My Community
หมวดหมู่ทั่วไป => ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ => ข้อความที่เริ่มโดย: story ที่ 17 มกราคม 2021, 11:59:00
-
ไบเออร์ (Bayer) กลุ่มบริษัทผู้ผลิตเคมีภัณฑ์สัญชาติเยอรมัน ประกาศจะจ่ายเงินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (กว่า 3.1 แสนล้านบาท) ในข้อตกลงครั้งใหญ่ให้แก่ฝ่ายโจทก์ชาวอเมริกันหลายหมื่นรายที่ระบุว่าผลิตภัณฑ์กำจัดวัชพืช "ราวด์อัพ" ของบริษัทซึ่งมีส่วนผสมของสารไกลโฟเซต ส่งผลให้พวกเขาป่วยเป็นมะเร็ง
ไบเออร์ ระบุในแถลงการณ์ว่า ข้อตกลงครั้งนี้จะเป็นการยุติข้อพิพาทราว 75% เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ราวด์อัพ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ราว 125,000 กรณี ทั้งที่มีการฟ้องร้องและไม่มีการฟ้องร้องต่อศาล
โดยเงินราว 8.8 - 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะใช้ในการไกล่เกลี่ยยอมความสำหรับคดีในปัจจุบัน ส่วนอีก 1.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะใช้สำหรับคดีความที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ข้อตกลงครั้งนี้ ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากศาลในรัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯ จะเป็นการยุติปัญหาที่น่าปวดหัวให้แก่ไบเออร์ นับตั้งได้แต่เข้าซื้อกิจการของมอนซานโต ผู้ผลิตราวด์อัพ มูลค่า 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปี 2018
นายเวอร์เนอร์ บาวแมนน์ ซีอีโอของไบเออร์ ระบุในแถลงการณ์ว่า "ข้อตกลงครั้งนี้เป็นการกระทำที่ถูกต้องและถูกเวลาสำหรับไบเออร์ในการทำให้ความไม่แน่นอนที่ดำเนินมายาวนานนี้ยุติลง"
อย่างไรก็ตาม ไบเออร์ ยังคงเผชิญข้อกล่าวหาจากโจทก์ อีกอย่างน้อย 25,000 รายที่ไม่ยอมรับในข้อตกลงยอมความครั้งนี้
สารไกลโฟเซตเป็นส่วนประกอบสำคัญในยาปราบศัตรูพืช "ราวด์อัพ" (RoundUp)
นับแต่ไบเออร์เข้าซื้อกิจการของมอนซานโตเมื่อ 2 ปีก่อน ก็ต้องเผชิญกับคดีความที่กล่าวหาว่าราวด์อัพเป็นผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งหลายหมื่นคดี โดยเมื่อเดือน พ.ค. 2019 คณะลูกขุนในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตัดสินให้บริษัทไบเออร์ จ่ายค่าเสียหายมูลค่า 2,055 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6.4 หมื่นล้านบาท) ให้แก่คู่สามีภรรยาที่ระบุว่า ผลิตภัณฑ์กำจัดวัชพืชราวด์อัพ ทำให้พวกเขาป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma)
ไกลโฟเซต คืออะไรและมีอันตรายเพียงใด
ไกลโฟเซต เป็นสารเคมีที่บริษัทมอนซานโตเริ่มใช้ใน "ราวด์อัพ" ซึ่งออกจำหน่าย มาตั้งแต่ปี 1974 โดยโฆษณาว่ามีประสิทธิภาพในการกำจัดวัชพืชโดยที่ไม่ส่งผลเสียต่อพืชผลทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์นี้มีจำหน่ายในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
หลังจากสิทธิบัตรสารไกลโฟเซตของบริษัทมอนซานโตหมดอายุลงเมื่อปี 2000 ก็ทำให้ปัจจุบันสารดังกล่าวถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของบริษัทต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย
แม้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ (EPA) จะไม่ออกข้อจำกัดเรื่องการใช้สารไกลโฟเซต โดยชี้ว่ามีอันตรายต่ำ พร้อมออกคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่เกษตรกรรมที่ใช้ยากำจัดวัชพืชชนิดนี้เป็นเวลา 12 ชั่วโมงหลังการฉีดพ่น อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหลายชิ้นจากนานาชาติบ่งชี้ว่าไกลโฟเซตเป็นสารที่อาจก่อมะเร็งในมนุษย์ได้
โดยเมื่อปี 2015 สำนักวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติขององค์การอนามัยโลก สรุปผลการศึกษาว่า สารไกลโฟเซต "อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์" แต่รายงานร่วมระหว่างองค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติในปี 2016 สรุปว่า สารไกลโฟเซต "ไม่น่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งในมนุษย์ผ่านการบริโภคอาหาร"
