3. กมธ.ยกร่างฯ เคาะแล้ว ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค พร้อมเปิดทางนายกฯ คนนอก เปลี่ยนที่มา ส.ว.เป็นเลือกตั้งโดยอ้อม!
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญนอกสถานที่ที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ พัทยา จ.ชลบุรี เป็นเวลา 6 วัน(23-28 ก.พ.) โดยประเด็นที่น่าสนใจอยู่ในส่วนของภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี หมวด 3 รัฐสภา โดยกำหนดให้ ส.ส.มีจำนวนไม่น้อยกว่า 450 คน แต่ไม่เกิน 470 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 250 คน และแบบบัญชีรายชื่อไม่น้อยกว่า 200 คน หรือไม่เกิน 220 คน โดยเปิดช่องให้ผู้สมัคร ส.ส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง สามารถสังกัดกลุ่มการเมืองได้ พร้อมกำหนดคุณสมบัติต้องห้ามของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ต้องไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือเคยกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม
ส่วนที่มาของนายกรัฐมนตรีนั้น ให้มาจาก ส.ส.หรือคนนอกก็ได้ เพื่อเปิดทางกรณีเกิดวิกฤต โดยนายกฯ จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ นอกจากนี้ยังกำหนดว่า ก่อนนายกรัฐมนตรีจะนำชื่อรัฐมนตรีกราบบังคมทูล ให้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อตรวจสอบประวัติและเปิดเผยให้ประชาชนทราบก่อน สำหรับคุณสมบัติต้องห้ามของรัฐมนตรีที่เพิ่มขึ้นจากเดิม คือ ไม่ได้แสดงสำเนารายการภาษีเงินได้ย้อนหลัง 3 ปีต่อประธานวุฒิสภา และเคยเป็น ส.ส.หรือ ส.ว.โดยสิ้นสภาพมายังไม่เกิน 2 ปี พร้อมกันนี้ยังกำหนดให้นายกฯ และรัฐมนตรีมีหน้าที่ร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา โดยให้ถือว่าการเข้าประชุมเป็นภารกิจสำคัญเหนือสิ่งอื่น หากเข้าร่วมประชุมน้อยเกินไป จะมีบทลงโทษตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ นำไปสู่การถอดถอนได้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในส่วนของการสิ้นสุดสภาพ ส.ส.มีการวางแนวทางใหม่ โดยระบุว่า หากนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีถูกลงมติไม่ไว้วางใจ สภาผู้แทนราษฎรจะต้องถูกยุบตามไปด้วย ไม่ใช่แค่นายกฯ หรือคณะรัฐมนตรีเท่านั้นที่สิ้นสภาพ. เหตุที่ กมธ.ยกร่างฯ เสนอหลักการดังกล่าวเนื่องจากมองว่า แนวโน้มการเลือกตั้งน่าจะได้รัฐบาลผสม จึงต้องการป้องกันปัญหาพรรคเล็กอาจกดดันการหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม หลักคิดดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งจากอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ เนื่องจากมองว่าหากลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ หรือคณะรัฐมนตรี แล้วต้องยุบสภา ทำให้ ส.ส.ต้องพ้นสภาพทั้งหมด จะส่งผลให้ไม่มีใครกล้าลงมติไม่ไว้วางใจ ถือเป็นการทำลายหลักการตรวจสอบถ่วงดุลในสภา และอาจส่งผลให้รัฐบาลลักไก่ออกกฎหมายสำคัญได้ โดยนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า แนวคิดในการยกร่างดังกล่าวเป็นเรื่องประหลาด สวนทางกับความเป็นจริง และเป็นหลักคิดที่พิกลพิการในรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่มาของ ส.ว.นั้น กมธ.ยกร่างฯ มีการกำหนดหลักการแบบใหม่ ต่างจากรัฐธรรมนูญ 2550 โดยให้มี ส.ว.ไม่เกิน 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม คือ (1) มาจากผู้เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา และประธานศาลฎีกา เลือกกันเองไม่เกิน 10 คน (2) มาจากผู้เคยเป็นข้าราชการพลเรือนตำแหน่งปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ฯลฯ (3) มาจากผู้แทนองค์กรวิชาชีพหรืออาชีพที่มีกฎหมายจัดตั้ง เลือกกันเองไม่เกิน 10 คน (4) มาจากองค์กรด้านเกษตรกรรม แรงงาน วิชาการ ชุมชนท้องถิ่น เลือกกันเองไม่เกิน 50 คน (5) มาจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเมือง ความมั่นคง การบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การปกครองท้องถิ่น และอื่นๆ ฯลฯ ไม่เกิน 100 คน
ทั้งนี้ เหตุผลที่ กมธ.ยกร่างฯ กำหนดที่มา ส.ว.ให้จากการเลือกตั้งทางอ้อม เนื่องจากหากให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง อาจมีช่องทางทำให้การเมืองแทรกแซงได้ พร้อมยืนยันว่า สภานี้ไม่ใช่สภาสรรหาหรือสภาลากตั้งตามที่เข้าใจ แต่เป็นสภาเลือกตั้งโดยอ้อมจากประชาชนหรือสภาพหุนิยม ซึ่งมีความหลากหลายจากกลุ่มต่างๆ ส่วนคุณสมบัติต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ว. ต้องไม่ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐภายในระยะเวลา 2 ปีก่อนวันเข้าดำรงตำแหน่ง ส.ว.
