กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10
31
การปรับ “ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ” ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566

สำหรับการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ บรรจุใหม่รอบนี้ เป็นผลมาจากที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมีเป้าหมายให้ผู้ที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับปริญญาตรีจะมีเงินเดือนไม่น้อยกว่า 18,000 บาท และผู้ที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับ ปวช. จะมีเงินเดือนไม่น้อยกว่า 11,000 บาท ภายในระยะเวลา 2 ปี

การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการนั้นเป็นไปตามความเหมาะสม คำนึงถึงสถานการณ์โลกและความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และจะส่งผลให้ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิต รวมทั้งเพื่อรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพและศักยภาพเข้าสู่ระบบราชการ ซึ่งจะเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบราชการไทยต่อไป

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

............................................................................................

สำหรับอัตราเงินเดือนข้าราชการ แรกบรรจุทุกคุณวุฒิ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 แยกเป็นกลุ่มวุฒิการศึกษา ดังนี้

วุฒิการศึกษา ปวช.
อัตราเดิม : 8,400-10,340 บาท
อัตราใหม่ : 10,340-11,380 บาท

วุฒิการศึกษา ปวส.
อัตราเดิม : 11,500-12,650 บาท
อัตราใหม่ : 12,650-13,920 บาท

วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี
อัตราเดิม : 15,000-16,500 บาท
อัตราใหม่ : 16,500-18,150 บาท

วุฒิการศึกษา ปริญญาโท
อัตราเดิม : 17,500-19,250 บาท
อัตราใหม่ : 19,250-21,180 บาท

วุฒิการศึกษา ปริญญาเอก
อัตราเดิม : 21,000-23,100 บาท
อัตราใหม่ : 23,100-25,410 บาท



1 เมษายน 2567
32
เรียกได้ว่าเป็นข่าวเศร้าของวงการมวยไทย หลังสูญเสียนักมวยดาวรุ่งเจ้าของฉายา "ขุนเข่าน้ำตาไหล" ที่หลายคนอาจจะเคยเห็นผลงานของนักมวยดาวรุ่งคนนี้กันมาบ้างแล้ว ท่ามกลางแฟนมวยที่เข้ามาไวอาลัยต่อการสูญเสียในครั้งนี้จำนวนมาก โดยเพจเฟซบุ๊ก มิสเตอร์ป๋อง ได้แจ้งข่าวร้ายดังกล่าวว่า

"ณรงค์ชัย..จากไปอย่างสงบ !! "ขุนเข่าน้ำตาไหล" ณรงค์ชัย ศิษย์จอมยุทธ นักชกอำเภอจักราช นครราชสีมา เคยชกสังกัดเกียรติเพชร และกลุ่มพลังใหม่ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

..ก่อนหน้านั้น เจ้าตัวเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่มอเตอร์ไชค์ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567  นอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่หลายวัน แพทย์พยายามยื้อชีวิตไว้เต็มที่แต่ไม่สำเร็จ จนมาเสียชีวิตในวันอาทิตย์ 31 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

..ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวน้องบิว ณรงค์ชัย ด้วยครับ ผมเองก็ได้บรรยายน้องชกตั้งแต่ดาวรุ่งจนเป็นดาวดัง ขึ้นชกคู่เอกมาหลายครั้ง!! #ขอให้น้องสู่ภพภูมิที่ดีครับ R.I.P."  โดยแฟนมวยต่างเข้ามาแสดงความเสียใจอย่างต่อเนื่อง

 สำหรับ "ขุนเข่าน้ำตาไหล" ณรงค์ชัย ศิษย์จอมยุทธ เคยโลดแล่นบนสังเวียนมาหลายไฟต์และถูกจับตาว่ากำลังจะเป็นนักชกอนาคตไกล ก่อนเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต

Thainewsonline
1 เมย 2567
33
ผอ.รพ.สงฆ์ ยันไม่มีเรื่องส่อทุจริต เผยเป็นเรื่องเข้าใจคลาดเคลื่อนในรายละเอียดเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง ปม 4 ผู้บริหารขอลาออกพร้อมกัน เตรียมเปิดโต๊ะกลมคุยสัปดาห์หน้า หลังกลับจากภารกิจที่ต่างประเทศ

จากกรณี สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวในโรงพยาบาลสงฆ์ว่า ในช่วงปลายเดือน มี.ค.2567 ที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูง 4 ราย ของโรงพยาบาลสงฆ์ ประกอบด้วย นพ.สมเกียรติ เกษมธรรมคุณ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ดร.ดุษฎี ใหญ่เรืองศรี รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล นพ.อนุตพงษ์ ชูจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ และ นพ.ประวิทย์ ตันติวัฒนาศิริกุล หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม ในฐานะคณะกรรมการบริหารหน่วยงาน ได้ทำบันทึกถึงอธิบดีกรมการแพทย์และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อขอลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกัน

