ปัญญาพลวัตร
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ในระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้มีเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งของสังคมได้ไม่น้อย หากมีการดำเนินการอย่างจริงจัง แต่กลับกลายเป็นว่าผู้บริหารประเทศทั้งที่เป็นนักการเมืองและทหารไม่แสดงออกถึงเจตนารมณ์ทางการเมืองอย่างมุ่งมั่นในการดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด เรื่องที่ว่าคือการปฏิรูปตำรวจ
แม้การปฏิรูปตำรวจจะไม่ได้รับความสนใจจากผู้บริหารประเทศ แต่กลับเป็นเรื่องที่ภาคประชาชนแทบทุกกลุ่มทุกฝ่าย รวมทั้งตำรวจน้ำดีทั้งหลายที่เกษียณไปแล้วล้วนเห็นตรงกันว่าเป็นสิ่ง สำคัญและมีความจำเป็นลำดับต้นๆของการปฏิรูปประเทศ
ทำไมผู้บริหารประเทศที่ผ่านมาจึงไม่ดำเนินการปฏิรูปตำรวจ ทั้งที่พวกเขาก็ทราบดีอยู่แล้วว่าประชาชนจำนวนมากต้องการให้มีการปฏิรูป จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจในการแสวงหาคำตอบอยู่ไม่น้อยว่าจุดยืนและเหตุผลที่พวกเขาอ้างคืออะไร และมีความเหมือนหรือความต่างกันหรือไม่
เราเริ่มจากผู้บริหารที่เป็นนักการเมืองก่อน ผมคิดว่ามีเหตุผลหลักสองประการที่ทำให้นักการเมืองไม่กล้าปฏิรูปตำรวจ ประการแรกคือความหวาดกลัวต่อการสูญเสียฐานคะแนนเสียงทางการเมือง และประการที่สองคือความหวาดกลัวต่อปฏิกิริยาต่อต้านและการตอบโต้จากตำรวจ
ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียฐานคะแนนเสียงทางการเมืองมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าตำรวจเป็นหน่วยงานที่มีกำลังพลเป็นจำนวนมากหรือประมาณสองแสนคน และหากบวกกับครอบครัวและเครือญาติอีกไม่น้อยกว่าสามแสนคนแล้ว ก็จะทำให้ตัวเลขของกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับตำรวจมีไม่น้อยกว่าห้าแสนคน ดังนั้นหากพรรคการเมืองใดที่เป็นรัฐบาลประกาศนโยบายปฏิรูปตำรวจ โดยมีแนวทางที่ส่งผลกระทบกับสถานภาพ อำนาจ และความมั่งคั่งของตำรวจแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ว่าตำรวจและเครือข่ายของพวกเขาจะไม่สนับสนุนรัฐบาลอีกต่อไป
หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ด้วยความที่ตำรวจเป็นกลุ่มทางสังคมที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ จึงมีความเป็นไปได้ว่าตำรวจจะดำเนินการด้วยกลวิธีหลากหลายประการ เพื่อโน้มน้าวและชักจูงให้ประชาชนไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่สร้างผลกระทบต่อพวกเขา และด้วยความที่ตำรวจเป็นกลุ่มทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อประชาชนไม่น้อย ก็มีความเป็นไปได้ว่าประชาชนจำนวนมากมีแนวโน้มเชื่อและปฏิบัติตามในสิ่งที่ตำรวจชี้นำ ผลที่ตามมาคือพรรคการเมืองที่ประกาศนโยบายปฏิรูปตำรวจก็อาจสูญเสียคะแนนนิยมไปไม่น้อย และอาจส่งผลให้จำนวน ส.ส.ของพรรคลดลงได้ในการเลือกตั้งก็ได้
ตำรวจยังอาจใช้ยุทธวิธีต่อต้านรัฐบาลที่คิดปฏิรูปพวกเขาโดยการการประท้วงเงียบ ด้วยการวางเฉยในการปฏิบัติงาน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ใส่เกียร์ว่าง รูปแบบการวางเฉยมีความหลากหลาน เช่น การดำเนินคดีล่าช้าหรือไม่ดำเนินคดี การละเลยไม่ทำการป้องกันอาชญากรรม การตรวจตราความปลอดภัยแบบพอเป็นพิธี การไม่กระตือรือร้นในการปราบปรามอาชญากรรม และการลดการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร หากตำรวจใช้ยุทธวิธีต่อต้านรัฐบาลพร้อมกันหลายวิธี ผลที่ตามมาคืออาชญากรรมจะเพิ่มมากขึ้นและจะเกิดความโกลาหลในการจราจร ประชาชนก็จะหงุดหงิดและตำหนิรัฐบาล และมองว่ารัฐบาลไม่มีน้ำยาในการสั่งการตำรวจให้รักษาความสงบปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ท้ายที่สุดก็จะทำให้คะแนนนิยมของรัฐบาลลดลง