ด้านนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ไม่พอใจที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มา ส.ว.ว่าเป็น ส.ว.ลากตั้ง จึงออกมาตอบโต้ว่า ประเทศฝรั่งเศสก็ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม ผมถามหน่อย โครงสร้างวุฒิสภาในอดีตเคยมีตัวแทนชาติพันธุ์เข้ามาหรือไม่ ปราชญ์ชาวบ้านเคยเข้าหรือไม่ ยิ่งใช้ระบบเลือกตั้ง คนเหล่านี้ชายขอบทั้งนั้น จะมีแต่นักเลือกตั้งที่มาจากการเลือกตั้ง
4. ป.ป.ช. มีมติแจ้งข้อกล่าวหา มาร์ค-สุเทพ คดีสลายแดงปี 53 ด้าน บิ๊กตู่ พร้อมเป็นพยานแก้ข้อกล่าวหา ชี้ มีชายชุดดำในกลุ่มเสื้อแดง!
เมื่อวันที่ 24 ก.พ. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ประชุมพิจารณาคดีถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กรณีสั่งทหารและตำรวจเข้าสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เมื่อวันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค.2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากจากการขอคืนพื้นที่ ทั้งนี้ นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.แถลงผลการพิจารณาคดีนี้ว่า
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ฝ่ายนโยบายหรือฝ่ายผู้สั่งการคือ นายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกฯ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ และนายสุเทพ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) เป็นผู้ควบคุมการใช้กำลังทั้งหมด ซึ่งในการใช้กำลังทหารเข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น ในกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้มีเฉพาะแต่กลุ่มผู้ชุมนุมที่รุนแรง แต่มีกลุ่มผู้ชุมนุมปราศจากอาวุธ และประชาชนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย เป็นเหตุให้มีนายพัน คำกอง ,ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ และนายสมร ไหมทอง ได้รับบาดเจ็บสาหัส และมีประชาชนอื่นเสียชีวิตอีกหลายราย ปรากฏตามคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลชั้นต้น ความตายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานทหาร พฤติการณ์ดังกล่าวจึงส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองออกจากตำแหน่ง มีมติให้มีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมาแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วันหลังได้รับหนังสือ
ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งอื่นๆ ในฐานะผู้ปฏิบัติจะต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ จะมีการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป ผู้สื่อข่าวถามว่า นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจะโดนคดีอาญาด้วยหรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า ทางอาญายังต้องสอบไปเรื่อยๆ เพราะยังมีการชันสูตรพลิกศพที่ยังไม่จบ ในชั้นนี้ต้องดูการแก้ข้อกล่าวหาก่อนว่าแก้ได้หรือไม่ ซึ่ง ป.ป.ช.ดูค่อนข้างละเอียดว่า กระบวนการขอคืนพื้นที่ได้ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์หรือไม่
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พร้อมที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และยืนยันว่า ได้มีการปรับหลักการทำงาน เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียแล้ว แต่ในสถานการณ์ที่มีการก่อการร้ายมีการใช้อาวุธ ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย จะเป็นการผิดกฎหมายฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ยังเผยด้วยว่า เรื่องนี้ คนที่ทำงานร่วมกันรู้ดี เช่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น เพราะร่วมประชุมและรู้ดีถึงการทำงานในขณะนั้น หาก ป.ป.ช.ได้ข้อมูลจากบุคคลเหล่านี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา แต่ไม่แน่ใจว่าบุคคลทั้งหมดพร้อมที่จะเป็นพยานให้หรือไม่
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวโดยส่งสัญญาณว่าพร้อมจะเป็นพยาน พร้อมจะให้ข้อมูลกรณีขอคืนพื้นที่เมื่อปี 2553 พล.อ.ประยุทธ์ ยังถามผู้สื่อข่าวด้วยว่า ขอถามข้อเท็จจริงว่า มีคนใช้อาวุธในประชาชนหรือเปล่า มีหรือเปล่า ขอให้พูดดังๆ มีชายชุดดำอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงหรือเปล่า และมีคนยิงใส่ทหารหรือเปล่า ถ้ามีก็จบ
