ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 30 ธ.ค.55-5 ม.ค.56  (อ่าน 1071 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
 1. “ในหลวง” พระราชทาน ส.ค.ส.ปีใหม่ พร้อมพระราชทานพรให้คนไทยมีความสุข-ความเจริญ ทรงหวังเห็นคนไทยเมตตา-หวังดีต่อกัน!
       
       เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน ส.ค.ส.ประจำปี 2556 แก่ประชาชนชาวไทย โดยเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์เชิ้ตลำลองสีฟ้า พระสนับเพลาสีดำ และฉลองพระบาทสีดำ ประทับบนพระเก้าอี้ ด้านขวาของพระเก้าอี้ มีโต๊ะกลมวางพระบรมฉายาลักษณ์ครอบครัวและเชิงเทียนแก้ว ทรงฉายกับสุนัขทรงเลี้ยง คือ คุณทองแดงที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 หมอบอยู่แทบพระบาทด้านขวา และคุณมะลิ แม่เลี้ยงคุณทองแดง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านซ้าย ด้านหลังพระเก้าอี้ที่ประทับ ตกแต่งด้วยดอกกล้วยไม้หลากสี ด้านขวาบนมีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับ ส่วนด้านซ้ายมีผอบทองประดับ ด้านล่างของผอบทองมีข้อความว่า ส.ค.ส. พ.ศ. ๒๕๕๖ สวัสดีปีใหม่ และข้อความว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ HAPPY NEW YEAR ด้านขวา ใต้ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ มีข้อความว่า “ความเมตตาเป็นคุณธรรมนำความสุข ช่วยปลอบปลุกปรุงใจให้หรรษา ความกตัญญูรู้คุณผู้เมตตา ทวีค่าของน้ำใจไมตรีเอย”
       
       นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้พระราชทานพระราชดำรัสในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2556 แก่ประชาชนชาวไทย เผยแพร่ผ่านทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 ม.ค.ความว่า “ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งมอบความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกคนให้มีความสุข มีความเจริญ และความสำเร็จสมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนา ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอย่างมากที่พรั่งพร้อมกันมาให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าในคราววันเกิด ด้วยความหวังดีจากใจจริง น้ำใจไมตรีจิตที่ทุกคนทุกฝ่ายแสดงออกในวันนั้นยังประทับอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าไม่รู้ลืม ในปีใหม่นี้ ข้าพเจ้ายังปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นคนไทยได้ทำจิตทำใจให้มั่นคงอยู่ในความเมตตา และหวังดีต่อกัน ดูแลเอาใจใส่กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ให้กำลังใจแก่กันและกัน ผูกพันกันไว้อย่างญาติและฉันมิตร ทุกคนทุกฝ่าย ก็ได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์ความสุขความเจริญมั่นคงให้แก่ตนและชาติได้ดั่งที่ตั้งใจปรารถนา ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากโรคภัย ให้มีความสุขกาย สุขใจ ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน”
       
       2. แกนนำพันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์จี้รัฐบาลประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกตีความคดีพระวิหาร ชี้ หากเพิกเฉย เท่ากับขายชาติ เตรียมยื่นหนังสือนายกฯ 8 ม.ค.นี้!

แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกแถลงการณ์ เรื่อง “เตรียมพร้อมรับมือวิกฤตชาติ” ที่บ้านพระอาทิตย์(4 ม.ค.)
       เมื่อวันที่ 1 ม.ค. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมาเผยการเตรียมการของไทยในการสู้คดีปราสาทพระวิหารที่กัมพูชายื่นเรื่องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ตีความว่าพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตร.กม.เป็นของกัมพูชาหรือไม่ ซึ่งศาลโลกมีกำหนดจะออกนั่งบัลลังก์ฟังการชี้แจงด้วยวาจาครั้งสุดท้ายในวันที่ 15-19 เม.ย.นี้ว่า ขณะนี้ได้หารือทีมที่ปรึกษากฎหมายต่างประเทศ และเตรียมเสนอเป็นท่าทีให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบก่อนจะไปชี้แจงต่อศาลโลก อย่างไรก็ตาม นายสุรพงษ์ พูดเหมือนส่งสัญญาณว่าไทยจะแพ้คดีนี้ โดยบอกว่า คดีนี้มีแต่แพ้กับเสมอตัว ถ้าแพ้ ไทยก็เสียดินแดนให้กัมพูชา ถ้าเสมอตัวก็คือ ปราสาทเป็นของกัมพูชา ส่วนพื้นที่รอบปราสาทเป็นแบบเดียวกับปี 2505 และว่า สิ่งที่เกรงกลัวมากที่สุดคือ หากศาลตัดสินไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม แล้วเกิดการชักจูงคนไปในทางที่ผิด จะส่งผลเสียอย่างยิ่ง เพราะคำตัดสินของศาลโลก ทุกประเทศต้องยอมรับ การขัดขืนจะทำให้ไทยอยู่ในสังคมโลกลำบาก ดังนั้นกระทรวงการต่างประเทศจะเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับความเป็นมาของปัญหาพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารว่า รัฐบาลที่แล้วทำอะไร จึงเป็นต้นเหตุให้กัมพูชาไปฟ้องศาลโลก
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาโต้กลับนายสุรพงษ์ว่า พูดไม่มีความรับผิดชอบ และบิดเบือนที่มาที่ไปของเรื่องดังกล่าว “ที่พูดทำนองว่า รัฐบาลที่แล้วทำให้สถานการณ์ลุกลาม และทำให้กัมพูชานำไปขึ้นศาลโลก ก็ต้องบอกว่าเป็นเพราะมีการไปยินยอมให้กัมพูชาเอาปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก และเปิดประตูให้กัมพูชาไปเดินสาย เพื่อจะอนุญาตให้กัมพูชาเข้าไปบริหารจัดการพื้นที่ ซึ่งเป็นพื้นที่อธิปไตยของเรา”
       
       นายอภิสิทธิ์ ยังดักคอรัฐบาลด้วยว่า อย่าโยนความผิดหรือความรับผิดชอบทางการเมือง และอย่าสมยอมเรื่องพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารกับผลประโยชน์อย่างอื่นกับกัมพูชา เพราะเห็นรัฐบาลพยายามจะรื้อฟื้นการแบ่งผลประโยชน์เรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลอยู่ตลอดเวลา พร้อมตั้งข้อสังเกตด้วยว่า รัฐบาลนี้สนับสนุนให้กัมพูชาได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรดกโลก ดังนั้นต้องติดตามว่าจะมีผลกระทบกับพื้นที่ของไทยหรือไม่
       
       ขณะที่นายนพดล ปัทะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมายืนยันทำนองว่า รัฐบาลคงไม่ชั่วพอที่จะสมยอมกับกัมพูชา เพื่อให้ไทยแพ้คดีในศาลโลก “คงไม่มีใครชั่วพอที่จะสมยอมกับต่างชาติ เพื่อให้ประเทศตัวเองแพ้คดีในศาลโลก สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การที่ฝ่ายค้านและคนบางกลุ่มหาผลประโยชน์จากกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหารและจุดกระแสคลั่งชาติ เพื่อหวังผลการเมืองภายในประเทศ รัฐบาลจะนำข้อมูลและข้อเท็จจริงเสนอให้ประชาชนได้รับทราบครบทุกประเด็น จนทำให้นักโกหกและนักบิดเบือน ไม่มีที่ยืนในสังคม”
       
       ด้านแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ประชุมและออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 4 ม.ค. เรื่อง “เตรียมพร้อมรับมือวิกฤตชาติ” สรุปความว่า ตามที่รัฐบาลได้เร่งประชาสัมพันธ์ให้คนไทยยอมรับอำนาจศาลโลกและเตรียมพ่ายแพ้ในการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารนั้น พันธมิตรฯ เคยออกแถลงการณ์แล้วว่า ศาลโลกมีแนวโน้มจะตีความให้เป็นคุณต่อกัมพูชาและเป็นโทษต่อประเทศไทย โดยศาลโลกจะใช้การอ้างอิงกฎหมายปิดปากที่ไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่จัดทำโดยฝรั่งเศส ซึ่งเป็นมูลฐานในการพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาเมื่อปี 2505 โดยจะส่งผลให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้สำเร็จ และจะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 1.8 ล้านไร่ รวมถึงการสูญเสียทรัพยากรพลังงานทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท
       
