My Community

หมวดหมู่ทั่วไป => ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ => ข้อความที่เริ่มโดย: today ที่ 24 กรกฎาคม 2019, 11:36:00

หัวข้อ: พบไข้มาลาเรียกลายพันธุ์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เริ่มหัวข้อโดย: today ที่ 24 กรกฎาคม 2019, 11:36:00
ห่วงไข้มาลาเรียกลายพันธุ์ระบาดอาเซียน
ข่าวต่างประเทศ
ไทยรัฐฉบับพิมพ์
24 ก.ค. 2562 06:35 น.

 
วารสาร “แลนเซต” รายงานสถานการณ์ว่าด้วยโรคติดเชื้อ อ้างผลการศึกษาวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ระบุเตือนเมื่อ 23 ก.ค. พบเชื้อปรสิตต้นเหตุไข้มาลาเรีย อันมีสาเหตุจากยุงกัด เกิดการกลายพันธุ์ดื้อยาและกำลังแพร่ระบาดรุนแรงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มจากกัมพูชาขยายตัวเข้า สปป.ลาว ไทย และเวียดนาม ทั้งพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อไข้มาลาเรียกลายพันธุ์มากราวครึ่งหนึ่ง ไม่ได้รับการบำบัดรักษาด้วยตัวยาทางเลือกที่ถูกต้องอันดับแรก ทำให้นักวิจัยห่วงกังวลว่าเชื้อไข้มาลาเรียกลายพันธุ์ ซึ่งต้านทานยารักษาโรคอาจแพร่ระบาดไปไกลถึงทวีปแอฟริกา จะยิ่งทำให้ความพยายามแก้ปัญหาหยุดยั้งโรคร้ายยุ่งยากขึ้นอีก


รายงานระบุ ที่ผ่านมาการรักษาผู้ป่วยไข้มาลาเรียใช้ยาผสมกัน 2 ชนิด คือ อาร์เทมิซินิน (artemisinin) และไพพิราควิน (piperaquine) โดยเริ่มใช้ยา 2 ชนิดนี้ในกัมพูชาเมื่อปี 2551 แต่พอล่วงถึงปี 2556 นักวิจัยพบเชื้อไข้มาลาเรียดื้อยาทั้งสองชนิดนี้ครั้งแรกในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเชื้อไข้มาลาเรียเริ่มกลายพันธุ์ดื้อยาได้สูงถึงราว 80 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์อยู่ระหว่างใช้ตัวยาทางเลือกอื่นบำบัดรักษาไข้มาลาเรียกลายพันธุ์ ทั้งเร่งวิจัยตัวยารักษาไข้มาลาเรียชนิดใหม่ๆ โดยขั้นตอนกระบวนการคืบหน้าไปเรื่อยๆ แต่ปัญหาคือความพยายามกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง พาหะการแพร่เชื้อไข้มาลาเรียตามภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงยังไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากนัก ทำให้จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไข้มาลาเรียในภูมิภาคนี้ยังสูงขึ้นเรื่อยๆ

ไข้มาลาเรียเริ่มระบาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เฉลี่ยชาวโลกติดเชื้อไข้มาลาเรียปีละราว 219 ล้านราย เสียชีวิตราว 435,000 ราย ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่คือกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการป่วยเบื้องต้นจากไข้มาลาเรีย คือ รู้สึกหนาวสั่น ป่วยไข้สูง และเหงื่อออกมาก หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีจะเกิดอาการระบบหายใจบกพร่อง ตามด้วยอวัยวะร่างกายทำงานล้มเหลวและเสียชีวิต.

https://www.thairath.co.th/news/foreign/1621440