แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 458 459 [460] 461 462 ... 651
6886
รพท.พื้นที่ขาดแคลนบุคลากร

รพท.ระดับ ๒.๑-พื้นที่ขาดแคลนบุคลากร
๑.รพ.เกาะสมุย
๒.รพ.ตะกั่วป่า
๓.รพ.นราธิวาส
๔.รพ.ปัตตานี
๕.รพ.ยะลา
๖.รพ.บึงกาฬ
๗.รพ.กระทุ่มแบน

รพท.ระดับ ๒.๒-พื้นที่ขาดแคลนบุคลากรอย่างมาก
๑.รพ.สุไหงโก-ลก
๒.รพ.เบตง
๓.รพ.ศรีสังวาลย์

6887
ในช่วงหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์โลก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นนครใหญ่อันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไม่มีแห่งอื่นใดสามารถเปรียบเทียบได้ ที่นี่เป็นแหล่งแห่งความเจริญรุ่งเรืองสุดขีด เป็นแหล่งค้าขายระหว่างประเทศ เป็นแหล่งวิวัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมอันหลากหลาย เป็นอู่อารยธรรมอีกแห่งหนึ่งในซีกโลกตะวันออก
       
       เทอร์เทียส แชนดเลอร์ (Tertius Chandler, 2458-2543) นักประวัติศาสตร์อิสระที่ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์โลกแนวก้าวหน้า ได้เคยศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเมืองโบราณจากแหล่งต่างๆ เอาไว้ในหนังสือ Four Thousand Years of Urban Growth อันมีชื่อเสียงของเขา หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 2530
       
       ศ.จอร์จ โมเดลสกี (George Modelski) แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ได้ศึกษาเรื่องนี้มานานและเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ในหนังสือ World City -3000 to 2000 ซึ่งเป็นเรื่องราวการวิวัฒน์ของเมืองต่างๆ ทั่วโลกในระยะเวลา 5,000 ปี คือ จากช่วงก่อนคริสต์ศักราช 3,000 ปี จนถึง ปี ค.ศ.2000
       
       แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่มีการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ จนกระทั่งชื่อ "อยุธยา" ได้ปรากฏในทำเนียบ 16 เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษย์ และเรื่องนี้ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้
       
       นั่นคือการศึกษาเปรียบเทียบแบบเดียวกันกับมหานครนิวยอร์กในศตวรรษที่ 20 กรุงลอนดอนในทศวรรษที่ 1900 และย้อนหลังไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบุล) เมื่อก่อนคริสต์ศักราช 600 ปี หรือ เมืองเจริโค (Jericho) เมื่อ 7,000 ปีก่อนคริสตกาล
       
       ทั้งหมดเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยที่นำมนุษย์เข้าสู่อีกยุคหนึ่งไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรมหรือการค้า แต่ละเมืองล้วนสิ้นสุดยุคแห่งความยิ่งใหญ่ต่างกันไป บางแห่งถูกเมืองอื่นๆ ร่วมยุคเดียวกันแซงหน้าในด้านความใหญ่โตและจำนวนประชากร และ บางแห่งสิ้นสุดลงเพราะถูกทำลาย...
       
       ภายใต้การศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดแบบ "ถึงก้นครัว" ตั้งแต่เรื่องการผลิตและจ่ายแจกอาหารในหมู่ประชากร รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตในอุบัติภัยร้ายแรงต่างๆ ฯลฯ นักประวัติศาสตร์ได้พบว่ากรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงต้นคริสต์วรรษที่ 18 ด้วยประชากรราว 1,000,000 คน
       
       ช่วง 400 ปีของกรุงศรีอยุธยานั้น นักการทูตชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีด้วยได้เคยบันทึกเอาไว้ว่า เป็นเมืองที่สวยงาม .. แต่น่าเสียดายที่ถูกพม่าโจมตีและเผาทำลายราบในปี ค.ศ.1767 (พ.ศ.2310) และศูนย์กลางของราชอาณาจักรใหม่ได้ย้ายลงไปยังกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน.
       
 16 เมืองใหญ่ในประวัติศาสตร์มวลมนุษย์

       
       1. เจริโค (Jericho) ใหญ่ที่สุดของโลกในยุค 7,000 ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง 2,000 คน ตั้งอยู่ระหว่างทะเลแดงกับภูเขานีโบ (Mt Nebo) เป็นโอเอซิสใหญ่ที่สุด ใช้น้ำจากแม่น้ำจอร์แดน ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่าบันทึกเอาไว้ว่า เจริโคเป็น "เมืองแห่งต้นปาล์ม" อยู่กันต่อมาอีกหลายยุค และเสื่อมไปกับกาลเวลา
       
       2. อูรุค (Uruk) ใหญ่ที่สุดในยุค 3,500 ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง 4,000 คนเป็นเมืองหลวงของแคว้นกิลกาเมช (Gilgamesh) ในมหากาพย์ และเชื่อกันว่าคือเมืองเอเร็ค (Erech) ทีสร้างโดยกษัตริย์นิมรอด (King Nimrod) ในคัมภีร์ไบเบิ้ล อยู่ใกล้แม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates River) ศูนย์กลางการเกษตรและการค้า สงครามในภูมิภาคที่เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 2000 BC ยืดเยื้อข้ามศตวรรษ ต่อมาเมืองอูรุคถูกทิ้งให้ร้างไปในยุคก่อนที่ฝ่ายอิสลามเข้าครอบครอง
       
       3. มาริ (Mari) เมืองหลวงแคว้นมีโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ในยุค 2000 BC ประชากร 50,000 ในยุคของกษัตริย์สุเมเรียน (Sumarite) หลายพระองค์ ก่อนเข้าสูยุคอาโมเรียน (Amorite) มีการสร้างพระราชวังขนาด 300 ห้อง ล่มสลายลงใน 1759 BC ถูกยึดรองโดยกษัตริย์ฮัมมูราบี (Hammurabi) แห่งบาบีลอน ในทศวรรษที่ 1930 นักโบราณคดีฝรั่งเศสค้นพบจารึกภาษาสุเมเรียน 25,000 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเมืองและเศรษฐกิจ จารึกนี้ทำให้คนรุ่นปัจจุบันรู้จักสภาการณ์ในยุคนั้น
       
       4. อูร์ (Ur) เป็นเมืองท่าสำคัญในอ่าวเปอร์เซียในยุค 2100 ก่อนคริสตกาล ประชากร 100,000 คน ค้าขายกับทั่วโลก ราว 500 BC ถูกทิ้งเป็นเมืองร้างเพราะภัยแล้งที่เกิดจากแม่น้ำที่เปลี่ยนทิศทางไหล แต่ยังเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ต่อมา การขุดค้นในทศวรรษ 1850 พบซากมนุษย์จำนวนมาก เป็น "เมืองแห่งคนตาย" (City of the Dead) หรือ นีโครโพลิส (Necropolis)
       
       5. หยินซู (Yinxu) รุ่งเรืองในช่วง 1300 BC ประชากร 120,000 คน เติบโตจากหมู่บ้านเล็กๆ ในอาณาจักรจีนโบราณเป็นแหล่งที่ค้นพบจารึกบนกระดูกสัตว์ที่เรียกว่า ออราเคิลโบน (Oracle Bone) จำนวนมาก เขียนด้วยอักษรจีนโบราณ เมืองทรุดโทรมลงและถูกทอดทิ้งในสมัยราชวงศ์โจว (Zhou Dynasty)
       
       6. บาบีลอน (Babylon) รุ่งเรืองสุดขีดในช่วง 700 BC พลเมือง 100,000 เป็นศูนย์กลางความร่ำรวยแห่งยุคสมัย กษัตริย์ทรงอำนาจและอิทธิพล เป็นแหล่งของสวนลอยบาบีลอน กับหอคอยแห่งบาเบล (Tower of Babel) คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวเอาไว้ว่า ชาวบาบีลอนเชื่อมั่นในพระเจ้าและพยายามปีนป่ายไปสู่สวรรค์ ราว 538 BC กษัตริย์ไซรัส Cyrus) แห่เปอร์เซียยาตราทัพทวนแม่น้ำยูเฟรติสเข้าตี ปล้นสะดมบาบีลอนจนแหลกคามือ
       
       7. คาร์เถจ (Carthage) รุ่งเรืองโดดเด่นในปี 300 BC พลเมือง 100,000 ได้ชื่อเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ก่อนที่จะถูกกองทัพโรมันที่เหนือกว่าเข้าโจมตีและเผาจนวายวอดและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อ 146 ปีก่อนคริสตกาล
       
       8. โรม (Rome) ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี ค.ศ.200 ประชากร 1,200,000 คน เลี้ยงดูชาวเมืองด้วยอาหารจากยุโรปและรอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในรูปภาษี ชีวิตอันสุขสบายของชาวโรมันสะท้อนได้ดีมากในภาพยนตร์เช่น แกลดิเอเตอร์ (Gladiator) ที่นำแสดงโดยรัสเซล โครว์ (Russell Crowe) กับวาวควีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) แต่ปี ค.ศ.273 โรมเหลือประชากรอยู่ราว 500,000 เริ่มเข้าสู่ยุคมืด (Dark Age)
       
       9. คอนสแตนนิโนเปิล (Constantinople) เจริญสุดขีดในปี ค.ศ.600 ประชากร 600,000 คน เป็นศูนย์กลางการค้าขาย อาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลในยุคของจักรพรรดิฟลาวีอุส เฮราคลีอุส ออกัสตัส (Flavius Heraclius Augustus) สงครามเปอร์เซียปี 618 ทำให้การส่งอาหารและพืชผลการเกษตรจากอียิปต์หยุดชะงัก พลเมืองเริ่มอดอยากและเหลือเพียงประมาณ 1 ใน 10 ของจำนวนเมื่อ 18 ปีก่อนหน้านั้น
       
       10. แบกแดด (Bagdad) ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในปี ค.ศ.900 ประชากร 900,000 คน ได้ชื่อเป็นศูนย์กลางของยุคทองแห่งศาสนาอิสลาม เป็นศูนย์กลางของศิลปะและวิทยาการหลายแขนงที่โลกอิสลามใช้มาจนถึงยุคปัจจุบัน แบกแดดเฟื่องฟูอยู่ 300 ปีเศษ ก่อนจะถูกกองทัพมองโกลรุกรานและถูกตีย่อยยับลงในปี 1250
       
       11. ไคเฟิง (Kaifeng) เป็นเมืองใหญ่มากใน ค.ศ.1200 ประชากร 1,000,000 คน ตัวเมืองป้องกันแน่นหนาด้วยกำแพงถึง 3 ชั้น แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของมองโกลในการศึกที่ยืดเยื้อ 30 ปีเศษและปี 1234 ไคเฟิงก็แตกพ่าย ราษฎรหลบหนีไปคนละทิศละทาง ที่นี่ยังมีชุมชนชาวยิวโบราณใหญ่โตที่สุดในจีนอีกด้วย
       
       12. ปักกิ่ง โดดเด่นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1500 ประชากร 1,00,000 คน ใหญ่โตที่สุดในยุค แต่แพ้ภัยตัวเองเพราะไม่สามารถลี้ยงดูประชากรที่มากมายได้ ราษฎรบุกถางป่าตัดไม้ทำบ้านเรือนที่อาศัยและเผาถ่านเป็นเชื้อเพลิง จนโล่งเตียน ส่งผลกระทบด้านสภาพแวดล้อมสะท้านสะเทือนไปทั่วภูมิภาค
       
       13. กรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองหลวงอาณาจักรสยามโบราณอยู่กว่า 400 ปี แต่ขึ้นนำหน้าทุกเมืองในโลกในปี ค.ศ.1700 (พ.ศ.2243) ประชากร 1,000,0000 เป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากสารพัดทิศ รวมทั้งชาวยุโรปด้วย แต่อยุธยาก็สิ้นสุดลงเป็นเถ้าถ่านด้วยน้ำมือของกองทัพพม่า
       
       14. ลอนดอน ใหญ่โตที่สุดในต้นศตวรรษที่ 19 หรือปี ค.ศ. 1825 ประชากร 1,335,000 คน ที่อยู่กันแออัดจนเกือบจะทุกย่านของเมืองหลวงมีสภาพเป็นสลัม อาชญากรรมลามเมือง ในปี 1829 รัฐบาลได้ตั้งกองกำลังตำรวจขึ้นอย่างเป็นทางการ ตั้งชื่อตามชื่อของนายกรัฐมนตรีโรเบิร์ต พีล (Robert Peel) ชาวอังกฤษเรียกตำรวจว่า "บ๊อบบี้ส์" (Bobbies) จนถึงทุกวันนี้
       
       15. นิวยอร์ก ในปี 1925 หรือต้นศตวรรษที่แล้วมีประชากรถึง 7,774,000 คน เป็นมหานครที่มองสู่อนาคตอย่างแท้จริง เป็นแห่งแรกของโลกที่สร้างตึกระฟ้า ถึงแม้ว่าจะเจอสภาพเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1929 แต่การก่อสร้างอาคารสูงเช่น ไครสเลอร์ เอ็มไพร์สเตท ลินคอล์นและอาคารวันวอลสตรีท ฯลฯ ก็ยังดำเนินต่อไป
       
       16. โตเกียว ใน 1968 (พ.ศ.2511) เมืองหลวงของญี่ปุ่นมีประชากรถึง 20,500,000 คน ไม่เคยมีที่ไหนประวัติศาสตร์โลก แต่เศรษฐกิจของประเทศรุ่งเรืองสุดขีด ระหว่างปี 1953-1990 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจยุคหลังสงครามโชติช่วงมากที่สุด ญี่ปุ่นสร้างสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่ออกสู่ตลาดโลกมากมายหลายชนิด.

