ในแต่ละปีมีชาวอเมริกันที่สูบบุหรี่หรือสัมผัสควันบุหรี่ที่คนอื่นสูบต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 443,000 ราย แต่ก่อนจะตายได้สร้างภาระด้านสุขภาพที่ต้องใช้เงินภาษีอากรในการรักษาพยาบาลสูงถึง 193,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยที่ยังไม่รวมค่าของผลิตภาพที่สูญหายไป
ตัวเลขดังกล่าวนี้เปิดเผยโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งพบว่าขณะนี้ชาวอเมริกันที่ยังสูบบุหรี่อยู่ 19.3% ซึ่งลดลงจาก 42.4% เมื่อปี ค.ศ.1965 แสดงว่าสหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จอย่างน่าชื่นชมในการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ แต่ก็ต้องรณรงค์ต่อไปเพราะยังมีขี้ยาอยู่ถึง 1 ใน 5 ของประชากร
เพื่อคุ้มครองและปกป้องคนที่ไม่สูบบุหรี่ ชาวอเมริกันกำลังก้าวต่อไปในการเลิกจ้างคนสูบบุหรี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการอุตสาหกรรมสุขภาพ เช่นโรงพยาบาลหลายแห่งจะปฏิเสธการจ้างคนที่ตรวจพบนิโคตินในปัสสาวะระหว่างการสมัครงาน ไม่ว่านิโคตินที่พบจะมาจากบุหรี่,ซิการ์ หรือแม้แต่แผ่นนิโคตินแปะผิวหนังเพื่อช่วยเลิกบุหรี่ก็ตาม
เหตุผลสำคัญของนายจ้างเหล่านี้อาทิเช่นระบบบริการสุขภาพเบย์เลอร์,รัฐเท็กซัสและฮอลลีวูด คาสิโนที่เมืองโทลิโด,รัฐโอไฮโอ ก็เพื่อสร้างเสริมสุขภาพและลดเบี้ยประกันสุขภาพเช่นเดียวกับบริษัท Humana ที่รัฐอริโซนา และระบบสุขภาพ ไกซิงเกอร์ ที่เมืองแดนวิลล์ รัฐเพ็นซิลเวเนีย ซึ่งชี้แจงนโยบายงดจ้างผู้ที่ตรวจพบนิโคตินในปัสสาวะอย่างคมคายว่า “เราไม่ปฏิเสธสิทธิการเสพยาสูบของนักสูบบุหรี่ เพียงแต่เราเลือกที่จะไม่จ้างพวกเขามาทำงานกับเรา”
แน่นอนเลยว่านโยบายทำนองนี้ย่อมสร้างกระแสต่อต้านในประเทศที่เทิดทูนสิทธิเสรีภาพอย่างสหรัฐอเมริกา แม้ในหมู่นักการสาธารณสุขอย่างเช่นศาสตราจารย์ไมเคิล ซิเกล แห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน ก็คัดค้านว่านโยบายนี้เป็นการเลือกปฏิบัติของนายจ้าง ซึ่งเป็นอันตรายยิ่งเพราะเป็นการทำโทษนักสูบบุหรี่มากกว่าจะช่วยให้เขาเลิกสูบ บางรายก็ออกมาโวยวายว่าอีกหน่อยมีหวังเลิกจ้างคนที่ดื่มกาแฟมากๆด้วยกระมัง
กระแสการเลิกจ้างคนที่สูบบุหรี่ของชาวอเมริกันนั้นเริ่มมากว่า 2 ทศวรรษแล้ว โดยสายการบินอลาสกาเป็นนายจ้างเจ้าแรกๆ ร้อนถึงสหภาพสิทธิอเมริกันต้องออกโรงมาปกป้องสิทธิของนักสูบบุหรี่ และสามารถหาพวกได้ถึง 29 รัฐ ที่ออกกฎหมายคุ้มครองผู้สูบบุหรี่ ขณะที่มี 21 รัฐที่ไม่ห้ามการเลิกจ้างคนสูบบุหรี่ ก็ต้องติดตามดูต่อไปว่าจำนวนรัฐที่อนุญาตให้เลิกจ้างคนสูบบุหรี่จะเพิ่มขึ้นอย่างไรในทศวรรษต่อจากนี้ แต่โรงพยาบาลน่าจะเป็นผู้ประกอบการหลักที่เลิกจ้างผู้ที่ยังสูบบุหรี่อยู่และกระแสนี้ช่วยให้ผู้ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลหลายแห่งเลิกสูบบุหรี่ได้
สำหรับคนไทยที่ยังสูบบุหรี่อยู่ก็ขอให้ท่านรับทราบไว้ด้วยว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของท่านจะสูงกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ปีละหลายหมื่นบาท ขณะที่ชาวอเมริกันที่ยังสูบบุหรี่อยู่นั้นต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นอีกปีละ 3,000 — 4,000 เหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ยังไม่รวมผลิตภาพที่สูญเสียไปเนื่องจากขี้ยาต้องแวบไปสูบบุหรี่วันละหลายครั้งในชั่วโมงทำงาน
ด้วยความปรารถนาดีจาก
พลตำรวจตรีนายแพทย์ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์
อนุกรรมการจริยธรรมแพทยสภา
แนวหน้า 25 กุมภาพันธ์ 2555