       พันธมิตรฯ เห็นว่า เมื่อความผิดพลาดในอดีตของหลายรัฐบาลล่วงเลยมาถึงตอนนี้ จึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รักษาสัจจะที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2554 ว่า ในฐานะคนไทยคนหนึ่งยืนยันว่าจะต้องทำหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตย ดังนั้น พันธมิตรฯ จึงขอให้รัฐบาลประกาศอย่างเป็นทางการต่อศาลโลกว่า ศาลโลกไม่มีอำนาจในการตีความคดีนี้ และไทยจะไม่รับอำนาจศาลโลกในการตีความคดีนี้ รวมทั้งรัฐบาลไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก โดยไม่ต้องถอนทหารหรือตำรวจตระเวนชายแดนออกจากแผ่นดินไทย และขอให้เร่งผลักดันชุมชนกัมพูชาให้ออกจากแผ่นดินไทย
       
       นอกจากนี้ พันธมิตรฯ ยังขอให้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีประเทศใดเข้ามาใช้อำนาจในการละเมิดอธิปไตยของชาติ และให้รัฐบาลยืนยันว่า สมาชิกสหประชาชาติไม่มีอำนาจแทรกแซงอธิปไตยของไทย ให้รัฐบาลยืนยันว่า รัฐสมาชิกอาเซียนจะต้องเคารพอธิปไตย และไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน ,รัฐบาลต้องไม่กลับเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกอีก , รัฐบาลต้องหยุดใช้นักวิชาการที่รับจ้างกระทรวงการต่างประเทศมาโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้คนไทยยอมจำนนกับการยกดินแดนไทยให้กับกัมพูชา เพราะนักวิชาการเหล่านี้มีจุดยืนอยู่ข้างฝ่ายกัมพูชา และให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกทหารกัมพูชาจับในแผ่นดินไทยโดยเร็ว
       
       แถลงการณ์แกนนำพันธมิตรฯ ระบุด้วยว่า หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง
       ดังกล่าว และยังประชาสัมพันธ์ให้คนไทยยอมจำนนกับความพ่ายแพ้อย่างอยุติธรรมในเวทีศาลโลก ย่อมถือว่ารัฐบาลมีเจตนาขายชาติขายแผ่นดิน จะต้องรับผิดชอบหากไทยต้องสูญเสียอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนครั้งนี้ และจะถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ไทยต้องเสียดินแดนในรัชกาลปัจจุบัน เพราะการสมรู้ร่วมคิดของนักการเมืองทุกฝ่าย ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง และ ผู้นำกองทัพที่ไม่ทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะต้องร่วมกันรับผิดชอบในความอัปยศทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ทั้งนี้ แกนนำพันธมิตรฯ ได้มีมติให้ตัวแทนไปยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าวอย่างเป็นทางการต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 8 ม.ค.นี้ เวลา 10.00 น.
       
       3. 7 วันอันตราย ยอดตาย 365 ราย มากกว่าปีที่แล้ว “นครปฐม” ตายมากสุด ขณะที่ “ตราด” ครองแชมป์ไม่เกิดอุบัติเหตุเลย!