โดยผู้บริหารระดับสูงทั้ง 4 ราย ระบุถึงเหตุผลการลาออกเหมือนกัน ว่า "เนื่องจากการบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ ทำให้เกิดความไม่สบายใจและความไม่ปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจรวมถึงครอบครัว จึงขอลาออกจากตำแหน่ง มีผลตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2567 เป็นต้นไป"

ต่อมาวันที่ 30 มี.ค.2567 กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงข่าวการถอนใบลาออก ของคณะผู้บริหารทั้ง 4 รายดังกล่าว โดยคณะกรรมการบริหารหน่วยงานมีโอกาสได้ปรึกษาคณะผู้บริหารในระดับกรมอย่างใกล้ชิด ทำให้รับทราบถึงความใส่ใจและความห่วงใยของผู้บังคับบัญชาระดับสูง คณะผู้บริหารทั้ง 4 รายดังกล่าว รู้สึกขอบพระคุณในความเข้าใจและกำลังใจนี้ จึงขอถอนใบลาออก และขอยืนยันความตั้งใจดีที่จะเดินหน้าทำงานเพื่อโรงพยาบาลสงฆ์และประชาชนต่อไป

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ได้พูดคุยกับ นพ.อภิชัย สิรกุลจิรา ผู้อำนวยการ รพ.สงฆ์ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ตอนนี้เรื่องราวสงบลงแล้ว ทั้งนี้ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยไปแล้ว แต่อาจจะยังไม่เข้าใจกัน และประจวบกับตนต้องเดินทางมาทำภารกิจที่ต่างประเทศ จึงเกิดปัญหาขึ้นในช่วงที่ตนไม่อยู่

"จริงๆ ควรเป็นการพูดคุยแบบเปิดอก แต่อาจจะเป็นเพราะว่าการหาช่องทางการพูดคุยที่ผ่านมา ทั้งๆที่ได้เปิดโอกาสในที่ประชุมใหญ่ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ได้มีการนำเสนอในประเด็นนี้ แต่พอมีการยกประเด็นขึ้นมา ในช่วงที่ ผอ.ไม่อยู่ รอกลับไป โดยสัปดาห์น่าจะมีการเปิดโต๊ะกลมคุยกัน" นพ.อภิชัย กล่าว

ส่วนสาเหตุการระบุว่า การบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ นพ.อภิชัย กล่าวว่า เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อนบางอย่างที่เกี่ยวกับการตรวจสอบรายละเอียดการดำเเนินการจัดซื้อจัดจ้างที่ผ่านมา ทำให้เกิดความไม่สบายใจ จากการมองคนละมุมมองระหว่างฝ่ายกลุ่มอำนวยการ ที่มีภารกิจมุ่งจะพัฒนาโรงพยาบาลให้เกิดความเจริญ ให้พระหรือผู้ที่เข้ามารับบริการรู้สึกถึงความทันสมัย เพราะเวลาที่ผ่านมา รพ.ทรุดโทรมเสื่อมโทรมลงไปมาก ฝ่ายที่พัฒนาก็มีความตั้งใจที่จะทำอย่างดีและรวดเร็ว ส่วนฝ่ายทางการแพทย์ การพยาบาลที่มีภารกิจเกี่ยวกับด้านการดูแลผู้ป่วย ไม่ได้มุ่งเน้นด้านการพัฒนา เลยอาจจะไม่เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง จึงทำให้มองว่าภารกิจหน้าที่บางอย่างมันซ้ำซ้อนกัน

"ยืนยันไม่มีประเด็นเรื่องส่อทุจริต แต่มีประเด็นบางอย่าง เช่น รายละเอียดไม่ครบ อาจจะต้องมองด้วยว่า เราควรที่จะใส่ใจในบางเรื่อง แต่กลับไปใส่ใจในบางเรื่องแทน" นพ.อภิชัยระบุ

นพ.อภิชัย กล่าวด้วยว่า ตลอดระเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา รพ.ได้พัฒนาค่อนข้างเยอะ ชี้วัดได้จากผู้ที่มาใช้บริการ ทั้งนี้ขอให้มั่นใจว่าไม่มีเรื่องทุจริต เนื่องจากรายได้ของ รพ.มาจากการบริจาค ไม่ใช่การเก็บค่ารักษาพยาบาล เกรงว่าจะกระทบกับความเชื่อมั่นของผู้บริจาคในอนาคต