ในประเทศไทย ที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายซึ่งมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรมเป็นประธาน เมื่อ 27 พ.ย. มีมติเลื่อนกำหนดห้ามใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช 2 ชนิด คือพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสไปอีก 6 เดือน จากเดิมที่คณะกรรมการฯ ชุดเก่ามีมติเมื่อ 22 ต.ค. ให้ยกเลิกการใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2562 เป็นต้นไป ส่วนไกลโฟเซต เปลี่ยนจากการห้ามใช้เป็นเพียงการจำกัดการใช้
น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยเมื่อ 1 มิ.ย. ภายหลังการมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติในการห้ามใช้สารเคมีการเกษตร ให้กับหน่วยงานของกรมวิชาการเกษตร ว่า ตามนโยบายการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศให้คลอร์ไพริฟอส และพาราควอต เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ซึ่งห้ามการผลิต การนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน หรือการมีไว้ในครอบครอง โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2563 จึงขอให้เกษตรกร ผู้ค้า ผู้จัดจำหน่าย ส่งคืนสารดังกล่าวให้กับร้านค้าที่ซื้อมาภายใน 90 วัน ส่วนไกลโฟเซต กำหนดให้จำกัดการใช้ ซึ่งกรมวิชาการเกษตร เป็นผู้ดูแลและรวบรวมดำเนินการต่อไป
25 มิถุนายน 2020
https://www.bbc.com/thai/international-53169910
-
สารไกลโฟเซตเป็นส่วนประกอบสำคัญในยาปราบศัตรูพืช "ราวด์อัพ" (RoundUp)
ไกลโฟเซต สารเคมีกำจัดวัชพืชที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ยาฆ่าหญ้าที่เกษตรกรในหลายประเทศนิยมใช้ กลายเป็นข่าวดังอีกครั้ง หลังจากคณะลูกขุนในสหรัฐฯ มีคำสั่งให้บริษัทมอนซานโต้เจ้าของผลิตภัณฑ์ จ่ายค่าเสียหายมูลค่า 289 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (กว่า 9,500 ล้านบาท) ให้แก่ชายคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เพราะใช้ผลิตภัณฑ์ปราบศัตรูพืชที่มีสารไกลโฟเซตของบริษัทเป็นประจำในการทำงาน
คดีประวัติศาสตร์
คณะลูกขุนแห่งศาลนครซานฟรานซิสโก มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ส.ค.) ว่าบริษัทมอนซานโต้ ผู้ประกอบธุรกิจด้านเคมีเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพด้านการเกษตรรายใหญ่ของโลก มีความผิด เนื่องจากไม่แสดงคำเตือนอย่างเพียงพอ ว่าสารไกลโฟเซตซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในยาปราบศัตรูพืช "ราวด์อัพ" (RoundUp) และ "แรงเจอร์โปร" (RangerPro) อาจก่อให้เกิดมะเร็งกับผู้ใช้
คณะลูกขุนมีคำวินิจฉัยว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของมอนซานโต้ "มีส่วนสำคัญ" ที่ทำให้โจทก์ คือ นายดีเวย์น จอห์นสัน ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จากการที่เขาใช้ผลิตภัณฑ์แรงเจอร์โปร เป็นประจำในการทำงานเป็นคนสวนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma) เมื่อปี 2014
คดีนี้นับเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่สารไกลโฟเซตถูกเชื่อมโยงกับการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และจะกลายเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีลักษณะเดียวกันต่อไป โดยนอกจากนายจอห์นสันแล้ว ปัจจุบันมีผู้ยื่นฟ้องคดีในลักษณะเดียวกันกว่า 5,000 รายทั่วสหรัฐฯ
ด้านบริษัทมอนซานโต้ ประกาศว่าบริษัทจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินคดีครั้งนี้ต่อไป ขณะที่บริษัทไบเออร์ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทมอนซานโต้ หลังเข้าซื้อกิจการเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ยืนยันว่า ยากำจัดวัชพืชที่มีสารไกลโฟเซตเป็นส่วนผสมนั้นมีความปลอดภัยในการใช้งานและไม่ก่อให้เกิดมะเร็งหากใช้งานถูกต้องตามที่ระบุไว้ที่ฉลากสินค้า
ไกลโฟเซต คืออะไร และมีอันตรายไหม?