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 มกราคม 2556

6888
 สธ.เสนอทุกสถานพยาบาลยกเลิกการขูดมดลูก เปลี่ยนเป็นเครื่องดูดมดลูกแทน พร้อมแนะใช้ยายุติการตั้งครรภ์ตามที่ WHO แนะนำ หวังลดปัญหาทำแท้งไม่ปลอดภัย ชี้ ร่าง พ.ร.บ.อนามัยการเจริญพันธุ์ ช่วยส่งเสริมการจัดบริการป้องกันท้องไม่พร้อมและทำแท้งอย่างปลอดภัย เล็งเปลี่ยนทัศนคติผู้ให้บริการไม่มอง “นางสาว” มาคุมกำเนิดในแง่ลบ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงการคุมกำเนิด
   
       วันนี้ (23 ม.ค.) ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนสปาร์ค กทม. นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวระหว่างการประชุมนานาชาติ “สุขภาพสตรีและการทำแท้งไม่ปลอดภัย” - IWAC 2013 ซึ่งจัดโดยมูลนิธิเพื่อสุขภาพและสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ของสตรี (แห่งประเทศไทย) ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน และวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า ปัจจุบัน ผู้หญิงไทยในวัยเจริญพันธุ์ (15-49 ปี) ซึ่งมีจำนวนมากถึง 16 ล้านคน หรือ 1 ใน 4 ของประเทศ ยังคงมีปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม สาเหตุหลักมาจาก 2 ปัจจัย คือ

1.ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น และ
2.การเข้าไม่ถึงบริการคุมกำเนิด

ซึ่งเป็นเรื่องของทัศนคติที่มองว่าผู้หญิงที่รู้จักการป้องกันตนเองเป็นคนใจแตก ที่เห็นได้ชัดคือผู้หญิงวัยทำงานที่ยังใช้คำนำหน้าว่า “นางสาว” หรือยังไม่มีสามี เมื่อมาขอใช้บริการคุมกำเนิดตามสถานพยาบาล เช่น ใส่ห่วง หรือฉีดยา ผู้ให้บริการมักมองว่ามีความประพฤติที่ไม่เหมาะสม
       
       “นอกจากนี้ ผู้หญิงไทยยังมีปัญหาเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัยด้วย ทั้งการขูดมดลูกซึ่งมีอัตราการตาย การตกเลือด และการติดเชื้อสูง รวมไปถึงความล่าช้าของการดำเนินการยุติการตั้งครรภ์ตามกฎหมายอาญามาตรา 305 และข้อบังคับแพทยสภาที่กำหนดเงื่อนไข ว่า หญิงที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี หรือตั้งครรภ์ไม่พร้อมอันเนื่องจากการล่วงละเมิดทางเพศ และการตั้งครรภ์ที่มีผลต่อสุขภาพกายและใจของแม่ สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้เลยนั้น ส่งผลให้มีหญิงตั้งครรภ์จำนวนมากหันไปทำแท้งเถื่อนแทน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาด้วยตัวเองที่ไม่ถูกต้องและไม่ปลอดภัย เป็นผลให้เกิดปัญหาสุขภาพกาย จิตใจ ครอบครัว และสังคมตามมาอีกมากมาย” นพ.กิตติพงศ์ กล่าว
       
       นพ.กิตติพงศ์ กล่าวอีกว่า การจัดประชุมในครั้งนี้จึงเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมหรือไม่พึงประสงค์ และการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย เพื่อส่งเสริมวิชาการและกระตุ้นความตระหนักของสังคมไทยและทั่วโลกในการดูแลสุขภาพผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ และสร้างภาคีเครือข่ายระดับนานาชาติในการร่วมกันแก้ไขปัญหา สำหรับประเทศไทยมีแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวเบื้องต้น คือ 1.เสนอให้ทุกสถานพยาบาลดำเนินการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยตามวิธีที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำ คือ ยกเลิกการขูดมดลูก โดยให้หันมาใช้เครื่องดูดมดลูกแทน และให้ใช้ยา Mifepristone และ Misoprostol ในการยุติการตั้งครรภ์กรณีที่อายุครรภ์น้อยกว่า 63 วัน หรือ 9 สัปดาห์ ซึ่งเป็นยาที่องค์การอนามัยโลกได้บรรจุลงในบัญชียาหลัก อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ให้แต่ละประเทศขึ้นทะเบียนยาทั้งสองตัวนี้ไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้มีการทำแท้งอย่างเสรี แต่ต้องเป็นการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยตามกฎหมายของแต่ละประเทศกำหนด และ 2.ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนแพทย์และพยาบาลให้มีความเข้าใจการบริการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยตามหลักกฎหมายมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาศักยภาพบุคลากรในการใช้เครื่องดูดมดลูกและยายุติการตั้งครรภ์ที่ถูกต้องปลอดภัย รวมถึงการปรับเปลี่ยนทัศนคติและเปิดให้คำปรึกษาการวางแผนครอบครัว การคุมกำเนิด และการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย
       
       นพ.กิตติพงศ์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม หากร่าง พ.ร.บ.อนามัยการเจริญพันธุ์ พ.ศ.... มีผลบังคับใช้จะช่วยให้ทุกภาคส่วนจัดบริการการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมและการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยได้เข้มแข็งขึ้น เช่น การส่งเสริมการมีลูกเมื่อพร้อม การเข้าถึงการวางแผนครอบครัว การให้ความรู้ด้านเพศศึกษาแก่เด็กตั้งแต่ระดับครอบครัว โรงเรียน และชุมชน การรู้จักปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ การรู้จักปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ การป้องกันหรือการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย รวมไปถึงพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขและพัฒนาบุคลากรให้รู้เท่าทันเทคโนโลยีการคุมกำเนิด การยุติการตั้งครรภ์ เพิ่มทักษะการให้คำปรึกษา ซึ่งตรงนี้อาจช่วยเปลี่ยนใจให้คนอยากทำแท้งเลิกทำแท้งได้ นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้มีการจัดบริการด้านสังคมด้วย เช่น การเปิดให้ศึกษาต่อ เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ที่ไปทำแท้งเพราะต้องการที่จะเรียนต่อ จึงจะมีการเปิดโอกาสตรงนี้ด้วย
       
       อนึ่ง องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้คาดประมาณไว้ว่าทั่วโลกมีผู้หญิงที่ต้องเผชิญกับปัญหาการทำแท้งปีละประมาณ 20 ล้านคน แต่ละปีมีผู้หญิงต้องเสียชีวิตจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยประมาณ 80,000 คน หรือตกชั่วโมงละ 9 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 95 อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทย ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2-3 แสนราย ขณะที่การป่วยและตายจากการแท้งที่ไม่ปลอดภัยและค่ารักษาพยาบาลของประเทศไทย เมื่อปี 2554 พบว่า แท้งสูงถึง 30,389 ราย ตาย 4 ราย ใช้ค่ารักษาพยาบาลกว่า 154 ล้านบาท

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 มกราคม 2556

6889
 ศิริราชพ้อ! นโยบายเพิ่มค่าแรง 300 บาทของรัฐบาลปูแดง ทำสถานะการเงินย่ำแย่ ชี้ ให้งบปรับเงินเดือนครอบคลุมแค่กลุ่ม ขรก.-พนักงานมหาวิทยาลัย ทำให้ต้องจ่ายเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นของพนักงานที่จ้างเองถึง 800 ล้านบาท แถมนโยบายลดค่าใช้จ่ายด้านยา ทำให้ขาดรายได้อีกว่า 1,000 ล้านบาท เล็งปรับอัตราค่าบริการเพิ่มขึ้นภายในปี 56 แก้ปัญหา

       ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน และเงินเดือนเริ่มต้นระดับปริญญาตรีที่ 15,000 บาท ของรัฐบาล ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 ม.ค.2556 นั้น ส่งผลกระทบต่อ รพ.ศิริราช เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการเงินของโรงพยาบาล เนื่องจากงบประมาณที่รัฐบาลให้มาเพื่อใช้ในการปรับฐานเงินเดือนนั้น ครอบคลุมเพียงแค่บุคลากรกลุ่มข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่รวมกลุ่มพนักงานที่ รพ.ศิริราช จ้างเอง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4-5 พันคน ดังนั้น เมื่อมีการปรับเงินเดือนพื้นฐานให้แก่กลุ่มข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานที่ศิริราชจ้างเอง ก็ต้องมีการปรับฐานเงินเดือนด้วยเช่นกันเพื่อความเท่าเทียม ซึ่งแต่ละปีจะต้องใช้งบประมาณเพิ่ม 700-800 ล้านบาท โดยที่ รพ.ศิริราช ต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงนี้เอง นอกจากนี้ นโยบายการลดค่าใช้จ่ายทางด้านยาที่ให้หันมาใช้ยาชื่อสามัญที่ผลิตเองภายในประเทศแทนการใช้ยาชื่อสามัญจากต่างประเทศนั้น ก็ส่งผลให้โรงพยาบาลขาดรายได้จากส่วนนี้ไป 900-1,000 ล้านบาท
       
       “แม้จะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็นจำนวนมาก แต่ รพ.ศิริราช ก็จะดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และขอยืนยันว่า รพ.ศิริราช ไม่มีนโยบายการเลย์ออฟคนออกอย่างแน่นอน แต่จะดูแลบุคลากรไปจนถึงหลังวัยเกษียณในทุกๆ ด้าน ซึ่งแต่ละปีต้องใช้งบประมาณ 2-3 ล้านบาท” ศ.คลินิก นพ.อุดม กล่าว
       
       ศ.คลินิก นพ.อุดม กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม รพ.ศิริราชได้แก้ปัญหาดังกล่าวโดยการปรับอัตราค่าบริการ อาทิ ค่าเตียง ค่ารักษาพยาบาล เพิ่มขึ้น เนื่องจาก รพ.ศิริราช ไม่ได้มีการปรับอัตราค่าบริการตามภาวะเงินเฟ้อมานานหลายปีแล้ว แต่จะปรับเพิ่มกี่เปอร์เซ็นต์นั้น ขณะนี้กำลังทำการศึกษาการเพิ่มอัตราค่าบริการของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งประกาศออกมาก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะปรับอัตราค่าบริการเพิ่มขึ้นภายในปี 2556 นอกจากนี้ รพ.ศิริราช จะพยายามประหยัดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนต่างๆ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายลง และหารายได้เพิ่มขึ้น เช่น เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับเอกชนในการทำวิจัยต่างๆ
       
       ด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ.กล่าวว่า การปรับอัตราค่าบริการของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขนั้น มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาเรื่องดังกล่าวอยู่นานแล้ว แต่ยังไม่มีการประกาศใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการทบทวนการปรับอัตราค่าบริการ อาทิ ค่าบริการผ่าตัดต่างๆ โดยอาศัยการพิจารณาจากราคาต้นทุน ส่วนจะปรับอัตราค่าบริการเป็นอย่างไรนั้นตนยังไม่ทราบ แต่เชื่อว่าคณะทำงานน่าจะสรุปผลได้ในเร็วๆ นี้


ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 มกราคม 2556

6890


กระทรวงสาธารณสุขจะปรับปรุงระเบียบการจ่ายค่าตอบแทน และออกระเบียบใหม่ เพื่อนำมาใช้ในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๖ นี้
นี่คือ เนื้อหาฉบับร่าง