31 มีนาคม 2567
https://www.isranews.org/article/isranews-news/127464-isra-106.html
34
กรมการแพทย์แจงผู้บริหาร รพ.สงฆ์ ขอลาออกพร้อมกัน 4 ฝ่าย ติดตามรับฟังข้อมมูลใกล้ชิดรอบด้าน ล่าสุดยกเลิกและถอนใบลาออกแล้ว ยันตั้งใจทำงานเพื่อ รพ.และประชาชนต่อไป ด้านอธิบดีกรมการแพทย์ตอบเองผ่านเพจ เป็นเรื่องปกติระบบราชการ สามารถแสดงเจตจำนงตามสิทธิ

จากกรณีข่าวผู้บริหาร รพ.สงฆ์ 4 ราย ยื่นใบลาออกพร้อมกัน พร้อมแสดงเหตุผลว่าการบริหารงานของผู้มีอำนาจใน รพ.สงฆ์ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ ทำให้เกิดความไม่สบายใจและไม่ปลอดภัย โดยยื่นลาออกต่อ ผอ.รพ.สงฆ์ และอธิบดีกรมการแพทย์

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกแถลงชี้แจงกรณีผู้บริหาร รพ.สงฆ์ขอลาออก ว่า จากที่มีข่าวการขอลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารโรงพยาบาลสงฆ์ 4 คนพร้อมกัน เนื่องจากมีความกังวลใจในระบบการบริหารงานภายในโรงพยาบาลนั้น กรมการแพทย์ขอชี้แจงว่า ผู้บริหารระดับสูงของกรมการแพทย์ได้รับทราบและตั้งข้อสังเกตถึงสถานการณ์ที่ต้องติดตามในช่วงที่ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว และขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เพื่อดำเนินการตามระเบียบของทางราชการอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ยังได้มีการรับฟังข้อมูลจากบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงขวัญกำลังใจของบุคลากรภาพรวมขององค์กรเป็นที่ตั้ง ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้ ทุกคนยังมีความเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ถวายการดูแลสุขภาพแด่พระภิกษุสงฆ์-สามเณรอาพาธได้ตามปกติ อย่างเต็มกำลังความสามารถ

สำหรับคณะผู้บริหารโรงพยาบาลที่ปรากฏในข่าวว่า ขอลาออกจากตำแหน่งบริหารก็ขอยกเลิกการลาออกแล้ว โดย นพ.สมเกียรติ เกษมธรรมคุณ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ดร.ดุษฎี ใหญ่เรืองศรี รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล ได้แถลงว่าตนและคณะผู้บริหารโรงพยาบาลสงฆ์อีกสองท่าน คือ นพ.อนุตพงษ์ ชูจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ และนพ.ประวิทย์ ตันติวัฒนาศิริกุล หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม ในฐานะคณะกรรมการบริหารหน่วยงานมีโอกาสได้ปรึกษาคณะผู้บริหารในระดับกรมอย่างใกล้ชิด ทำให้รับทราบถึงความใส่ใจและความห่วงใยของผู้บังคับบัญชาระดับสูง คณะผู้บริหารทั้ง 4 รายดังกล่าว รู้สึกขอบพระคุณในความเข้าใจและกำลังใจนี้ จึงขอถอนใบลาออก และขอยืนยันความตั้งใจดีที่จะเดินหน้าทำงานเพื่อโรงพยาบาลสงฆ์และประชาชนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ “สมาพันธ์แพทย์ รพ.ศ/รพ.ทั่วไป” โพสต์เรื่องดังกล่าว โดย พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้เข้ามาตอบในคอมเมนต์โดยส่งแถลงการณ์ของกรมการแพทย์ พร้อมทั้งได้ตอบกลับผู้ที่แสดงความคิดเห็น เพื่ออธิบายเรื่องดังกล่าว อาทิ

ความคิดเห็นที่ว่า : เรื่องปกติของการบริหารภายใน แปลว่า....

พญ.อัมพร : แปลว่าเมื่อผู้บริหารไม่สบายใจ ก็มีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นได้ รวมถึงสามารถแสดงเจตจำนงในการขอปรับบทบาทในงานบริหารได้ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น : แต่คงหนักไม่งั้นไม่ลาออกพร้อมกันถึง 4 ฝ่าย

พญ.อัมพร : ในระบบบริหารราชการ การแจ้งความจำนงตามสิทธิของตน เป็นเรื่องปกติ แต่การมีผู้แสดงความเห็นเช่นนี้ อาจสะท้อนถึงปัญหาบางอย่าง ซึ่งกรณีนี้ผู้บริหารระดับกรมให้ความสนใจใกล้ชิดค่ะ


