

3
ข่าวจากfacebook  ของ Nuttagarn Chuenchom ระบุว่า

เด็กหญิงชาวพม่าอายุ 12 ปี มาตรวจด้วยอาการไข้สูง เจ็บคอ คอบวมหายใจไม่ออก เดินทางมาจากฝั่งพม่าไกลโพ้น เมืองเก๊าะกะเระ อินเทิร์นเป็นคนตรวจคนแรกน้องสงสัยคอตีบเพราะจาก finding ที่พบมันชัดเจน typical มากป้ายคอไปเพาะเชื้อก็ขึ้นเป็น gram positive bacilli chinese letter ต้องส่งต่อไปกรมวิทย์เพื่อ identify และทำ toxin test(Elek test) ต่อว่าเป็น C.diptheriae หรือไม่
เด็กหญิง admit ไม่นานคอก็บวมขึ้น หายใจเหนื่อยหอบมี stridor ต้อง on ET tube การรักษาคือต้องให้ DAT =diptheria antitoxin จำนวน 80,000-100,000 unitทางน้ำเกลือโดยต้อง test ก่อนตอนแรกก็ test ผ่านว่าไม่แพ้ แต่ตอนให้จริงเธอก็แพ้รุนแรงแบบ anaphylactic shock เราพยายามติดต่อหา human diptheria antitoxin เพราะปัจจุบันที่เราใช้อยู่เป็น Equine diptheria antitoxin ซึ่งมีโอกาสแพ้สูง ก็พบว่าไม่มีโรงพยาบาลไหนในประเทศไทยมี หมอเด็กทำการ desensitization 2 ครั้งแล้วให้ DAT อีก ก็เกิด anaphylactic shock อีกสองครั้ง ทำให้เราต้องยอมแพ้เพราะกลัวเด็กจะแย่จากการให้ DAT ของเรา
รีวิวดูแล้วไม่มีวิธีอื่นละ ก็จึงระดม extern intern กลางดึก ที่คาดว่าได้วัคซีนครบมาบริจาคเลือดเพื่อเอา plasma ที่น่าจะมี diptheria immunoglobulin มาให้แก่คนไข้ ถึงแม้ความเข้มข้นจะน้อยก็ไม่เสียหายถ้าจะลองดู คนไข้มี coagulopathy ด้วยจึงเป็นประโยชน์มาก..เด็กๆก็มากันแม้ว่าจะดึกแล้ว ขอให้จำความรู้สึกนี้ไว้ตลอดชีวิตการเป็นหมอนะ...ขอบคุณมากๆ
ให้ antibiotic เป็น PGS (penicillin G) supportive on ventilator(เครื่องช่วยหายใจ)นาน 14 วันโชคดีที่ไม่มีโรคแทรกซ้อนเช่น Myocarditis หรือ renal failure วันนี้เธอหายใจได้เอง off ET tubeได้ ดูแล้วเธอก็เป็นเด็กหญิงน่ารักคนนึงเลยทีเดียว ต้องขอบคุณทีมหมอเด็กและพยาบาลวอร์ดเด็กทุกๆคนที่ให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยอย่างดีโดยไม่รังเกียจแม้เป็นโรคติดต่อ
แพทย์ พยาบาลที่สัมผัสใกล้ชิดก็ต้องกิน Erythromycin อ้วกแตกกันไป
ประเทศพม่ายังขาดแคลนวัคซีนอยู่มาก ปัจจุบันโรงพยาบาลแม่สอดโดยทีมเวชกรรม และคุณหมอวิทยาได้เอื้อเฟื้อวัคซีนไปฉีดให้กับเด็กในฝั่งพม่าถึงแม้จะไม่คลอบคลุมแต่ก็นับว่าช่วยได้เกิน 50% เพื่อเป็นปราการสำคัญป้องกันโรคให้กับพี่น้องคนไทยที่อยู่ชายแดนและอยู่ลึกเข้าไปในประเทศของเรา
บุคลากรต้องเห็นความสำคัญของการฉีด Pre-exposure prophylaxis ของทุกโรค ถือเป็นความรับผิดชอบสำคัญเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และจะได้ไม่นำโรคไปสู่คนไข้และคนในครอบครัว อีกหน่อยถ้าโรคที่เราเผชิญอยู่ไม่เป็นที่สนใจคงไม่มีใครผลิต antitoxin หรือ immunoglobulin มาช่วยชีวิตเรา
ปี 2556 เราฉีดไปเกือบ 1000 โดส ตอนนี้หลังจากสำรวจในโรงพยาบาลก็พบว่ายังมีตกหล่นเป็นจำนวนมาก จึงปูพรมฉีด Booster กันอีกระลอกสบายใจกันถ้วนหน้า
อยู่ชายแดนอย่ากลัวโรคระบาด เราต้องแข็งแรง พัฒนาความรู้ สามัคคีกัน และรับมือให้ทันค่ะ

