ปัญหาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในชายสูงวัยชาวไทย ยังเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญ มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นมะเร็งที่พบบ่อย และเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของมะเร็งในผู้ชาย โดยมีอัตราการเกิดโรคประมาณ 1 ใน 10 หมายความว่าในผู้ชายทุกๆ 10 คน จะมี 1 คนป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก สาเหตุของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มีข้อมูลยืนยันว่า อาหารที่มีไขมันสูงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรค โดยคนอ้วนมีแนวโน้มที่จะป่วยด้วยโรคนี้สูงกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวน้อย พบในผู้ชายอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
มะเร็งต่อมลูกหมากเกิดจากการที่เซลล์ในต่อมลูกหมากโตผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นก้อน มะเร็ง ในระยะแรก ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการ จน เมื่อก้อนมะเร็งโตลุกลามไปอุดท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อย เจ็บปวดเวลาถ่ายปัสสาวะ บางครั้งมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ ซึ่งหมายถึงมะเร็งได้กระจายลุกลามไปทั่วร่างกายแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการปวดกระดูก ปวดตามข้อ ปวดหลัง น้ำหนักลด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาการปัสสาวะขัด ปวดเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะถี่ขึ้น และมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ โดยอาการจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
การป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ทำได้โดยตรวจร่างกายเป็นประจำทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี หรือตามแพทย์แนะนำ เมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคมะเร็งควรรับการตรวจร่างกายตั้งแต่อายุ 40-45 ปีขึ้นไป หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไขมันและแป้งสูง ไม่สูบบุหรี่และดื่มเหล้า และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
สำหรับพืชผักสมุนไพรที่แนะให้รับประทานให้มากเพื่อช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก คือ พืชผักที่มีรงควัตถุสีแดง ซึ่งมีสารไลโคปีน (Lycopene) เป็นแคโรทีนอยด์ที่ให้สารสีแดง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร สารนี้ยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ผิวหนังและช่วยลดปริมาณไขมันตัวร้ายในเลือดที่เรียกว่า "LDL คอเลสเตอรอล" ร่างกายจะดูดซึมไลโคปีนได้ดี เมื่ออาหารที่มีไลโคปีนนั้นได้ผ่านความร้อนในกระบวนการปรุงอาหาร
สำหรับการใช้พืชผักสมุนไพรในการดูแลรักษาและป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น แนะเมล็ดฟักทองที่เด่นในเรื่องการป้องกันมะเร็งต่อมลูกมาก และยังพบว่าในเมล็ดฟักทองนั้นอุดมด้วยสารสำคัญพวกกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ กรดอะลานีน ไกลซีน กลูตามิก รวมทั้งธาตุสังกะสี และแมกนีเซียม ที่มีความจำเป็นต่อต่อมลูกหมาก
มีงานวิจัยว่าสารสกัดจากเมล็ดฟักทองมีฤทธิ์ในการรักษาต่อมลูกหมากโต จากการทดลองในผู้ป่วยกว่าสองพันคน พบว่า 41% มีการปัสสาวะได้ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย โดยไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด
ประโยชน์ของเมล็ดฟักทอง ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานปกติ ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่มีสังกะสีเป็นส่วนประกอบมากที่สุด ในเมล็ดฟักทองเป็นแหล่งของสังกะสีซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตทั่วไป และการพัฒนาของอวัยวะสืบพันธุ์ที่พอเหมาะ ตลอดจนการทำงานตามปกติของ ต่อมลูกหมาก (prostate gland) การขาดสังกะสีเป็นสาเหตุของการเป็นหมันและทำให้ขนาดและโครงสร้างของต่อมลูกหมากผิดปกติได้
นอกจากนี้ ยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด เพราะน้ำมันที่สกัดได้จะเป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งจะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด โดยกรดไขมันไม่อิ่มตัวในเมล็ดฟักทองจะดึงไขมันในเส้นเลือดออกไปใช้ประโยชน์ จึงช่วยแก้ปัญหาโรคหลอดเลือดอุดตันได้ ในทางการแพทย์แผนไทยยังใช้น้ำมันนี้รับประทานบำรุงประสาท
ใช้ป้องกันการเกิดนิ่ว เพราะเมล็ดฟักทองมีฟอสฟอรัสในปริมาณสูงสามารถช่วยยับยั้งการเกิดผลึกนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะที่มักพบร่วมกับการขาดโปรตีน คือ การขาดธาตุฟอสฟอรัส และยังพบว่าช่วยป้องกันโรคริดสีดวงทวารและโรคผนังลำไส้โป่งพอง เมล็ดฟักทองเป็นแหล่งของใยอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณกากอาหาร ทำ ให้ขับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกายเร็วขึ้น และทำให้กากอาหารนิ่ม ไม่ทำให้เกิดแรงดันที่ผนังลำไส้ที่จะทำให้โลหิตดำโป่งและบวม ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคผนังลำไส้โป่งพอง
หมอแผนไทยจะแนะให้นำเมล็ดฟักทองช่วยขับน้ำนม ซึ่งอาจนำมาคั่วและบดให้ละเอียดโรยข้าวรับประทาน หรือใช้เป็นของขบเคี้ยวก็ได้ จะช่วยขับน้ำนมสำหรับมารดาที่มีน้ำนมไม่พอหลังคลอดบุตร
ช่วยขับพยาธิตัวตืด พยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวกลม พยาธิใบไม้ โดยมีวิธีง่ายๆ คือ เอาเมล็ดฟักทอง 60 กรัม คั่วให้สุก บดให้ละเอียด รับประทานขณะท้องว่างวันละ 2 ครั้ง หรือนำเนื้อเมล็ดฟักทองบดให้ละเอียด เติมน้ำเชื่อมเล็กน้อย เติมน้ำหรือนมสดให้ได้ 2 แก้ว รับประทานวันละ 2-3 ครั้ง
เมล็ดฟักทองที่คนส่วนใหญ่อาจมองเป็นเพียงของขบเคี้ยวรับประทานเล่นๆ แต่กลับเต็มไปด้วยสรรพคุณที่มีประโยชน์มากมาย มีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรคที่ดี ชายไทยจึงควรกินเมล็ดฟักทองเป็นประจำ ไม่ต้องรอให้สูงวัยเพราะอาจสายเกินการ.
ไทยโพสต์ 29 มกราคม 2555