30 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์
35
ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้น เมื่อสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวในโรงพยาบาลสงฆ์ว่า ในช่วงปลายเดือน มี.ค.2567 ที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูง  4 ราย ของโรงพยาบาลสงฆ์ ประกอบด้วย นพ.สมเกียรติ เกษมธรรมคุณ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ดร.ดุษฎี ใหญ่เรืองศรี รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล นพ.อนุตพงษ์ ชูจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ และ นพ.ประวิทย์ ตันติวัฒนาศิริกุล หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม ในฐานะคณะกรรมการบริหารหน่วยงาน ได้ทำบันทึกถึงอธิบดีกรมการแพทย์และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อขอลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกัน

โดยผู้บริหารระดับสูงทั้ง 4 ราย ระบุถึงเหตุผลการลาออกเหมือนกัน ว่า "เนื่องจากการบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ ทำให้เกิดความไม่สบายใจและความไม่ปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจรวมถึงครอบครัว จึงขอลาออกจากตำแหน่ง มีผลตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2567 เป็นต้นไป"

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ภายหลังได้รับทราบเรื่องนี้ ได้ติดต่อไปยัง พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงถึงกรณีที่เกิดขึ้น

พญ.อัมพร ชี้แจงว่า เรื่องการลาออกจากตำแหน่งฝ่ายบริหารเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเป็นเรื่องของกลไกการบริหารภายใน แต่ยังไม่ได้เห็นเอกสารลาออกฉบับจริง ได้รับการแจ้งผ่านการบอกเล่า

เมื่อถามว่า มีการระบุเหตุผลในหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งเหมือนกันว่า การบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ?

พญ.อัมพร กล่าวว่า "ไม่ทราบ ต้องถามเจ้าตัวเอง"



29 มีนาคม 2567
https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/127436-isra-priest-hospital.html
36
วันนี้ (1 เมษายน 2567) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ปรับระบบให้หน่วยบริการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) 902 แห่ง ใช้ระบบ Financial Data Hub (FDH) เป็นช่องทางในการเบิกจ่ายค่าบริการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป หลังประเมินผลการเบิกจ่ายโครงการ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ใน 4 จังหวัดนำร่อง พบว่าได้ผลดี สะดวกกับโรงพยาบาล และเดินหน้าสู่ Digital Transformation เต็มรูปแบบเพื่อช่วยให้การเบิกจ่ายรวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมมาตรฐานรักษาควาปลอดภัยไซเบอร์ อีกทั้งเตรียมขยายสู่สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และประกันสังคมต่อไป

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดและโฆษก สธ. เปิดเผยว่า สธ.ได้พัฒนาระบบศูนย์กลางข้อมูลด้านการเงิน กระทรวงสาธารณสุข (Financial Data Hub : FDH) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพดิจิทัล เชื่อมโยงข้อมูลด้านการรักษาพยาบาลและการเงิน สนับสนุนการเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ และสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์วางแผนนโยบายด้านสาธารณสุขได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 หน่วยบริการในสังกัด สป.สธ.ทั้ง 902 แห่ง มีการส่งข้อมูลบริการมายัง FDH ครบทุกแห่ง และเมื่อเริ่มนำร่อง 30 บาทรักษาทุกที่ฯ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 ได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พัฒนาระบบเพื่อสนับสนุนการเบิกจ่ายการค่าบริการของหน่วยบริการ 49 แห่ง ใน 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส พบว่า สามารถส่งข้อมูลได้ครบทุกแห่ง สปสช. รับข้อมูลไปพิจารณาและโอนจ่ายให้หน่วยบริการได้สำเร็จ รวมทั้งมีการขยายไปยังหน่วยบริการอื่นที่พร้อมส่งข้อมูลเพื่อขอรับค่าใช้จ่ายผ่านระบบ FDH ด้วย

นพ.สุรโชค กล่าวต่อว่า จากความสำเร็จดังกล่าว สธ. และ สปสช. จึงได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือการดำเนินการพัฒนาระบบข้อมูลการเบิกค่าบริการสาธารณสุข เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลการเบิกจ่ายบนระบบคลังข้อมูลสุขภาพของทั้ง 2 หน่วยงาน รองรับการเบิกจ่ายเงินค่าบริการสาธารณสุขกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของหน่วยบริการสังกัด สธ.ผ่าน FDH ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา เพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป หน่วยบริการในสังกัด สป.สธ.ทั้ง 902 แห่ง ส่งข้อมูลขอรับค่าใช้จ่ายสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผ่านระบบ FDH เพียงช่องทางเดียว เป็นการเปลี่ยนวิธีส่งข้อมูลจากการบันทึกในระบบเป็นการส่งข้อมูลด้วย “เทคโนโลยีดิจิทัล” แทน โดยระบบ FDH จะเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยบริการและ สปสช. ด้วย API และทำหน้าที่เสมือนเป็นไปรษณีย์ รับและส่งข้อมูลขอรับค่าใช้จ่ายสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

“เรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) จะมีการให้สิทธิและตรวจสอบสิทธิก่อนเข้าใช้งานระบบ FDH สิทธิการแก้ไขข้อมูล มีการเข้ารหัสข้อมูลส่วนบุคคลจากระบบสารสนเทศโรงพยาบาลก่อนส่งเข้าระบบ FDH ข้อมูลจะถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ISO/IEC 27001 และ ISO 27799 โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ทำการเจาะระบบหาช่องโหว่ เพื่อนำไปสู่การรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน” นพ.สุรโชค กล่าว

โฆษก สธ. กล่าวอีกว่า สป.สธ.ยังได้พัฒนาบุคลากรของหน่วยบริการให้สามารถส่งข้อมูลและเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง ครบถ้วน ผ่านการประชุมชี้แจงและอบรมผู้ใช้งาน โดยร่วมกับ สปสช. ผู้พัฒนาระบบสารสนเทศโรงพยาบาล และบุคลากรจาก 4 จังหวัดนำร่อง ถ่ายทอดประสบการณ์ ปัญหา อุปสรรค และปัจจัยความสำเร็จในการเบิกจ่ายค่าบริการสาธารณสุขจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมถึงสนับสนุนผู้บริหารแต่ละระดับ ในการควบคุม กำกับ ติดตาม การปฏิบัติงานของบุคลากร โดยในระยะต่อไป สธ.จะดำเนินการให้ระบบ FDH สามารถทำงานร่วมกับระบบสารสนเทศของกรมบัญชีกลางที่ดูแลสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และระบบสารสนเทศของกองทุนประกันสังคม และสิทธิการรักษาพยาบาลอื่นๆ ต่อไป

https://www.matichon.co.th
1 เมษายน 2567
37
พระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เรียกว่า พระราชลัญจกรพระเกี้ยว จุลมงกุฎ พระเกี้ยวยอด หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “พระเกี้ยว” เป็นศิราภรณ์ชนิดหนึ่งอย่างมงกุฎ

พระราชลัญจกรประจำพระองค์รัชกาลที่ 5 เป็นตรางา ลักษณะกลมรี ขนาดกว้าง 5.5 เซนติเมตร ยาว 6.8 เซนติเมตร รูปพระเกี้ยวมีรัศมี ประดิษฐานบนพานรอง 2 ชั้น ปากพานชั้นล่างมีรูปดอกกุหลาบ เคียงด้วยฉัตรตั้ง 2 ข้าง ที่ริมขอบทั้ง 2 ข้าง มีพานรอง 2 ชั้น วางพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่ง วางสมุดตำราข้างหนึ่ง

โดยเหตุที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเกี้ยวขึ้นองค์หนึ่ง เพื่อให้รัชกาลที่ 5 (ขณะดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ) ใช้ทรงในพระราชพิธีโสกันต์ เมื่อ พ.ศ. 2408 จึงได้เรียกกันว่า “จุลมงกุฎ” มาแต่ครั้งนั้น

ด้วยเหตุนี้เอง รัชกาลที่ 5 จึงทรงถือเอาพระเกี้ยวหรือจุลมงกุฎนี้มาเป็นสัญลักษณ์หรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ต่อมา

พระราชลัญจกรนี้ใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในเอกสาร สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่ารัชกาลที่ 5 ทรงประทับพระราชลัญจกรพระเกี้ยวครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2410 กล่าวคือ

เมื่อ พ.ศ. 2410 จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ส่งมองซิเอแบลกัวต์เป็นราชทูตพิเศษเข้ามาแลกเปลี่ยนหนังสือสัญญากับสยาม ต่อมาวันหนึ่ง รัชกาลที่ 5 เสด็จฯ ทอดพระเนตรเรือรบฝรั่งเศสตามคำกราบบังคมทูลเชิญของราชทูต

จากนั้น “ราชทูตฝรั่งเศสจัดการรับเสด็จอย่างเต็มยศใหญ่ ชักธงบริวารและให้ทหารขึ้นยืนประจำเสาเรือรบ แล้วยิงปืนสลุตตามพระเกียรติยศรัชทายาททุกประการ อาศัยเหตุที่ราชทูตฝรั่งเศสแสดงความเคารพโดยพิเศษนี้ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (หมายถึงรัชกาลที่ 5) ลงพระนามและประทับพระลัญจกร ในหนังสือสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนสัญญา กับกรมหลวงวงศาธิราชสนิท สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนบำราบปราบปรปักษ์ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และเจ้าพระยาภูธราภัย…”
ดังนั้น รัชกาลที่ 5 ขณะดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ จึงน่าจะทรงใช้ตรา “พระเกี้ยว” ประจำพระองค์ ทรง “ลงพระนามและประทับพระลัญจกร” ในหนังสือสำคัญดังกล่าว เช่นเดียวกับเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของสยาม ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ข้างต้น