https://www.facebook.com/nuttagarn.chuenchom/posts/1656283877718500

4
นพ.ประดิษฐ์ ไชยบุตร ประธาน สมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป แห่งประเทศไทย (สพศท.) กล่าวภายหลังงานสัมมนา ภาวะฉุกเฉินในโรงพยาบาล ที่ สพศท. และ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกันจัดให้มี ณ ห้องประชุมไพจิตร ปวะบุตร อาคาร 7 ชั้น 9 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วันที่18 มีนาคม 2559 ว่า ห้องฉุกเฉิน  คือ หน่วยปฏิบัติการประเมิน จัดการ บำบัดรักษา ดูแล ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิตและการทำงานของอวัยวะที่สำคัญ โดยในปัจจุบันพบอุปสรรคในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินหลายประการ เช่น การขาดแคลนบุคลากร  พบว่า โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป 116 แห่ง ยังไม่มีแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน 20 กว่าแห่ง ส่วนโรงพยาบาลชุมชน 800กว่าแห่ง มีการขาดแคลนรุนแรงมากว่า และอยู่ในช่วงการเพิ่มศักยภาพการรักษาพยาบาล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาเพิ่มมากขึ้น
ความแออัดของผู้ป่วย เป็นอุปสรรค อีกประการ ในการให้การบริบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน เนื่องจาก ผู้ป่วยซึ่งเจ็บป่วยจริงแต่ไม่ฉุกเฉิน เข้าร่วมรับการตรวจ รักษาในห้องฉุกเฉิน ทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินจริงได้รับการบริบาลที่ล่าช้า เกิดการเสียชีวิต เสียอวัยวะโดยไม่สมควร ส่วนญาติไม่เข้าใจในระบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินและไม่พึงพอใจในความล่าช้า จะมีพฤติกรรมความรุนแรง เช่น แตะ ต่อย ถ่มน้ำลาย ใช้อาวุธ หรือ การใช้วาจาข่มขู่ ด่าทอ รวมทั้งเผยแพร่ข้อความ รูปภาพผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นปัญหาที่คุกคามต่อการปฏิบัติงานของบุคคลากรในห้องฉุกเฉิน นพ.ประดิษฐ์ ได้กล่าวเพิ่มว่า เวทีสัมมนาได้เสนอแนวทางบรรเทาปัญหาความรุนแรงในห้องฉุกเฉิน เช่น จัดห้องฉุกเฉินให้มีบริเวณที่กว้างขว้าง มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ถ้ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จะยิ่งดี มีปุ่มสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน มีทางเข้าออกหลายทางเพื่อให้บุคลากรหนีเหตุร้ายได้สะดวก และที่สำคัญควรมีประกันชีวิตให้แก่บุคลากร โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ต้องไปกับรถพยาบาลฉุกเฉิน โดย พญ.ประนอม คำเที่ยง รองปลัด สธ. รับปากตั้งคณะทำงาน แก้ปัญหาความแออัดและความรุนแรงในห้องฉุกเฉิน
พญ.สุธัญญา บรรจงภาค รองประธาน สพศท. กล่าวว่า ปัญหาภาระงานของแพทย์ภาครัฐ เป็นอีกหนึ่งหัวข้อสัมมนา ซึ่ง สพศท. สนับสนุน แนวทางกำหนดภาระงานแพทย์ของแพทยสภา เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐมีผู้ป่วยจำนวนมาก แพทย์ต้องเสียสละทำงานหนัก ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ โดยภายหลังการอยู่เวร24 ชม.ต้องมาทำงาน ต่ออีก 8 ชม. ทำงานโดยไม่มีวันหยุด  สพศท. ไม่ต้องการให้เกิดอุบัติเหตุกับผู้ป่วยหรือตัวแพทย์เองเพราะทำงานเกินขีดความสามารถของมนุษย์ การจำกัดเวลาทำงานของแพทย์ ให้พอดีกับความสามารถของมนุษย์ ช่วยให้แพทย์ภาครัฐมีเวลาพักผ่อนเทียบเท่าบุคคลทั่วไปตามกฎหมายแรงงานซึ่งไม่คุ้มครองบุคคลากรสาธารณสุขภาครัฐ ผู้ป่วยที่มารับการบริบาลจากแพทย์ภาครัฐ จะได้รับการประเมิน การบำบัดรักษาโดยแพทย์ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานเต็มที่ ไม่มีความอ่อนล้าจากการขาดการพักผ่อน  
“ในสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าผู้ป่วยทราบว่ากำลังตรวจกับแพทย์ที่ต้องทำงานติดต่อกันมาตลอด 36 ชม. ผู้ป่วยคนนั้นจะคิดอย่างไร” พญ.สุธัญญา กล่าว
ภาระงานของพยาบาลก็คล้ายกับแพทย์  แต่ปัญหารุนแรงกว่าของแพทย์มาก  ในเวทีสัมมนา มีความเห็นมากมายจากพยาบาลอายุ 55 ปียังต้องขึ้นเวรทำงานกะบ่าย-ดึก และเชื่อว่า มีพยาบาลตั้งครรภ์ถูกบังคับหรือกดดันให้ขึ้นเวร    จากการศึกษาของสำนักการพยาบาล พบว่า ปกติพยาบาลทำงาน 8ชม./เวร คิดเป็นจำนวนวันเฉลี่ย 27 วันต่อเดือน โดยบางวันทำงาน 16 ชม. เพราะถูกบังคับให้ควบกะ โดยข้าราชการทั่วไปทำงาน เพียง 22 วันต่อเดือน จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า พยาบาลที่ขึ้นเวรกะดึก 3 คืนต่อเดือน 15ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงขึ้น ในประเทศไทย พยาบาลภาครัฐมากกว่า 60% อายุมากกว่า 40 ปี แสดงว่า คนไข้ส่วนใหญ่ได้รับการดูแลโดยพยาบาลสูงอายุ อาจมีโรคประจำตัว ร่างกายไม่แข็งแรง โดยพยาบาลอายุน้อย เมื่อทำงานภาครัฐจนชำนาญ โดยไม่มีสวัสดิการ ไม่ได้รับการคุ้มครองเมื่อได้รับอุบัติเหตุหรือถูกทำร้ายร่างกาย ไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการ รายได้ต่อชั่วทำงานอยู่ในอัตราที่ต่ำ ไม่เหมาะสมกับความขาดแคลน  พยาบาลเหล่านั้นจึงลาออกไปอยู่เอกชน เพราะมีประสบการณ์ในการดูแลคนไข้มาแล้ว อยู่ในวัยทำงาน บุคลิกดี ตรงกับความต้องการตลาดเอกชน สพศท.จึงขอให้สภาพยาบาลออกแนวทางกำหนดภาระงานพยาบาล เช่นกัน รองประธาน สพศท. กล่าว
สพศท. ขอขอบคุณ องค์กรแพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ทุกแห่งทั่วประเทศไทย ที่ได้มอบเงินสนับสนุน สพศท. ซึ่งส่วนหนึ่งได้นำมาใช้ในการจัดสัมมนาในครั้งนี้ และ สพศท.จะเร่งดำเนินการทำหนังสือขอบคุณส่งไปยังองค์กรแพทย์โรงพยาบาลต่างๆ