       เมื่อวันที่ 3 ม.ค. พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานแถลงข่าวสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 หรือ 7 วันอันตรายว่า เกิดอุบัติเหตุรวม 3,176 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 3,329 คน ผู้เสียชีวิตรวม 365 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 29 ราย
       
       สำหรับจังหวัดที่ไม่เกิดอุบัติเหตุเลยในช่วง 7 วัน คือ ตราด ส่วนจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตตลอดช่วง 7 วัน มี 6 จังหวัด ประกอบด้วย ตราด นครนายก พังงา ระนอง หนองคาย และอุตรดิตถ์ สำหรับจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด คือ เชียงใหม่ 144 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด คือ นครปฐม 18 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด คือ เชียงใหม่ 147 คน
       
       ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาแล้วขับ รองลงมาคือ ขับรถเร็ว สำหรับยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ยังคงเป็นรถจักรยานยนต์ พฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด คือการไม่สวมหมวกนิรภัย ทั้งนี้ ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน
       
       พล.ต.ท.ชัจจ์ เผยด้วยว่า ศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนน มุ่งมั่นที่จะลดอุบัติเหตุทางถนนตามแนวทางทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2554-2563 โดยตั้งเป้าลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้ต่ำกว่า 10 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคนภายในปี 2563 เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในสังคมไทยอย่างยั่งยืน
       
       4. ละคร “เหนือเมฆ” ถูกช่อง 3 ปลดฟ้าผ่า อดฉายตอนจบ สะพัด นักการเมืองสั่งแบน ด้าน “วราเทพ” อ้าง รบ.เปล่าสั่ง!

มีประชาชนเปิดแฟนเพจในเฟซบุ๊กเพื่อแบนช่อง 3 พร้อมทวงคืนละคร “เหนือเมฆ 2” โดยใช้ชื่อ “เอาเหนือเมฆ 2 กูคืนมา”
       เมื่อวันที่ 3 ม.ค. มีข่าวสะพัดว่า ละครโทรทัศน์เรื่อง “เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์“ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ทุกวันศุกร์-อาทิตย์ ซึ่งเดิมมีกำหนดจะอวสานในวันอาทิตย์ที่ 6 ม.ค.นี้ ได้ถูกนักการเมืองรายหนึ่งสั่งให้ยุติการออกอากาศทันที แต่ทางสถานีเห็นว่าละครยังไม่จบ จึงแก้ปัญหาด้วยการนำ 3 ตอนที่เหลือมาตัดทอนและยำรวมกันให้เหลือตอนเดียว เพื่อจบในวันศุกร์ที่ 4 ม.ค. ขณะที่ผู้ชมที่ทราบข่าว ต่างพากันติดตามว่าละครเรื่องนี้จะจบในวันที่ 4 ม.ค.ตามข่าวหรือไม่
       
        แต่ปรากฏว่า ก่อนหน้าจะถึงเวลาออกอากาศละครดังกล่าว ทางช่อง 3 ได้ขึ้นข้อความประกาศให้ทราบว่า ทางสถานีขออภัยที่ต้องงดออกอากาศละครเรื่อง “เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์” โดยอ้างว่า เนื่องจากเนื้อหาบางช่วงบางตอนไม่เหมาะสม พร้อมชวนให้ชมละครเรื่องใหม่แทน คือ “แรงปรารถนา” ทั้งที่ละครเรื่องใหม่ มีกำหนดออกอากาศในวันที่ 12 ม.ค.
       
        ทั้งนี้ หลังละคร “เหนือเมฆ 2” ถูกปลดจากผังกลางอากาศ ทำให้คาดกันว่า สาเหตุน่าจะเป็นเพราะเนื้อหาของละครที่บอกเล่าถึงเรื่องราวการคดโกง การแย่งชิงอำนาจของนักการเมือง ที่อาจไปแทงใจดำใครเข้า นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า ละครเรื่องนี้เป็นภาคต่อจากภาคแรก ตอนภาคแรกออกอากาศเมื่อปี 2553 เนื้อหาก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักการเมืองเช่นกัน ก็ออกอากาศได้ไม่มีปัญหา แต่ครั้งนี้กลับออกได้แค่ 9 ตอน จากทั้งหมด 12 ตอน
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังละคร “เหนือเมฆ 2” ไม่ได้ออกอากาศตอนจบ ส่งผลให้ผู้ชมไม่พอใจเป็นอันมาก โดยต่างโพสต์ข้อความตำหนิการกระทำของช่อง 3 และนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังการสั่งแบนละครเรื่องนี้อย่างหนักบนโลกออนไลน์ เช่น “นักการเมืองประเทศนี้ ต้องบูชาอย่างเดียวสินะ เอามาล้อไม่ได้” , “ขนาดละครยังแทรกแซงได้ นับประสาอะไรกับเรื่องใหญ่” , “นักโทษโผล่ช่อง 11 นายกฯ บอกทำได้ไม่กระทบความมั่นคง เหนือเมฆถูกถอดกลางอากาศ เพราะกระทบความมั่นคงรัฐบาล” หรือแม้แต่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรรายการ “เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์” ก็ถูกตำหนิเช่นกันที่ไม่นำข่าวละคร “เหนือเมฆ 2” ถูกแบน มาเสนอในรายการ นอกจากนี้ยังมีบางคนเสนอให้นำละครตอนที่เหลือไปลงยูทูปให้ทุกคนได้ดูด้วย
       
