แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 455 456 [457] 458 459 ... 651
6841
  1. พระอาการ “ในหลวง” ดีขึ้น อาการบวมของพระชานุลดลง -ไม่เจ็บแล้ว!

       เมื่อวันที่ 4 ก.พ. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ความคืบหน้าพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังทรงมีพระปรอท(ไข้) ต่ำๆ ในบางช่วง เสวยได้น้อยลง ทรงอ่อนเพลีย และเจ็บพระชานุ(เข่า) ซึ่งแพทย์ได้ถวายพระโอสถเสวย รักษาอาการอักเสบของพระชานุ พร้อมกราบบังคมทูลขอให้ทรงงดพระราชกิจสักระยะหนึ่งนั้น คณะแพทย์รายงานผลการตรวจพระวรกายเมื่อคืนวันที่ 3 ก.พ.ว่า ไม่ทรงมีพระอาการเจ็บพระชานุข้างขวาแล้ว แต่ยังเจ็บพระชานุข้างซ้ายอยู่บ้างเมื่อเคลื่อนไหว จึงได้ถวายพระโอสถเสวยแก้อักเสบ ต่อมา วันที่ 4 ก.พ. พระองค์ยังทรงเจ็บพระชานุข้างซ้ายอยู่ คณะแพทย์จึงได้ขอพระราชทานถวายฉีดพระโอสถรักษาการอักเสบเข้าในข้อพระชานุข้างซ้าย
       
       ทั้งนี้ คณะแพทย์เผยด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังมีพระปรอทต่ำๆ การเต้นของพระหทัยและความดันพระโลหิตเป็นปกติ ยังมีพระอาการอ่อนเพลีย เสวยพระกระยาหารได้ดีขึ้น บรรทมได้ คณะแพทย์จะถวายพระโอสถเสวยรักษาการอักเสบของพระชานุข้างซ้ายต่อไป
       
       ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ก.พ. คณะแพทย์รายงานว่า ผลการตรวจพระโลหิตติดตาม พบว่า มีอาการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย และผลการตรวจพระวรกายปรากฏว่า พระอาการบวมของพระชานุลดลง ไม่มีพระอาการเจ็บพระชานุ อุณหภูมิพระวรกายลดลง การเต้นของพระหทัย การหายพระทัย และความดันพระโลหิตเป็นปรกติ พระอาการอ่อนเพลียลดน้อยลง เสวยพระกระยาหารได้ บรรทมได้ คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะฉีดรักษาการอักเสบร่วมกับพระโอสถเสวยรักษาพระชานุอักเสบต่อไปจนกว่าจะครบกำหนด
       
       2. ผู้สมัคร แห่ร้อง กกต.สั่งหยุดทำโพลผู้ว่าฯ กทม. เหตุชี้นำ ด้าน “มานิจ” ไขก๊อกนายกสภาฯ สวนดุสิต หลังรับไม่ได้สถาบันรับจ้าง รบ.จัดเสวนาฉีก รธน.!

       เมื่อวันที่ 3 ก.พ. สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่าใครนำใครตามในโค้งที่สอง โดยมีการถามว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะเลือกใคร ปรากฏว่า ร้อยละ 43.1 เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ขณะที่ร้อยละ 33.1 เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์
       
       ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย รีบออกมาคุยโวว่า มั่นใจว่า พล.ต.อ.พงศพัศชนะแล้ว หากตนวิเคราะห์ผิด จะงดให้สัมภาษณ์ 7 วัน
       
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงผลโพลที่ พล.ต.อ.พงศพัศ นำ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ว่า การทำโพลก็มีถูกบ้าง ผิดบ้าง และทำให้รู้ว่า ต้องทำงานกันหนัก พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ในการเลือกตั้งใหญ่พื้นที่ กทม.2 ครั้งที่ผ่านมา รวมทั้งการเลือกตั้งผู้ว่าฯ สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงสัปดาห์สุดท้าย โพลบอกว่า ปชป.แพ้ และการเลือกตั้งใหญ่ เอ็กซิทโพลก็บอกว่า ปชป.แพ้ แต่ปรากฏว่า ปชป.ได้เสียงข้างมากใน กทม.
       
       ทั้งนี้ ได้มีผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หลายคน ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กกต.กทม.ให้สั่งระงับหรือว่ากล่าวตักเตือนไม่ให้โพลสำนักต่างๆ เผยแพร่ผลการสำรวจการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในทุกกรณี เพราะเป็นการสร้างกระแสและชี้นำให้ผู้สมัครบางคน
       
       อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ กกต.กทม.จะพิจารณาเรื่องร้องเรียนดังกล่าว ปรากฏว่า ได้มีผลโพลของสำนักต่างๆ ทยอยออกมาอีก โดยกรุงเทพโพลล์ เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนช่วงก่อนโค้งสุดท้ายศึกชิงชัยผู้ว่าฯ กทม.เมื่อวันที่ 6 ก.พ. โดยถามว่า หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง จะเลือกใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. พบว่า อันดับแรกคือ พล.ต.อ.พงศพัศ ร้อยละ 35.2 รองลงมาคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ร้อยละ 28.3 ขณะที่อีกร้อยละ 24.7 ยังไม่ตัดสินใจ
       
       วันต่อมา(7 ก.พ.) อีก 2 สำนัก ก็เผยผลโพลอีก เริ่มด้วยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต สำรวจพบว่า ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ที่คนกรุงเทพฯ จะเลือกอันดับ 1 คือ พล.ต.อ.พงศพัศ ร้อยละ 42.59 อันดับ 2 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ร้อยละ 34.31 ขณะที่สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ สำรวจพบว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ ร้อยละ 42.0 เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ร้อยละ 33.5
       
       ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง พูดถึงการทำโพลของสำนักต่างๆ ว่า กฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ได้ห้ามทำโพล กกต.จึงไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งห้ามหรือสั่งระงับได้ มีเพียงประกาศ กกต.ที่มีลักษณะขอความร่วมมือว่าไม่ควรเปิดเผยผลโพลในช่วง 7 วันก่อนเลือกตั้ง ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ที่บัญญัติห้ามไว้อย่างชัดเจน และมีโทษทางอาญาหากมีการฝ่าฝืน
       
       ทั้งนี้ ได้มีนักวิชาการบางคนยืนยันว่า โพลสามารถชี้นำประชาชนได้ โดยนางสิริพรรณ นกสวน สวัสดี รองศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า โพล ในแง่จิตวิทยาเป็นการชี้นำประชาชนอยู่แล้ว เพราะคนจำนวนหนึ่งอยากเลือกคนที่ชนะ อยากอยู่ข้างคนที่ชนะ แต่ไม่ได้เป็นตัวแปรในการชี้ขาดการเลือกตั้ง และว่า ไม่แน่ใจว่า ประชาชนที่โพลไปถามเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เป็นตัวแทนของคน กทม.หรือไม่ หากโพลไม่ได้ถามคนที่บ้านมีรั้ว ซึ่งเป็นชนชั้นกลางที่ไม่ได้เป็นชนชั้นกลางใหม่ ผลโพลที่ออกมาว่า พล.ต.อ.พงศพัศ คะแนนนำ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ อาจไม่สะท้อนความเป็นจริง “คนที่จะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ คือแฟนพันธุ์แท้ของ ปชป.ที่จำนวนหนึ่งอาจจะเป็นพลังเงียบที่โพลเข้าไม่ถึง หรือที่เรียกว่า ‘คนบ้านมีรั้ว’ หากคนเหล่านี้ออกมาใช้สิทธิกันเยอะ อาจจะทำให้โพลของสำนักต่างๆ พลิกได้”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำโพล โดยเฉพาะของสวนดุสิตโพล ว่ารับจ้างรัฐบาลมาทำหรือไม่ เนื่องจากนายมานิจ สุขสมจิตร ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2556 โดยนายมานิจเผยเหตุที่ลาออก ทั้งที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวมานานกว่า 30 ปีว่า เพราะตนมีจุดยืนต่างกับทางมหาวิทยาลัย ที่ขณะนี้ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งตนคิดว่ามหาวิทยาลัยไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะการเมือง มาแล้วก็ไป แต่มหาวิทยาลัยต้องอยู่กับทุกรัฐบาล พร้อมเผยว่า ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตนตัดสินใจลาออก คือเรื่องการทำโพล ที่ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหู แต่ไม่ขอลงรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร
       
       นายมานิจ ยังยกตัวอย่างกรณีที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิตเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งตนรับไม่ได้ว่า คือการที่มหาวิทยาลัยไปรับจัดทำ 108 เวที เสวนาแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการปลุกระดมให้มีการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้ออกมาพูดว่า จะให้มีการเกณฑ์คนมาฟัง พร้อมระบุว่า คนโง่ไม่ต้องมาร่วมเวทีเสวนา ซึ่งเรื่องนี้ตนคิดว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีอยู่แล้ว เป็นการป้องกันไม่ให้โกงชาติ โกงแผ่นดิน
       
       3. “สุเทพ” ส่งทนายฟ้อง “ธาริต” หมิ่นฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพัก ยัน ไม่เคยทุจริต ด้าน “ธาริต” ส่ออุ้ม “พงศพัศ”!

       ความคืบหน้าปัญหาโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) จำนวน 396 แห่งมูลค่า 5,818 ล้านบาท เกิดความล่าช้าในการก่อสร้าง จนคาดว่าจะสร้างเสร็จไม่ทันตามสัญญาที่จะสิ้นสุดในวันที่ 14 มี.ค.นี้ โดยบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด คู่สัญญา ได้ขอขยายสัญญามาแล้วถึง 3 ครั้งนั้น เมื่อวันที่ 4 ก.พ. คณะกรรมการติดตามการดำเนินการโครงการดังกล่าว ที่มี พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน ได้ประชุมพร้อมเชิญนักกฎหมายและบริษัทคู่สัญญามาให้ข้อมูล ก่อนเปิดแถลงว่า บริษัทคู่สัญญายืนยันว่า การก่อสร้างจะเสร็จไม่ทันกำหนดในวันที่ 14 มี.ค.แน่นอน และตำรวจมีหลักฐานว่ามีบริษัทรับเหมามารับช่วงต่อจากบริษัท พีซีซีฯ หลายแห่ง ดังนั้น คณะกรรมการมีมติเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยกเลิกสัญญา “หลังจากนี้จะหารือกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ตัดสินใจว่า ต้องการแบบปลอดภัย 100% คือรอให้หมดสัญญาก่อนบอกยกเลิก หรือบอกเลิกแบบเร็ว ตรงนี้จะมีข้อต่อสู้ เพราะเขายังเหลือเวลาอยู่ โดยปัญหาสำคัญเป็นเรื่องสัญญา ที่สัญญาเดียวทั่วประเทศและห้ามจ้างช่วงต่อ”
       
       วันเดียวกัน(4 ก.พ.) นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล ประธานกรรมการบริษัทในกลุ่มพีซีซีฯ ได้เข้าชี้แจงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถึงสาเหตุที่การก่อสร้างโรงพักล่าช้าว่า บริษัทเคยทำหนังสือร้องเรียนถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เพื่อขอให้แยกประมูลการก่อสร้างโครงการดังกล่าวเป็นแบบรายภาค ไม่ใช่รวมสัญญา ส่วนการจ้างเหมาช่วง นายพิบูลย์ยืนยันว่า ไม่ใช่ข้อห้ามตามสัญญา แต่ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าจ้าง นอกจากนี้การปฏิบัติงานภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของบริษัทอย่างยิ่ง เช่น ขั้นตอนตรวจรับงานจนถึงการเบิกจ่าย ใช้เวลานานมาก จึงส่งผลให้การก่อสร้างล่าช้าออกไป
       
       ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) รีบแถลงอนุมัติให้มีการสอบสวนเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ โดยบอก อาจเข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้วประมูล ทั้งนี้ นายธาริต ได้ทำหนังสือเชิญอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) 3 คน เข้าให้ปากคำเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง โดยเชิญ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เข้าให้ปากคำในวันที่ 11 ก.พ. ,พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ วันที่ 13 ก.พ. และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี วันที่ 15 ก.พ. รวมทั้งจะเชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าชี้แจงด้วย
       