ค่าตอบแทนสำหรับบุคลากร รพศ./รพท.
แบ่ง รพศ/รพท. เป็น ๓ ระดับ
๑.พื้นที่ปกติ  ใช้ P4P อย่างเดียว
๒.พื้นที่ขาดแคลนบุคลากร ได้ ค่าพื้นที่พิเศษ(ระดับ ๒.๑) + P4P (มี ๗ โรงพยาบาล)
๓.พื้นที่ขาดแคลนบุคลากรอย่างมาก ได้ ค่าพื้นที่พิเศษ(ระดับ ๒.๒)  + P4P (มี ๓ โรงพยาบาล)

ค่าตอบแทนสำหรับบุคลากร รพช.
แบ่ง รพช.เป็น ๔ ระดับ
๑. พื้นที่ชุมชนเมือง ได้ ค่าพื้นที่พิเศษ + P4P (มี ๕๐ โรงพยาบาล)
๒. พื้นที่ปกติ ได้ ค่าพื้นที่พิเศษ + P4P
๓. พื้นที่ทุรกันดารระดับ๑ ได้ ค่าพื้นที่พิเศษ + P4P
๔. พื้นที่ทุรกันดารระดับ๒ ได้ ค่าพื้นที่พิเศษ + P4P

หลักการจ่าย P4P
โรงพยาบาล                     เงินน้อย                   เงินมาก
งานน้อย                           ไม่จ่าย                      จ่าย??
งานมาก                           จ่าย by approve         จ่าย

วงเงินที่เบิกจ่าย P4P
วงเงินที่เบิกจ่ายคำนวณจาก ๒ เงื่อนไข
๑. ค่าตอบแทน P4P + ค่าตอบแทนทุกประเภท + ค่าจ้างชั่วคราว ไม่เกิน ๔๐ % ของรายรับทั้งหมดของ รพ. และ
๒.ค่าตอบแทนทั้งหมดของ รพ.เมื่อรวมค่าตอบแทน P4P แล้วจะมากกว่าค่าตอบแทนปีที่ผ่านมาได้ไม่เกิน ๓๕ %
วงเงินในข้อใดน้อยกว่าให้ใช้วงเงินตามข้อนั้น

สัดส่วนการเบิกจ่ายระหว่างวิชาชีพ
กำลังหาสัดส่วนที่เหมาะสม อาจเป็น
๑. สัดส่วน พ.ต.ส.
๒. สัดส่วนค่าตอบแทน
๓. สัดส่วนอื่นๆ

ต้องคอยติดตาม ....
๑๕ กพ.นี้ ระดมความคิดเห็นกันได้ ทุกสาขาวิชาชีพ ในวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี ของสมาพันธ์ฯ

6891


มีหนังสือเชิญอีกฉบับถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล ให้สหสาขาวิชาชีพเข้าร่วมประชุมด้วย อย่าลืมชวน พยาบาลและสาขาวิชาชีพอี่นที่สนใจเข้าร่วมประชุมด้วย มีเรื่องให้พูดคุยซักถามผู้บริหารกระทรวงฯหลายเรื่อง การบรรจุตำแหน่งข้าราชการหรือพนักงานกระทรวง, ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม, ซี ๘ ของพยาบาล, ความเสี่ยงฟ้องร้องและภาระงาน อื่นๆอีกมากมาย เป็นโอกาสอันดีที่ไม่ควรพลาด.......


6892
 ทริปแอดไวเซอร์ เว็บไซต์ท่องเที่ยวรายใหญ่ ประกาศผู้ชนะรางวัล 2013 Travellers’ Choice® Awards สำหรับธุรกิจประเภทที่พักครั้งที่ 11 รางวัลนี้มอบให้กับโรงแรมและรีสอร์ทที่มีความโดดเด่นจากทั่วโลกกว่า 6,000 แห่ง โดยแบ่งออกเป็นประเภท สุดยอดโรงแรม โรงแรมระดับหรู โรงแรมราคาย่อมเยา โรงแรมที่ให้บริการยอดเยี่ยม โรงแรมขนาดเล็ก ที่พักประเภท Bed & Breakfast และอินนส์
       
       รางวัล Travellers’ Choice ถือเป็นแคมเปญที่ใหญ่ที่สุดทริปแอดไวเซอร์ โดยมอบรางวัลให้แก่โรงแรมผู้ชนะมากกว่า 6,000 แห่งจากทั่วโลก ในปีนี้รายชื่อที่พักทั้งหมดครอบคลุมไปใน 82 ประเทศ 9 ภูมิภาคทั่วโลก โดยการตัดสินผู้ชนะนั้นมาจากจำนวนคำวิจารณ์ การแสดงความคิดเห็นกว่าหลายล้านรายการที่แสดงต่อกว่า 650,000 โรงแรม และเป็นการรวบรวมจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปทั่วโลกตลอดระยะเวลา 1 ปี
       
       สำหรับโรงแรมในประเทศไทยที่รับรางวัล 2013 Travellers’ Choice® Awards ได้แก่ อันดับ 1 ในประเทศไทย และอันดับที่ 19 ในเอเชีย ในประเภทสุดยอดโรงแรม คือ แรบบิท รีสอร์ท (Rabbit Resort) เมืองพัทยา จ.ชลบุรี อันดับ 1 ในประเทศไทย อันดับที่ 7 ในเอเชีย และอันดับที่ 23 ของโลก ในประเภทโรงแรมหรู และเป็นอันดับที่ 1 ในประเภทโรงแรมขนาดเล็ก คือ เดอะ เพลส ลักซ์ชัวรี่ บูทีค วิลล่า เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี (The Place Luxury Boutique Villas, Koh Tao)

เดอะ เพลส ลักซ์ชัวรี่ บูทีค วิลล่า เกาะเต่า (ภาพจาก : www.theplacekohtao.com)
       อันดับ 1 ในประเทศไทย อันดับที่ 5 ในเอเชีย และอันดับที่ 25 ของโลกสำหรับประเภทโรงแรมราคาย่อมเยา คือ ซานาดู 2008 (Xanadu 2008) จังหวัดกาญจนบุรี อันดับ 1 ของประเทศไทย และเอเชีย ในประเภทที่พักแบบ Bed & Breakfast คือ บ้านมาลินี เบด แอนด์ เบรคฟาสต์ (Baan Malinee Bed & Breakfast) จังหวัดภูเก็ต และ อันดับ 1 ในประเทศไทย อันดับ 5 ในเอเชีย และอันดับที่ 24 ของโลก ในประเภทโรงแรมที่มอบบริการยอดเยี่ยม คือ ซีเคร็ต การ์เด้นท์ (Secret Garden) จังหวัดเชียงใหม่
       
       ทั้งนี้ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ รีสอร์ท ฮัวลาไล แอท ฮิสทอริค คาอูปูเลฮู (Four Seasons Resort Hualalai at Historic Ka’upulehu) ในฮาวายได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดโรงแรมของโลก ในขณะที่ ดิ อัพเปอร์ เฮาส์ (The Upper House) ฮ่องกง ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสุดยอดโรงแรมในเอเชีย
       
       นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นที่พักในประเทศไทยหลายแห่งได้รับรางวัลระดับโลกที่มีชื่อเสียง อย่างรางวัล Travellers’ Choice Awards จากทริปแอดไว-เซอร์ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการตอบสนองทุกความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อนในประเทศของเรา และรางวัล Travellers’ Choice Awards จากทริปแอดไวเซอร์ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าประเทศไทยสามารถนำเสนอที่พักอันหลากหลายและอยู่ในระดับโลกให้กับแขกของเรา”

ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 มกราคม 2556

6893
ผลสำรวจล่าสุดในต่างประเทศระบุ “7 มหาวิทยาลัยดังของไทย” มีชื่อติดโผสถาบันการศึกษาสีเขียวที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุดในโลก โดยมหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีถือเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้คะแนนสูงที่สุดของไทย ส่วนตำแหน่งแชมป์ประจำปีตกเป็นของมหาวิทยาลัยคอนเนตทิคัตจากสหรัฐฯ
       
       รายงานข่าวของสื่อต่างประเทศหลายสำนักซึ่งอ้างผลสำรวจ “กรีนเมตริก แรงกิ้ง ออฟ เวิลด์ ยูนิเวอร์ซิตี” ที่จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัย “Universitas Indonesia” หรือ “ยูไอ” ในอินโดนีเซีย เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ระบุ มหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นสถาบันการศึกษาที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีการพัฒนามหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืนมากที่สุดของไทยประจำปี 2012 และติดอันดับที่ 36 ของโลก โดยได้คะแนนรวมที่ 6,208.39 คะแนน จากเกณฑ์การประเมิน 6 ด้าน คือ สถิติด้านการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม, ความมีประสิทธิภาพในการรับมือปัญหาพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ, ระบบการจัดการของเสียภายในมหาวิทยาลัย, ประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรน้ำ, มีการขนส่งคมนาคมภายในมหาวิทยาลัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเกณฑ์ข้อสุดท้าย คือ ความสามารถในการให้การศึกษาอบรมด้านสิ่งแวดล้อม
       
       นอกจากมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งติดอันดับการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 36 ของโลกแล้ว ยังมี สถาบันอุดมศึกษาของไทยติดโผด้วยอีกถึง 6 แห่ง คือ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่ได้อันดับ 38 ของโลก (6,138.89 คะแนน),
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันดับ 41 ของโลก (6,093.24 คะแนน),
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้อันดับที่ 44 ของโลก (6,003.25 คะแนน),
มหาวิทยาลัยมหาสารคามอันดับ 71 ของโลก (5,471.71 คะแนน),
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้อันดับที่ 175 ของโลก (3,867.24 คะแนน)
ปิดท้ายด้วยมหาวิทยาลัยบูรพา ที่ได้อันดับที่ 195 ของโลก (3,514.10 คะแนน) ตามลำดับ
       
       ขณะที่มหาวิทยาลัย “Universitas Indonesia” หรือ “ยูไอ” ของอินโดนีเซีย ซี่งเป็นผู้จัดทำผลสำรวจชิ้นนี้ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ได้อันดับที่ 25 ของโลกในคราวนี้ด้วยคะแนน 6,338.14 คะแนน ส่วนมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่า เป็นสถาบันการศึกษาสีเขียวที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดของทวีปเอเชียประจำปี 2012 คือ มหาวิทยาลัย “ปุตรา มาเลเซีย” ของมาเลเซียที่ได้อันดับ 19 ของโลกด้วยคะแนน 6,570.03 คะแนน
       
       สำหรับ “สุดยอดมหาวิทยาลัยสีเขียว” ของโลกประจำปี 2012 จากผลสำรวจของยูไอในครั้งนี้ ตกเป็นของ “มหาวิทยาลัยคอนเนตทิคัต” ของสหรัฐฯ ซึ่งได้คะแนนจากเกณฑ์การประเมินทั้ง 6 ข้อสูงที่สุดในโลกที่ 7,569.39 คะแนน
       
       รองลงมาในอันดับที่ 2-10 ประกอบด้วย
มหาวิทยาลัยน็อตติงแฮมของสหราชอาณาจักร,
มหาวิทยาลัยแห่งชาติไอร์แลนด์ (คอลเลจ คอร์ก) ของสาธารณรัฐไอร์แลนด์,
มหาวิทยาลัยนอร์ธอีสเทิร์นของสหรัฐฯ,
มหาวิทยาลัยพลีมัธของสหราชอาณาจักร,
มหาวิทยาลัยเชอร์บรูกของแคนาดา,
มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ ลอสแองเจลิส(ยูซีแอลเอ)ของสหรัฐฯ,
มหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลนา แชเพิล ฮิลล์ของสหรัฐฯ,
มหาวิทยาลัยบาธ สหราชอาณาจักร และ
มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เมอร์เซ็ด ของสหรัฐฯ

โดยอันดับที่ 2-10 นี้ได้คะแนนจากการประเมินทั้ง 6 ข้อลดหลั่นกันลงมาระหว่าง 7,375.59 จนถึง 6,725.26 ตามลำดับ
       
       ส่วนมหาวิทยาลัยที่ได้คะแนนความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม “ต่ำที่สุด” จากการสำรวจครั้งนี้ ซึ่งได้อันดับที่ 215 ของโลกนั้น กลับเป็นมหาวิทยาลัยของประเทศอินโดนีเซียเสียเอง นั่นคือ มหาวิทยาลัยเปลิตา ฮาราปัน โดยได้คะแนนเพียง 1,856.67 คะแนน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 มกราคม 2556

6894
การประชุมเผยแพร่ผลการศึกษาโครงการวิจัยประเมินผลแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้านสุขภาพ เพื่อเตรียมรับแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ฉบับที่ 3 จัดโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เมื่อวันที่14 ม.ค.พบว่า การถ่ายโอนภารกิจด้านสุขภาพให้ อปท.ทั่วประเทศยังล่าช้ามาก