อย่างไรก็ตาม สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า “ดูเหมือนตราพระลัญจกรรูปพระจุลมงกุฎ (เกี้ยวยอด) จะคิดขึ้นในคราวนี้ แต่ข้อนี้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ”

อ้างอิง :
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. (2555). พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.
ส. พลายน้อย. (2527). ความรู้เรื่องตราต่าง ๆ เล่ม 1 พระราชลัญจกร. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์บำรุงสาส์น

เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 ตุลาคม 2564
https://www.silpa-mag.com

38
ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2024 กฎหมายใหม่ของเยอรมนีเกี่ยวกับการครอบครองกัญชาส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้แล้ว ทำให้ประชากรที่มีอายุ 18 ขึ้นไป สามารถสูบกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย รวมถึงได้รับอนุญาตให้พกพากัญชาแห้งได้ไม่เกิน 25 กรัม และปลูกต้นกัญชาที่บ้านได้ไม่เกิน 3 ต้น

กฎหมายใหม่นี้เกิดขึ้นหลังการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการอนุญาตให้ประชาชนเข้าถึงกัญชาได้ง่ายขึ้น

รัฐบาลกล่าวว่า การลดทอนความเป็นอาชญากรรมของกัญชาจะช่วยในการต่อสู้กับตลาดมืด และลดการแพร่กระจายของกัญชาที่ไม่ได้มาตรฐานหรือปนเปื้อน กฎหมายใหม่จึงเป็นการปกป้องคนหนุ่มสาว

แต่แน่นอนว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเยาวชนเช่นกัน โดย คัตยา ไซเดล นักบำบัดที่ Tannenhof Berlin-Brandenburg ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดในกรุงเบอร์ลิน กล่าวว่า “จากมุมมองของเรา กฎหมายนี้ถือเป็นหายนะ”

เธอเสริมว่า “การเข้าถึงผลิตภัณฑ์จะง่ายขึ้น ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์จะเปลี่ยนไปและทำให้เป็นมาตรฐานมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว คาดว่าจะเห็นการใช้กัญชาเพิ่มขึ้น อย่างน้อยในช่วงแรก”

ทั้งนี้ การใช้กัญชาโดยผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีจะยังคงผิดกฎหมายต่อไป

กฎหมายใหม่ยังมีมาตรการป้องกันบางประการเพื่อปกป้องเยาวชน รวมถึงการห้ามสูบกัญชาภายในรัศมี 100 เมตรจากโรงเรียน โรงเรียนอนุบาล สนามเด็กเล่น หรือศูนย์กีฬา

รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของเยอรมนี คาร์ล เลาเทอร์บาค ให้สัญญาว่า จะรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพและส่งเสริมโครงการป้องกัน

อย่างไรก็ตาม แคมเปญสื่อที่วางแผนไว้ไม่ทำให้นักวิจารณ์เชื่อถือเท่าไรนัก บอริส น็อบลิช โฆษกของ Tannenhof Berlin-Brandenburg กล่าวว่า “มันไม่สอดคล้องกับพวกเขา มันจะไม่มีวันได้ผล สิ่งที่ได้ผลคือคนที่เข้าไปคุยกับพวกเขาระหว่างดื่มกาแฟ โดยไม่มีครูอยู่ที่นั่น”
ด้านศูนย์สุขศึกษาของรัฐบาลกลาง ซึ่งเชื่อมโยงกับกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พวกเขาจะ “รับความรับผิดชอบโดยขยายข้อเสนอการป้องกัน”

ขณะเดียวกัน รัฐบาวาเรียทางตอนใต้กำลังทดสอบหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์สำหรับครูเกี่ยวกับวิธีการพูดคุยเรื่องกัญชาในห้องเรียน

ตามสถิติอย่างเป็นทางการในปี 2021 ประมาณ 8.8% ของผู้ใหญ่ในเยอรมนีที่มีอายุ 18-64 ปีกล่าวว่าพวกเขาใช้กัญชาอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และในกลุ่มเด็กอายุ 12 ถึง 17 ปี สถิติดังกล่าวอยู่ที่เกือบ 10%

เรียบเรียงจาก The Guardian

PPTVHD36
1 เม.ย. 2567
39
วันโกหกโลก หรือ วันเมษาฯ หน้าโง่ ที่ผู้คนจะออกมาเล่นมุกตลก หรือเห็นแคมเปญการตลาดแปลก ๆในวันที่ 1 เมษายนของทุกปี แล้ววันนี้ที่มาเป็นอย่างไร