       ขณะที่ในอินสตาแกรม “noksinjai” ของนางสินจัย เปล่งพานิช หรือ “นก” นักแสดงชื่อดัง ภรรยานายฉัตรชัย เปล่งพานิช ผู้ผลิตละครเรื่อง “เหนือเมฆ 2” ซึ่งแสดงเป็น “นภา” ภรรยาของนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้บัญชาการหน่วยสืบสวนพิเศษในเรื่อง ได้โพสต์ข้อความก่อนหน้าที่ผู้ชมจะรู้ว่าละครเรื่องนี้ถูกแบนว่า “อย่ากลัวที่จะเป็นคนดี อย่าอายที่จะทำดี” ลงชื่อ “นภา#เหนือเมฆ 2” ทั้งนี้ ข้อความดังกล่าวทำให้หลายคนเริ่มทราบว่าละครได้รับผลกระทบจากการเมือง จึงมีผู้มาโพสต์ข้อความให้กำลังใจทั้งนกหญิง-นกชาย และทีมงานจำนวนมาก โดย 1 ในนั้น มีผู้จัดละครชื่อดังของช่อง 3 อย่าง หทัยรัตน์ อมตวณิชย์ ด้วย ที่โพสต์ว่า “Keep Walking”
       
       ทั้งนี้ ในอินสตาแกรมของ “noksinjai” ยังโพสต์ข้อความหลังละครถูกแบนด้วยว่า “ไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้น สำคัญที่คุณคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น...ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ” ขณะที่ในอินสตาแกรมของทีมงานละคร “เหนือเมฆ 2” ก็มีการโพสต์รูปภาพและข้อความแตกต่างกันไป โดยนายฉัตรชัย เปล่งพานิช โพสต์ภาพหน้าต่างที่มีลูกกรงกั้นอยู่ โดยไม่มีคำอธิบาย ,ขณะที่ของนายนนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับการแสดง โพสต์ภาพโปสเตอร์ของละครพร้อมข้อความ “RIP / เหนือเมฆ 2 ตอนมือปราบจอมขมังเวทย์ / หลับให้สบายนะ”
       
       นอกจากนี้ ยังมีเหล่าดาราโพสต์ข้อความให้กำลังใจผู้จัดและทีมงานละครเรื่องนี้อีกมากมาย เช่น “พจน์ อานนท์” โพสต์ผ่านอินสตาแกรมว่า “เข้าใจทีมงานเหนือเมฆ 2 เลย ไม่เป็นไรให้กำลังใจพี่นก พี่อุ๋ย ละครดีมีสาระดันถูกแบนไม่ให้ฉาย หรือเข้าถึงยุคฮิตเลอร์ซะแล้ว เฮ้อเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย” ด้าน “ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน” ให้กำลังใจว่า “คนดีซะอย่าง น้องแรงใจให้ค่ะพี่” ส่วน “โก๊ะตี๋ อารามบอย” โพสต์ข้อความว่า “ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจครับ” ขณะที่ “กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์” ก็โพสต์ว่า “เราคือคนทำงาน ให้กำลังใจกัน ชนะใจคนดูเป็นพอ” ด้านหนุ่ม “แทค ภรัณยู” โพสต์ว่า “จะแบนทำไม กลัวอะไร”
       