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมาจนถึงขณะนี้มีการถ่ายโอนสถานีอนามัยให้ อปท.ดูแลทั้งสิ้น 39 แห่ง หรือคิดเป็น 0.4%ของสถานีอนามัยทั่วประเทศ 9,762 แห่งเท่านั้น สะท้อนว่านโยบายถูกขับเคลื่อนไปอย่างล่าช้าหรือหากคิดสัดส่วนจากสถานีอนามัยที่เสนอขอรับการถ่ายโอนทั้งหมดในปี 2553 จาก173 แห่ง ภารกิจถ่ายโอนคืบหน้าเพียง 22.54% เท่านั้น

ทีมวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหามาจากเจ้าของอำนาจเดิมคือกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยังคงมอง อปท.ในฐานะนักการเมืองที่ต้องการต่อรองทางการเมือง ทั้งระดับชาติและระดับพื้นที่ที่แทรกแซงการทำงานได้ ขณะเดียวกันแพทย์และบุคลากรก็กังวลว่า ค่าตอบแทนที่เคยได้จาก สธ.และสวัสดิการเดิมที่เคยได้รับอาจหดหายไปด้วย และที่สำคัญที่สุดก็คือ คณะกรรมการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ก็ไม่มีอำนาจบังคับให้กระทรวงต้องถ่ายโอนอำนาจให้ อปท.อย่างที่ตั้งใจไว้

ขณะที่ผู้รับถ่ายโอน ทีมวิจัยพบว่า คณะกรรมการการกระจายอำนาจระดับพื้นที่ในหลายพื้นที่ก็ยังคงคลางแคลงใจกับระบบเดิม เพราะคณะกรรมการประเมินที่กำหนดให้ 3 คนเป็นตัวแทน สธ. 3 คน เป็นตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิ และอีก 3 คนเป็นตัวแทน อปท. กลับประเมินว่าหลายแห่งไม่ผ่าน ทั้งที่มีความพร้อมอย่างเต็มที่

ณรงค์ เชื้อบุญช่วย นักวิเคราะห์นโยบายและแผนสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระบุว่า สถานีอนามัยที่ถูกถ่ายโอนทั้ง 39 แห่ง ทั้งหมดล้วนมีประชาชนในท้องถิ่นเข้าไปใช้บริการจำนวนมาก ซึ่งเกณฑ์การประเมินจาก สธ.ก็พบว่าอยู่ในคุณภาพที่ดีและผู้บริหารของ อปท. ที่พัฒนาสถานีอนามัยจนโดดเด่น ส่วนใหญ่ก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมัยที่ 2 เกือบทั้งหมด

ณรงค์ ย้ำว่า การกระจายอำนาจให้ อปท.ดูแลแทนจะช่วยลดปัญหาลูกจ้าง สธ.ที่เรียกร้องขอบรรจุเป็นข้าราชการ ซึ่งมีจำนวนมาก เนื่องจากดูแนวโน้มอนาคตสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) คงไม่สามารถอนุมัติตำแหน่งทั้งหมดให้ได้ในเวลาอันใกล้ เพราะขัดแย้งกับหลักการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น

ในทางกลับกัน อปท.สามารถรับลูกจ้างเหล่านี้เข้าเป็นข้าราชการ อปท.แทน เพื่อแก้ปัญหาได้อีกด้วยโดยหลังจากนี้จะต้องนำข้อมูลในงานวิจัยไปหารือกับ สธ.เพื่อดูปัญหาและนำมาผลักดันให้การถ่ายโอนมีช่องโหว่ให้น้อยที่สุด

ด้านนพดล แก้วสุพัฒน์ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบล กล่าวว่า รูปแบบการกระจายอำนาจโดยการโอนสถานีอนามัยให้ อปท.ดูแลนั้น ตัวเลขนิ่งอยู่ที่ 39 แห่งมาเกือบ 3 ปีแล้ว สะท้อนชัดว่า สธ.ไม่ต้องการถ่ายโอนอำนาจลงไปเพิ่มเติมจึงได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ดูแลการจัดการสุขภาพในท้องถิ่น โดย สปสช.และท้องถิ่นรับผิดชอบกองทุนสุขภาพหน่วยงานละครึ่ง

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านเวชกรรมป้องกัน สำนักวิชาการสาธารณสุข ยอมรับว่า แผนการกระจายอำนาจด้านสุขภาพที่ผ่านมาล้มเหลว นอกจากจะถ่ายโอนเพียง 0.4% ของทั้งหมดแล้ว อปท.ก็ยังขาดความเข้าใจการดูแลประชาชนในระดับปฐมภูมิ ระบบการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุ หรือระบบการส่งต่อผู้ป่วย ขณะที่ระบบเดิมของ สธ.เองก็มีความซับซ้อน

"โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ โรงพยาบาลตติยภูมิก็มีความเชื่อมโยงระหว่างกันทั้งในด้านข้อมูลบุคลากร และการประสานความร่วมมือผ่านสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ซึ่งในบางเรื่องอปท.ยังไม่สามารถทดแทนได้ ขณะเดียวกันการกระจายอำนาจทั้งหมดลงไปก็อาจเกิดปัญหาอย่างในอินโดนีเซียที่เมื่อโอนการจัดการทั้งหมดให้อปท.ไปแล้ว รัฐบาลก็ไม่เหลือข้อมูลอะไรเพื่อนำมาวางนโยบาย"นพ.ศุภกิจ ระบุ

โพสต์ทูเดย์  15 มกราคม 2556

6895
กรณีที่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าโรงพยาบาลเอกชนในระบบประกันสังคมจะผลักภาระการรักษาพยาบาลผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ ไปให้โรงพยาบาลคู่สัญญาที่มีศักยภาพในการรักษาสูงกว่า (Supra Contractor) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลเอกชนมีศักยภาพเพียงพอที่จะให้การรักษาได้ รวมถึงกรณีผู้ประกันตนที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประกันสังคมที่มีบัตรรับรองสิทธิอยู่ไม่สามารถย้ายไปโรงพยาบาลแห่งอื่นที่มีศักยภาพสูงกว่า เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนไม่ยินยอมให้ย้ายนั้น

นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ประธานคณะกรรมการประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า ทั้ง 2 กรณีเป็นช่องโหว่ระบบประกันสังคม ซึ่งส่งผลเสียหายต่อผู้ประกันตนอย่างมาก จึงเตรียมแก้ปัญหาโดยขอหารือผู้บริหารสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเสนอให้ร่วมมือจัดตั้งศูนย์ประเมินอาการป่วยของผู้ป่วยโรคร้ายแรงในระบบประกันสังคมและระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยมีทีมแพทย์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญโรคร้ายแรงต่างๆ เข้าร่วมประเมินอาการผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ

"ขณะนี้ระบบประกันสังคมเปิดช่องให้ผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงที่มีค่าน้ำสัมพันธ์ของโรค (RW) เกินกว่าระดับ 2 สามารถเลือกโรงพยาบาลที่จะเข้ารับการรักษาได้เอง โดยโรงพยาบาลที่ให้การรักษาจะมาเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ที่ สปส. เชื่อว่าการตั้งศูนย์ จะทำให้ผู้ป่วยในระบบประกันสังคมและระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้รับการรักษาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น"

มติชน 18 ม.ค. 2556

6896
เมื่อวันที่ 16 มกราคม นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ด สปส. เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พิจารณาการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม โดยมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการการแพทย์เสนอให้ยกเลิกการจ่ายเงินค่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง จำนวน 300 ล้านบาท ซึ่งยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อการรักษาพยาบาลผู้ประกันตน เนื่องจากงบในส่วนนี้เป็นการจ่ายซ้ำซ้อนกับการจ่ายค่ารักษาตามระดับความรุนแรงของกลุ่มโรค หรือดีอาร์จี (DRG) ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ให้ สปส.นำงบส่วนนี้ไปเพิ่มในส่วนของค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์แทน ซึ่งให้มีผลบังคับใช้ทันที

"สำหรับงบค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์นั้น สปส.ประมาณการว่าจะต้องเพิ่มอีก 41 ล้านบาท เนื่องจากมีแผนเพิ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ของ สปส.จากเดิมที่มี 50 รายการ เป็น 170 รายการ เพื่อให้มีมาตรฐานเท่าเทียมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรมบัญชีกลาง จึงมีมติให้เพิ่มวงเงินรวมเป็น 341 ล้านบาท" นพ.สมเกียรติกล่าว และว่า ที่ประชุมยังได้พิจารณาการจ่ายค่ารักษา ผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ ให้กับโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม และโรงพยาบาลคู่สัญญาที่มีศักยภาพสูงกว่า โดยมีมติหากผู้ป่วยมีระดับความรุนแรงของโรคตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไป สปส.จะจ่ายค่ารักษาให้โรงพยาบาลระดับละ 11,500 บาท ไปก่อน จากยอดวงเงินสูงสุดที่ตั้งไว้ระดับละ 15,000 บาท เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำกัน ขณะเดียวกัน สปส.จะตรวจสอบข้อเท็จจริงของการรักษา หากพบว่าโรงพยาบาลดังกล่าวรักษาผู้ป่วยระดับ 2 ขึ้นไปจริง สปส.จะจ่ายเงินค่ารักษาเพิ่มเติมให้ โรงพยาบาลนั้นจนครบยอดวงเงินสูงสุดในภายหลัง ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถสรุปยอดค่ารักษาโรคร้ายแรงในปี 2555 เสร็จภายในเดือนมีนาคมนี้

นพ.สมเกียรติกล่าวอีกว่า เร็วๆ นี้ จะหารือกับผู้บริหาร สปสช.เสนอให้ร่วมมือกันจัดตั้งศูนย์ประเมินอาการป่วยของผู้ป่วยโรคร้ายแรงในระบบประกันสังคมและระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยมีทีมแพทย์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญโรคร้ายแรงต่างๆ เข้าไปประเมินอาการผู้ป่วยทั้ง 2 ระบบ เพื่อลดปัญหาผู้ป่วยถูกโรงพยาบาลลอยแพไม่รับรักษาด้วย

มติชน  17 มกราคม 2556

6897
ดีเอสไอเร่งสอบทุจริตซื้อยาความดันเลือดในปอดของศูนย์หัวใจสิริกิติ์ม.ขอนแก่น หลังพบซื้อแพงโด่งต่อเนื่อง 5 ปี สูงกว่ารพ.อื่นเม็ดละกว่า 800 บาท

พ.ต.ท.กรวัชร ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการพิเศษภาค กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าตรวจสอบคดีทุจริตจัดซื้อยาของศูนย์หัวใจสิริกิติ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นว่า ดีเอสไอภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เข้าสืบสวนตามที่มีผู้ร้องเรียนให้ตรวจสอบการทุจริตจัดซื้อยารักษาโรคความดันของเส้นเลือดในปอดสูง (BOSENTAN) ขนาด 125 มิลลิกรัม โดยพบว่าราคายาอ้างอิงของกระทรวงสาธารณสุขประกาศราคายาชนิดบรรจุขวดละ 60 เม็ด ราคา 96,300 บาท หรือเม็ดละ 1,605 บาท ซึ่งพบว่าโรงพยาบาลส่วนใหญ่ทั่วประเทศจัดซื้อในราคาดังกล่าว แต่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ จัดซื้อยาดังกล่าวตั้งแต่ปี 2550-2555 ในราคาขวดละ 146,590 บาท หรือเม็ดละ 2,443 บาท สูงกว่าราคาอ้างอิงเม็ดละ 838 บาท หรือแพงกว่าขวดละ 50,290 บาท คิดเป็นราคาที่สูงกว่าราคาอ้างอิงถึง 35% เป็นเงินงบประมาณกว่า 3.5ล้านบาทต่อปี

พ.ต.ท.กรวัชร กล่าวต่อว่าดีเอสไอตรวจสอบพบด้วยว่ายาดังกล่าวมีบริษัทตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวคือบริษัท ซิลลิค ฟาม่าร์ (ประเทศไทย) จำกัด ดังนั้นการจัดซื้อยาของศูนย์หัวใจสิริกิติ์ จึงมีราคาสูงเกินความเป็นจริงเข้าข่ายกระทำความผิดฐานสมคบกันเพื่อจูงใจให้มีการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ โดยดีเอสไอจะเร่งสอบปากคำคณะกรรมการจัดซื้อ เจ้าหน้าที่พัสดุ เภสัชกร และผู้เสนอราคาว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดส่วนกรณีที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์อ้างว่าจัดซื้อน้อยทำให้มีราคาแพงนั้น การสืบสวนพบว่าโรงพยาบาลอื่น ๆ ทั่วประเทศทั้งในกทม. เชียงใหม่ พิษณุโลก รวมถึงโรงพยาบาลในจ.ขอนแก่นก็พบว่าสั่งซื้อยาในราคาที่ถูกกว่า ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ดั้งนั้นดีเอสไอจะเร่งตรวจสอบให้ได้ความชัดเจน หากพบการกระทำความผิดจะแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดดีกับผู้กระทำความผิด อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอจะขยายผลสอบไปถึงการจัดซื้อยาชนิดอื่นว่ามีการจัดซื้อในราคาสูงเช่นเดียวกันหรือไม่