ยิ่งกว่านั้นหากตำรวจเพิ่มระดับความเข้มข้นในการต่อต้านรัฐบาลที่คิดจะปฏิรูปพวกเขา โดยใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาข้อมูลสืบสวนประวัติของบรรดานักการเมืองพรรครัฐบาล และนำข้อมูลด้านลบของนักการเมืองพรรครัฐบาลออกไปสู่สาธารณะผ่านเครือข่ายสื่อมวลชนหลากหลายช่องทาง ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้ความน่าเชื่อถือของพรรคการเมืองที่คิดปฏิรูปตำรวจลดลง เพราะนักการเมืองจำนวนมากในแทบทุกพรรคเป็นผู้มีอิทธิพล บางคนดำเนินธุรกิจสีเทา บางคนก็สีดำ และบางคนก็เคยทำสิ่งผิดกฎหมายที่ร้ายแรงมาก่อน เช่น เป็นเจ้าของซุ้มมือปืน ค้ายาเสพติด ค้าของเถื่อน
ตำรวจอาจยังใช้ยุทธวิธีการบั่นทอนกลไกทางการเมืองของนักการเมือง ด้วยธรรมชาติของการเมืองการเลือกตั้งไทย นักการเมืองและพรรคการเมืองจะใช้หัวคะแนนเป็นกลไกในการหาคะแนนเสียงด้วยความที่หัวคะแนนจำนวนมากของนักการเมืองมีธุรกิจและพฤติกรรมผิดกฎหมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านักการเมืองที่เป็นลูกพี่ของพวกเขา โดยเป็นเจ้าของบ่อนการพนัน เป็นเจ้ามือหวยเถื่อน เป็นพ่อค้าน้ำมันเถื่อน เป็นต้น หากตำรวจเห็นว่าพรรคการเมืองใดหรือนักการเมืองคนใดที่ท่าทีว่าคุกคามสถานภาพ อำนาจและความมั่งของพวกเขา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะตอบโต้โดยใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อจัดการกับบรรดาหัวคะแนน บรรดาหัวคะแนนก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้เพราะว่ากระทบต่อธุรกิจของพวกเขา ทางเลือกที่พวกเขาจะทำคือ การไปร้องขอหรือกดดันลูกพี่ของพวกเขาที่เป็นนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลให้ไปสื่อสารกับรัฐบาลเพื่อยุติการปฏิรูปตำรวจ
นักการเมืองก็ย่อมต้องเอาใจหัวคะแนนเพื่อรักษาเครือข่ายและกลไกทางการเมืองของตนเองเอาไว้ จึงต้องรับเรื่องและไปดำเนินการกดดันผู้บริหารพรรคที่ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลให้ยกเลิกความคิดการปฏิรูปเสีย ผู้นำพรรคก็ต้องฟังนักการเมืองที่เป็นลูกพรรคเพื่อรักษาสถานภาพและตำแหน่งของตนเอง ท้ายที่สุดก็ต้องยกเลิกความคิดการปฏิรูปตำรวจ ดังนั้นการปฏิรูปตำรวจจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ภายใต้บริบทที่พรรคการเมืองแบบเก่าๆครองอำนาจรัฐ
ครั้นเมื่อผู้บริหารประเทศเปลี่ยนเป็นทหาร ประชาชนจำนวนไม่น้อยก็คาดหวังว่าจะสามารถทำให้เกิดการปฏิรูปตำรวจได้ แต่ประชาชนเหล่านั้นก็ฝันสลายเพราะว่าลืมความจริงประการหนึ่งว่าทหารกับตำรวจมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน กลุ่มผู้นำของตำรวจและทหารต่างเคยเรียนในระดับมัธยมร่วมกันมาก่อน เป็นเพื่อนร่วมรุ่น เป็นรุ่นพี่ เป็นรุ่นน้องกัน และบางคนก็เป็นเครือญาติกัน โดยทั่วไปแล้วพวกเขามีความสัมพันธ์กันใกล้ชิดและยึดความสัมพันธ์เหล่านั้นเป็นหลัก