ประวัติศาสตร์ 1 เมษา วันโกหกโลก
วันโกหกโลก เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1582 เมื่อชาติฝรั่งเศสเปลี่ยนจากปฏิทินจูเลียนเป็น ‘ปฏิทินเกรกอเรียน’ ซึ่งจะเปลี่ยนปีใหม่จาก วันที่ 1 เมษายน เลื่อนไปเป็น วันที่ 1 มกราคม ดังเช่นในทุกวันนี้

ทำให้เหล่าผู้คนที่เฉลิมฉลองในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคมถึง 1 เมษายน กลายเป็นเรื่องราวตลกขำขันและถูกเรียกว่า พวกหน้าโง่ ที่ตามไม่ทันข่าวสารบ้านเมือง

นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาว่าวันโกหกโลกยังเชื่อมโยงกับวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ธรรมชาติหลอกผู้คน ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนคาดเดาไม่ได้

ตัวอย่าง เหตุการณ์หลอกโลกลวงที่สุดในโลก
การเก็บเกี่ยวเส้นสปาเกตตีจากต้น
ในปีค.ศ. 1957 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่าเกษตรกรชาวสวิสกำลังประสบปัญหากับการปลูกสปาเกตตี และได้ฉายภาพผู้คนกำลังเก็บเส้นสปาเกตตีจากต้นไม้ จนกลายเป็นเรื่องฮือฮาในประเทศอังกฤษ

การปล้นทองคำ​ครั้งใหญ่ในกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 หนังสือพิมพ์เยอรมันชื่อ Berliner Tageblatt ประกาศว่าหัวขโมยได้ขุดอุโมงค์ใต้กระทรวงการคลังสหรัฐในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อขโมยเงินและทองคำของอเมริกาได้มากกว่า 268 ล้านเหรียญ (ประมาณ 9750 ล้านบาท)

ก่อนที่ผู้คนจะตระหนักว่านี่เป็นการแกล้งกันในวันเอพริลฟูลส์โดย Louis Viereck นักข่าวชาวนิวยอร์กของ Berliner Tageblattซึ่งตีพิมพ์บทความเรื่องตลกโดยใช้ชื่อปลอม

Virgin Airlines ผู้สร้างตำนาน UFO
ในปี 1989 ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Virgin Group สร้างจานบิน UFO และมนุษย์ต่างดาวขึ้นมา โดยวางแผนที่จะลงจอดที่ไฮด์ปาร์คในวันที่ 1 เมษายน เพื่อแกล้งกัน อย่างไรก็ตาม กระแสลมที่เปลี่ยนแปลงทำให้พวกเขาต้องลงจอดเร็วขึ้นเล็กน้อยในเซอร์เรย์

กระดาษชำระสำหรับคนถนัดซ้าย
และสุดท้ายกับเรื่องตลกสุดขำขัน ที่เรียกเสียงฮา ในปี 2015 ซึ่งทางบริษัท Cottonelle ได้ออกทวีตข้อความว่า กำลังเปิดตัวกระดาษชำระสำหรับคนถนัดซ้าย

Beartai
1 เมษายน 2567
40
กระแสดราม่าเล็กๆ จากประโยคหนึ่งของท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา นักธุรกิจหนุ่มผู้ก่อตั้ง Bitkup Capital Group Holdings ที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายๆ ที่ว่าเขาไม่เชื่อเรื่อง Work Life Balance และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นอกจากกรณีนี้ยังมีกระแสเรื่องยูทูบเบอร์ช่องดังรายหนึ่งใช้แรงงานนักศึกษาฝึกงานแบบโต้รุ่งจนแทบไม่มีเวลานอน ทำให้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคม จากกรณีดังกล่าวทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าการสร้างสมดุลในชีวิตกับการทำงานที่ดีจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้จริงหรือ

Work Life Balance คืออะไร
Work Life Balance คือ แนวคิดเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งมีประโยชน์สำหรับคนยุคใหม่ ทั้งที่ทำงานประจำและอาชีพอิสระ ไม่ว่าจะเป็น

ช่วยให้มีความสุขกับชีวิตมากขึ้นเนื่องจากการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องอาจสร้างผลกระทบในหลายๆ ด้าน
สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น
มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่มีคุณภาพมากขึ้น
Work Life Balance ที่ดีก็ประสบความสำเร็จได้
ผลสำรวจจาก Adecco Group ที่สำรวจความคิดเห็นของคนทำงานจากกลุ่มตัวอย่าง 34,200 คนใน 25 ประเทศทั่วโลก ในช่วงอายุ 18-60 ปี พบว่า

40% ยกให้การมี Work Life Balance ที่ดีเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน
32% คือการมีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วัน
30% มีงานที่มั่นคง
30% มีความยืดหยุ่นในการทำงาน
29% ได้ทำงานที่ตรงกับความชอบของตนเอง

...