       ขณะที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นหนังสือให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัท พีซีซีฯ ข้าราชการ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง ที่เกิดปัญหาผู้รับเหมาะก่อสร้างไม่ทัน และละทิ้งงาน ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย
       
       ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้เปิดแถลง(7 ก.พ.) โดยปฏิเสธว่า ไม่ได้ทุจริตออกคำสั่งให้มีการประมูลจัดจ้างโครงการก่อสร้างโรงพักในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายเดียว และกีดกันเอกชนรายอื่น ที่อาจเข้าข่ายผิดตามกฎหมายฮั้วประมูล และว่า ได้มอบหมายให้ทนายความไปยื่นฟ้องนายธาริตต่อศาลอาญา ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาแล้ว
       
       ทั้งนี้ นายสุเทพ เล่าว่า โครงการดังกล่าวเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดย ครม.ขณะนั้นมีมติเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2550 อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ โดยให้ สตช.และบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ร่วมกันก่อสร้าง แต่คณะกรรมการที่ สตช.ตั้งขึ้นเห็นว่า หากทำตามมติ ค่าใช้จ่ายในโครงการจะสูงถึง 17,000 กว่าล้าน สตช.จึงเสนอ ครม.พิจารณาใหม่ว่า ขอใช้วิธีตั้งงบประมาณประจำปีตามปกติ ซึ่งจะใช้วงเงิน 6,672 ล้านบาท และว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ และตนดูแล สตช.จึงอนุมัติและเสนอ ครม.พิจารณาในวันที่ 17 ก.พ.2552 จากนั้น สตช.ที่มี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็น ผบ.ตร.ได้ทำหนังสือถึงตน เสนอแนวทางจัดจ้างโครงการดังกล่าว โดยขอให้ส่วนกลาง โดย สตช.จัดจ้างแบบรวมรายการครั้งเดียว และแยกเสนอรายการเป็นรายภาค 1-9 และให้กองพลาธิการและสรรพาวุธ เป็นผู้ดำเนินการ และได้ให้ความเห็นชอบในวันที่ 9 มิ.ย.2552 หลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องที่ สตช.ไปดำเนินการประกวดราคา “โดยส่วนตัวเชื่อว่า พล.ต.อ.พัชรวาทไม่เกี่ยวข้อง และส่วนตัวมีความเชื่อถือ พล.ต.อ.ปทีป การประมูลจัดซื้อจัดจ้างไปสิ้นสุดลงที่สมัย พล.ต.อ.วิเชียร ได้ยืนยันว่าทำถูกต้อง จึงเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร.จะต้องบริหารสัญญา เชื่อว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคประชาธิปัตย์”
       
       ขณะที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ตั้งข้อสังเกตการทำงานของนายธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีดีเอสไอว่า “น่าแปลก นายาริตจะเรียก 3 อดีต ผบ.ตร.สมัย ปชป.เป็นรัฐบาลมาให้ปากคำ แต่กลับไม่เรียก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เข้าให้ปากคำ ทั้งที่เป็นผู้กำกับบริหารสัญญาโครงการนี้ 1 ปีกว่า ถือว่านานที่สุดในบรรดาอดีต ผบ.ตร. หรือว่ากลัวคนนามสกุลดามาพงศ์ และเหตุใดจึงไม่เรียก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.มาให้ปากคำ” <.b>
       
       นายชวนนท์ ได้เรียกร้องให้นายธาริตเรียก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคเพื่อไทย มาให้ปากคำด้วย เพราะมีเอกสารระบุชัดเจนว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ขณะเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นประธานกรรมการจัดทำร่างทีโออาร์โครงการดังกล่าว เพื่อพิสูจน์ว่าดีเอสไอไม่ได้ใช้คดีนี้กลั่นแกล้งหรือหวังผลทางการเมือง นายชวนนท์ ยังจับพิรุธรัฐบาลนี้ด้วยว่า “หากรัฐบาลนี้เห็นว่า การก่อสร้างดังกล่าวไม่เป็นไปตามสัญญา เหตุใดจึงไม่ยกเลิกสัญญา แต่กลับอนุมัติให้ต่ออายุสัญญาถึง 3 ครั้ง รวม 180 วัน หากไม่ต่อสัญญา บริษัท พีซีซีฯ จะต้องจ่ายค่าปรับวันละ 5.8 ล้านบาท รวม 180 วัน ทำให้รัฐเสียหายถึง 1,026 ล้านบาท อยากถามว่า อย่างนี้ฮั้วกันหรือไม่ ใครในรัฐบาลหรือในพรรคเพื่อไทยเอื้อต่อการต่อสัญญาหรือไม่”
       
       ด้านนายธาริต ส่งสัญญาณอุ้ม พล.ต.อ.พงศพัศ โดยบอกว่า ที่บอกว่า พล.ต.อ.พงศพัศต้องรับผิดด้วย เพราะทำทีโออาร์นั้น อยากบอกว่า การกระทำหลังจากอนุมัติให้รวมสัญญา ซึ่งเป็นต้นตอของความผิดนั้น เป็นหน้าที่ของข้าราชการประจำที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อ “การเหมาเข่งว่า ผิดหมดคงไม่ใช่ เพราะถ้าไม่รวมสัญญา ซึ่งเป็นต้นตอของความผิดแล้ว พวกเขาจะทำผิดได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องรอดูตอนจบ บางทีพวกเขาเหล่านั้นอาจจะได้รับผลจากการอนุมัติสัญญากลายเป็นผู้เสียหายเช่นกัน”
       
       ขณะที่นายชวนนท์ ได้ออกมาย้ำอีกครั้งว่า ความเสียหายของโครงการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง เกิดจาก 1.รัฐบาลนี้ไม่สามารถบริหารสัญญาการก่อสร้างให้เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาว่าจ้าง 2.รัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีการอนุมัติให้ต่อสัญญากับบริษัท พีซีซีฯ ถึง 3 ครั้ง ทำให้ไม่สามารถเก็บค่าปรับจากบริษัทดังกล่าวได้ 3.รัฐบาลไม่สามารถบริหารงานให้เป็นไปตามเงื่อนไข โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่สามารถส่งมอบพื้นที่การก่อสร้างโรงพักกว่า 30% ให้กับบริษัทตามเงื่อนไขการก่อสร้าง จึงเป็นเหตุให้บริษัทนำมาเป็นข้ออ้างขอต่อสัญญาและไม่จ่ายค่าปรับให้แก่ทางราชการ และ 4.ทีโออาร์ ซึ่งลงนามในปี 2552 โดย พล.ต.อ.พงศพัศ ระบุชัด ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้รับเหมา ไม่ว่าจะเป็นรายใดที่ได้รับการประมูล 15%
       
       4. โจรใต้ ลอบคาร์บอมบ์ จนท.ที่ยะลา ก่อนจ่อยิงซ้ำ ทำทหารดับ 5 สาหัส 1 ด้าน รบ.ส่งสัญญาณประกาศเคอร์ฟิว!
       
       เมื่อวันที่ 10 ก.พ. เวลาประมาณ 07.00น. คนร้ายได้ลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์บนถนนสายบ้านซาเมาะ-บ้านท่าธง ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา ส่งผลให้รถของเจ้าหน้าที่ทหารสังกัด ร้อย ร.15233 ฉก.ยะลา 12 ซึ่งขับผ่านจุดดังกล่าวถูกแรงระเบิดพังยับ ขณะที่เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 5 นาย ทราบชื่อคือ ส.อ.ธีรยุทธ บุญเตโช ,พลทหารอิสหะ บาโง๊ย ,พลทหารพงษ์เทพ ผักหมัด ,พลทหารทรงชัย สุวรรณมณี และพลทหารนุลดี รีเส็น นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บสาหัสอีก 1 นาย คือ จ.ส.ต.ชาตรี อุทาหรณ์ หัวหน้าชุด
       
        หลังตำรวจ สภ.ท่าธง อ.รามัน เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ คาดว่าน่าจะเป็นระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักประมาณ 50 กก. จุดชนวนด้วยรีโมตคอนโทรลที่คนร้ายติดตั้งไว้ในรถกระบะยี่ห้อมาสด้า สีเทา ติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม บฉ 6896 ปัตตานี ทั้งนี้ จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า เหตุเกิดขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 6 นาย เดินทางด้วยรถยนต์ 6 ล้อ ไปรับคนงานของฟาร์มตัวอย่าง เพื่อไปส่งที่ฟาร์มตัวอย่าง หมู่ 4 บ้านอูเป๊าะ ต.วังพญา อ.รามัน เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ คนร้ายซึ่งน่าจะซุ่มอยู่ข้างถนน ได้จุดชนวนระเบิดที่เชื่อมต่อกับรถกระบะคาร์บอมบ์ที่จอดไว้ริมถนน ส่งผลให้เกิดระเบิดขึ้นทันที แรงระเบิดทำให้รถของทหารพลิกคว่ำ จากนั้นได้มีคนร้ายอีกกลุ่มไม่ต่ำกว่า 6 คน แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ทหารพรานขับรถกระบะอีซูซูสีเขียว รุ่นดราก้อนอาย ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน มาจอดที่เกิดเหตุ แล้วลงจากรถไปจ่อยิงเจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 5 นาย จนเสียชีวิต ก่อนจะหยิบอาวุธปืนประจำกายของทหารทั้ง 5 นาย รวม 5 กระบอก หลบหนีไป
       
        เหตุระเบิดครั้งนี้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นฝีมือของกลุ่มนายอับดุลรอฮิง ดาอีซอ หรืออุสตาซรอฮิง อาซ่อง และนายมะดารี ตาเยะ พร้อมพวก ซึ่งเคลื่อนไหวก่อเหตุรุนแรงอยู่ในพื้นที่ สำหรับรถกระบะที่คนร้ายนำมาเป็นคาร์บอมบ์ คาดว่า เป็นรถของนายสมศักดิ์ ขวัญมา ครูโรงเรียนบ้านบาโง ต.ปานัน อ.มายอ จ.ปัตตานี ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต แล้วนำรถหลบหนีไปเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา
       
        ด้านรัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจะประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ แต่ยังไม่ทันได้ข้อสรุป ก็เกิดความขัดแย้งระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้(ผอ.ศปก.กปต.) ที่อยากให้ประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่เสี่ยง แต่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เห็นด้วย เพราะอยากให้ฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ว่าต้องการให้ประกาศหรือไม่
       
        ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่า กำลังคิดว่า ตรงไหนที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยแล้ว หรือโซนเขียว ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงแทน ตรงไหนอันตรายก็ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตรงไหนพื้นที่สีแดงหรืออันตรายมากให้ใช้เคอร์ฟิว เช่น อ.กรงปินัง จ.ยะลา และใน จ.ปัตตานี ร.ต.อ.เฉลิม ยังพูดเหน็บ พล.อ.อ.สุกำพล ด้วยว่า “ผมยังไม่ได้บอกว่า จะประกาศ ทีนี้ พล.อ.อ.สุกำพลฟิตเกินไป ผมฝากบอก พล.อ.อ.สุกำพลด้วยว่า ถ้าเก่ง ก็ไปขอนายกฯ มาทำหน้าที่แทนผม เพราะผมไม่ใช่ทหาร ผมเป็นตำรวจ... ถ้าเก่งจริงก็ไปขอนายกฯ มาทำหน้าที่แทนผม ผมจะกราบงามๆ 3 ที...”
       
        ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่า การจะประกาศเคอร์ฟิวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับที่ประชุม ศปก.กปต.ในวันที่ 15 ก.พ. หากมติที่ประชุมเห็นว่า มีความเหมาะสมก็ว่ากันไป ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว “ผมมีแค่หนึ่งเสี่ยงที่ดูแลในพื้นที่ภาคใต้ ตัดสินใจเพียงคนเดียวไม่ได้ ต้องพูดคุยกับหลายฝ่ายถึงความเหมาะสม แต่สิ่งสำคัญมากที่สุดคือ ต้องฟังคนที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ว่า จะเห็นด้วยกับการประกาศเคอร์ฟิวหรือไม่... หากไม่ฟังอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้”
       
        ขณะที่ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 บอกว่า หากรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว ก็พร้อมปฏิบัติตาม แต่คงไม่ต้องรวบรวมข้อมูลผลดีผลเสียในการประกาศเคอร์ฟิวเสนอที่ประชุม ศปก.กปต. เพราะทุกคนรู้ข้อมูลหมดแล้ว พล.ท.อุดมชัย ยังเผยข้อมูลที่สะท้อนว่า ร.ต.อ.เฉลิมรู้ไม่จริงด้วยว่า กรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิมระบุว่ามีแนวโน้มจะประกาศเคอร์ฟ้วในพื้นที่เสี่ยง เช่น อ.กรงปินัง จ.ยะลา และ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี นั้น ยืนยันว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่มีสถานการณ์อะไร มีความสงบเรียบร้อยมาไม่รู้กี่ปีแล้ว นานๆ จึงจะมีเหตุสักครั้ง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 กุมภาพันธ์ 2556

6842
มธ.เจ๋ง! ผลิตงานวิจัยคุณภาพ คว้า 11 รางวัล รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ 1 รางวัล รางวัลผลงานวิจัย 3 รางวัล รางวัลวิทยานิพนธ์ 5 รางวัล รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น 1 รางวัล และอีก 4 รางวัล จากรางวัลประเภทนักประดิษฐ์รุ่นใหม่จากสภาวิจัยแห่งชาติ
       
       มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สามารถคว้า 14 รางวัล จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2556 ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนางานวิจัย และเชิดชูเกียรติของนักวิจัยไทย ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ สังคม และเศรษฐกิจ เพื่อให้สามารถก้าวสู่เวทีงานวิจัยระดับโลกต่อไป โดยรางวัลที่โดดเด่นและสร้างชื่อเสียงที่สุด คือ รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ โดย รศ.ดร.ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับรางวัล นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ โดยมีผลงานวิจัยที่โดดเด่นทางด้านทฤษฎี กรอบความคิด วิธีวิทยาที่นิยมใช้กันในแวดวงรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพื่อเปิดทางเลือกให้กับการวิจัยค้นคว้าทางรัฐศาสตร์ให้แตกต่าง น่าสนใจ และหลากหลาย และยังเป็นผู้นำสกุลความคิด“หลังโครงสร้างนิยม” (Poststructuralism) เข้ามาใช้ในงานวิจัยตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
       
       "สิ่งที่ภูมิใจมากกว่ารางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ คือ สกุลความคิด “หลังโครงสร้างนิยม” ที่ผมนำมาใช้ในงานศึกษาวิจัยกว่า 10 ปี เริ่มได้รับการยอมรับในสังคมวิชาการไทย อีกทั้งสามารถทำให้วงวิชาการสังคมศาสตร์ของไทยเรามีทางเลือก เป็นการปะทะกันในเรื่องของกรอบความคิด แนววิเคราะห์ที่สามารถตั้งคำถามกับทุกอย่างเริ่มได้รับการยอมรับ แสดงให้เห็นว่าสังคมวิชาการของเราเปิดกว้างมากขึ้น" รศ.ดร.ไชยรัตน์กล่าว
       
       นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังได้รับรางวัลอื่นๆ อีกกว่า 13 รางวัล ได้แก่ รางวัลผลงานวิจัย 3 ผลงาน รางวัลวิทยานิพนธ์ จำนวน 5 รางวัล รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น จำนวน 1 รางวัล และได้รับรางวัลจากโครงการค่ายนักประดิษฐ์รุ่นใหม่ ประจำปี 2556 ภายในงานเดียวกันอีกจำนวน 4 รางวัล ได้แก่
1.รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2กลุ่มอุปกรณ์คนพิการ ผลงาน “รถเข็นคนพิการแบบปรับระดับสู่พื้นได้ (Lift Wheels)”
2.รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 กลุ่มอุปกรณ์คนพิการ ผลงาน “อุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยเอนกประสงค์”
3.รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3กลุ่มภัยพิบัติ ผลงาน “พาหนะสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก (Amphitike)” และ
4.รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว ผลงาน “ล่ามไทย-อังกฤษ สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่”


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 กุมภาพันธ์ 2556

6843
 เมื่อไม่กี่ปีมานี้กระแสของอาหารที่มีส่วนประกอบของโปรไบโอติกส์หรือจุลินทรีย์ซึ่งเป็นแบคทีเรียมีการพูดถึงกันอย่างมากโดยเฉพาะในแง่มุมของประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากงานวิจัยค้นพบและยืนยันถึงประโยชน์หลากหลายของการได้รับโปรไบโอติกส์ เช่น ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติลดอาการท้องผูก ป้องกันและรักษาภาวะท้องเสียโดยไปยับยั้งจุลินทร์หรือแบคทีเรียที่ไม่ดีที่ก่อให้เกิดโรค เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ลดการติดเชื้อไข้หวัด ลดระดับไขมันในเลือดโดยไปลดระดับของแอลดีแอลคอเลสเตอรอล ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เพิ่มการดูดซึมของวิตามินและแร่ธาตุ ลดการอับเสบภายในร่างกาย และในปัจจุบันยังมีการศึกษาอย่างต่อเนื่องในเรื่องของการนำมาใช้ในการรักษาผู้ที่มีโรคภูมิแพ้เรื้อรังและผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกผุกระดูกพรุน
       
       มนุษย์เรามีการนำเอาโปรไบโอติกส์มาใช้ในอาหารมาเป็นเวลานานกว่าหลายร้อยปีในหลายประเทศทั่วโลก อาหารที่มีส่วนประกอบของโปรไบโอติกส์ เช่น นมเปรี้ยว นัตโต มิโสะและเทมเป้ของประเทศญี่ปุ่น โยเกิร์ตและคีเฟอร์ของประเทศแถบยุโรป นมแพะหมักของอินเดีย ชีสสด ซาวเคราท์ซึ่งเป็นกะหล่ำปลีหมักของเยอรมันนี และโดยเฉพาะที่เป็นที่คนไทยให้ความสนใจมากในตอนนี้คือ กิมจิของประเทศเกาหลี โดยลืมไปว่าคนไทยเราเองก็มีอาหารที่เป็นแหล่งของจุลินทรีย์โปรไบโอติกส์เหมือนกันซึ่งได้แก่ “ข้าวหมาก”
       
       ข้าวหมากเป็นอาหารไทยที่มีมาแต่โบราณ โดยในสมัยก่อนนิยมรับประทานข้าวหมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่โดยที่ผู้ใหญ่จะให้เด็กกินข้าวหมากเพราะจะทำให้แข็งแรงและเจริญเติบโตดี ส่วนผู้หญิงโดยเฉพาะหญิงสาวก็จะชอบรับประทานข้าวหมากเพราะทำให้หุ่นดี ผิวพรรณสวยงาม ส่วนผู้สูงอายุก็นิยมรับประทานข้าวหมากเพราะช่วยให้แข็งแรงไม่เจ็บป่วย แต่คนในยุคปัจจุบันนี้หลายคนอาจไม่เคยได้ยินหรือเคยได้รับประทานข้าวหมากมาก่อน ข้าวหมากเป็นอาหารที่เกิดจากการหมักข้าวในวิถีแบบพื้นบ้านของไทย ทำมาจากทั้งขาวเหนียวขาวและข้าวเหนียวดำ
       
       การทำข้าวหมากเกิดมาจากการที่คนไทยรับประทานข้าวเป็นอาหารหลักและในบางครั้งหุงข้าวเหนียวมาแล้วรับประทานไม่หมดจึงค้นคิดวิธีการที่จะยืดอายุการเก็บข้าวไว้ให้รับประทานได้นานขึ้นซึ่งถือเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง โดยวิธีการทำคือการนำข้าวเหนียวนึ่งสุกและนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด ต่อจากนั้นนำไปผสมกับลูกแป้งข้าวหมาก(ได้จากการผสมกันระหว่างเชื้อราและยีสต์) ที่บดละเอียด (อัตราส่วน ลูกแป้ง 1 ลูกต่อข้าว 1 กิโลกรัม) คลุกเคล้าให้เข้ากัน นำไปใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ ปิดภาชนะให้มิดชิด เก็บไว้ในที่แห้งและเย็น(ไม่จำเป็นต้องแช่นเย็น) ไม่ควรให้โดนแดด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ก็จะได้ข้าวหมากที่มีเม็ดข้าวนุ่ม หอม มีกลิ่นเหล้าซึ่งเป็นกลิ่นของแอลกอฮอล์เล็กน้อยที่พร้อมรับประทานได้ หลังจากหมักข้าวหมากจนได้ที่แล้วควรเก็บในตู้เย็น รสชาติของข้าวหมากจะมีรสออกเปรี้ยวนิดๆ มีกลิ่นแอลกอฮอล์ ซึ่งหลายคนจะไม่ชอบในส่วนนี้ แต่แท้ที่จริงแล้วสามารถที่จะนำเอาข้าวหมากมาเป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลายชนิดเช่น มาใส่ในน้ำพริก มาใส่ในเครื่องต้มยำ หรือทำเป็นยำ นอกจากนี้ยังสามารถนำมารับประทานเป็นของหวานได้เช่น รับประทานคู่กับไอศกรีม โยเกิร์ต ใส่ในขนมกระทิน้ำแข็งใส ก็จะทำให้สามารถรับประทานข้าวหมากได้ในหลากหลายรูปแบบ
       
       จุลินทรีย์โปรไบโอติกส์นอกจากในรูปแบบที่อยู่กับอาหารแล้วในปัจจุบันยังมีอีกหลายรูปแบบเช่น แคปซูล ผงผสมกับเครื่องดื่ม ลูกอมหรือแม้แต่เครื่องดื่มหลากหลายประเภทที่มีการเติมจุลินทรีย์โปรไบโอติกส์เข้าไป หากต้องการได้รับประโยชน์จากจุลินทรีย์โปรไบโอติกส์สูงสุดแล้วควรรับประทานอาหารที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติกส์ร่วมกับพรีไบโอติกส์ซึ่งเป็นสารอาหารที่ไม่ถูกย่อยในร่างกายคนเรา แต่จะเป็นอาหารที่ช่วยให้จุลินทรีย์โปรไบโอติกส์มีการเจริญเติบโตและทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย อาหารที่เป็นแหล่งของพรีไบโอติกส์เช่น ธัญชาติต่างๆ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ หน่อไม้ฝรั่ง กล้วย กระเทียม เป็นต้น ดังนั้นหากเรารับประทานข้าวหมากในแบบไทยแล้วก็ควรที่จะรับประทานอาหารที่มีพรีไบโอติกส์ร่วมด้วยเพื่อที่จะได้รับประโยชน์เต็มที่

ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล
ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 กุมภาพันธ์ 2556

6844
 “หมอประดิษฐ” สั่ง อย.ทำเกณฑ์มาตรฐานอาหารออแกนิก คุมเข้มของจริงหรือแค่โฆษณา คาดเสร็จ ม.ค.นี้ ส่งผลผู้ประกอบการต้องขออนุญาต หลังพบวางขายเกลื่อนแบบไร้การควบคุม พร้อมรับข้อเสนอมาตรฐานอาหารปลอดภัยในโรงพยาบาลจากเครือข่ายตลาดสีเขียว

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       วันนี้ (15 ก.พ.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการกองทุน สสส.เป็นประธานเปิดนิทรรศการอาหาร “เส้นทางกิน [พอ]ดี สู่ชีวีมีสุข” และงาน Green Consumer Society Fair ซึ่งจัดโดย สสส.และภาคีเครือข่ายด้านอาหาร อาทิ เครือข่ายโภชนาการสมวัย เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน เครือข่ายคนไทยไร้พุง เป็นต้น พร้อมรับข้อเสนอนโยบายการรับผักไร้สารพิษสู่ครัวโรงพยาบาลสังกัด สธ.จากเครือข่ายตลาดสีเขียว
       