5
คาด 4 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะขาดแคลนพยาบาล สูงถึง 5 หมื่นคน

กลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมออนไลน์อีกครั้ง หลังมีการเผยแพร่ภาพพยาบาลที่ต้องปฏิบัติงานทั้งที่ไม่สบาย ถึงขั้นต้องใส่สายน้ำเกลือระหว่างนั่งทำงาน..

ภาพจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ: ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว
 

ภาพดังกล่าวสะท้อนถึงปัญหาการขาดแคลนพยาบาล ทำให้พยาบาลส่วนใหญ่ที่แม้จะมีอาการเจ็บไข้ไม่สบาย แต่หากอาการไม่รุนแรงถึงขั้นทำงานไม่ไหวจริงๆ ก็จะไม่สามารถลาป่วยได้ เพราะจะส่งผลกระทบต่อเพื่อนร่วมงานเป็นทอดๆ เนื่องจากพยาบาลทุกคนต่างต้องเข้าเวร ตามตารางงานที่แน่นเอี๊ยดจนแทบไม่มีวันหยุด

ปัญหาพยาบาลขาดแคลนและความไม่ก้าวหน้าในวิชาชีพ ถือเป็นเรื่องที่มีการเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ปรับปรุงกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้อนบุคลากรเข้าสู่ระบบได้เพียงพอกับความต้องการ รวมทั้งเพิ่มโอกาสความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ เพื่อผลักดันในผู้ปฏิบัติงานมีกำลังใจในการทำงาน และป้องกันพยาบาลวิชาชีพไหลออกนอกระบบ



ปัจจุบันประเทศไทยมีพยาบาลวิชาชีพ ที่ปฏิบัติงานในระบบสาธารณสุข  132,362 คน แบ่งเป็น ปฏิบัติงานอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป 40,326 คน ทั้งที่มีความต้องการ 54,474 คน ปฏิบัติงานอยู่ในโรงพยาบาลชุมชน 46,181 คน ทั้งที่มีความต้องการ 56,627 คน รวมแล้วในระบบขาดแคลนพยาบาลถึง 24,594 คน ไม่นับรวมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล กว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ ที่มีความต้องการพยาบาลเช่นกัน