ด้านนายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 7 ก.พ.ว่า ขอตอบคำถามนายกลุงตู่ แทนนักข่าวที่ตอบเสียงอ้อมๆ แอ้มๆ เบา เมื่อถูกถามว่าใครยิงทหาร? ในฐานะนักข่าวเก่าตอบดังๆ ย้ำชัดๆ ครับว่า คนยิงทหารคือ ชายชุดดำในกลุ่ม นปช.ฮาร์ดคอร์ที่ผ่านการฝึกอาวุธเป็นคนยิง ปรากฎทั้งภาพถ่าย หลักฐานชัดเจนทั้งคนเจ็บเเละคนตายที่ถนนตะนาวเเละถนนดินสอคืนวันที่ 10 เม.ย. 2553 ข้อมูลไม่เปลี่ยนเป็นอื่นได้ เเละพร้อมตลอดเวลาที่จะให้การเป็นพยานในทุกชั้นศาลเเละในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช.ทั้งพยานเอกสารหลักฐานเเละพยานบุคคล ในฐานะที่เป็นประธานอนุตรวจสอบข้อเท็จจริง ในคณะกรรมมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา
5. คดีโกงเงิน สจล.สาวถึงอดีตผู้บริหารแล้ว ถวิล-ศรุต-สรรพสิทธิ์ โดน 3-5 ข้อหา ด้านแบงก์ไทยพาณิชย์ ชดใช้ค่าเสียหายให้ สจล.แล้ว 1,500 ล้าน!
ความคืบหน้าคดียักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) กว่า 1,500 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ตำรวจกองปราบปรามได้ออกหมายเรียกให้อดีตผู้บริหาร สจล.3 คนมารับทราบข้อกล่าวหา ประกอบด้วย นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล. ,นายศรุต ราชบุรี อาจารย์ สจล. และนายสรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ อดีตผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการคลัง สจล. ทั้งนี้ ตำรวจได้แจ้งข้อหานายถวิล 5 ข้อหา ฐานร่วมกันลักทรัพย์ ปลอมและใช้เอกสารปลอม เป็นเจ้าพนักงานฯ เบียดบังทรัพย์ของหน่วยงานเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฟอกเงิน ในคดีลักทรัพย์ สจล.1,474 ล้านบาท
ด้านนายถวิล ยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว และจำไม่ได้ว่าเคยเซ็นเอกสารอะไรบ้าง แต่ตำรวจพบพิรุธว่า นายถวิลลงนามเปิดบัญชี สจล.ก่อนจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งอธิการบดี รวมทั้งเป็นผู้ปิดบัญชีหลังจากพ้นตำแหน่งอธิการบดีแล้ว และยังทำหนังสือถึงธนาคารโดยระบุว่าไม่อนุญาตให้ธนาคารตรวจสอบบัญชีหรือสถานะทางการเงินของ สจล. นอกจากนี้ยังพบว่านายถวิลสนิทสนมกับนายทรงกลด ศรีประสงค์ 1 ในผู้ต้องหาคดีนี้ เกินกว่าปกติ เนื่องจากเป็นผู้รับรองความประพฤติให้นายทรงกลดขณะที่ทางธนาคารไทยพาณิชย์พบพิรุธในพฤติกรรมและเตรียมโยกย้ายนายทรงกลด
ขณะที่นายศรุต ราชบุรี อาจารย์ สจล.ถูกตั้งข้อหา 3 ข้อหา ฐานร่วมสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ร่วมสนับสนุนเจ้าพนักงานให้ใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต และร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งนายศรุตปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเช่นกัน ส่วนนายสรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ อดีตผู้ช่วยอธิการบดี สจล.ซึ่งถูกดำเนินคดี 5 ข้อหาเช่นเดียวกับนายถวิลได้ขอเลื่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเป็นวันที่ 25 ก.พ. เนื่องจากติดภารกิจ ซึ่งนายสรรพสิทธิ์ก็ยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองเช่นกัน
ทั้งนี้ หลังสอบปากคำและแจ้งข้อหาแล้วเสร็จ พนักงานสอบสวนได้นำตัวผู้ต้องหาขอศาลมีนบุรีฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.-7 มี.ค. เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น โดยผู้ต้องหาได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว ซึ่งศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวโดยตีราคาประกันคนละ 5 ล้านบาท
ส่วนความเคลื่อนไหวของธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ก.พ. นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารธนาคารฯ ได้เปิดแถลงข่าวร่วมกับผู้บริหาร สจล.นำโดย ศ.ดร.โมไนย ไกรฤกษ์ รักษาการแทนอธิการบดี สจล. โดยทางธนาคารฯ ได้แสดงความรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกรณีพนักงานของธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริต โดยจะให้เงินเพื่อดูแลความเสียหายแก่ สจล.ในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ตามมูลค่าความเสียหายที่ทาง สจล.ประเมินไว้ แต่หากที่สุดแล้วมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า สจล.มีความเสียหายน้อยกว่าวงเงินดังกล่าว สจล.จะจ่ายคืนส่วนต่างแก่ธนาคาร
6. ตำรวจส่งฟ้อง พ่อ-แม่ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ คดีหมิ่นเบื้องสูง-แจ้งความเท็จ-กลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษอาญา ด้านศาลไม่ให้ประกันตัว!