ไกลโฟเซต เป็นสารเคมีที่บริษัทมอนซานโต้เริ่มใช้ใน "ราวด์อัพ" ซึ่งออกจำหน่าย มาตั้งแต่ปี 1974 โดยโฆษณาว่ามีประสิทธิภาพในการกำจัดวัชพืชโดยที่ไม่ส่งผลเสียต่อพืชผลทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์นี้มีจำหน่ายในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
หลังจากสิทธิบัตรสารไกลโฟเซตของบริษัทมอนซานหมดอายุลงเมื่อปี 2000 ก็ทำให้ปัจจุบันสารดังกล่าวถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของบริษัทต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย
แม้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ (EPA) จะไม่ออกข้อจำกัดเรื่องการใช้สารไกลโฟเซต โดยชี้ว่ามีอันตรายต่ำ พร้อมออกคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่เกษตรกรรมที่ใช้ยากำจัดวัชพืชชนิดนี้เป็นเวลา 12 ชั่วโมงหลังการฉีดพ่น อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหลายชิ้นจากนานาชาติบ่งชี้ว่าไกลโฟเซตเป็นสารที่อาจก่อมะเร็งในมนุษย์ได้
โดยเมื่อปี 2015 สำนักวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติขององค์การอนามัยโลก สรุปผลการศึกษาว่า สารไกลโฟเซต "อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์" แต่รายงานร่วมระหว่างองค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติในปี 2016 สรุปว่า สารไกลโฟเซต "ไม่น่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งในมนุษย์ผ่านการบริโภคอาหาร"
ปัจจุบันบางประเทศ เช่น โปรตุเกส อิตาลี และนครแวนคูเวอร์ของแคนาดา ได้ออกกฎห้ามใช้สารไกลโฟเซตในพื้นที่สวนสาธารณะต่าง ๆ ขณะที่ทางการศรีลังกาห้ามใช้ไกลโฟเซตเมื่อปี 2015 แม้จะถูกต่อต้านจากผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมชา เช่นเดียวกับโคลอมเบียที่ห้ามการฉีดพ่นสารไกลโฟเซตทางอากาศในปี 2015 แม้จะมีการใช้วิธีดังกล่าวอย่างแพร่หลายในการทำลายไร่โคคาผิดกฎหมายก็ตาม
ปัจจุบันหลายประเทศห้ามใช้สารไกลโฟเซตในพื้นที่สวนสาธารณะต่าง ๆ
การใช้ไกลโฟเซตในประเทศไทย
ส่วนในประเทศไทยนั้น ข้อมูลจากองค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมกรีนพีซ ระบุว่า ไกลโฟเซต เป็นสารกำจัดศัตรูพืชที่ถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศไทยสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในปี 2014
ในการเสวนาบนเวทีวิชาการเรื่อง "ข้อเท็จจริงทางวิชาการในการควบคุมสารเคมีอันตราย : พาราควอต (Paraquat) ไกลโฟเซต (Glyphosate) และคลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos)" เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมานั้น รศ.จุฑามาศ สัตยวิวัฒน์ รองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและพิษวิทยา สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้กล่าวอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาลรามาธิบดี ปี 2553-2559 ที่พบหลักฐานว่า ไกลโฟเซต มีส่วนกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นถึง 5- 13 เท่า และยังออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาทส่วนกลางในระยะยาวด้วย
เมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ได้เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องที่คณะกรรมการวัถตุมีพิษอันตราย มีมติไม่แบนการใช้วัตถุอันตรายพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
12 สิงหาคม 2018
https://www.bbc.com/thai/international-45155365