       นางวัลลภา แวน วิลเลียนส์วาร์ด ประธานเครือข่ายตลาดสีเขียว กล่าวว่า ทุกวันนี้อาหารปลอดภัยใช่ว่าจะมีความปลอดภัยอย่างแท้จริง แต่สถานที่หนึ่งซึ่งควรมีความปลอดภัยอย่างมากที่สุดคืออาหารในโรงพยาบาล ดังนั้น จึงอยากเสนอให้ สธ.ดำเนินนโยบายอาหารปลอดภัยในโรงพยาบาล ประกอบด้วย 1.ให้โรงพยาบาลสังกัด สธ.ทุกแห่ง จัดตลาดนัดสีเขียว เพื่อเอื้อให้เกิดการเชื่อมระหว่างโรงพยาบาลกับผู้ผลิต เกษตรกร และผู้ประกอบการสีเขียว 2.ปรับเงื่อนไขการนำอาหารปลอดภัยและผักไร้สารพิษสู่ครัวโรงพยาบาล อาทิ เกณฑ์มาตรฐานอาหาร เกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้าง 3.สร้างระบบสมาชิกระหว่างเกษตรกรและโรงพยาบาล (Hospital Supported Agriculture) พัฒนาสายสัมพันธ์ในฐานะหุ้นส่วน และ 4.จัดตั้งศูนย์เรียนรู้การรับและกระจายผลผลิตสีเขียว (Learning and Distribution Center-LDC) เพื่อเอื้อต่อการรวบรวมชนิดและปริมาณพืชผัก การตรวจสอบคุณภาพ และการขนส่ง
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวว่า สธ.สนับสนุนนโยบายเรื่องมาตรฐานอาหารปลอดภัยอยู่แล้ว ไม่เพียงแต่เฉพาะในโรงพยาบาลสังกัด สธ.เท่านั้น ซึ่งการขับเคลื่อนมาตรฐานอาหารปลอดภัย สธ.ได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม วางแนวทางตั้งแต่ระดับต้นน้ำถึงปลายน้ำ หรือตั้งแต่ผู้ผลิตถึงผู้บริโภค โดยในส่วน สธ.ได้กำหนดมาตรฐานอาหารปลอดภัย เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ผู้ผลิตทั้งรายใหญ่และรายย่อยในการผลิตอาหารออกสู่ตลาด ทั้งยังกำชับโรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่งจะต้องเป็นหน่วยงานต้นแบบอาหารปลอดภัย เผยแพร่องค์ความรู้ให้แก่สังคมอีกทางหนึ่งด้วย ขณะที่กระทรวงเกษตรฯจะดูแลในช่วงต้นน้ำคือ ไม่ให้มีสารเคมีหรือสารตกค้างในวัตถุดับ ซึ่งจะมีการตั้งเกณฑ์มาตรฐานขึ้นมา เป็นต้น
       
       “คนไทยให้ความสำคัญกับอาหารที่บริโภคลดลงเรื่อยๆ ส่งผลให้ปัจจุบันมีคนไทยมากกว่า 400,000 คน/ปี เสียชีวิตด้วยโรคที่มีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการบริโภค อาทิ โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน มะเร็ง ซึ่ง สธ.ที่สำคัญปัจจุบันคนเมืองกว่า 80% นิยมบริโภคอาหารนอกบ้าน ดังนั้น ความสะอาด ความปลอดภัยของร้านอาหาร จึงเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ รวมทั้งในส่วนบุคคลเองจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการป้องกันตนเอง เลือกรับประทานอาหารที่ปลอดภัยตามหลัก 4 เลือกได้ คือ 1.เลือกอาหารเหมาะสมกับปริมาณที่ควรบริโภคในแต่ละวัน 2.เลือกอาหารจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ 3.เลือกอาหารสะอาดและปลอดภัย และ 4.เลือกอาหารที่มีผลดีต่อสุขภาพ” รมว.สาธารณสุข กล่าว
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวด้วยว่า สำหรับอาหารสุขภาพอย่าง อาหารออแกนิก ยังไม่มีมาตรฐานออกมาควบคุม ทำให้ผู้บริโภคไม่มีความมั่นใจว่าอาหารออแกนิกที่ซื้อในราคาสูงกว่าอาหารทั่วไปราว 3 เท่านั้น จะเป็นอาหารออแกนิกจริงหรือไม่ จึงได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จัดทำเกณฑ์มาตรฐานอาหารออแกนิก คาดว่าจะเสร็จภายในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่ง สธ.จะพิจารณาก่อนออกเป็นประกาศบังคับใช้ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการอาหารออแกนิกต้องยื่นอนุญาตกับ อย.หากผ่านเกณฑ์จึงจะได้รับรองจาก อย.สำหรับติดแสดงไว้ที่ผลิตภัณฑ์ โดยเบื้องต้นจะเริ่มจากความสมัครใจของผู้ประกอบการก่อน ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่ยื่นขออนุญาตจาก อย.จะทำการสุ่มตรวจด้วยเช่นกันว่าเป็นการอาหารออแกนิกจริง หรือเป็นการโฆษณาเกินจริงหลอกลวงผู้บริโภค
       
       ด้าน ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส.กล่าวว่า จากข้อมูลจากรายงานสุขภาพประชาชนไทย ในปี 2551-2552 พบว่า สถานการณ์การบริโภคผักและผลไม้คนไทยอยู่ในเกณฑ์ที่น่าเป็นห่วง โดยรับประทานผักและผลไม้เพียงพอไม่ถึงครึ่ง หรือเพียง 17.7% ลดลงจาก 21.9% ในปี 2546-2547 และภาคกลางบริโภคผักผลไม้น้อยที่สุด 14.45% อีกทั้งในจำนวนผู้บริโภคก็ยังไม่เข้าถึงผักผลไม้ที่ปลอดภัยเพราะจากการสำรวจพบ ผักผลไม้ตามท้องตลาดมีสารเคมีตกค้างถึง 40% และเป็นที่น่าตกใจว่า ไทยเป็นประเทศที่มีปริมาณการใช้สารเคมีทางการเกษตรมากเกิน เป็นอันดับ 4 ของโลก คิดเป็น 87 ล้านกิโลกรัม/ปีเป็นเงินถึง 2.2 หมื่นล้านบาท ดังนั้นอาหารจึงเป็นภัยร้ายใกล้ตัวที่หากเราไม่รู้เท่าทัน ก็จะกลายเป็นการทำร้ายตนเองโดยไม่รู้ตัว สสส.พร้อมที่จะทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายกว่า 20 องค์กร เพื่อสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและปลอดภัย
       
       สำหรับ นิทรรศการอาหาร “เส้นทางกิน [พอ]ดี สู่ชีวีมีสุข” และงาน Green Consumer Society Fair เป็นการรวมรวบและสังเคราะห์ข้อมูลการดำเนินงานของแผนงานอาหารเพื่อสุขภาวะ ของ สสส.และภาคีเครือข่าย เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ อาทิ “โซนอันตราย รายทาง” คู่มือในการปฏิเสธอาหารให้โทษ “เมนูท้าลอง” “กิจกรรมพิสูจน์สารพิษตกค้าง (Food Lab)” วิธีง่ายๆ ที่จะตรวจสอบสารตกค้างในผักสด ผลไม้ได้ด้วยตนเอง โดยจัดแสดงที่บริเวณชั้น 1 และชั้น 2 อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ซ.งามดูพลี เปิดให้ชมวันอังคาร-ศุกร์ เวลา 09.00-18.00 น. และวันเสาร์ เวลา 10.00-18.00 น.เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 27 เม.ย.นี้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 กุมภาพันธ์ 2556

6845
 สรุปผลเลือกตั้งกรรมการสภาหมอฟัน วาระที่ 7 ครบแล้วทั้ง 16 คน จากผู้สมัคร 37 คน เตรียมเลือกนายกทันตแพทยสภา อุปนายกฯคนที่ 1 และ 2 ภายใน เม.ย.นี้
   
       ทพ.สิทธิชัย ขุนทองแก้ว ประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการเลือกตั้งกรรมการทันตแพทยสภา วาระที่ 7 พ.ศ.2556-2559 เปิดเผยว่า หลังจากประกาศรับสมัครสมาชิกทันตแพทยสภา เพื่อรับเลือกตั้งเป็นกรรมการทันตแพทยสภา ระหว่างวันที่ 9-23 พ.ย. 2555 นั้น มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง 37 คน ซึ่งได้มีการลงคะแนนในวันที่ 1 ก.พ. และนับคะแนนวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยผลการเลือกตั้งกรรมการทันตแพทยสภา วาระที่ 7 พ.ศ.2556-2559 ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนมากที่สุด 16 คน มีดังนี้
1.ทพ.ไพศาล กังวลกิจ
2.ทพ.อดิเรก ศรีวัฒนาวงษา
3.ทพ.เฉลิมพล ลี้ไวโรจน์
4.ทพญ.ศันสณี รัชชกูล
5.ทพญ.น้ำเพชร ตั้งยิ่งยง
6.ทพญ.ศิริรักษ์ นครชัย
7.ทพญ.วัชราภรณ์ ทัศนจันทร์
8.ทพ.ศิริชัย เกียรติถาวรเจริญ
9.ทพ.ประทีป พันธุมวนิช
10.ทพ.โกเมศ วิชชาวุธ
11.ทพ.วีระวัฒน์ สัตยานุรักษ์
12.ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ
13.ทพ.สมชาย เศรษฐศิริสมบัติ
14.ทพ.จีรศักดิ์ ทิพย์สุนทรชัย
15.ทพญ.พนมพร วานิชชานนท์ และ
16.ทพ.วัฒนะ ศรีวัฒนา
       
       ทพ.สิทธิชัย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ องค์ประกอบของคณะกรรมการทันตแพทยสภามาจาก 3 ส่วน มีทั้งหมด 32 คน คือ ส่วนที่ 1 กรรมการโดยตำแหน่ง 11 คน ประกอบด้วย
1.ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
2.นายกทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย
3.คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์จาก 9 มหาวิทยาลัย
ส่วนที่ 2 ประกอบด้วย กรรมการโดยการแต่งตั้ง 5 คน ประกอบด้วย
1.ผู้แทนจาก สธ. 3 คน
2.ผู้แทนจากกระทรวงกลาโหม 1 คน
3.ผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทย 1 คน
และส่วนที่ 3 กรรมการโดยการเลือกตั้ง 16 คน ซึ่งมีจำนวนเท่ากับกรรมการในส่วนที่ 1 และ 2 รวมกัน
       
       "ขั้นตอนหลังจากนี้ ภายใน เม.ย. 2556 คณะกรรมการทันตแพทยสภา 32 คน จะทำหน้าที่เลือกกรรมการขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกทันตแพทยสภา อุปนายกทันตแพทยสภาคนที่ 1 และอุปนายกทันตแพทยสภาคนที่ 2 ต่อจากนั้น นายกทันตแพทยสภาจะแต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ เลขาธิการ รองเลขาธิการ ประชาสัมพันธ์ เหรัญญิก และอื่นๆ ตามที่สมควรต่อไป" ทพ.สิทธิชัย กล่าว

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 กุมภาพันธ์ 2556

6846
 "หมอชลน่าน" ขีดเดธไลน์ 2 เดือน ทำร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์ เบื้องต้นหารือทั้งผู้ให้บริการ-ผู้รับบริการ ได้ข้อสรุป 9 ประเด็น ยันเรื่องไม่สะดุดแน่ ด้านเครือข่ายผู้เสียหายฯ เผยรู้สึกมีหวัง
       
       นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... ว่า การหารือในครั้งนี้ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ให้บริการและผู้รับบริการ เพื่อหาข้อสรุปในการจัดทำเนื้อหาสาระของกฎหมายดังกล่าว โดยสรุปมีมติร่วมใน 9 ประเด็น คือ
1.ต้องมีการพัฒนาระบบบริการให้มีมาตรฐาน
2.มีระบบเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการบริการให้ครอบคลุมทุกฝ่าย
3.พัฒนาระบบผู้ให้บริการทั้งทางแพ่งและอาญา เพื่อประโยชน์ทุกฝ่าย โดยการรักษาต้องได้มาตรฐานและจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
4.พัฒนาและสนับสนุนระบบการสร้างความสัมพันธ์อันดีในระบบสาธารณสุข
5.ให้มีระบบการเงินการคลังที่มีประสิทธิภาพ
6.ให้มีระบบการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้
7.ให้มีคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ ที่มีผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้าใจในมาตรฐานการรักษาทุกระดับ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค
8.ให้มีหน่วยงานที่ดำเนินการในกระทรวงสาธารณสุข และ
9.ให้มีการวิเคราะห์ปัญหาว่ามีสาเหตุจากอะไร และสามารถตรวจสอบได้จริง
       
