นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นโยบายการควบคุมและยับยั้งการแพร่เชื้อมาลาเรียในประเทศไทย (The National Malaria Control and Elimination Program of Thailand) ภายใต้แผนยุทธศาสตร์โรคมาลาเรีย ปี 2555-2563 เป็นหนึ่งในนโยบายด้านการพัฒนางานสาธารณสุข เพื่อเร่งรัดมาตรการสร้างสุขภาพ ลดอัตราการป่วยและตายจากโรคมาลาเรีย มีเป้าหมายภายในระยะเวลา 10 ปี (พ.ศ.2554-2563) ต้องสามารถยับยั้งการแพร่เชื้อมาลาเรียอย่างถาวร ครอบคลุมพื้นที่ร้อยละ 80 ของประเทศ เริ่มเป้าหมายแรกภายในสิ้นปี 2559 และจะเพิ่มพื้นที่ยับยั้งการแพร่เชื้อมาลาเรียเป็นร้อยละ 60 ของพื้นที่ประเทศ เพื่อป้องกันการกลับมาแพร่ระบาดใหม่และลดอัตราป่วยให้เหลือไม่เกิน 0.2 ต่อประชากร 1,000 คน ลดอัตราตายให้เหลือไม่เกิน 0.05 ต่อประชากร 100,000 คน
โดยมีกรมควบคุมโรคเป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันให้ทุกภาคส่วนมีบทบาทในการควบคุมป้องกันการแพร่โรคมาลาเรีย ดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่แพร่โรคมีและใช้วัสดุอุปกรณ์ในการป้องกันตนเองไม่ให้ยุงนำเชื้อมาลาเรียกัด ดำเนินมาตรการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคมาลาเรียในพื้นที่ที่มียุงเป็นพาหะอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนัก ให้กับประชาชนในการป้องกันโรคมาลาเรีย
ด้าน น.พ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การดำเนินงานควบคุมป้องกันโรคมาลาเรียในประเทศไทย มีระบบการเฝ้าระวังยับยั้งการแพร่ระบาดและเชื้อดื้อยาที่ดี และมีการจัดบริการเชิงรุก ตั้งศูนย์มาลาเรียหรือมาลาเรียคลินิก ตรวจเชื้อและรักษาฟรีให้แก่ผู้ป่วยในชุมชนและหมู่บ้านต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดตามแนวชายแดน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยต้องเดินทางไปโรงพยาบาล เน้นการรักษาที่รวดเร็ว ช่วยลดความรุนแรงของโรคและอัตราการเสียชีวิต เพื่อลดจำนวนแหล่งแพร่เชื้อให้ได้มากที่สุด เน้นประชาชนทุกกลุ่มอายุ ทั้งที่มีบ้านพักอาศัยในพื้นที่ที่ไม่มีการแพร่เชื้อและในพื้นที่ที่มีการแพร่เชื้อสูง ซึ่งอยู่ตามชายแดน ได้แก่ กลุ่มคนที่มีการเคลื่อนย้าย กลุ่มคนที่มีอาชีพสัมพันธ์กับป่า แรงงานต่างชาติ มีการให้บริการทั้งคนไทยและต่างชาติ ประสานความร่วมมือที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา และพม่า ในการทำงานด้านการป้องกันโรคมาลาเรีย เพื่อให้อัตราผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้ลดลง
ที่ผ่านมาประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดของโรคมาลาเรียได้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากตัวเลขผู้ป่วยโรคมาลาเรียในปี 2553 ที่มีจำนวนผู้ป่วยมาลาเรียทั้งหมดถึง 45,629 ราย แยกเป็นชาวไทย 18,371 ราย และชาวต่างชาติ 27,257 ราย ในขณะที่ปี 2554 มีจำนวนทั้งหมด 29,025 ราย เป็นชาวไทย 11,013 ราย และชาวต่างชาติ 18,012 ราย เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2553 กับปี 2554 จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ป่วยมาลาเรียมีจำนวนลดลงถึง 16,604 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 36.38 และคาดว่าในปี 2558 ซึ่งเป็นปีแห่งการขับเคลื่อนการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งไทยจะมีความเข้มแข็งในด้านการควบคุมป้องกันโรคมาลาเรียได้อย่างยั่งยืน