 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  17 มกราคม 2556

6898
จะว่าไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เกิดขึ้นจากความอัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่สรรค์สร้างขึ้นมาให้เห็นและเป็นอยู่ แม้ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่องในเมืองคอนกรีต ก็ต้องตั้งอยู่บนพื้นดินที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้นเช่นกัน แบบนี้ก็ชี้ให้ชัดได้แล้วว่า ธรรมชาตินั้นมีความสามารถสูงส่งเพียงใด
       
       หรืออย่างผืนทรายใต้น้ำทะเล ที่บางครั้งก็โผล่ขึ้นมาให้ได้ชมกันยามน้ำลด บางแห่งก็ทอดตัวเป็นเส้นทางยาวจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง เคียงคู่ไปกับผืนน้ำ ดังเช่น “ทะเลแหวก” ในหลายแห่งของเมืองไทย และความน่าพิศวงนี้ก็เป็นสิ่งดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้าไปดูให้เห็นกับตาว่า “ทะเลแหวก” นั้นเป็นเช่นไร
       
ทะเลแหวกเกาะไก่ จ.กระบี่
       ทะเลแหวกชื่อดัง หนึ่งในอันซีนไทยแลนด์เมื่อปี พ.ศ.2546 ความน่าสนใจและน่าอัศจรรย์ใจอยู่ที่เมื่อยามน้ำทะเลลดต่ำลง สันทรายที่ทอดยาวก็จะปรากฏขึ้น กลายเป็นสะพานทรายทอดยาวเชื่อมเกาะ 3 เกาะเข้าด้วยกัน นั่นก็คือ เกาะไก่ เกาะหม้อ และเกาะทับ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเกาะปอดะ
       
       ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการไปเดินทอดน่องบนสันทรายขาวเนียนกลางทะเลก็คือ ช่วงเวลาที่น้ำลงต่ำสุดในแต่ละวัน โดยเฉพาะวันก่อนและหลังวันขึ้น 15 ค่ำ ประมาณ 5 วัน และช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการไปท่องเที่ยวก็คือ ระหว่างเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนพฤษภาคม

ทะเลแหวกเกาะนางยวน จุดชมวิวที่สวยติดอันดับโลก
       ทะลแหวกเกาะนางยวน จ.สุราษฎร์ธานี
       เกาะนางยวนนั้นตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเกาะเต่า บริเวณทะเลฝั่งอ่าวไทย และก็เป็นหนึ่งในความน่าอัศจรรย์ของเมืองไทยตรงที่มีทะเลแหวกเชื่อมต่อระหว่าง 3 เกาะ เป็นสันทรายสีขาวสะอาดเชื่อมต่อเกาะใหญ่และเกาะเล็กๆ อีก 2 เกาะไว้ด้วยกันตลอดเวลา
       
       ความงามของเกาะเล็กๆ อย่างเกาะนางยวนนั้น ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยติดอันดับโลก และยังมีโลกใต้ทะเลที่สวยงามให้ลงไปสัมผัสและแหวกว่าย นักท่องเที่ยวที่มาถึงเกาะเต่าแล้ว ก็มักจะไม่พลาดที่จะมายลความงามของทะเลแหวก ณ เกาะนางยวนแห่งนี้

ทะเลแหวกที่อ่าวแม่หาด บนเกาะพงัน
       ทะเลแหวกเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี
       ถ้าพูดถึงเกาะพงัน สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ ฟูลมูนปาร์ตี้ ฮาร์ฟมูนปาร์ตี้ และปาร์ตี้อื่นๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความนิยมอย่างมาก แต่นอกเหนือจากความอึกทึกคึกโครมของปาร์ตี้ต่างๆ แล้ว ความสงบงามของธรรมชาติของทะเลไทยก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน
       
       ทะเลแหวกของเกาะพงันนั้น จะอยู่ที่อ่าวแม่หาด ซึ่งสันทรายทะเลแหวกจะเชื่อมต่อกับเกาะม้า สามารถเดินข้ามไปเดินเล่นบนเกาะม้า ดูโขดหิน หาที่นอนอาบแดด หรือนั่งตกปลาเงียบๆ ก็ยังได้ ถ้ามาในช่วงที่น้ำลง ก็จะเห็นเป็นสันทรายเชื่อมเกาะธรรมดา แต่หากมาในช่วงเหมาะ น้ำขึ้นสูงพอปริ่มๆ สันทราย แล้วลงไปเดินลุยเล่นๆ ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าลองเมื่อมาเที่ยวเกาะพงัน

แนวเสาไฟฟ้าที่คู่ขนานไปกับสันทรายสู่เกาะพิทักษ์
       ทะเลแหวกเกาะพิทักษ์ จ.ชุมพร
       เกาะพิทักษ์ตั้งอยู่ไม่ห่างจากชายฝั่งมากนัก ยามที่น้ำลดจึงเกิดปรากฏการณ์ทะเลแหวกให้ได้เห็น สันทรายที่เห็นอยู่บริเวณหน้าเกาะจะเชื่อมกับชายฝั่ง แต่หากน้ำทะเลลดลงมากๆ ทะเลแหวกก็จะทอดยาวไปถึงฝั่งหลังสวน บริเวณอ่าวท้องครก จนสามารถเดินข้ามฝั่งได้อย่างสบาย
       
       ทะเลแหวกที่นี่ไม่ได้สวยงามขาวละเอียดเหมือนที่อื่น แต่ก็มีเสน่ห์ตรงวิถีชีวิตชาวบ้านที่พบเห็นได้ทั่วไป อย่างเช่นช่วงที่น้ำลด ก็จะมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งมาหาหอยบริเวณทะเลแหวก หรือหากต้องการข้ามมายังฝั่งเกาะพิทักษ์ ยามปกติก็จะต้องอาศัยเรือ แต่หากน้ำลดก็สามารถเดินข้ามมาได้เลย และยังมีเสาไฟฟ้าที่ทอดยาวคู่ขนานไปกับแนวสันทราย นำไฟฟ้าจากฝั่งเชื่อมไปยังผู้คนบนเกาะด้วย
       
       อีกสิ่งที่ทะเลแหวกเกาะพิทักษ์ไม่เหมือนใคร ก็คือกิจกรรมการวิ่งทะเลแหวกจากฝั่งข้ามไปยังเกาะพิทักษ์ ระยะทาง 14 กิโลเมตร เริ่มจากเรือจำลองจักรีนฤเบศร ปากน้ำหลังสวน ใช้เส้นทางเลียบชายทะเลและเข้าสู่เส้นชัยที่เกาะพิทักษ์ ซึ่งกิจกรรมนี้จะจัดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี

แนวสันทรายและสวนหินในอารมณ์แบบเซ็น ที่อ่าวลึก
       ทะเลแหวกอ่าวลึก จ.กระบี่
       ทะเลแหวกอ่าวลึก อยู่ในพื้นที่ของ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ แม้จะไม่สวยงามเหมือนหาดทรายขาวเนียนละเอียดในที่อื่นๆ แต่ก็ทรงเสน่ห์ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของกุ้งหอยปูปลา และเหตุที่เรียกอ่าวลึก ก็ไม่ใช่เพราะว่าเป็นทะเลน้ำลึก แต่เพราะที่ อ.อ่าวลึก มีพื้นที่อ่าวยื่นลึกกินแผ่นดินเข้ามา 
       
       ส่วนทะเลแหวกที่อ่าวลึก หรือที่เรียกกันว่า ทะเลแหวกสวนหินเซ็น จะเกิดเมื่อขึ้นน้ำลดระดับลงจนสุด จะเกิดแนวสันทรายและแนวหินโสโครกเล็กๆ ผุดขึ้นมาเห็นเป็นทรงรูปขวานคล้ายแผนที่ประเทศไทย โดยแนวสันทรายจะอยู่ที่ด้ามขวาน ส่วนใบขวานจะเป็นแนวโขดหินและสันทราย โดยรูปทรงจะเปลี่ยนไปตามจังหวะที่น้ำขึ้น-ลง และกระแสน้ำที่พัดผ่านสันทราย

สันทรายทะเลแหวกที่หาดมังกร
       ทะเลแหวกหาดมังกร จ.สตูล
       “หาดมังกร” เป็นชื่อที่ชาวชุมชนตันหยงโป อ.เมือง จ.สตูล เรียกขานเกาะแห่งหนึ่งที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์กลางทะเลอันดามัน เพราะเมื่อยามน้ำทะเลลดลง ก็จะปรากฏสันทรายโผล่ขึ้นมาเป็นเส้นทางคดเคี้ยวยาวกว่า 3 กิโลเมตร และยังสามารถเชื่อมไปยังอีกเกาะหนึ่งได้ และบนสันทรายนั้นก็เต็มไปด้วยซากเปลือกหอยหลายล้านตัวทับถมกันอยู่ และที่มาของชื่อหาดมังกรก็คือ สันทรายที่เปรียบเสมือนมังกรถลาลงเล่นน้ำ ให้เราได้เดินเล่นอยู่บนสันหลังมังกรที่พลิ้วไหวงดงาม
       
       ปรากฏการณ์ทะเลแหวกนี้ มิใช่ว่าจะหาดูได้ง่ายๆ ต้องตั้งใจไปให้ถึงที่ ในช่วงวันและเวลาที่เหมาะสม ความน่าอัศจรรย์แบบนี้จึงจะปรากฏขึ้นให้เป็นที่ประทับใจไปอีกแสนนาน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 มกราคม 2556

6899
 ไซอิ๋ว สามก๊ก ความฝันในหอแดง และซ้องกั๋ง หรือ วีรบุรุษเขาเหลียงซัน ได้รับการยกย่องจากเหล่าบัณฑิตให้เป็นสี่สุดยอดวรรณกรรมของจีน (四大名著) และถูกถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์และหนังโรงมาหลายต่อหลายครั้ง
       
       ทุกวันนี้คนในวงการสื่อจีนยอมรับว่าการลงทุนกับการสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์สักเรื่องเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงไม่น้อย เพราะปัจจุบันอุปทานมากกว่าอุปสงค์ ผลงานมีมากกว่าความต้องการในตลาด ทำให้ในแต่ละปีมีละครโทรทัศน์ที่ถูกดองเค็มมากกว่าครึ่ง
       
       แต่การลงทุนสร้างสี่ยอดวรรณกรรมอมตะของจีนเป็นเรื่องยกเว้น เพราะไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้ ลำพังแค่ขายลิขสิทธิ์การฉายก็สามารถคืนทุนได้อย่างสบาย นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ในรอบหลายสิบปีนี้มีการนำวรรณกรรมทั้งสี่เรื่องมารีเมคใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก
       
       โดยเฉพาะในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ แต่ละเรื่องใช้งบประมาณการสร้างไม่ต่ำกว่า 100 ล้านหยวนเลยทีเดียว โดยสามก๊กฉบับของผกก.เกาซีซีลงทุน 160 ล้านหยวน, ซ้องกั๋งของจีว์เจี้ยวเลี่ยงใช้งบประมาณการถ่ายทำ 130 ล้านหยวน, ความฝันในหอแดงของหลี่เส้าหงลงทุน 118 ล้านหยวนและไซอิ๋วของจางจี้จง 120 ล้านหยวน
       
       โดยตอนนี้ที่จีนกำลังฉายเรื่องซ้องกั๋งและไซอิ๋วอยู่ ส่วนสามก๊กและความฝันในหอแดงนั้นฉายไปเมื่อปีที่แล้ว
       
       ส่วนที่ว่าชาวไทยจะมีโอกาสได้ดูทั้งสี่เรื่องหรือไม่นั้นก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นต่อไป เพราะขนาดนิยายกิมย้งที่ว่าสร้างแล้วสร้างอีกกี่เวอร์ชั่น ไทยเราก็ซื้อลิขสิทธิ์มาเรียบ แต่มังกรหยกก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้งปี 2008 ที่หูเกอ-หลินอีเฉินเล่นนี่ทำไมตกสำรวจ หรือสงสัยยังฝ่าด่านอรหันต์หนังเกาหลีมาไม่ได้ รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นมีใครเอามาฉายสักที จนตอนนี้มีมือดีหยิบไปใส่เสียงพากษ์โหลดลงเว็บเรียบร้อยแล้ว...
       