       “ข้อสรุปใน 9 ประเด็นเป็นภาพรวม โดยจะมีการแตกประเด็นย่อยอีก ซึ่งทั้งหมดคือเนื้อหาสาระหลักที่ต้องจัดทำเป็นสาระบัญญัติ ส่วนจะนำไปใส่ไว้ในร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่หรือไม่ หรือจะเป็นร่างพ.ร.บ.เดิมแล้วนำมาปรับปรุง ยังไม่ได้หารือในรายละเอียดเรื่องนี้ แต่ได้ตั้งกรอบเวลาการทำงาน โดยภายใน 2 เดือนจะมีความชัดเจนขึ้น ยืนยันว่าเรื่องนี้จะไม่หยุดนิ่งแน่นอน” รมช.สาธารณสุข กล่าว
       
       นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กล่าวว่า รู้สึกมีความหวังอีกครั้ง เนื่องจากร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวยกร่างมาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงบัดนี้เป็นเวลา 6 ปี ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ยังไม่ถูกประกาศใช้ แม้จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ถูกตีกลับให้มีการพิจารณาใหม่ ซึ่งหลังจากการประชุมครั้งนี้ นพ.ชลน่าน ระบุชัดเจนตั้งกรอบเวลา 2 เดือน ซึ่งหากทันวาระการพิจารณาของสภาฯในสมัยนี้ คือ ภายในวันที่ 18-21 เมษายนนี้ ก็จะดีมาก แต่หากไม่ทันคงต้องรอการประชุมสมัยหน้า ซึ่งประมาณปลายปีทีเดียว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 กุมภาพันธ์ 2556

6847
 "หมอประดิษฐ" มอบ สรพ.กำหนดแนวทางประเมินมาตรฐาน รพช.กว่า 800 แห่งทั่วประเทศ หลังขับเคลื่อนแผนพัฒนาสุขภาพเป็น 12 เครือข่ายบริการ คาดรับรองคุณภาพการรักษาเป็นรายโรคก่อน หวัง ปชช.รับบริการใกล้บ้านที่สุด มีความปลอดภัย ลดการฟ้องร้อง และลดภาระโรงพยาบาลขนาดใหญ่
       
       นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงาน สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) ว่า ขณะนี้ สธ.ได้จัดทำแผนพัฒนาสุขภาพในเขตพื้นที่แบ่งออกเป็นเครือข่ายบริการของโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศรวม 12 เครือข่าย ดูแลประชาชนเครือข่ายละ 5-8 จังหวัด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้ประชาชนเข้ารับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม จึงได้มอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สรพ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการประเมินและรับรองมาตรฐานคุณภาพการรักษาและบริการในโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งด้านการรักษา การป้องกันควบคุมโรค และการส่งเสริมสุขภาพ กำหนดแนวทางหรือหลักเกณฑ์ในการประเมินมาตรฐานของโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) หรือโรงพยาบาลประจำอำเภอ ซึ่งมีจำนวนกว่า 800 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้แก่ประชาชน สามารถแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้ ประชาชนสามารถรับบริการใกล้บ้านที่สุด
       
       "เบื้องต้นจะเริ่มจากการรับรองมาตรฐาน หรือรับรองคุณภาพการรักษาเป็นรายโรคหรือเฉพาะโรค เช่น การผ่าตัดไส้ติ่ง ของรพช.แต่ละแห่งที่อยู่ในเครือข่ายบริการจังหวัดเดียวกันก่อน จากนั้นจะพัฒนาให้การรับรองมาตรฐานทั้งจังหวัด และจะพัฒนาไปจนถึงระดับเขตบริการทั้ง 12 เครือข่าย เพื่อให้เกิดมาตรฐานการรักษาที่ปลอดภัยทั้งสถานบริการและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพบริการ ซึ่งจะมีการประเมินและวัดผลด้วยว่าสถานบริการใดมีความน่าเชื่อถือ หรือไว้วางใจที่จะเข้ารับบริการ ลดปัญหาการร้องเรียน และสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนที่มารับบริการ" รมว.สาธารณสุข กล่าว
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า เรื่องที่น่าเป็นห่วงขณะนี้คือ กรณีที่ผู้บริโภคไปรับบริการจากสถานบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ได้รับบริการที่ไม่มีคุณภาพและเกิดปัญหาฟ้องร้องตามมา หรือได้รับบริการที่อาจไม่มีความจำเป็น ทำให้เสียค่ารักษาพยาบาลแพงเกินเหตุ นับว่ามีความสำคัญและมีผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาลและ สธ.ที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการรักษาพยาบาล หรือเมดิคัลฮับ (Medical Hub) ซึ่งเรื่องนี้ สธ.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการไกล่เกลี่ยปัญหาข้อพิพาทด้านบริการสุขภาพหรือทางการแพทย์ขึ้นมา 1 ชุด โดยมีอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เป็นประธาน เพื่อให้เป็นตัวกลางในการประสานหรือพูดคุยกับทั้ง 2 ฝ่าย คือระหว่างประชาชนหรือผู้บริโภคกับโรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังเน้นให้สถานบริการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ทรัพยากรร่วมกัน รวมทั้งประสานความร่วมมือและเชื่อมโยงข้อมูลกัน ทั้งในเรื่องของมาตรฐานการรักษาและข้อมูลเพื่อความปลอดภัยของผู้มารับบริการ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพที่สุด รวมทั้งให้ประชาชนรับทราบข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจเลือกเข้ารับบริการเอง


ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 กุมภาพันธ์ 2556

6848
1. “ฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ” ตรัส “ในหลวง-พระราชินี” ทรงหายจากพระอาการประชวรแล้ว!
       
       ​เมื่อวันที่ 13 ก.พ. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงมีพระดำรัสแก่คณะข้าราชการสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี และคนไทยที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐอินเดีย ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมลีลา พาเลซ ซึ่งเป็นโรงแรมที่ประทับ ระหว่างเสด็จเยือนสาธารณรัฐอินเดีย โดยทรงมีพระดำรัสถึงพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า ขณะนี้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรงแล้ว “เมื่อ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีไข้ต่ำๆ อยู่ติดต่อกัน จากการตรวจพบว่า ทรงมีปอดอักเสบทางด้านขวา และแพทย์ได้ถวายยาปฏิชีวนะ ตอนนี้ทรงหายแล้ว ไม่มีไข้แล้ว ทรงแจ่มใสขึ้นมาก ก็ยังต้องติดตามพระอาการอยู่ ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แพทย์ถวายการรักษา ตลอดจนกายภาพบำบัดจนหายดีมาก เป็นที่พอใจของคณะแพทย์ ทรงพระดำเนินได้อย่างคล่องแคล่ว และทรงออกพระกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่แพทย์ยังแนะนำให้พักพระราชกรณียกิจทั้งสองพระองค์ไปอีกระยะหนึ่ง แต่ว่าอันตรายนั้นไม่มีแล้ว ขอให้คนไทยทุกคนสบายใจได้”
       
       2. ปชป. จี้ นายกฯ – ผบ.ตร. ย้าย “คำรณวิทย์” เหตุใช้กลไก ตร.ช่วย “พงศพัศ” ขณะที่ปมโพลชี้นำ ถึงมือศาล ปค.สูงสุด!

       ​เมื่อวันที่ 13 ก.พ. นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เผยผลวิจัยเชิงสำรวจเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. พบว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง ร้อยละ 43.9 จะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ขณะที่ร้อยละ 37.6 เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์
       
       ​วันต่อมา(14 ก.พ.) นายนพดล เผยผลวิจัยเชิงสำรวจของเอแบคโพลล์อีกเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. พบว่า ในกลุ่มที่จะไปเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แน่ๆ ร้อยละ 47.1 จะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ ขณะที่ร้อยละ 38.5 เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์
       
       ​วันต่อมา(15 ก.พ.) มีผลโพลเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ของอีก 2 สำนักออกมา โดยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต สำรวจพบว่า คนกรุงเทพฯ จะเลือก พล.ต.อ.พงศพัต ร้อยละ 44.04 และเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ร้อยละ 34.13 ขณะที่นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สำรวจพบว่า คนกรุงเทพฯ ร้อยละ 25.20 ระบุว่าจะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ และร้อยละ 23.07 จะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ขณะที่ร้อยละ 41.33 ยังไม่ตัดสินใจ
       
       ​ส่วนความคืบหน้ากรณีที่นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 6 ยื่นเรื่องร้องเรียนขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร(กกต.กทม.) ตรวจสอบการทำและเผยแพร่ผลโพลเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เนื่องจากเข้าข่ายชี้นำประชาชนนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ. กกต.กทม.ได้มีมติไม่รับคำร้องดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากผู้ร้องนำเอกสารหลักฐานมาจากสื่อมวลชน ไม่ได้พบการกระทำผิดด้วยตัวเอง และไม่สามารถหาเอกสารหลักฐานหรือข้อมูลเชิงลึกมายืนยันการกระทำผิดได้ เป็นเพียงการกล่าวอ้างเท่านั้น
       
       ​หลัง กกต.กทม.ไม่รับคำร้องเรื่องโพลชี้นำ วันต่อมา(13 ก.พ.) สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ร่วมกับผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.บางคน และผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 7 คน เดินทางไปยื่นฟ้อง กกต.กทม.และ กกต.กลาง ต่อศาลปกครองกลาง ฐานเป็นหน่วยงานทางปกครองละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้มีการฝ่าฝืน พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 โดยชัดแจ้ง ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย ด้านศาลปกครองกลางได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งนัดคู่กรณีมาไต่สวนเร่งด่วนในวันที่ 18 ก.พ.นี้ เวลา 13.30น.
       
       ​อย่างไรก็ตาม 2 วันต่อมา(15 ก.พ.) ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งยกเลิกนัดไต่สวนดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า ศาลปกครองกลางพิจารณาคำฟ้องแล้ว เห็นควรส่งคดีดังกล่าวไปยังศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากองค์คณะเห็นว่า คดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น อยู่ในอำนาจของศาลปกครองสูงสุด
       
       ​ทั้งนี้ วันเดียวกัน ที่ประชุม กกต.กทม.ได้มีมติรับเรื่องที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 11 ร้องขอให้ตรวจสอบการทำและเผยแพร่ผลโพลเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ของสวนดุสิตโพล เนื่องจากไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ โดยอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนของ กกต.กทม.จะสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 20 วัน และสามารถขอขยายเวลาสอบสวนได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 15 วัน ก่อนเสนอความเห็นต่อ กกต.กลาง ให้มีคำวินิจฉัยต่อไป
       
       ​ด้านพรรคประชาธิปัตย์เริ่มร้องเรียนเรื่องความไม่เป็นกลางของผู้บัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว โดยนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดแถลง(14 ก.พ.) เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) โยกย้าย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ออกนอกพื้นที่นครบาลตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง เนื่องจากมีพฤติกรรมไม่เป็นกลางในการช่วยเหลือ พล.ต.อ.พงศพัศ เพราะใช้กลไกของตำรวจในการช่วยเหลือ เช่น เกณฑ์ตำรวจชุมชนไปฟังการปราศรัยใหญ่ที่ลานคนเมือง ,สั่งการให้แม่บ้านตำรวจต้องไปเลือกผู้สมัครพรรคหนึ่ง หากไม่เลือกจะไล่ออกจากแฟลตตำรวจ ทั้งยังขอร้องให้นายยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว แต่งเพลงหาเสียงให้ พล.ต.อ.พงศพัศ นายวัชระ เผยด้วยว่า ตนจะยื่นหนังสือให้ กกต.ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย
       