       ไม่ใช่แค่ในแวดวงดาราและประชาชนทั่วไปเท่านั้นที่ให้กำลังใจผู้จัดและทีมงานละคร “เหนือเมฆ 2” แม้แต่นักวิชาการยังวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “แบนละครเหนือเมฆ สะท้อนความรู้สึกไม่มั่นคงของนักการเมือง ละครเหนือเมฆ ประจานพฤติกรรมนักการเมืองชั่ว ในรูปแบบละครทีวี ซึ่งเผยแพร่ในวงกว้าง ทำให้ประชาชนเห็นความเลวร้ายของนักการเมืองไทยชัดเจน ซึ่งแทงใจดำนักการเมืองชั่วทั้งหลาย กลัวว่าประชาชนจะรู้ทันมากขึ้น จึงสั่งให้ยุติการออกอากาศ เพื่อปกปิดความชั่วช้าของตนเอง แต่ยิ่งปกปิด ปิดกั้น มันก็ทำได้ชั่วคราวเท่านั้น ยิ่งปิดกั้นมากเท่าไร ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสั่นคลอนไม่มั่นคงมากขึ้น ยิ่งสั่นคลอนมาก ก็ยิ่งแสดงว่าจุดจบของพวกมันกำลังใกล้เข้ามา”
       
        ด้านนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รีบออกมาปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่านักการเมืองสั่งแบนละคร “เหนือเมฆ 2” โดยบอกว่า เชื่อว่าไม่น่าจะมีใครในรัฐบาลไปสั่งการแน่ เพราะถ้าทำอย่างนั้น คงไม่พ้นต้องเป็นข่าว แต่จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
       
        ขณะที่ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดแถลงฝากถึงผู้ที่เข้าไปแทรกแซงสื่ออย่างละครเหนือเมฆ 2 ว่า ละครเรื่องนี้เป็นละครที่ดีมีคติสอนใจหลายอย่าง แต่กลับมีพฤติกรรมเข้าไปแทรกแซง อีกหน่อยคงแทรกแซงรายการตลก แม้แต่ตลกคาเฟ่คงเจอกันถ้วนหน้า
       
        ล่าสุด(5 ม.ค.) กระแสไม่พอใจการกระทำของช่อง 3 ลามถึงขั้นมีการเปิดแฟนเพจในเฟซบุ๊กเพื่อแบนช่อง 3 พร้อมทวงคืนละคร “เหนือเมฆ 2” โดยใช้ชื่อ “เอาเหนือเมฆ 2 กูคืนมา” ซึ่งมีคนเข้าไปกดไลท์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยแต่ละคนต่างระบายความในใจที่มีต่อละครเรื่องดังกล่าว และให้กำลังใจทีมงานผู้ผลิตละคร พร้อมยกคำพูดเด็ดๆ จากละครมาโพสต์
       
       ขณะที่ นก สินจัย ได้ทวีตข้อความขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ โดยบอกว่า ซาบซึ้งใจที่ทุกคนทำให้รู้ว่าตนไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก “ขอบคุณนะคะ 2-3 วันมานี้ ทำให้ซาบซึ้งว่าเราไม่ได้อยู่ในโลกนี้เพียงลำพัง กราบสวยๆ ด้วยหัวใจจากทีมงาน นักแสดงและผู้จัดเหนือเมฆค่ะ”
       
        ทั้งนี้ มีข่าวสะพัดว่า ทางผู้ใหญ่ในช่อง 3 ได้สั่งไม่ให้นักแสดงเรื่องเหนือเมฆ 2 ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการถูกแบนของละครครั้งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับที่ นก สินจัย ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกก่อนหน้านี้ว่า “สาเหตุจะมาจากอะไรนั้น ขออนุญาตไม่มีคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น และไม่สะดวกที่จะตอบเลย ถามว่ารู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ ขออนุญาตไม่มีคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น จริงๆ ต้องขอโทษด้วย เราไม่สะดวกที่จะพูดเลย เพราะเราคงไม่สามารถตอบคำถามอะไรในส่วนนี้ได้ ขออนุญาตไม่มีคำตอบอะไรแล้วกัน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”


ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2556