       สำหรับละครโทรทัศน์ทั้งสี่เรื่องที่ได้กล่าวมานั้น จะน่าดูมากน้อยเพียงไรขอเชิญรับชมตัวอย่าง...
       
       1. สามก๊ก (三国演义) เป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ของจีน ที่ประพันธ์ขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 สมัยราชวงศ์หยวน โดยนักเขียนชื่อ หลอกว้านจง จากการนำเค้าโครงเรื่องในจดหมายเหตุสามก๊ก (三国志) ซึ่งเป็นงานเขียนเชิงพงศาวดารของเฉินโซ่ว อดีตขุนนางของจ๊กก๊กมาประพันธ์เพิ่ม เนื้อหากล่าวถึงเรื่องราวการสงคราม กลศึก และการช่วงชิงความเป็นใหญ่ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นที่จีนแตกเป็นสามก๊กสามขั้วอำนาจ ได้แก่ ก๊กเว่ย (วุยก๊ก) ก๊กสู่ (จ๊กก๊ก) และก๊กอู๋ (ง่อก๊ก)
       
       โดยสามก๊กฉบับของเกาซีซีนั้นยืนเค้าโครงเรื่องหลักตามบทประพันธ์ แต่ได้มีการสอดแทรกมุมมองและการตีความใหม่ๆ เข้าไปด้วย

       ...

ขงเบ้ง กวนอู เตียวเสี้ยน ซุนซั่งเซียง และไต้เกี้ยว เสียวเีกี้ยว
       
รายชื่อนักแสดง
       เฉินเจี้ยนปิน เป็น โจโฉ
       ลู่อี้ เป็น ขงเบ้ง
       หยูเหอเหว่ย เป็น เล่าปี่
       จางป๋อ เป็น ซุนกวน
       เฉินห่าว เป็น เตียวเสี้ยน
       เหอยุ่นตง เป็น ลิโป้
       หลินซินหยู เป็น ซุนซั่งเซียง
       หวงเหวยเต๋อ เป็น จิวยี่
       เนี่ยหย่วน เป็น จูล่ง     
       
****************

       
       2. ความฝันในหอแดง (红楼梦) แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1784) โดยเฉาเสี่ยว์ฉิน แต่น่าเสียดายที่เฉาเสี่ยว์ฉินยังแต่งไม่จบก็เสียชีวิตเสียก่อน ภายหลังมีนักเขียนมากมายแต่งต่อ แต่ฉบับที่เป็นที่ยอมรับก็คือของเกาเอ้อ เนื้อหาว่าด้วยเรื่องราวความรักชายหญิง ความลุ่มหลงในโลกียะของมนุษย์ และความเสื่อมของระบบศักดินาของจีนในสมัยราชวงศ์ชิง โดยสะท้อนผ่านครอบครัวสกุลเจี่ยที่มั่งคั่ง
       
       ความฝันในหอแดงถูกสร้างเป็นละครและหนังหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นชอว์บราเธอร์สของเล่อตี้ในปี ค.ศ.1962, เวอร์ชั่นที่หลินชิงเสียเป็นเจี่ยเป่าอี้ว์ในปีค.ศ. 1977 แต่ฉบับที่ได้รับความนิยมและถูกยกให้เป็นผลงานคลาสสิกไปแล้วก็คือ ฉบับปีค.ศ. 1987 ของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี
       
       และสำหรับความฝันในหอแดงฉบับล่าสุดของหลี่เส้าหงถือเป็นเวอร์ชั่นที่ใช้งบลงทุนสูงมาก และการแต่งหน้าแต่งตัวค่อนข้างมีเอกลักษณ์ หลายคนเห็นภาพแล้วอาจจะเพลียเรื่องทรงผมบ้าง โดยเฉพาะเรื่องนี้ตัวละครหญิงค่อนข้างมาก พอทำผมขดเหมือนกันหมด จึงทำให้ค่อนข้างสับสนว่าใครเป็นใครบ้าง

ความฝันในหอแดงของหลี่เส้าหง
       ...
     
รายชื่อนักแสดง
       หยูเสี่ยวถง เป็น เจี่ยเป่าอี้ว์ (วัยรุ่น)
       หยางหยาง เป็น เจี่ยเป่าอี้ว์ (วัยหนุ่ม)
       เจี่ยงเมิ่งเจี๋ย เป็น หลินไต้อี้ว์ (วัยรุ่น)
       หลี่ชิ่น เป็น ฉือเป่าไช (วัยรุ่น)
       ไป๋ปิง เป็น ฉือเป่าไช (วัยสาว)
       เหยาตี๋ เป็น หวังซีเฟิ่ง
       หยางมี่ เป็น ฉิงเหวิน

ความฝันในหอแดงฉบับเล่อตี้, ฉบับของซีซีทีวี และฉบับหลินชิงเสีย
       
****************

       
       3. ซ้องกั๋ง หรือวีรบุรุษเขาเหลียงซัน (水浒传) แต่งโดยซือไน่อัน (แต่บางตำราระบุว่าภายหลังได้รับการขัดเกลาสำนวนโดยหลอกว้านจง ผู้แต่งสามก๊ก) ซ้องกั๋งเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์ซ่งเหนือของซ่งฮุยจง กษัตริย์ผู้อ่อนแอ กล่าวถึงเรื่องราวของผู้กล้า 108 คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง จนหนีมารวมตัวกันที่เขาเหลียงซัน สาบานเป็นพี่น้องและร่วมมือกันปราบปรามความอยุติธรรมในใต้หล้า

ซ้องกั๋ง หรือ วีรบุรุษเขาเหลียงซัน
       ...
     
รายชื่อนักแสดง
       จางหันอี่ว์ เป็น ซ่งเจียง (ซ้องกั๋ง)
       หูตง เป็น หลินชง
       หวงไห่ปิง เป็น ไฉจิ้น
       เฉินหลง เป็น อู่สง
       หลี่เหลี่ยงเหว่ย เป็น เฉาไก้
       เหยียนข่วน เป็น ล่างจื่อเยี่ยนชิง
       อันอี่เซวียน เป็น หลี่ซือซือ
       กันถิงถิง เป็น พานจินเหลียน
       หย่วนหย่งอี๋ เป็น ภรรยาของหลินชง
       หยางจื่อ เป็น ฮ่องเต้ซ่งฮุยจง
       จางเถี่ยหลิน เป็น หงไท่เว่ย
       
****************

       
       4. ไซอิ๋ว (西游记) เป็นผลงานการประพันธ์ของอู๋เฉิงเอินในสมัยราชวงศ์หมิง ว่าด้วยเรื่องราวของซุนหงอคง ตือโป๊ยก่าย และซัวเจ๋ง คุ้มครองพระถังซำจั๋ง เดินทางไปอันเชิญพระไตรปิฏกยังชมพูทวีป ระหว่างทางต้องผจญอันตรายจากปีศาจมากมาย
       
       ที่ผ่านมามีการนำบทประพันธ์มาสร้างเป็นภาพยนตร์แล้วหลายต่อหลายครั้ง อาทิ สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของจีนเริ่มนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์เมื่อปีค.ศ. 1982 หรือฉบับของทีวีบีเมื่อปี 1996 นำแสดงโดยจางเหว่ยเจี้ยน ซุนหงอคงภาคนี้ได้รับคำชมว่าหล่อเหลาที่สุด และได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้ชมทั่วเอเชียรวมทั้งไทยด้วย
       
       นอกจากนี้ยังมีฉบับแปลกแหวกแนวอย่างไซอิ๋วภาคพิศดารเดี๋ยวลิงเดี๋ยวคนของโจวซิงฉือ และไซอิ๋วเวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่นำแสดงโดย ชินโง คาโทริ สมาชิกวง Smap
       
       จนมาถึงไซอิ๋วภาคล่าสุดที่ได้เนี่ยหย่วนรับบทเป็นพระถังซำจั๋ง พร้อมทัพนักแสดงอีกคับคั้ง อาทิ หลิวเทา, อันอี่เซวียน, เฝิงเส้าเฟิง การันตีฝีมือการกำกับโดยจางจี้จง เจ้าพ่อรีเมคหนังกิมย้ง ที่เคยฝากผลงานปัดฝุ่นนวนิยายคลาสสิกของกิมย้งมาแล้วหลายเรื่อง อาทิ มังกรหยกก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้ง (หลี่ย่าเผิง-โจวซวิ่น), มังกรหยกเอี้ยก้วย-เซียวเล่งนึ้ง (หวงเสี่ยวหมิง-หลิวอี้เฟย), กระบี่ฟ้าดาบมังกร (เติ้งเชา-อันอี่เซวียน), อุ้ยเสี่ยวป้อ (หวงเสี่ยวหมิง)


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 กันยายน 2554

6900
เว็บไซต์ china.org เปิดโผ 10 อันดับภาพยนตร์จีนอมตะ ที่คับแน่นด้วยเนื้อหา และเปี่ยมล้นด้วยเทคนิคถ่ายทำ โดยผ่านการรับประกันคุณภาพจากทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ศักยภาพการแข่งขันภาพยนตร์จีนสูงขึ้นอย่างต่อ ในฐานะสื่อสะท้อนสังคมจีนตลอดระยะเวลา 107 ปีที่ผ่านมา
       
       จีนมีประวัติการสร้างภาพยนตร์ที่น่าภูมิใจ ภาพยนตร์จีนเริ่มสร้างครั้งแรกในปี 1905 หลังการเกิดภาพยนตร์ในฝรั่งเศสเพียง 10 ปี  ในช่วง 20ปี ให้หลังมานี้ ภาพยนตร์จีนได้รับการยอมรับมากขึ้น ในขณะที่ตามหัวเมืองใหญ่ของจีนเต็มไปด้วยบริษัทผู้สร้างมากกว่าร้อยแห่ง และเซี่ยงไฮ้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ในทศวรรษที่ 30 และ 40 แม้ว่าจีนจะเข้าสู่ยุคความวุ่นวายทางการเมือง แต่วงการภาพยนตร์จีนก็มิได้หยุดเติบโต ช่วงเวลานั้นผู้สร้างต่างมีมุมมองในการผลิตไปในทางประจักษ์นิยมและเริ่มสร้างภาพยนตร์ในแนวทางวิพากษ์สังคม โดยมีเมืองเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางการสร้างสรรค์งาน ภาพยนตร์ในตำนานหลายเรื่องถูกสร้าง ณ เมืองท่าแห่งนี้ อาทิ Crossroads (1937),  Angles on the road (1937),  A spring river flows east(1947).
       