ดร.กฤษดา แสวงดี อุปนายกสภาพยาบาล กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ความต้องการพยาบาลในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกอบกับการเพิ่มของประชากรสูงอายุและมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้น หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เร่งวางมาตราการอย่างจริงจัง ในอนาคตจะเป็นปัญหาวิกฤติที่รุนแรง โดยสภาการพยาบาลไทย คาดว่าในปี 2563 จะมีการขาดแคลนพยาบาล สูงถึง 50,000 คน



ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมทั่วประเทศไทยมีสถาบันการศึกษาด้านพยาบาล ทั้งสิ้น 85 แห่ง เป็นสถาบันการศึกษาของรัฐ 52 แห่ง และสถาบันศึกษาเอกชน 23 แห่ง  สามารถผลิตพยาบาลรวมได้ปีละประมาณ 10,000 คน ทว่าในแต่ละปีมีอัตราสูญเสียพยาบาลออกจากวิชาชีพถึง 5,800 คน ทั้งจากการเกษียณอายุราชการปกติ การเกษียนก่อนกำหนด และการเปลี่ยนแปลงอาชีพ

นอกจากภาระงานของพยาบาลที่หนัก จนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตแล้ว ปัญหาความไม่ก้าวหน้าทางวิชาชีพ ก็ถือเป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้พยาบาลส่วนใหญ่ เลือกที่จะเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่น ซึ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาความไม่พอเพียงในระบบให้รุนแรงมากขึ้น



ดร.กฤษดา เคยให้สัมภาษณ์ สำนักข่าว HFocus เกี่ยวกับประเด็นความเหลื่อมล้ำทางวิชาชีพไว้อย่างชัดเจน ระบุว่า “เรื่องความก้าวหน้าในอาชีพของกลุ่มบุคลากรด้านสุขภาพ ถือว่าเป็นกลุ่มวิชาชีพที่มีความเฉพาะทาง ดังนั้นความก้าวหน้าก็ต้องสะท้อนความรู้ความสามารถของเขา แต่ปัจจุบันจะติกกรอบธรรมเนียมต่างๆ คือถ้าเราจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นก็ต้องไปยุบตำแหน่งเล็กๆ ลง เพราะถ้าตำแหน่งสูงขึ้นใช้เงินมากขึ้น พยาบาลจะขึ้นซี 8,9 ได้ก็ต้องไม่มีพยาบาลซี 3 เพื่อไม่ให้เกินกรอบวงเงิน ทำให้เขาขึ้นสู่ตำแหน่งสูงๆ ไม่ได้ คำถามคือแล้วทำไมบุคลกรของเราต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้ด้วย ในเมื่อหน่วยงานก็ต้องการกำลังคนขนาดนี้”

อุปนายกสภาการพยาบาล ย้ำว่า “คนไข้เยอะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของพยาบาล เพราะพยาบาลทำงาน 3 กะ ทำให้ต้องมีเงินสำหรับจ่ายค่าตอบแทนมากกว่าวิชาชีพอื่น 3 เท่า แต่จะมาเอาประเด็นว่าคนเยอะแล้วก้าวหน้าน้อยอย่างนี้ไม่ได้ ในงานบริการทั้งหลายใช้กำลังพยาบาลเป็นหลัก ดังนั้นจึงมองว่าข้าราชการทั่วไป ถ้าคนทำงานเริ่มที่ปริญญาตรี อย่างน้อยควรต้องเกษียณด้วยตำแหน่งชำนาญการพิเศษ เพราะทำงานกันมานาน 40 ปี”


http://www.pptvthailand.com/news/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AA/24616

6
ลู่เหยา กับ หม่าลี่ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน
ลู่เหยามีศักดิ์เป็นพี่ เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว
หม่าลี่ เป็นผู้น้อง ยังไม่ได้แต่งงาน
ลู่เหยามีฐานะยากจน ขณะที่หม่าลี่ฐานะร่ำรวย
ด้วยเหตุนี้ ลู่เหยาจึงได้รับการอุดหนุนจุนเจือจากหม่าลี่เสมอ
วันหนึ่ง ลู่เหยาบอกหม่าลี่ว่า ตนเองต้องการไปแสวงโชคต่างเมือง
อยากจะฝากให้หม่าลี่ช่วยดูแลภรรยาให้
หม่าลี่รับปาก บอกว่าเขาจะดูแลให้ ไม่ต้องเป็นกังวล
....

ตั้งแต่นั้นมา ทุกครึ่งเดือนหม่าลี่จะสั่งให้คนรับใช้
นำของกินของใช้ บรรทุกใส่รถม้าเต็มคันรถ
นำไปให้กับภรรยาของลู่เหยา…
ภรรยาของลู่เหยา จึงคิดว่า
เป็นเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลว  ได้รับการโอบอุ้มดูแล
ยิ่งกว่าตอนที่อยู่กับสามีเสียอีก
ไม่ต้องทำงานก็มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่
ทำให้นางนึกขอบคุณสามีที่มีน้องร่วมสาบานที่ดีเช่นนี้
....