       ​ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ รีบออกมาโต้กลับพรรคประชาธิปัตย์ว่า “ผมพูดเสมอว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ไม่ต้องให้ย้ายหรอก ผมจะลาออกทันที ให้รีบๆ เป็นรัฐบาล ผมจะได้ลาออกสักที ผมให้คนที่เคารพรักประดับยศให้ก็ไปฟ้องผม ทนายพรรคประชาธิปัตย์ถูกทำร้าย ก็กล่าวหาว่าผมทำ พอแอ๊ด คาราบาว แต่งเพลงให้ผู้สมัครหมายเลข 9 ก็ฟ้องผมอีก แอ๊ดกับผมรักกันมาตั้งนานแล้ว ผมเจอกันบ่อย จึงถามแอ๊ดแต่งเพลงให้ใครบ้าง เขาบอกแต่งให้เบอร์ 11 และบอกไปว่า ทำไมไม่แต่งให้ทุกคนไปเลย จะได้เป็นแฟชั่น แต่แอ๊ดบอกว่าไม่ได้ ต้องให้เขาขอมา และต้องมีข้อมูลให้เขา แล้วแอ๊ดไปเอาข้อมูลจากพรรคเพื่อไทย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม”
       
       ​ด้าน พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.กทม. รีบออกมาสรุปทั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ได้ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ โดยยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นการกระทำใดของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่เป็นการให้คุณให้โทษกับผู้สมัครรายใด
       
       3. โจรใต้ครึ่งร้อย บุกถล่มฐานทหารนราธิวาส โชคดี จนท.รู้ก่อน ส่งนาวิกโยธินย้อนรอย ปะทะเดือด ผล โจรใต้ตายเกลื่อน 16 ศพ

       ​เมื่อวันที่ 13 ก.พ. เวลา 01.30น. โจรใต้ประมาณ 50-60 คน นำโดยนายมะรอโซ จันทราวดี ได้สวมชุดคล้ายเจ้าหน้าที่ทหาร พร้อมอาวุธปืนสงครามครบมือ บุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการทหารกองร้อยปืนเล็กที่ 2 สังกัดหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 กองทัพเรือ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ฐานย่อยในพื้นที่สีแดง ต.บาเร๊ะเหนือ ตั้งอยู่ในสวนยางพารา ริมถนนบ้านยือลอ หมู่ 3 ต.บาเร๊ะเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส แต่ฝ่ายทหารทราบเบาะแสมาก่อนแล้วว่ากลุ่มโจรใต้จะโจมตีฐานทหารดังกล่าว จึงเตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้ว โดยเกิดการปะทะและยิงตอบโต้กันนานกว่า 1 ชั่วโมง
       
       ​ด้านตำรวจ สภ.บาเจาะ พยายามเข้าไปช่วยอีกแรง แต่ไม่สามารถเดินทางเข้าไปยังจุดเกิดเหตุได้ เพราะคนร้ายโรยตะปูเรือใบ และตัดต้นไม้ขวางถนนเอาไว้หลายจุด หลังผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ทหารสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยจุดที่ยิงปะทะกัน พบคนร้ายเสียชีวิตหลายคน และหลบหนีไปได้ไม่ต่ำกว่า 30-40 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารปลอดภัย ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
       
       ​ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้รอจนเช้า จึงนำกำลังเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ แต่นอกจากคนร้ายจะโรยตะปูเรือใบและตัดต้นไม้ขวางทางแล้ว ยังได้ลอบวางระเบิดแสวงเครื่องไว้ในถังแก๊สหนัก 50 กก.บนถนนที่เจ้าหน้าที่จะผ่าน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาเคลียร์นานกว่า 1 ชั่วโมง จึงสามารถเข้าไปยังฐานปฏิบัติการได้
       
       ​เมื่อถึงหน้าฐานปฏิบัติการ พบศพคนร้ายแต่งกายชุดพรางใส่เสื้อเกราะแบบทหาร ปิดบังใบหน้าด้วยหมวกไหมพรม นอนเสียชีวิตกระจายกันตามโคนต้นยางพาราที่คาดว่าใช้เป็นจุดกำบังรวม 16 ศพ ขณะที่ข้างกายมีอาวุธปืนอาก้าและปืนเอ็ม 16 ทุกคน
       
       ​พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เผยว่า กลุ่มคนร้ายที่เสียชีวิต ประกอบด้วย นายมะรอโซ จันทราวดี ซึ่งเป็นแกนนำกองกำลังติดอาวุธอาร์เคเค ที่เคลื่อนไหวก่อเหตุในพื้นที่ อ.บาเจาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และ อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีความมั่นคง 11 หมาย และเป็นผู้ต้องสงสัยตามหมายจับที่ออกโดย พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 3 หมาย ทั้งยังเป็นผู้ร่วมก่อเหตุบุกสังหารโหดนายชลธี เจริญชล ครูโรงเรียนบ้านตันหยง ต.บาเร๊ะใต้ ต.บาเจาะ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา ,นายซาอูดี อาลี ,นายซาบิรี โลตาเชะ ,นายมะไพดี ปูเต๊ะ ,นายกาสมัน มะเด็ง ,นายปรือกิ นิมิง ,นายรอมือลี ซาเระ ,นายมะสักกรี สะสะ ,นายฮาเซ็ม บือราเฮง ,นายมะนัง บือราเฮง , นายอาหะมะ โซะกุนิง ,นายมะตอเฮ แฉะ ,นายอับดุลเลาะ โต๊ะมะ ,นายมะยุดดิน รีรา ,นายมัสลัน มะลี และนายอัสรี รอเป็ง
       
       พ.อ.ปราโมทย์ เผยด้วยว่า เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดระเบิดแสวงเครื่องชนิดขว้างแบบมาตรฐาน 3 ลูก ระเบิดแสวงเครื่อง(ปลากระป๋อง) 3 ลูก อาวุธปืนยาว 13 กระบอก อาวุธปืนพก 3 กระบอก รถกระบะ 1 คัน รถจักรยานยนต์ 2 คัน และเลื่อยโซ่ยนต์ 1 เครื่อง
       
       ​รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า จากการตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระของผู้เสียชีวิต พบจดหมายโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมประกาศจะทำการตอบโต้ทุกรูปแบบด้วยกำลังความพร้อมทางอาวุธ กำลังทรัพย์ และมวลชน รวมทั้งประกาศทวงคืนทุกชีวิตที่สูญเสียไป
       
       ​ด้าน พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ออกมาปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่ามีการประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ 6 ตำบลของจังหวัดนราธิวาสและปัตตานี โดยยืนยันว่า ไม่ได้มีการประกาศเคอร์ฟิว แต่ขอความร่วมมือไม่ให้ชาวบ้านในพื้นที่ออกจากบ้านยามวิกาลของคืนวันที่ 13 ก.พ. ถึง 06.00น.วันที่ 14 ก.พ. เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่ให้ปลอดภัย เพราะยังมีกลุ่มคนร้ายที่หลบหนีอยู่อีก 30-40 คน ห่วงประชาชนจะไปพบเจอเข้า อาจเป็นอันตรายได้
       
       ​สำหรับความสำเร็จของการรับมือโจรใต้ครั้งนี้ น.ท.ธรรมนูญ วรรณา ผบ.หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 เผยว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า นายมะรอโซ แกนนำอาร์เคเคจะนำกำลังเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการทหาร เพื่อล้างแค้นให้กับนายสุไฮดี ตาเห สมุนคนสนิท ซึ่งเป็น 1 ในคนร้ายที่ก่อเหตุยิงครูชลธีเสียชีวิต และถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญเสียชีวิตที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 9 ก.พ. “หลังเจ้าหน้าที่วิสามัญนายสุไฮดี ยังสามารถตรวจยึดแผนผังและเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการบุกโจมตีฐานปฏิบัติการทหารร้อยปืนเล็กที่ 2 เจ้าหน้าที่จึงได้วางมาตรการรับมือกลุ่มคนร้ายที่จะบุกถล่ม”
       
       ​นอกจากนี้ ทางผู้ใหญ่ในกองทัพเรือได้สั่งการให้หน่วยปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบก(รีคอน) 11 นาย ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษของหน่วยนาวิกโยธิน และหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ(ซีล) 11 นาย ไปประจำการที่ฐานดังกล่าว เพื่อร่วมปฏิบัติการและรับมือกลุ่มคนร้ายที่จะก่อเหตุ ทำให้การปะทะครั้งนี้ ไม่เกิดความสูญเสียในส่วนของเจ้าหน้าที่ทหาร
       
       ​เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดเหตุปะทะดังกล่าว จนกลุ่มโจรใต้เสียชีวิต 16 ศพ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี รีบออกมาแสดงความเสียใจกับครอบครัวของคนร้ายที่เสียชีวิต พร้อมสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสหาทางเยียวยาครอบครัวเหล่านั้น เนื่องจากไม่มีส่วนรู้เห็นกับการก่อเหตุ กระทั่งมีเสียงวิจารณ์ว่า จะมีการจ่ายเงินเยียวยา 7.5 ล้านบาทแก่ครอบครัวผู้ก่อเหตุดังกล่าว เหมือนกับที่จ่ายให้กับผู้ชุมนุมทางการเมืองหรือ? ซึ่งภายหลัง ร.ต.อ.เฉลิม ได้ออกมาโต้คนที่วิพากษ์วิจารณ์ พร้อมพูดใหม่ว่า ที่ตนบอกว่าต้องหาทางเยียวยานั้น หมายถึงการพูดคุยก็ได้ ทำไมต้องไปแปลความว่า 7.5 ล้านบาท “ผมไม่รู้เรื่องขนาดนั้นเลยหรือ ผมไม่โง่นะ มันไม่มี เพราะจะเอาเงินที่ไหนไปให้เขา”
       
       ​ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุความไม่สงบ เฉพาะกรณีที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส โดยแบ่งการช่วยเหลือออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.การชดเชยทรัพย์สินที่เสียหายตามระเบียบ ทั้งบ้านและสวนยาง ซึ่งเป็นเงินเยียวยาแน่นอน 2.การดูแลด้านมนุษยธรรมแก่ครอบครัวผู้สูญเสีย ซึ่งไม่ได้พูดถึงตัวเงิน เพราะบางครอบครัวอาจไม่จำเป็นต้องให้เงิน
       
       ​ส่วนความคืบหน้าว่าจะมีการประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ หลัง ร.ต.อ.เฉลิม ส่งสัญญาณอยากให้ประกาศในพื้นที่สีแดง แต่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เห็นด้วย โดยอยากให้ฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ว่าอยากให้ประกาศหรือไม่ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศปก.กปต.) ที่มี ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะผู้อำนวยการ ศปก.กปต.เป็นประธาน ได้มีมติเอกฉันท์ว่า ยังไม่ประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากประเมินทุกมิติแล้วเห็นว่า สถานการณ์ยังไม่จำเป็นต้องประกาศ และเจ้าหน้าที่ยืนยันว่ายังควบคุมสถานการณ์ได้
       
       4. “เสธ.หนั่น” ถึงแก่กรรมแล้ว หลังรักษาตัวนานเกือบ 3 เดือน ด้าน “ปิยะพันธ์” ได้เลื่อนเป็น ส.ส.แทน!

       ​เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงถึงอาการของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย.2555 ด้วยปัญหาทางเดินหายใจ(ถุงลมโป่งพอง) ว่า ตลอดเวลา แพทย์ได้ให้การรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และยังใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมทั้งเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด แม้จะมีภาวะติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แต่ก็รักษามาโดยตลอด
       
       ​กระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 15 ก.พ. พล.ต.สนั่นมีอาการติดเชื้อในกระแสโลหิตอย่างรุนแรง ความดันลดต่ำลงมาก ส่งผลให้ภาวะไหลเวียนโลหิตและระบบการหายใจล้มเหลว ก่อนจะเสียชีวิตอย่างสงบในเวลา 17.00น.
       
       ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นผู้อัญเชิญน้ำหลวงอาบศพพระราชทานแก่ พล.ต.สนั่น ที่ศาลาขจรประศาสน์ วัดชลประทานรังสฤษฎ์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ. พร้อมพระราชทานพวงมาลา เพื่อเป็นการไว้อาลัยด้วย นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ 7 วัน
       
       ​การเสียชีวิตของ พล.ต.สนั่น ทำให้ตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนาว่างลง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 109 กำหนดว่า กรณีที่ตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อว่างลงเพราะเหตุอื่นใด ทางประธานสภาผู้แทนราษฎรจะต้องประกาศให้ผู้มีชื่อในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ตำแหน่งนั้นว่างลง ซึ่งกรณีนี้ ส่งผลให้นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต อดีตอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 6 ของพรรคชาติไทยพัฒนา ได้รับการประกาศให้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแทน พล.ต.สนั่น
       
       5. ทั่วโลกตื่น อุกกาบาตขนาดใหญ่ถล่ม “รัสเซีย” เจ็บนับพัน ด้านนักดาราศาสตร์ไทย ชี้ อุกกาบาตตกใส่โลก ไม่ใช่เรื่องแปลก!