       ยุค 50  ฮ่องกงและไต้หวันเริ่มมีบทบาทในวงการมากยิ่งขึ้น เวลาต่อมาฮ่องกงกลายเป็นเมืองหลวงของวงการภาพยนตร์จีน หลายฝ่ายต่างกล่าวขานว่าฮ่องกงเป็น “ฮอลลีวูดแห่งโลกตะวันออก” เข้าสู่ยุคทศวรรษที่ 70 ถึงกลางทศวรรษที่ 90 ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางของวงการภาพยนตร์รองจากฮอลลีวูด ว่ากันว่าหนังฮ่องกงพบได้ทุกมุมโลกที่มีชาวจีนโพ้นทะเลอาศัยอยู่
       
       กลับกันวงการภาพยนตร์จีนแผ่นดินใหญ่ยุค 50  การจัดสร้างและตลาดภาพยนตร์ถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดโดยรัฐ จนถึงปลายยุค 70 การสนับสนุนวงการภาพยนตร์โดยรัฐบาลได้ยุติลง ส่งผลให้เกิดการปฏิรูปและเปิดกว้าง ผู้สร้างต่างหันมาสู่รูปแบบการพาณิชย์มากกว่าก่อน ประชาชนทั่วไปกลับสู่โรงภาพยนตร์อีกครั้ง ในปี 2011 ภาพยนตร์กว่า 560 เรื่องสร้างขึ้นบนจีนแผ่นดินใหญ่ มีรายได้มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่ามาตรฐานคุณภาพยังไม่ค่อยน่าพอใจนัก
       
       อย่างไรก็ดี ประวัติศาสตร์ยาวนานของวงการภาพยนตร์จีนได้สร้างผู้กำกับชั้นครูไว้หลายท่าน พวกเค้าสร้างพลงานที่มีคุณค่าเหนือกาลเวลา เช่นสิบอมตะภาพยนตร์ที่เวบไซต์ของทางการจีนจัดอันดับไว้ ดังต่อไปนี้
       
       อันดับ 10  วีรบุรุษ (Hero/英雄)

       กล่าวถึงยุคสงครามระหว่างรัฐ (ปี 475 - 221 ก่อนคริสตกาล) ประเทศจีนได้ถูกแบ่งออกเป็น 7 อาณาเขต นานนับทศวรรษที่แคว้นต่างๆ ได้ต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ ยังผลให้เหล่าประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ในฐานะผู้ครองรัฐที่แข็งแกร่งที่สุด ราชาแห่งรัฐฉินตกเป็นเป้าสังหาร ทำให้ต้องประกาศสอบหาจอมยุทธ์คู่ใจ ครั้นได้พบกับจอมยุทธ์นิรนามผู้เปี่ยมด้วยความสามารถถึงขั้นเอาชนะมือสังหารชั้นยอดได้ทั้ง 3 คน ก็ยังความสงสัยว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงใดหรือไม่จึงมายืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ เรื่องราวอบอวลไปด้วยตำนานแห่งความรัก ความจงรักภักดี และหน้าที่ ท่ามกลางการประลองด้วยเล่ห์เพทุบาย
       
       จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม จางอี้โหมว กลายเป็นบุคคลที่ต้องพูดถึงทุกครั้งที่สนทนาถึงภาพยนตร์จีน จาง สร้างวีรบุรุษ ซึ่งเป็นภาพยนตร์กำลังภายในเรื่องแรกของเขาภายใต้กระบวนการผลิตแบบฮอลลีวูด ทุ่มทุนสร้างกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นหนังจีนที่ใช้ทุนสร้างมากสุดในเวลานั้น และเป็นแรงฉุดตลาดภาพยนตร์จีนให้กลับมาคึกคักในระดับนานาชาติ ทันทีที่เข้าฉายในปี 2002 วีรบุรุษก็ได้รับการตอบรับอย่างสวยงาม นักวิจารณ์และผู้จัดมั่นใจในศักยภาพของหนังว่าสามารถทำเงินได้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่สามารถเปิดตัวเป็นอันดับหนึ่งในอเมริกาเหนือ มีรายรับกว่า 120 ล้านเหรียญสหรัฐในตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ดี หนังเรื่องนี้ถูกวิจารณ์ว่าไม่ใคร่ใส่ใจในส่วนของการ “เล่าเรื่อง” เท่าที่ควร แม้ว่าจะคว้าถึง 14 รางวัลจากภาพยนตร์ทองคำฮ่องกงในปี 2003 ก็ตาม
       
       อันดับที่ 9 ไซอิ๋ว ศึกเทพอสูรสะท้านฟ้า (大话西游หรือ A Chinese Odyssey Duology)

       ภาพยนตร์ตลกฮ่องกง กำกับโดย Jeffrey Lau มี Stephen Chow, Karen Mok และ Man Tat Ng แสดงนำ ภาพยนตร์แบ่งออกเป็นสองภาค คือ “กล่องแสงจันทร์” (月光宝盒หรือ pandora‘s box)”กับ “เกือกบุพเพ” (仙履奇缘 หรือ Cinderella )Jeffrey และ Stephen ใช้พล็อตหลักจากหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนอย่าง “ บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก” (西游记หรือ Journey to the west) ซึ่งแต่งขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1590 ช่วงราชวงศ์หมิง ประพันธ์โดย หวู่ฉิงเอิน กล่าวถึงเรื่องราวการเดินทางไปยังชมพูทวีป (อินเดีย) เพื่ออัญเชิญคัมภีร์พระพุทธศาสนาของพระเสวียนจั้ง (พระถังซัมจั๋ง) โดยมีสัตว์ 4 ตัวเป็นเพื่อน ได้แก่ วานรซุนวู่คง (ซุนหงอคง) สุกรจูปาเจี้ย (จูกังเลี่ย หรือ ตือโป๊ยก่าย) ปลาซาเหอซ่าง (ซัวเจ๋ง) และเสี่ยวป๋ายหลง (ม้ามังกรขาว) คณะศิษย์อาจารย์ทั้ง 5 ใช้เวลา 14 ปี ผจญเภทภัยเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดประการ
       
       เมื่อครั้งเปิดตัวในปี 1995 ไม่มีใครคาดคิดว่าหนังเรื่องนี้จะกลายเป็นภาพยนตร์อมตะเหนือการเวลา แต่เพราะจุดเด่นในการนำความรัก การเดินทาง และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ภายหลังเปิดตัวได้ 3-5 ปี หนังเรื่องนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในหมู่วัยรุ่น สำนวนและรูปประโยคที่ตัวละครใช้ได้ถูกหยิบยืมมาใช้อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่นักวิชาการเริ่มจัดหนังเรื่องนี้เป็นงานชิ้นเอกของ “การถอดรื้อหลังสมัยใหม่” (Post-modern deconstructionist classics) ทว่า เมื่อมองจากยุคปัจจุบันหลายคนอาจตำหนิในเรื่องเทคนิคการถ่ายทำที่ดูล้าสมัย แต่กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันน่าตื่นตาเพียงไรในยุคที่ยังไม่สามารถดาว์นโหลดหนังได้ทางอินเตอร์เนต
       
       อันดับที่ 8 สองคนสองคม (无间道หรือ Infernal Affairs)

       ภาพยนตร์ฮ่องกงแนวแอ็คชั่น ดราม่า ออกฉายในปี 2002 กำกับโดย แอนดริว เลา และ อลัน มักเหลียงเฉาเหว่ย, เฉินฮุ้ยหลิน ตีแผ่วงการตำรวจอย่างถึงแก่น ผ่านการปะทะกันของมาเฟียหานเซิน (แสดงโดย เจิ้งจื่อเหว่ย) และสารวัตรหวง (แสดงโดย หวงซิวเซิน) โดยมีสายสืบจากผ่ายตำรวจ คือ เหริน (แสดงโดย เหลียงเฉาเหว่ย) และสายสืบจากฝ่ายมาเฟีย (แสดงโดย หลิวเต๋อหัว) เป็นตัวดำเนินเรื่อง สายสืบทั้งคู่ได้พบปะกันโดยที่ไม่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างก็เป็นสายให้ฝ่ายตรงข้าม ต่อมาจึงได้เอะใจ และหักเหลี่ยมเฉือนคมกัน โดยที่ต้องปิดบังสถานะที่แท้จริงของตัวเอง
       
       ด้วยเรื่องราวที่คลาสสิคหักมุม ทำให้ผู้ชมต้องประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้ง คับคั่งไปด้วยนักแสดงคุณภาพ ส่งผลให้ สองคนสองคม เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในฮ่องกงและทุกประเทศที่เข้าฉาย รวมทั้งประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาด้วย โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์มาเฟียฮ่องกงที่ดีที่สุด มีชั้นเชิงที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี นับจาก โหด เลว ดี (A Better Tomorrow ) หนังเรื่องนี้ได้รับประกันคุณภาพอย่างมากมาย อาทิ 4 รางวัลชนะเลิศ จากภาพยนตร์ฮ่องกงยอดเยี่ยมครั้งที่ 22 6 รางวัลชนะเลิศจากม้าทองคำครั้งที่ 40 5 รางวัลชนะเลิศจากดอกชงโคทองคำ ครั้งที่ 8 นอกจากนี้ เพราะบทอาชญากรที่ชาญฉลาดทำให้ ฮอลลีวูดต้องนำมาทำซ้ำในรูปของ “The Departed” กำกับโดยมาร์ติน เสกาตส์ ซึ่งต่อมาได้รับรางวัลวิช่วลแอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม และรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากออสการ์ ในปี 2007
       
       อันดับที่ 7 เสือซุ่ม มังกรซ่อน (卧虎藏龙 หรือ Crouching Tiger, Hidden Dragon)

       เสื่อซุ่ม มังกรซ่อน เป็นสุภาษิตจีน หมายความถึง บุคคลมีความสามารถแต่เก็บตัวหรือไม่ถูกค้นพบ ภาพยนตร์ที่กำกับโดยลูกครึ่งจีนอเมริกันอย่างอังลีเรื่องนี้ จึงเป็นการกล่าวถึงจอมยุทธ์หลี่มู่ป๋าย (แสดงโดย โจวเหวินฟา) บรรลุธรรมต้องการปลีกวิเวก จึงมอบหมายให้หยูซิ่วเหลียน (แสดงโดย หยางจื่อฉง) ส่งดาบคู่ใจส่งไปยังเมืองหลวง แทนสัญลักษณ์อำลาวงการ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ดาบกลับตกไปอยู่ในมือของหวางเหวินหลง (แสดงโดย จางจึหยี) หญิงสาวดุดันเอาแต่ใจเสียก่อน เรื่องราวดำเนินสลับไปมาระหว่างความแค้นที่รอวันชำระกับหนทางแห่งการดับทุกข์ด้วยการละโทสะวางอุเบกขา ทั้งสอดแทรกความรักที่ต้องจบลงด้วยการพลีชีพ
       
       นับแต่เข้าฉายในปี 2000 เสือซุ่ม มังกรซ่อน กวาดรายได้จากตั๋วที่ขายในอเมริกาเหนือมีมากกว่า 130 ล้านเหรียญสหรัฐ และดันจางจึหยี “โกอินเตอร์” ทั้งได้รับการรับประกันคุณภาพจากตะวันตกด้วย 4 รางวัลออสการ์ในปี 2001 ในทางประเทศจีนนั้น ผลงานกำกับของหลี่อัน นอกจากจะได้รับการยกย่องเรื่องเสื้อผ้า การแต่งกาย เทคนิคถ่ายทำ และเพลงประกอบแล้ว การทำประเด็นถวิลหาความสันโดษของจอมยุทธ์ให้ชัดขึ้น ยังเป็นจุดเด่นของเขาอีกด้วย แม้บางส่วนจะมองว่าทักษะการแสดงและการใช้ภาษาที่ยังไม่ตรงใจเท่าที่ควรเมื่อเทียบชั้นกับเจ้าพ่อวงการกำลังภายในอย่างเหลียงหยูเชิงหรือจินยงก็ตาม
       
       อันดับที่ 6 วันที่หัวใจรักกล้าตัดขอบฟ้า (阿飞正传หรือ Days of Being Wild)

       บางคนมองว่าชื่อ阿飞正传 มาจากหนังสือเรื่อง阿Q正传 (ประวัติจริงของอาคิว) ที่หลู่ซวิ่นเขียนขึ้นมาเพื่อให้ชาวจีนหันมาตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตนเองในขณะที่บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย ทว่า วันที่หัวใจรักกล้าตัดขอบฟ้าซึ่งกำกับและเขียนบทโดยเจ้าพ่อหนังอาร์ทจากเกาะฮ่องกง หว่องกาไว (หวังเจียเว่ย) เข้าฉายในปี 1990 นี้ กลับเป็นการพยายามพูดเรื่องถิ่นฐานที่ตัวละครอาศัยอยู่และผูกพัน โดยมียกไจ๋ (แสดงโดย เลสลี่ จาง) หนุ่มหน้าตาดี คารมเยี่ยม มีรถเก๋งขับ อยู่แฟลตส่วนตัว เป็นตัวเดินเรื่อง ด้วยคุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนี้ ทำให้ผู้หญิงหลายคนหลงรักไม่รู้ลืม ไม่ว่าจะเป็นโซวไหล่เจิน (แสดงโดย จางม่านอวี้) พนักงานขายน้ำในสนามกีฬา หรือมี่มี่ (แสดงโดย หลิวเจียหลิง) นักเต้นในไนท์คลับ แต่เพราะเขาคิดเสมอว่าตัวเองเป็นนกไร้ขา ต้องการมีชีวิตอิสระ ที่หัวใจเรียกร้องให้ “บิน” ไปตลอดชีวิต หรือบางทีอาจจะตายไปแล้ว โดยไม่เคยบินไปไหน จึงไม่พร้อมมีพันธะในความสัมพันธ์กับใครทั้งสิ้น ตรงกันข้ามกับตำรวจหนุ่ม (แสดงโดย หลิวเต๋อหัว) ที่มีความฝันที่จะเป็นกะลาสีเรือ แต่เพราะมีแม่ที่ต้องดูแล เขาจึงเลือกใช้ชีวิตอยู่ในโลกของความจริง และพร้อมที่เป็นกำลังใจให้ใครก็ตามโดยไม่คาดหวัง คล้ายกับแดนนี่ (แสดงโดย จางเซียะโหย่ว) ที่เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะแสดงความรักโดยไม่ยัดเยียดและถือครอง
       