ครึ่งปีผ่านไป เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป
คนรับใช้ของหม่าลี่ ไม่ได้นำของไปให้ภรรยาของลู่เหยาอีกแล้ว
ครึ่งเดือนก็แล้ว หนึ่งเดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว
ภรรยาของลู่เหยาจึงต้องขายข้าวของที่หม่าลี่เคยส่งไปให้
เพื่อประทังชีวิต ไม่ถึงครึ่งปี ข้าวของทุกอย่างถูกขายจนหมด
นางจึงคิดจะทำงานเพื่อหาเลี้ยงตนเอง
เนื่องจากนางเคยเรียนเย็บปักถักร้อยมาตั้งแต่เด็ก
นางจึงลองเย็บรองเท้าผ้าที่คนสวมใส่กันเป็นประจำขาย
อาจเพราะว่า นางมีฝีมือดี หรือชาวบ้านต่างสงสารนาง
ก็มิอาจทราบได้ ทำให้ชาวบ้านพากันแย่งซื้อรองเท้าของนาง
จนขายหมดเกลี้ยงทุกวัน ไม่ว่านางจะตั้งราคาสูงเพียงใดก็ตาม
....

พริบตาเดียว 10 ปีผ่านไป ลู่เหยาก็กลับมาในคืนหนึ่ง
เมื่อเขารู้ว่า ตั้งแต่เขาจากไป หม่าลี่ไม่เคยมาดูแลภรรยาของตน
และส่งของกินของใช้ให้เพียงครึ่งปี หลังจากนั้น
ก็ไม่ได้ส่งของกินของใช้มาให้ภรรยาของตนอีกเลย
เขาทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า
“ คนอยู่น้ำใจอยู่ เมื่อคนจากไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไป “
.....

เมื่อหม่าลี่ ทราบข่าวว่าลู่เหยากลับมา จึงส่งคนไปเชิญมาเลี้ยงต้อนรับ
แต่ลู่เหยาปิดประตูไม่รับแขก หม่าลี่จึงไปเชิญลู่เหยาด้วยตนเอง
เขาคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู จนลู่เหยาจำใจต้องไปที่บ้านของหม่าลี่
ระหว่างกินเลี้ยงกัน ลู่เหยาต่อว่าหม่าลี่ที่ไม่ดูแลภรรยาของตน
ซึ่งเปรียบเสมือนพี่สะใภ้ของหม่าลี่ก็ไม่ปาน
หม่าลี่จึงพาลู่เหยาเข้าไปที่สวนดอกไม้หลังบ้าน
เขาเปิดประตูห้องใหญ่ห้องหนึ่งออก และเชิญลู่เหยาเข้าไป
ลู่เหยาตกตะลึงจนตาค้าง เขาเห็นรองเท้าผ้ากองเต็มห้องไปหมด
ลู่เหยาเข้าใจทันที เขาจึงก้าวถอยออกจากประตูด้วยความละอายใจ
และก้มลงคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูบ้านของหม่าลี่
...

หม่าลี่รีบเข้าไปพยุงให้ลู่เหยาลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า
เรื่องที่พี่ใหญ่ฝากฝังให้ข้าดูแลพี่สะใภ้นั้น ข้าไม่เคยลืมเลย
แต่นึกไม่ถึงว่า ครั้งนี้พี่ใหญ่จะไปเนิ่นนานถึงสิบปี
เดิมทีข้าคิดจะอุดหนุนจุนเจือพี่สะใภ้ด้วยของกินของใช้บริบูรณ์
แต่อีกใจก็คิดว่าเมื่อนางได้มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย วันๆไม่ต้องทำอะไร
อาจเป็นเหตุให้นางก่อเรื่องที่มิดีมิงามขึ้นได้
ครั้นข้าจะไปดูแลนาง ก็เกรงว่าจะเป็นที่ครหา ให้นางเสียชื่อเสียง
แล้วหากท่านกลับมา ข้าจะมาสู้หน้าท่านได้อย่างไร
แต่ก้อน่านับถือที่พี่สะใภ้ รู้จักทำมาหากินด้วยความสามารถของนางเอง
สมกับที่ข้าได้ตั้งใจไว้ ข้าจึงให้คนไปซื้อรองเท้าที่นางทำขายทุกครั้งไป
...
ลู่เหยาได้ฟังแล้วก็ซาบซึ้งยิ่งนัก เขายืนจ้องหน้าหม่าลี่อยู่นาน
สักพักจึงกล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า
ลู่เหยา (หนทางไกล) รู้ใจหม่าลี่(กำลังของม้า) กาลเวลาพิสูจน์ใจคน
คำกล่าวจีนที่ว่า หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
จึงได้เผยแพร่สืบต่อกันเรื่อยมา โดยเราใช้คำพรรณานี้มองเห็นว่า
การที่เราจะรู้อุปนิสัยใจคอของใครอย่างแท้จริงได้
ก็ต่อเมื่อได้อยู่ร่วมกับเขามาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วนั่นเอง
.....

ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบเรื่องราวของลู่เหยาและหม่าลี่ครับ
ทำให้มาคิดว่า …
บางครั้งในชีวิตของคนเรานั้น
การจะทำความดี ต้องทำอย่างอดทน ต้องทำอย่างลึกซึ้ง
ต้องทำอย่างไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน
ไม่ต้องหวังว่าทำดีกับคนอื่นแล้ว เขาจะต้องดีตอบกับเรา
มิเช่นนั้น เราจะทุกข์ใจหากไม่ได้การตอบแทนตามที่หวังไว้
แม้คนอื่นอาจเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้ทำอะไร เปรียบเสมือนผู้ที่ปิดทองหลังพระ
แม้ไม่มีใครมองเห็น แต่ตัวเรามองเห็นตัวเราเอง มองเห็นความดีที่เราทำ..
แค่นี้เราก็อิ่มเอิบใจและมีความสุขแล้ว 

7
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / โทรเลขถึงแม่
« เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2010, 00:01:13 »
โทรเลขถึงแม่
"ขอเงินซื้อชุดใหม่

ชุดที่มีใส่เที่ยวกับแฟนครบหมดแล้ว"
...
จากลูก

โทรเลขถึงลูก

"หาแฟนใหม่ ใส่ชุดเดิม"

จากแม่

8
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / ธรรมะใกล้ตัว
« เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2010, 00:29:10 »
เมื่อมีใครถามว่าพระพุทธเจ้าสอนคนที่ไม่ใช่พระอย่างไร
ใครบ้างที่เหมาะจะฟังธรรมของพระพุทธเจ้า
ผมมักยกเอาโจรสูตรมาตอบ
เพราะสูตรนั้น เป็นบันทึกว่าแม้แต่โจร พระพุทธเจ้าก็สอน

เรื่องของเรื่องคือเมื่อจะไม่เป็นคนดีแน่ๆล่ะ
จะขอเอาเปรียบชาวบ้านด้วยการลักเล็กขโมยน้อยไปอย่างนี้ล่ะ
ท่านก็บอกวิธีว่าเป็นโจรอย่างไร จะไม่ถึงความพินาศเร็วนัก

ท่านว่า อย่าฆ่าเจ้าทรัพย์ เอาของแล้วก็อย่าเอาชีวิตเขาอีก
อย่าเอาของเขาไปจนหมด เหลือๆของจำเป็นไว้ให้เขาบ้าง
อย่าฉุดคร่าสตรีไปด้วย เอาแต่ของเขาก็ช้ำใจจะแย่แล้ว
อย่าประทุษร้ายสตรี คือห้ามอกห้ามใจอย่าไปรังแกผู้หญิง
อย่าลักเอาของบรรพชิต เพราะผลมันจะรุนแรงและรวดเร็ว
อย่าถือเอาสมบัติราชาหรือทางการ เพราะเป็นของใหญ่ของแผ่นดิน
อย่าปล้นใกล้ถิ่นที่อยู่อาศัยนัก เดี๋ยวคนจะจำหน้าได้
แล้วก็อย่าสุรุ่ยสุร่าย รู้จักเก็บออมทรัพย์เอาไว้ใช้บ้าง

รวมแล้วคุณธรรมของโจร คือ อย่าโหดเหี้ยมเกินไป
มีน้ำใจบ้าง แล้วก็หัดเก็บออมเผื่อตั้งตัว
คิดเปลี่ยนใจในภายหลังค่อยมีความเป็นไปได้หน่อย

จากโจรสูตร คุณจะเห็นชัดเจนว่าพระพุทธเจ้าท่านยืดหยุ่น
ใครประกาศว่าฉันจะไม่รักดี ฉันจะไม่มีศีลมีสัตย์ล่ะ
จะอ้างกรรมเวร อ้างตระกูล หรือยอมรับว่ามักง่าย
อย่างไรก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้าก็ไม่พยายามโน้มน้าว
ให้กลับใจมาเป็นสุจริตชนทันทีทันใด
แต่ค่อยๆใส่คุณธรรมเข้าไปในหัวใจทุจริตชนนั่นแหละ
ลงว่าถ้าเป็นโจรมีคุณธรรม
คุณธรรมก็ติดตัวเป็นมงคลคุ้มครองได้บ้าง
ไม่ต้องตายเร็ว ไม่ต้องตายอนาถ
และถ้าเวรกรรมมีจริง
ก็ไม่ต้องไปใช้กรรมหนักหนาสาหัสเกินไปนัก