ขณะเดียวกันผลสำรวจก็เผยว่า “เงินเดือนที่สูงขึ้น” เป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดพนักงานใหม่ แต่ไม่สามารถรั้งพนักงานเก่าให้อยู่กับองค์กรต่อไปได้ เพราะเงินเดือนคือเหตุผลอันดับ 1 ที่ทำให้คนตัดสินใจย้ายงาน แต่การมี Work Life Balance ที่ดี เป็นเหตุผลอันดับ 2 ที่ทำให้รักษาพนักงานเก่าไว้ได้นานยิ่งขึ้น

โดยปัจจัยหลักที่ทำให้คนทำงานเลือกที่จะอยู่ต่อกับบริษัทเดิม อันดับ 1 คือการมีความสุขกับงาน รองลงมาคือ งานมีความมั่นคง มี Work Life Balance มีความสุขกับเพื่อนร่วมทีม และการมีความยืดหยุ่นในการทำงาน นอกจากนี้ยังพบว่า 44% ของคนที่ยังต้องการอยู่ที่เดิม จะมีข้อเสนอว่าพวกเขาต้องการความก้าวหน้าภายในบริษัท และยังต้องการเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานใหม่อีกด้วย

ส่วนความพึงพอใจเรื่องเงินเดือนกลับอยู่ในอันดับที่ 6 ของการตัดสินใจเลือกอยู่กับองค์กรเดิม ดังนั้นหากบริษัทต้องการเก็บรักษาพนักงานที่มีความสามารถ นอกจากเรื่องเงินเดือนแล้ว สิ่งที่จะต้องพิจารณาให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ รูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการคนในปัจจุบัน มีการวางแนวการพัฒนาพนักงานให้มีการเติบโตในสายงาน และดูแลเรื่องสุขภาวะที่ดีของพนักงานควบคู่ไปด้วย

Work Life Balance สร้างได้อย่างไร
สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการทำงานก็สามารถเริ่มต้นด้วยตนเองได้ง่ายๆ ด้วยวิธีต่อไปนี้

ตั้งเป้าหมายการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันควรตั้งเป้าหมายและจัดรายการลำดับการทำงานในแต่ละวันเพื่อการจัดการเวลาได้ดีขึ้น
เคารพเวลาพักผ่อนของตนเองเมื่อถึงเวลาพักผ่อนควรหยุดคิดถึงเรื่องงาน ไม่นำงานกลับมาทำที่บ้าน ปิดโทรศัพท์มือถือ ใช้เวลาพักผ่อนเพื่อเป็นรางวัลให้กับความอดทนและตั้งใจของตนเองในแต่ละวัน
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธและต่อรองการขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเพื่อแบ่งเบาภาระงานเพื่อช่วยให้จดจ่อกับงานและผลิตงานที่มีคุณภาพได้มากขึ้น
ใช้เวลากับคนรอบตัวให้มากขึ้น การแบ่งเวลาให้กับคนรอบตัวหรือคนในครอบครัวจะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ และช่วยบรรเทาความเครียดหรือความทุกข์ภายในจิตใจ จึงไม่ควรละเลยคนรอบตัวที่ควรให้ความสำคัญ
ใส่ใจกับตนเองมากขึ้น ควรแบ่งเวลาเพื่อดูแลสุขภาพตนเอง เช่น ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อผ่อนคลายความเครียด จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงพร้อมสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต

การมี Work Life Balance ที่ดี แบ่งเวลาให้กับการทำงาน การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพ ก็ช่วยให้ชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คำว่า Work Life Balance ของหลายคนอาจไม่เท่ากัน บางคนอาจโฟกัสที่ความสำเร็จในการทำงานด้วยการเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยจึงต้องเร่งทำงานอย่างหนักเพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่วางไว้ หรือบางคนอาจเน้นที่ตัวเงินเดือนหรือรายได้เป็นหลักมากกว่าการแบ่งเวลาไปสร้างสมดุลในชีวิตด้านอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด และการที่คนอื่นๆ จะเลือก Work Life Balance เพื่อสร้างความสมดุลในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญก็ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเอาชีวิตตนเองเป็นบรรทัดฐานว่าคนรอบข้างต้องคิดและทำแบบตนเองจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องของสังคมเสมอไป

...


ข้อมูลอ้างอิง : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร

25 มี.ค. 2567
ไทยรัฐออนไลน์
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10