       ความแปลกแยกของเนื้อหา การเจาะเน้นเรื่องราว ของผู้คนยุคปัจจุบัน ที่อยู่ด้วยความสับสน และเปลี่ยวเหงา ภาวะจิตใจ ที่ไร้การยึดเหนี่ยวและการค้นหาตัวตน คือจุดเด่นของหว่องกาไว จึงทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลอาทิ นักแสดงยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากการประกาศรางวัลภาพยนตร์ฮ่องกง ครั้งที่10 ในปี 1991 และถูกจัดให้เป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของฮ่องกงหลายครั้ง นอกจากนี้ การกำกับการแสดงของเขา ผสมฝีมือการกับภาพของคริสโตเฟอร์ ดอยล์ เป็นเอกลักษณ์ที่พบในภาพยนตร์ของเค้าทั้งคู่อีกหลายเรื่องต่อมาไม่ว่าจะเป็น Chungking Express, Ashes of Time, Fallen Angels , Happy Together , In the Mood for Love และ "2046" ที่มีธงไชย แมคอินไตย์ ร่วมแสดงด้วย
       
       อันดับที่ 5 อาดูรแห่งแผ่นดิน (悲情城市หรือ A City of Sadness)

       ควบคุมการสร้างโดยโหวเซี่ยวเสียน ปรมาจารย์จอเงินแห่งไต้หวัน เข้าฉายในปี 1989 โหวใช้ศิลปะการแสดงแบบเรียบง่ายแต่ทรงพลังในการเล่าเรื่องเหตุการณ์ความตระหนกสีขาว (白色恐怖หรือ White Terror) ในยุคก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ไต้หวัน ผ่านการฉายภาพโศกนาฏกรรมของครอบครัวหนึ่งที่ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างคนท้องถิ่นไต้หวันและรัฐบาลคณะชาติจากจีนใหญ่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อสะท้อนผลกระทบของเหตุการณ์ที่มีต่อปัจเจกชนหรือคนกลุ่มเล็กๆ อันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่พูดถึงเหตุการณ์ 28/2 ในปี 1947 ที่มีบรรดา นักศึกษา ทนายความ แพทย์ ผู้นำชุมชน ถูกสังหารหมู่ไปนับหมื่นคน ส่วนที่เหลือหนีกระเซอะกระเซิงเข้าป่า บ้างถูกจับและจับกุมคุมขังอยู่จนกระทั่งกลางยุค 80
       
       นักวิเคราะห์หนังเจอรี่ ไวท์ กล่าวว่า จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ คือ เทคนิคการเสกโศกนาฏกรรมจากความว่างเปล่า อันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของโหวเซี่ยวเสียน เขาใช้การส่งสัญญาณ บอกใบ้ แก่คนดูผ่านฝีภาพยาว (long take) บ้าง ภาพวิถีไกล (long shot) ของตัวเมืองรกร้างบ้าง เพื่อแสดงความวิปโยคของภาวะสงครามกลางเมืองแทนที่เสียงกระสุนหรือกองเลือด ทำให้คนดูอาจขาดอารมณ์ร่วม และถูกจัดวางในฐานะผู้สังเกตการณ์ที่นิ่งสุขุมเท่านั้นภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดรางวัลสิงโตทองคำ (The Golden Lion) พร้อมกับรับรางวัล UNESCO จากงานเทศกาลหนังนานาชาติเวนิส ( Venice International Film Festival) ในปี 1989 นับเป็นภาพยนตร์ภาษาจีนเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้
       
       อันดับ 4 หนึ่งหนึ่ง (一一หรือ A One and a Two)

       ภาพยนตร์ดราม่าไต้หวันจากผลงานการกำกับของเอ็ดเวิร์ด ยาง ในปี 2000 เล่าเรื่องราวของครอบครัวชนชั้นกลางแห่งไทเป 3 ช่วงอายุคน คือ ช่วงปลาย ช่วงกลาง และช่วงต้น ที่ต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยด้วยปัญหาที่แตกต่างกันออกไป ผ่านตระกูลเจียนซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 5 คน คือ คุณย่าที่ต้องเผชิญกับความร่วงโรยของวัย พ่อและแม่ที่ต้องเผชิญกับภาระหน้าที่การงานและสมานความสัมพันธ์ครอบครัว ลูกสาวและลูกชายที่ต้องเผชิญกับภาระการเรียน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างครูและเพื่อนฝูง หนังดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆ จนดูเหมือนว่าจะขาดจุด “climax” ไป ราวกับการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
       
       การใช้ตัวหนังบอกเล่าทัศนคติของตัวเองที่มีต่อผู้คนด้วยความเป็นกลาง ไม่พิพากษาตัดสิน ส่งผลให้ยาง ได้รับรางวัลมากมายจากทั่วโลก อาทิ รางวัลกำกับยอดเยี่ยม จากเทศกาลหนังคานส์ ในปี 2000 รางวัลภาพยนตร์ต่างชาติยอดเยี่ยมจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์ฝรั่งเศส ในปี 2001 รางวัลจากสมาคมวิจารณ์ภาพยนตร์ลอสแองเจลิส ในปี 2000 และรางวัลจากวงการณ์วิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์ค ในปี 2000 และนอกจากจะถูกจัดอันดับเป็นหนัง 1 ใน 10 ภาพและเสียงยอดเยี่ยมในรอบ 25 ปีแล้ว หนึ่งหนึ่งยังได้รับการกล่าวขานในฐานะภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปี 2001 จากหลายสำนักพิมพ์ อาทิ USA Today, the New York Times, Newsweek and Film Commentและ the British Film Institute's magazine ในปี 2002
       
       อันดับ 3 หลายแผ่นดิน แม้สิ้นใจ ก็ไม่ลืม (霸王别姬หรือ Farewell My Concubine)

       ภาพยนตร์ที่เข้าฉายในปี 1993 เรื่องนี้ใช้ชื่อเดียวกับการแสดงอุปรากรจีน (京剧หรือ Peking Opera ) ชุดหนึ่ง เกี่ยวกับการรบเมื่อ 202 ปีก่อนคริสตกาล การสถาปนาราชวงศ์ฮั่น และศาลาโบตั๋น โดยปรับบทจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Lilian Lee อันเป็นงานเขียนต้องห้ามของพรรคคอมมิวนิสต์ กล่าวถึงเรื่องราวชีวิตที่ขึ้นลงของ 2 นักแสดงอุปรากรจีนชายคือ เฉิงเตี้ยอี้ (แสดงโดย เลสลีจาง) ที่ได้รับการฝึกฝนให้รับบทเป็นตัวนาง กับต้วนเสี่ยวโหลว (แสดงโดย จางเฟิงอี้) เพื่อนรุ่นพี่ที่คอยปกป้องเขามาตั้งแต่เด็ก พร้อมปมความสัมพันธ์แบบสามเส้าเมื่อมีตัวละครนางโลมจูเสียน (แสดงโดย กงลี่) เพิ่มขึ้นมา ภาพยนตร์จบลงที่โศกนาฎกรรมจากความตายของเฉิงเตี้ยอี้ที่ใช้ดาบเชือดคอตัวเอง
       
       นอกจากการนำเสนอห้วงวันเวลาที่อลหม่านของสังคมและการเมืองระหว่างปี 1920 ถึง1970 นับแต่ยุคสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง การพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น การโค่นล้มพรรคก๊กมินตั๋งโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผ่านยุคการปฏิวัติทางวัฒนธรรมที่งิ้วกลายเป็นสิ่งต้องห้าม จนมาถึงยุคปัจจุบัน เรื่องราวความรักที่ผิดจารีตประเพณีซึ่งหาได้ยากยิ่ง ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นทั้งเพชรยอดมงกุฎของวงการหนังจีน และเป็นภาพยนตร์ภาษาจีนเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ประจำปี 1993 นับเป็นความภาคภูมิใจของผู้กำกับชื่อก้อง เฉินข่ายเก๋อ
       
       อันดับ 2 รอวันรัก…3 หัวใจ (小城之春หรือ Spring in a Small Town)

       ผลงานเรื่องล่าสุดของ เถียนจวงจวง และทีมผู้สร้างเสือซุ่ม มังกรซ่อน กำกับโดย เฟ่ยมู่ เข้าฉายในปี 1984 อิงจากเรื่องราวของหลี่เทียนจี้ ถ่ายทอดความรักสามเส้า บอกเล่าความสับสนในมิตรภาพระหว่างเพื่อน การโหยหาคนรักที่ใฝ่ฝัน และบทบาทหน้าที่ทางสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ณ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง แม้ว่าจะปราศจากโครงเรื่องที่ซับซ้อน แต่ก็ได้รับการชื่นชมว่าตัวละครสามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกในสถานการณ์ที่เปราะบางออกมาได้เป็นอย่างดี และถูกยกย่องเป็นหนังภาษากวีรุ่นบุกเบิก
       
       ภาพยนตร์ได้รับรางวัลทั้งในและต่างประเทศ เช่น ได้รับยกย่องว่าเป็นหนังอมตะตลอดกาล จากคณะกรรมการภาพยนตร์จีน ได้รับยกย่องว่าเป็นหนังจีนที่ดีที่สุดที่เคยสร้างมา จากสมาคมจัดอันดับภาพยนตร์ฮ่องกง ในปี 2005 ถูกจัดเป็น 1 ใน 10 สุดยอดหนังจีนจากหนังสือพิมพ์แคนนาดา Winnipeg Free Press ในปี 2012 หรือแม้แต่ผู้กำกับชื่อก้อง จางอี้โหมวก็ยังกล่าวว่าเป็นหนังที่เค้าชื่อชอบที่สุด
       
       อันดับ 1 แม่น้ำฤดูใบไม้ผลิไหลสู่ทิศตะวันออก (江春水向东流หรือ A Spring River Flows East)

       ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างในปี 1947 เขียนบทและกำกับโดยไช่ฉู่เซิง และเจิ้งจุนลี่เรื่องราวยาวกว่า 3 ชั่วโมงถูกแบ่งเป็นสองตอน คือ พรัดจากแปดปี (八年离乱) กับวันฟ้าสว่าง (天亮前后) กล่าวถึงเรื่องราวของหวางซู่เฟิน พนักงานโรงงานทอผ้าพบรักกับอาจารย์หนุ่มจางจงเหลียง ซึ่งสอนอยู่ที่การศึกษานอกโรงเรียน ทั้งคู่ตกลงใจแต่งงานกัน ทว่า เหตุการณ์ต่อต้านญี่ปุ่น 813 ทำให้ครอบครัวแตกกระสานซ่านเซน จางจงเหลียงต้องไปช่วยผู้บาดเจ็บที่เซี่ยงไฮ้ ส่วนหวางซู่เฟินพาลูกชายและแม่สะใภ้กลับบ้านนอก พ่อสะใภ้ถูกทหารญี่ปุ่นทารุณกรรมจนเสียชีวิต หวางซู่เฟินจึงตัดสินใจพาแม่สะใภ้กลับเซี่ยงไฮ้เพื่อรอคอยการกลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง แม้จะต้องอยู่อย่างรันทดเพียงใดก็ตาม ในขณะที่พระเอกซึ่งถูกทหารญี่ปุ่นขับไล่ไปอยู่ฉงชิ่ง ด้วยสภาพแวดล้อมที่ยั่วยวน ตกเป็นสามีจำแลงของหวางลี่เจิน ลูกสาวโรงงานส่งออก ต่อมาจางจงเหลียงย้ายไปประจำที่สำนักพิมพ์พี่เขยของหวางลี่เจิน พบกับหวางซู่เฟินที่มาเป็นพนักงานรับใช้ที่บังเอิญ แต่เพราะความโลภในสมบัติจึงไม่ยอมรับในสถานะและกลบมาใช้ชีวิตครอบครัวเหมือนกัน ทำให้หวางซุ่เฟินเศร้าโศรกเสียใจจนปลิดชีวิตลงที่แม่น้ำแยงซี
       
       ด้วยศิลปะในการผสมผสานเรื่องราวทางประวัติศาสตร์กับการถ่ายทอดโศกนาฏกรรมจากชีวิตจริง ผ่านการพรักพรากที่ปวดร้าวและกระแสคอรัปชั่นขายชาติในช่วงสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ณ เมืองเซี่องไฮ้ในยุคทศวรรษ 30 และ 40 ทำให้ภาพยนตร์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและฉายอยู่นานกว่า 3 เดือนทันทีที่ออกฉาย ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ กล่าวกันว่ามีผู้ชมมากว่า 700,000 คน และ เป็น 15 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเมือง


ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 ธันวาคม 2555

หน้า: 1 ... 458 459 [460] 461 462 ... 651