เมื่อบรรดานายพลกลายเป็นผู้บริหารประเทศและถูกประชาชนกดดันให้ปฏิรูปประเทศ พวกเขาจะปฏิเสธเสียทั้งหมดก็ไม่ได้เพราะว่าประชาชนจำนวนมากที่เรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศเป็นกลุ่มที่สนับสนุนพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องประกาศให้มีการปฏิรูปประเทศ แต่เพราะว่าการปฏิรูปประเทศคือการสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งเชิงโครงสร้างและระบบบริหารประเทศ เปลี่ยนแปลงกฎหมาย เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผลของการปฏิรูปจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆที่มีอยู่เดิมด้วย
โดยทั่วไปแล้ว ธรรมชาติของการปฏิรูปส่วนใหญ่จะทำให้กลุ่มที่เคยได้ประโยชน์จากระบบและวัฒนธรรมเดิมอย่างไม่เป็นธรรม จะต้องสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์บางส่วนไป เพื่อให้สังคมโดยรวมได้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้น และกลุ่มคนที่สูญเสียประโยชน์จำนวนไม่น้อยก็เป็นกลุ่มคนที่อยู่ในเครือข่ายของผู้บริหารประเทศ ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเลือกจำกัดขอบเขตของการปฏิรูป โดยเลือกปฏิรูปในเรื่องที่ไม่กระทบต่อเครือข่ายความสัมพันธ์ของตนเองมากนัก
ส่วนเรื่องที่กระทบกับเครือข่ายความสัมพันธ์ก็ผลักภาระไปให้กับรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้งในยุคต่อไป วิธีคิดเช่นนี้สร้างความผิดหวังแก่คนจำนวนมากที่คาดหวังว่ากลุ่มนายพลจะมีความกล้าหาญในการจัดการกับปัญหาเรื้อรังของประเทศมากกว่านักการเมือง แต่พอเอาเข้าจริงกลับผลักภาระความรับผิดชอบในเรื่องที่ทำยากอย่างการปฏิรูปตำรวจให้นักการเมืองทำ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่านักการเมืองไม่มีทางทำสำเร็จ
นอกจากความกลัวว่าการปฏิรูปตำรวจจะไปกระทบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนพ้องน้องพี่ของพวกเขาแล้ว เหตุผลอีกอย่างที่รัฐบาลนายพลตัดสินใจไม่เดินหน้าการปฏิรูปตำรวจคือ กลัวว่าการปฏิรูปจะสร้างความไม่พอใจแก่ตำรวจและทำให้ตำรวจดำเนินการต่อต้านทั้งในทางลับและเปิดเผย หากตำรวจต่อต้านโดยไม่ฟังคำสั่ง หรือฟังแต่ทำตามแบบขอไปที ก็อาจเกิดผลประทบต่อมาตรการในการรักษาความสงบของประเทศก็ได้
สำหรับอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งเป็นเหตุผลที่ใช้สำหรับการไม่ปฏิรูปหน่วยงานข้าราชการหน่วยงานอื่นด้วยคือ รัฐบาลนายพลอ้างว่าต้องการใช้ข้าราชการและตำรวจเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ การอ้างเหตุผลเช่นนี้เป็นเรื่อง ตลกร้าย เพราะว่าปัญหาต่างๆมากกว่าครึ่งในสังคมไทยเกิดจากการที่ข้าราชการและตำรวจจำนวนมากปฏิบัติหน้าที่ไร้ประสิทธิภาพ ไร้มาตรฐาน ไม่ยึดความสุจริตและผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง คำพูดและความเชื่อที่ได้ยินกันเสมอว่า ข้าราชการส่วนมากเป็นคนดี และส่วนน้อยเป็นคนไม่ดี อาจเป็นจริงสำหรับบางหน่วยงาน แต่หลายหน่วยงานกลับมีความจริงตรงกันข้ามกับความเชื่อดังกล่าวและตำรวจก็เป็นกลุ่มนี้
เรื่องตลกร้ายคือการนำเอากลุ่มคนที่ควรจะถูกปฏิรูปทั้งในด้านระบบความคิด ประสิทธิภาพ ความโปร่งใส คุณธรรม และความรับผิดชอบต่อประเทศ มาเป็นกลไกในการปฏิรูปประเทศ หากมีวิธีคิดและการกระทำแบบนี้ต่อไป ผมคิดว่าผ่านไปอีกหลายทศวรรษ การปฏิรูปก็คงเกิดขึ้นได้ยาก
โดย ผู้จัดการรายวัน 10 มิถุนายน 2559