น.พ.พรเทพ กล่าวต่อว่า จากความสำเร็จในการป้องกันควบคุมโรคมาลาเรียของประเทศไทย อีกทั้งไทยยังมีสภาพภูมิศาสตร์แบบเขตร้อนที่คล้ายคลึงกับแอฟริกา จึงสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการป้องกันควบคุมโรคมาลาเรีย ให้กลุ่มแพทย์และนักวิชาการด้านสาธารณสุขได้เป็นอย่างดี และทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ และได้รับการพิจารณาจากรัฐบาลญี่ปุ่นโดย Japan International Cooperation Agency (JICA) อนุมัติให้ดำเนิน "โครงการอบรมหลักสูตรการป้องกันและควบคุมโรคมาลาเรีย สำหรับบุคลากรจากประเทศในภูมิภาคแอฟริกา" (International Training Course on Malaria Prevention and Control for Africa) ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2553-2555 ของญี่ปุ่น (ต่อเนื่องกัน 3 ปี) และได้มีการลงนามในเอกสาร Record of Discussions (R/D) หลักสูตร Third Country Training Program on Malaria Prevention and Control for Africa ภายใต้ความร่วมมือหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาไทย-ญี่ปุ่น โดยผู้บริหารสูงสุดจาก 3 ฝ่าย คือ JICA, TICA และกรมควบคุมโรค ซึ่งครั้งแรกได้ดำเนินการจัดการอบรมไปแล้วเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์-4 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์อบรมโรคติดต่อนำโดยแมลงพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากทั้ง JICA และ TICA มีกลุ่มแพทย์ นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตัวแทนประเทศต่างๆ ในภูมิภาคแอฟริกา จาก 8 ประเทศ ได้แก่ บูร์กินาฟาโซ, แกมเบีย, เคนยา, มาลี, โมซัมบิก, เซเนกัล, ซิมบับเว และไทย มีจำนวนผู้ที่เข้ารับการอบรมรวม 21 คน
สำหรับปีนี้เป็นครั้งที่ 2 ของการดำเนินโครงการฯ โดยได้กำหนดให้มีการจัดการอบรมขึ้นระหว่างวันที่ 23 ม.ค.-17 ก.พ.55 รวมระยะเวลา 4 สัปดาห์ การอบรมครั้งนี้จะมีทั้งภาคทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติภาคสนาม มีผู้เข้ารับการอบรมจาก 7 ประเทศ ได้แก่ กินี, บูร์กินาฟาโซ, เคนยา, เซเนเกัล, โมซัมบิก, โกตดิวัวร์ และไทย มีจำนวนผู้ที่เข้ารับการอบรมรวม 18 คน ผู้ที่เข้ารับการอบรมครั้งนี้จะสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปปรับใช้ในการควบคุมและยับยั้งการแพร่เชื้อมาลาเรียในประเทศของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้าน น.พ.วิชัย สติมัย ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อ นำโดยแมลงได้ให้ความรู้เพื่อกันป้องกันโรคมาลาเรีย ว่า หลังจากกลับไปเที่ยวป่ามาประมาณ 10-14 วัน แล้วมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ หนาวสั่นสลับร้อน เหงื่อออก และอาจรู้สึกดีขึ้นแล้วกลับมาเป็นไข้ใหม่อีกครั้ง หากพบอาการเหล่านี้ให้รีบไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการเข้าป่าให้แพทย์ทราบ เพื่อให้การรักษาที่รวดเร็ว เพราะหากช้าอาจมีอาการแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น มาลาเรียขึ้นสมอง น้ำตาลในเลือดต่ำ เหลืองซีด ปัสสาวะสีดำ ไตล้มเหลว ปอดบวมน้ำ และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ โดยประชาชนสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 และศูนย์ปฏิบัติการกรมควบคุมโรค โทร.0-2590-3333
บ้านเมือง -- อาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2555