       ​เมื่อวันที่ 15 ก.พ. เวลา 09.20น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 10.20น.ตามเวลาในไทย สำนักข่าวเอพีและเอเอฟพีรายงานว่า อุกกาบาตลูกหนึ่งได้พุ่งผ่านท้องฟ้าเหนือเทือกเขาอูราล ในเมืองเชลยาบินส์ บริเวณตอนกลางของประเทศรัสเซีย และเกิดระเบิดขึ้น โดยแรงระเบิดส่งคลื่นสั่นสะเทือนออกมากระแทกกระจกอาคารสิ่งก่อสร้างจำนวนมากแตกเสียหาย และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บนับพันคน
       
       ​ทั้งนี้ เหตุการณ์อุกกาบาตระเบิดเหนือประเทศรัสเซียครั้งนี้ สร้างความตื่นตระหนกและตื่นตะลึงให้แก่ผู้ที่พบเห็นอย่างมาก โดยเป็นภาพวัตถุชนิดหนึ่งพุ่งแหวกท้องฟ้ายามเช้าด้วยความเร็วสูง มีควันขาวพุ่งเป็นทางตามวิถีโคจร ก่อนจะเกิดแสงสว่างวาบขึ้น ส่งผลให้ผู้คนแตกตื่นและพากันวิ่งเข้าหาที่หลบภัยภายในอาคาร แต่กระนั้นก็มีผู้บาดเจ็บนับพันคน ส่วนใหญ่ถูกเศษกระจกที่แตกจากแรงสั่นสะเทือนของอุกกาบาตที่ระเบิด ขณะที่โรงเรียนทั่วทั้งเมืองเชลยาบินส์ต่างพากันปิด หลังจากกระจกหน้าต่างของอาคารสิ่งก่อสร้างได้รับความเสียหาย
       
       ​สภาวิทยาศาสตร์รัสเซีย แถลงว่า นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า อุกกาบาตที่ลอยอยู่เหนือเมืองเชลยาบินส์ น่าจะมีน้ำหนักราว 11 ตัน เดินทางเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วอย่างน้อย 54,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเกิดระเบิดจนแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ ที่ความสูงราว 30-50 กิโลเมตร เหนือพื้นโลก
       
       ​ด้านนายกรัฐมนตรีดมิทรี เมดเวเดฟ ของรัสเซีย กล่าวในการประชุมด้านเศรษฐกิจที่เมืองคราสโนยาร์ส แคว้นไซบีเรียว่า เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า “ไม่เพียงเศรษฐกิจเท่านั้นที่เปราะบาง แต่เป็นโลกของเราทั้งหมด” ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีดมิทรี โรโกซิน บอกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า บรรดาผู้นำโลกควรจะต้องพัฒนาระบบที่สามารถยิงทำลายหรือขัดขวางวัตถุจากอวกาศไม่ให้ตกใส่โลกขึ้นมาให้สำเร็จ
       ​
       ​สำหรับความเคลื่อนไหวในไทย นายวรเชษฐ์ บุญปลอด กรรมการวิชาการสมาคมดาราศาสตร์ไทย(สดร.) พูดถึงอุกกาบาตที่ตกในรัสเซียว่า ทางองค์การอวกาศแห่งยุโรปได้ออกมายืนยันแล้วว่า ไม่เกี่ยวข้องดาวเคราะห์น้อย 2012 ดีเอ 14 ที่เคลื่อนที่เฉียดโลก แต่เป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดเหตุการณ์ในเวลาไล่เลี่ยกันเท่านั้น การที่มีผู้บาดเจ็บนับพันคน ไม่ได้เกิดจากอุกกาบาตโดยตรง แต่เป็นผลจากการที่อุกกาบาตเคลื่อนที่เข้าสู่บรรยากาศโลกด้วยความเร็วค่อนข้างสูง เกิดเป็นคลื่นกระแทกหรือช็อกเวฟ ทำให้กระจกแตกกระเด็นใส่คนที่อยู่ใกล้จนได้รับบาดเจ็บ
       
       ​นายวรเชษฐ์ ยังยืนยันด้วยว่า การมีอุกกาบาตตกลงมายังโลกนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกลางทะเล หรือกลางป่าลึก หรือในทะเลทราย ไม่มีใครเห็น จึงไม่เป็นข่าว แต่ครั้งนี้ตกในประเทศรัสเซีย และตกในเมืองที่มีคนอาศัยอยู่มาก เมื่อคนเห็นมาก จึงเป็นเรื่องที่ถูกพูดถูกจินตนาการกันไป

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 กุมภาพันธ์ 2556

6849
เมื่ออุกกาบาต พุ่งตกมายังบริเวณเหนือเทือกเขาอูราล ของรัสเซีย ส่งผลให้มีคนบาดเจ็บนับพันราย และตึกอาคาร บ้านเรือน ได้รับความเสียหาย

ได้ยินข่าวถึงกับตะลึงไปตามๆ กัน หลังจากที่ ผ่านพ้นวันแห่งความรัก ไปเพียงแค่หนึ่งวัน ในช่วงบ่ายวันที่ 15 ก.พ. (ตามเวลาประเทศไทย) ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ช็อกโลก เมื่ออุกกาบาต พุ่งตกมายังบริเวณเหนือเทือกเขาอูราล ของรัสเซีย ส่งผลให้มีคนบาดเจ็บนับพันราย และตึกอาคาร บ้านเรือน ได้รับความเสียหายพอสมควร

แรงระเบิดของ อุกกาบาตปริศนาลูกดังกล่าว ยังส่งผลให้ คลื่นช็อคเวฟ หรือ แรงกระแทก ทำให้หน้าต่างอาคารหลายแห่งแตกร้าว และอาคารมีรอยร้าว โดยมีชิ้นส่วนหนึ่งของอุกกาบาต ตกลงใส่กำแพงของโรงงานใกล้กับโรงงานสังกะสี ทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือใช้การไม่ได้ ขณะที่ชาวรัสเซียแตกตื่น หลังเกิดระเบิดสนั่นหลายครั้งบนท้องฟ้า

ตามรายงานที่ไม่มีการยืนยันระบุว่า หน่วยป้องกันภัยทางอากาศของกองทัพอากาศรัสเซีย ยืนยัน มีการยิงอุกกาบาตดังกล่าวจนแตกเป็นชิ้นๆ ในระดับความสูงราว 20 กิโลเมตร ก่อนตกถึงพื้นโลก ทำให้เกิดแสงวาบที่เห็นได้ชัดใน 3 เมืองใหญ่ ในเขตสาธารณรัฐบาชกิเรีย และทางตอนเหนือของคาซัคสถาน แต่เจ้าหน้าที่ทางการคิดว่า เกิดจากเครื่องบินรบระเบิด หรือการระเบิดของขีปนาวุธ

ในส่วนขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (นาซา) แถลงว่า ดาวเคราะห์น้อย "2012 เอดี 14" ที่มีขนาดเทียบเท่าสระว่ายน้ำโอลิมปิก ที่จะโคจรผ่านโลก โดยอยู่ห่างเพียง 27,700 กิโลเมตร ใกล้กว่าการโคจรรอบโลกของดาวเทียม เมื่อเวลาประมาณ 14.25 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 02.25 น. เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการโคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุดของดาวเคราะห์น้อย

ซึ่งทาง นาซา ยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อุกกาบาตตกทางตอนกลางของรัสเซีย เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 2 เหตุการณ์ มาจากทิศทางที่ต่างกัน โดย นาซา เชื่อว่า เหตุการณ์อุกกาบาตระเบิดเหนือเมืองเชเลียบินสก์ เทือกเขาอูราล ทางตอนกลางของรัสเซีย เป็นดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็ก ประมาณ 15 เมตร หรือ ใหญ่กว่าขนาดรถยนต์ขนาดเล็ก 2 เท่า เดินทางด้วยความเร็วประมาณ 18 กม.ต่อวินาที และมีน้ำหนักราว 7,000 ตัน

สำหรับความเสียหาย สำนักข่าวบีบีซี ของอังกฤษ รายงานแบบละเอียดว่า ระเบิดร่วงหล่นในพื้นที่เขตเชเลียบินสค์ และสเวอร์ลอฟแถบเทือกเขาอูราล ของประเทศรัสเซีย ซึ่งทำให้เกิดคลื่นกระแทก ทำให้บ้านเรือนหลายหลังได้รับความเสียหาย ล่าสุด ทางการรัสเซีย ยืนยันตัวเลขผู้บาดเจ็บทั้งหมดที่ 1,200 กว่าราย โดยผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่ อยู่ในเขตเชเลียบินสค์ ซึ่งมีบาดแผลเล็กน้อย เนื่องจากเศษกระจกบาด แต่อีก 46 คน ที่อาการสาหัส ยังต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล

ด้าน ประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน กล่าวขอบคุณพระเจ้า ที่เศษอุกกาบาตดังกล่าว ตกในพื้นที่ ซึ่งมีประชากรไม่หนาแน่นมากนัก หลังจากมีการยืนยันว่า ส่วนของดาวตกขนาดใหญ่สุด ตกในที่ดินโล่งใกล้ทะเลสาบ ในภูมิภาคเชเลียบินสค์ ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งเล่าว่า คนที่กำลังเดินทางไปทำงาน ต่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงคล้ายระเบิดและมีลูกไฟพุ่งเข้ามา

จากการคาดคำนวณของ นาซา อุกกาบาตที่ตกลูกนี้ มีขนาดเท่ารถยนต์เล็ก 2 คัน ยังสามารถสร้างความเสียหายได้มากขนาดนี้ และถ้าหากวันหนึ่ง วันใด อุกกาบาตที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ร่วงมาอีก มันจะทำลายล้างรุนแรงขนาดไหน คิดแล้ว กลัวจนขนลุก ขึ้นมาทันที

www.innnews.co.th
Sun, 17 Feb 2013 04:27:08 GMT | By INNNEWS.CO.TH

6850
เกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อ นางลินดา แอคลีย์ หญิงชาวอเมริกันวัย 44 ปี ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้องรุนแรง แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เธอกลับคลอดลูกออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าตนเองตั้งครรภ์มาได้ 9 เดือนแล้ว

เกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อ นางลินดา แอคลีย์ หญิงชาวอเมริกันวัย 44 ปี ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้องรุนแรง แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เธอกลับคลอดลูกออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าตนเองตั้งครรภ์มาได้ 9 เดือนแล้ว

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ นางลินดา ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลท้องถิ่น หลังจากมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งตอนแรกเธอคิดว่ามาจากโรคไส้เลื่อน แต่เมื่อคณะแพทย์สั่งสแกนช่องท้อง ผลปรากฏว่าทั้งแพทย์และตัวเธอเองเป็นต้องตกใจอย่างยิ่ง เมื่อพบว่ามีทารกครบกำหนดคลอด 9 เดือนอยู่ในครรภ์

จากนั้นก็ส่งตัวเธอเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อดำเนินการผ่าตัด และท้ายที่สุดเธอก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรกชื่อว่า คิมเบอร์ลีย์ เคย์ แอคลีย์ ทั้งนี้ไมล์และลินดา แต่งงานกันมาเป็นเวลา 24 ปีแล้ว แต่ทั้งคู่ไม่มีลูกด้วยกันเลยแม้จะพยายามทุกวิถีทางแล้วก็ตาม ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นปาฏิหาริย์สำหรับพวกเขาอย่างยิ่ง

โดยนางลินดา เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้กับเธอมาก เนื่องจากน้ำหนักตัวของเธอก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นและประจำเดือนของเธอก็มักจะมาไม่ปกติอยู่แล้ว เธอจึงไม่เคยระแคะระคายเลยว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่