คุณธรรมเป็นสิ่งที่หยอดเข้าสู่หัวใจใครๆได้ไม่ยาก
เพราะเกิดเป็นมนุษย์ได้นี่
อย่างไรก็ต้องมีดี มีมโนธรรมติดตัวกันมาทุกคน
เนื่องจากจิตดวงแรกสุดของสภาพมนุษย์
มีความสว่าง มีความเป็นกุศล
กุศลจึงเป็นฐานของสภาวะมนุษย์
ไม่ดื้อด้านขนาดไม่ยอมมีคุณธรรมกันบ้างเลย

และนี่ก็เป็นไอเดียเบื้องต้นได้เหมือนกันครับ
สำหรับคนที่ถามๆกันเสมอ
ว่าจะช่วยญาติมิตรที่หลงผิดได้อย่างไร
เริ่มต้นขึ้นมาอย่าพยายามหักด้ามพร้าด้วยเข่า
แต่ให้ใช้วิธีเหยาะน้ำลงหินบ่อยๆจนหินกร่อนเอง
ถ้าอยากให้เขาค่อยๆดีขึ้นในทางไหน
คุณสร้างแรงบันดาลใจกระทบจิตเขาบ่อยๆ
เช่น เขาเป็นพวกไร้เหตุผล ดื้อด้าน ด่าพระด่าเจ้า
เขาด่าคำไหนมา ก็อย่าเพิ่งห้าม อย่าเพิ่งคัดค้าน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าด่ากลับว่าชั่วว่าเลว
อย่าเอานรกมาแช่ง อย่าเอาบาปมาขู่
เพราะนอกจากจะไม่ลดโทสะโมหะให้เขา
ยังมาเพิ่มโทสะโมหะที่ฝ่ายเราด้วย

บางบ้านพอจะตื่นมาใส่บาตร
อาจมีเสียงลอยลมมาว่า
"ไปให้ทำไม พวกไม่รู้จักทำมาหากิน"
เราก็อาจตอบแบบลอยลมกลับไปนิ่มๆว่า
"ท่านออกมาเดินเหนื่อยๆทุกเช้า ก็น่าเห็นใจเหมือนกันนะ"
พูดอะไรก็ได้ ที่เปลี่ยนลบให้เป็นบวกทีละนิด
แปรโทสะและการขี้เกียจเป็นการได้คิดวันละหน่อย
จะดีกว่าคุณพยายามพูดยาวๆ หรือเถียงแรงๆ
ด้วยความหมายใจว่าจะให้ญาติเปลี่ยนแปลงทันที
นอกจากจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
ยังเหมือนไปซ้ำให้เขาอาการหนักขึ้นด้วยสิครับ

9
สหสาขาวิชาชีพ / บทความจากน้าเน๊ก...เจ๋ง..
« เมื่อ: 05 มิถุนายน 2010, 16:33:17 »
บทความจากน้าเน๊ก...เจ๋ง..







อีืกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ - ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์

1. คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์
อุแม่เจ้า......... แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
*ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
*เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
*หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน
น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
อุแม่เจ้าเทค 2
คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้
นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่
เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น ......
คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอา หัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอม ให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงินเดือน '
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน
เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ
รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด
ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี
อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว
ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล
....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด
ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก
ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบ แยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ ทำ
เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่
โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา

10
1.อยู่เวรยุ่งไหม ได้ค่าเวรเป็น 2 เท่าหรือเปล่า
2.ถูกฝากเวรบ้างหรือเปล่า โดยเฉพาะ young staff
3.ไปเที่ยวที่ไหมกันบ้าง ในหรือต่างประเทศ
4.อื่นๆ

ไม่เห็นมีใครมาpost ข้อความช่วงสงกรานต์เลย


11
11 มีค. 2553 12:56 น.


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รมว.สาธารณสุข แถลงภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์สาธารณสุขในภาวะฉุกเฉินว่า ที่ประชุมได้หารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจในการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์การชุมนุมที่หากเกิดความรุนแรง โดยพบว่าทุกหน่วยงานได้เตรียมความพร้อมเอาไว้แล้ว ทั้งออกซิเจน และโลหิต ที่ทางสภากาชาดไทยได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว 500 ยูนิต พร้อมกับเตรียมการในเรื่องยานพาหนะ ทั้งรถ เรือ และเฮลิคอปเตอร์ รวมทั้งบุคคลากรที่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ทันทีหากเกิดเหตุ โดยจะใส่ชุดขาว พร้อมติดป้ายแสดงความเป็นเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจน

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ขอเรียกร้องไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมใน 3 เรื่องคือ 1. หากพบเหตุรุนแรงให้แจ้งไปศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินที่เบอร์โทร. 1669 และ 1646 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 2. ขอให้อำนวยความสะดวกและเปิดทางให้กับรถพยาบาลและบุคคลากรทางการแพทย์ทุกประเภทด้วย และ 3. อำนวยความสะดวกให้นำผู้ป่วยออกจากที่เกิดเหตุด้วย ส่วนข้อกังวลเกี่ยวกับการแบ่งสีของบุคคลากรทางการแพทย์จนอาจเป็นอุปสรรคในการดูแลผู้ป่วยนั้น มั่นใจว่าบุคคลกรทางการแพทย์จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง รักษาผู้ป่วยด้วยความเท่าเทียมกัน

12
รพ.เอกชนแห่ถอนตัวบัตรทองอีก 4 แห่ง คาดกระทบประชาชนราว 2 แสนคน 
 
 
  สปสช.เผยรพ.เอกชน 4 แห่ง ถอนตัวออกจากโครงการบัตรทอง เหตุขาดทุน กระทบประชาชนราว 2 แสน เล็งหาหน่วยบริการใหม่รองรับ เมษายน 53 เรียบร้อยไม่มีปัญหา ระบุมีรพ.เอกชน 1 รายขอเข้าร่วม ยันไม่ต้องกังวล
   
  นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สาขาเขต 13 กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ปลายปี 2552 ที่ผ่านมามีโรงพยาบาลเอกชน 4 แห่งได้แสดงความจำนงของถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกโครงการหลักประกันสุขภาพถ้ วนหน้า ประกอบด้วย 1.โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น มีจำนวนประชาชนที่ได้รับผลกระทบประมาณ 74,395 คน 2.โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ 53,740 คน 3.โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สุขาภิบาล 3 จำนวน 41,004 คน และ4.โรงพยาบาลศรีวิชัย 2 อีกจำนวน 30,130 คน รวมทั้งสิ้นจะมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการถอนตัวครั้งนี้ประมาณ 199,269 คน
   
  “การงดรับบริการครั้งนี้ ไม่ใช่งดรับผู้ป่วยทั้งหมด เนื่องจากโรงพยาบาลเกษมราษฏร์ งดรับเฉพาะผู้ป่วยที่ถือบัตรปฐมภูมิในโรงพยาบาล หรือผู้ป่วยที่มีสิทธิรักษาที่โรงพยาบาลโดยตรง แต่จะยังเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อจากปฐมภูมินอกโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 200,000 คน ส่วนโรงพยาบาลศรีวิชัย ขอออกจากโครงการทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน สำหรับสาเหตุการถอนตัวมาจากโรงพยาบาลล้วนไม่สามารถแบกรับภาระงานที่มากขึ้น รวมถึงภาระการขาดทุน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะปัจจุบันย่อมมีทั้งโรงพยาบาลที่ถอนตัวและเข้าร่วมใหม่ จึงไม่อยากให้กังวล”นพ.สุรเดช กล่าว
   
  นพ.สุรเดช กล่าวต่อว่า ขณะนี้ สปสช. ได้จัดหาหน่วยบริการใหม่รองรับผู้ป่วยทั้งหมดแล้วตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่หากประชาชนไม่สะดวกสามารถเลือกหน่วยบริการใกล้บ้านตามระบบได้ ทั้งนี้ การเลือกหน่วยบริการใกล้บ้านด้วยตนเองนั้น สปสช. ยังได้ประชุมร่วมกับผู้นำชุมชนเพื่อแจ้งว่า หากชุมชนใดต้องการย้ายหน่วยบริการ ทาง สปสช. จะจัดเจ้าหน้าที่ลงไปดำเนินการปรับเปลี่ยนให้ทันที ล่าสุดมีโรงพยาบาลเอกชน 1 แห่ง คือ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ แสดงความจำนงขอเข้าร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งจะเป็นอีกหน่วยบริการให้ประชาชนได้เลือกอีกแห่งหนึ่ง
   
  “ทั้งหมดจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2553 เพื่อความสะดวกของผู้ป่วยที่ต้องส่งต่อนั้น ทาง สปสช. ได้ขอให้หน่วยบริการเดิมทำประวัติผู้ป่วย เพื่อมอบให้หน่วยบริการใหม่นำไปใช้เป็นข้อมูลในการรักษาด้วย” นพ.สุรเดช กล่าว

13
ใครอยู่ แพร่, พิษณุโลก,   อุบลราชธานี,   ยโสธร, ราชบุรี, นครนายก, ศรีสะเกษ และพังงา ขอช่วยแสดงความเห็นด้วยว่า ใช้บัตรประชาชนแทนบัตรทองเพื่อ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใดก็ได้ภายในจังหวัด มีผลกระทบใดบ้าง

หน้า: [1]