เมื่อวันที่ 27 ก.พ.นายอภิรุจ สุวะดี อายุ 72 ปี และนางวันทนีย์ สุวะดี อายุ 66 ปี บิดาและมารดาท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทนผู้บังคับการปราบปราม เพื่อนำตัวส่งฟ้องต่ออัยการในคดีหมิ่นเบื้องสูง, ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานแจ้งความเพื่อกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา กรณีถูก น.ส.ศวิตา หรือแสงระวี หรือนก มณีจันทร์ อายุ 31 ปี เจ้าหน้าที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง แจ้งความดำเนินคดีไว้ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ หลังทั้งสองรับสารภาพ ตำรวจได้นำตัวไปขอศาลฝากขังครั้งแรก โดยคำร้องระบุว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2546 นางวันทนีย์และนายอภิรุจ ได้แอบอ้างด้วยการข่มขู่ น.ส.ศวิตา กับครอบครัวให้เกิดความเกรงกลัว เนื่องจากโกรธเคือง น.ส.ศวิตา ที่ไปพูดกับบุคคลอื่นว่ารู้จักกับนายอภิรุจ จนทำให้เกิดข่าวลือว่า น.ส.ศวิตา กับนายอภิรุจ มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว ซึ่งการข่มขู่ของผู้ต้องหาทั้งสองทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเกิดความกลัว จนมีการแจ้งความดำเนินคดี น.ส.ศวิตา ฐานฉ้อโกง ถึงแม้ น.ส.ศวิตาจะไม่ได้กระทำผิดก็ตาม ซึ่ง น.ส.ศวิตาเกิดความหวาดกลัวการข่มขู่ จึงยอมรับสารภาพไม่กล้าโต้แย้ง จนเป็นเหตุให้ น.ส.ศวิตา ต้องถูกศาลพิพากษาจำคุก 24 เดือน และเมื่อจำคุกไปแล้ว 1 ปี 6 เดือน จึงได้รับอภัยโทษ
การกระทำของทั้งสองทำให้ น.ส.ศวิตา และครอบครัวได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติ เพราะเกรงกลัวจะได้รับอันตราย จนเวลาผ่านมา 10 ปีเศษ น.ส.ศวิตา เห็นว่า ครอบครัวผู้ต้องหาทั้งสองถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการแอบอ้างสถาบันไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบหลายคดี จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบ มาตรา 83 ซึ่งในชั้นแรกผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ อ้างว่า ไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตาม ที่ น.ส.ศวิตา เข้าร้องทุกข์ แต่มาสารภาพในภายหลัง ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนขอศาลฝากขัง 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.-10 มี.ค.พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีความร้ายแรง มีอัตราโทษสูง และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีออกนอกประเทศ ด้านศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้
ต่อมาญาติและลูกสาวได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 1 ล้านบาทขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสอง แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อหาความผิดมีความร้ายแรง พยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนเสนอเพียงพอให้เชื่อได้ว่า หลังรับทราบข้อกล่าวหา ผู้ต้องหาเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และมีพฤติการณ์จะหลบหนีออกนอกประเทศ ดังนั้นจึงมีเหตุอันควรไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ให้ยกคำร้อง จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายอภิรุจ ไปควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนนางวันทนีย์ ถูกแยกไปควบคุมไว้ที่ทัณสถานหญิงกลางบางเขน
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 กุมภาพันธ์ 2558