ขณะที่ ไมค์ สามีของลินดา เผยว่า ผมทั้งมีความสุขและรู้สึกช็อกในเวลาเดียวกัน บางคนมีเวลา 9 เดือนสำหรับเตรียมตัวเป็นพ่อคน แต่ผมมีแค่ 15 ชั่วโมงเท่านั้น

www.talkystory.com
Sun, 17 Feb 2013 04:43:11 GMT | By Talkystory

6851
 มะเร็งครองแชมป์คร่าชีวิต
       พบคนกรุงเสี่ยงมะเร็ง ‘ลำไส้ใหญ่-เต้านม’ สูง
       
       มะเร็งครองแชมป์โรคที่คร่าชีวิตอันดับ 1 เฉลี่ยกว่า 60% ตาย! เผยอัตรายอดผู้เป็นมะเร็งเพศชายตายมาก ด้านผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติหวั่น มะเร็ง ‘ลำไส้ใหญ่-มะเร็งเต้านม’ ยอดพุ่ง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ หลังพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เข้ากลุ่มเสี่ยงสูง
       
       มะเร็งเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้ป่วยทั่วโลกเป็นจำนวนมากในแต่ละปี แม้การแพทย์จะทันสมัยมากขึ้น แต่ผู้เป็นมะเร็งยังมีเพิ่มมากขึ้นในทุกปี อาจเนื่องจากวิถีชีวิตของคนที่ก่อให้เกิดภาวะเสี่ยงมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้
       
       ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งเปิดเผยว่า มะเร็งที่พบในร่างกายมนุษย์มีมากกว่า 100 ชนิด สาเหตุที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งมี 2 สาเหตุใหญ่ๆ ดังนี้ 1.ปัจจัยภายนอกร่างกาย เช่น อาหาร, อากาศ, ยารักษาโรค, แสงแดด, เชื้อแบคทีเรีย ฯลฯ 2.ปัจจัยภายในร่างกายที่ผิดปรกติ อาทิ พันธุกรรม, ระบบภูมิคุ้มกัน ฯลฯ

       มะเร็งครองแชมป์ตายอันดับ 1
       
       ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า มะเร็งยังคงเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้ป่วยเป็นอันดับ 1 โดยอัตราผู้ป่วย 100,000 ราย เฉลี่ย 60% เสียชีวิต และในปี 2553 มีผู้ป่วยใหม่ที่เป็นมะเร็งในประเทศไทยประมาณ 118,601 ราย เป็นเพศชายประมาณ 53,087 ราย, เพศหญิงประมาณ 65,514 ราย, อายุน้อยกว่า 65 ปีประมาณ 80,000 ราย, อายุมากกว่า 65 ปีประมาณ 38,000 ราย สำหรับผู้ที่เสียชีวิตจากการเป็นมะเร็งประมาณ 74,297 รายต่อปี เพศชายประมาณ 37,476 คน, เพศหญิงประมาณ 36,821 คน, อายุน้อยกว่า 65 ปีประมาณ 40,000 ราย, อายุมากกว่า 65 ปีประมาณ 34,000 ราย และมีอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 คนในแต่ละปี ทั้งนี้ผู้ที่อายุมากจะมีโอกาสเป็นมากกว่า
       
       ส่วนใหญ่ผู้ป่วยคนไทยเพศหญิงจะเป็นมะเร็งเต้านมเป็นอันดับ 1 อัตราเฉลี่ยของผู้ป่วยใหม่ประมาณ 35% เสียชีวิต หรือ 12 คนต่อวัน และมะเร็งปากมดลูกในผู้ป่วยใหม่ประมาณ 52% เสียชีวิต หรือ 15 คนต่อวัน ขณะที่เพศชายส่วนใหญ่เป็นมะเร็งตับ เฉลี่ยของผู้ป่วยใหม่ประมาณ 86% เสียชีวิต หรือ 55 คนต่อวัน, มะเร็งปอด เฉลี่ยผู้ป่วยใหม่ประมาณ 79% เสียชีวิต หรือ 33 คนต่อวัน, มะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก เฉลี่ยผู้ป่วยใหม่ประมาณ 49% เสียชีวิต หรือ 14 คนต่อวัน, มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
       
       หวั่นมะเร็ง
       ‘ลำไส้ใหญ่-มะเร็งเต้านม’ พุ่ง
       
       ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวต่อว่า มะเร็งที่น่าจับตามองว่ามีแนวโน้มอัตราเฉลี่ยสูงขึ้นทั่วโลกก็คือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก ในปี 2553 มีผู้ป่วยใหม่ในประเทศไทยประมาณ 10,500 คน เฉลี่ยเสียชีวิตประมาณ 5,970 คน และในปี 2558 คาดว่าจะมีผู้ป่วยมะเร็งใหม่ที่เป็นบริเวณลำไส้ใหญ่ และทวารหนักสูงถึง 12,171 คน รวมถึงอัตราผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่นับวันจะสูงขึ้น เนื่องจากมะเร็งทั้ง 2 ชนิด มักเกิดขึ้นจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป และมักพบในเมืองใหญ่ อย่างกรุงเทพฯ เพราะเกิดจากปัจจัยที่มีส่วนเร่งให้เกิดมะเร็งดังนี้ 1.อาหาร 2.ออกกำลังกาย 3.ความเครียด 4. ความอ้วน ทั้งนี้ ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติเล็งเห็นถึงความสำคัญ และกำลังทำการวิจัยโปรแกรมระดับชาติ เพื่อตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวาร ให้แก่ประชาชนต่อไป
       
       ส่วนวิธีการรักษาโรคมะเร็งนั้น ในเอกสารข้อมูลจากสถาบันมะเร็ง ระบุไว้ว่า ในการรักษามะเร็งแต่ละชนิดแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ประกอบ อาทิ บริเวณหรืออวัยวะที่เป็นเนื้อร้าย, ระยะที่เป็น, สภาพร่างกาย, อายุ ฯลฯ ซึ่งในประเทศไทยมีด้วยกันหลายวิธี และบางกรณีจำเป็นต้องรักษาร่วมกันหลายวิธี จึงจะได้ผลดีที่สุด อาทิ ผสมผสานของศัลยกรรม คือการรักษาเฉพาะที่ โดยการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็ง หรือเนื้อร้ายออก รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้าง, รังสีรักษา เป็นวิธีการรักษาเฉพาะที่ โดยการฉายแสงไปยังบริเวณเซลล์มะเร็งโดยตรง, เคมีบำบัด เป็นการรักษาทั้งตัว เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งทั้งที่ต้นตอของโรค และที่กระจายไปตามทางเดินน้ำเหลือง กระแสเลือดหรืออวัยวะอื่นของร่างกาย โดยการรับประทานยา ฉีดยาทางหลอดเลือดดำหรือแดง เป็นต้น
       
       อย่างไรก็ดี ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ บอกอีกว่า การรักษามะเร็งของไทยเป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาทิ 1.รักษาด้วยการผ่าตัด จะรักษาตรงจุด โดยคำนึงถึงอวัยวะรอบข้าง และพยายามให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด มีผลต่อร่างกายส่วนอื่นน้อยลง เช่น มะเร็งเต้านม บางรายอาจไม่ต้องตัดเต้านม ฯลฯ 2.ยาเคมี จะใช้เฉพาะจุด มุ่งที่เป้าหมายมากขึ้น ทำให้เข้าถึงมะเร็งได้ตรงจุด และฟื้นตัวเร็วขึ้น 3.การฉายแสง จะใช้เครื่องมือที่ทันสมัยแบบ 4 มิติ ในเฉพาะที่ เพื่อให้ได้ผลรวดเร็วขึ้น และมีโรคแทรกซ้อนน้อยลงด้วย
       
       สนช.การันตี “Heart Genetics”
       สุดยอดนักพยากรณ์โรคร้ายด้วยยีน!
       
       สนช.มอบรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมให้ “Heart Genetics” หลังได้รับทุนสนับสนุนให้เป็นผู้วิจัย DNA ตรวจหายีนโรคไม่ติดต่อทั้ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอ้วนและโรคมะเร็งได้สำเร็จ ระบุผลงานวิจัยนี้ถือเป็นนวัตกรรมระดับสูงและมีอยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย
       
       สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2546 ให้เป็นหน่วยงานในกำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีระบบบริหารงานที่เป็นอิสระจากระบบราชการ โดยภารกิจหลัก คือ การยกระดับความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะในสาขาอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์ และบทบาทการส่งเสริมสุขภาพโดยเน้นป้องกันโรคที่ป้องกันได้โดยเฉพาะโรคทางพันธุกรรม
       
       ล่าสุดได้เป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนนักวิจัยไทยให้ทำการวิจัยยีนของโรคทางพันธุกรรมจนประสบผลสำเร็จ และสามารถนำมาใช้ได้จริงกับประชาชนคนไทยจนผู้วิจัยได้รับรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมของศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติ
       
       ศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บอกกับ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ว่ายีนเป็นพันธุกรรมที่เล็กที่สุดและขณะนี้นักวิจัยชาวไทยสามารถทำการวิจัยหาโรคทางพันธุกรรมได้แล้ว ซึ่งถือว่าการค้นพบนี้จะสร้างคุณูปการกับคนไทยทั้งประเทศ ที่สำคัญนวัตกรรมนี้ถือเป็นนวัตกรรมขั้นสูงมีคนไทยน้อยมากที่จะทำแล้วประสบผลสำเร็จ ดังนั้นเมื่อโครงการนี้ผ่านการทดสอบจนมั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้งานได้จริง สำนักงานฯ จึงมอบรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมซึ่งบริษัท “Heart Genetics” นี้เป็น 1 ใน 10 บริษัทที่ได้รับการคัดเลือก โดยรางวัลนี้เป็นการคัดเลือกธุรกิจน่าสนใจจากการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้จนเกิดผลสำเร็จว่าสามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตของมนุษย์
       
       สำหรับการวิจัยของบริษัทดังกล่าวได้ค้นพบยีนที่สามารถนำไปวิเคราะห์ถึงโรคพันธุกรรม ซึ่งคนที่สนใจสามารถไปตรวจหาความน่าจะเป็นของโรคได้ โดยโรคที่ค้นพบแล้วคือ โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน
       
       “การตรวจหายีนที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นโรคอะไรนั้น ถือเป็นการค้นหาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และเป็นการตรวจสุขภาพแบบใหม่ เมื่อคนไปตรวจรู้ว่าตัวเองจะมีแนวโน้มเป็นโรคอะไรก็จะสามารถหาทางป้องกันโรคนั้นๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ได้ เรียกว่าเป็นการป้องกันโรคก่อนที่จะมีการรักษา ยิ่งโรคมะเร็งหากเราสามารถรู้ก่อนว่าเรามีแนวโน้มจะเป็น เราก็สามารถที่จะดูแลและป้องกันไม่ให้เป็นโรคได้”
       
       ผอ.สนช.อธิบายอีกว่า ปัจจุบันวิทยาการสมัยใหม่สามารถช่วยให้เรารักษาสุขภาพเพื่อป้องกันโรคได้จริง และสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไทยค้นพบนี้ถือเป็นความสำเร็จระดับหนึ่ง และ สนช.จะยังให้ทุนสนับสนุนต่อไปกับบริษัท Heart Genetics เพราะนวัตกรรมเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากเราวิจัยได้แต่หยุดนิ่งเราจะไม่ทันประเทศอื่นๆ ซึ่งเขามีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง และในอนาคต สนช.เชื่อว่านักวิทยาศาสตร์ไทยจะค้นพบสิ่งต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้น
       
       สำหรับการตรวจหายีนตามโครงการดังกล่าวแม้จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง เช่น ชุดตรวจหามะเร็งจะมีราคาค่าตรวจอยู่ประมาณ 4-7 หมื่นบาท ชุดตรวจหาโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน เบาหวาน และโรคอ้วนอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นบาท แต่เมื่อเข้าไปรับการตรวจแล้วพบว่าเรามีแนวโน้มอย่างไรและเราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคนั้นๆ ได้ก็ถือว่าคุ้มมาก ปัจจุบันโรงพยาบาลหลายๆ แห่งก็ให้ความสนใจกับการค้นพบครั้งนี้ และหลายๆ โรงพยาบาลก็ไปใช้บริการของบริษัทดังกล่าวแล้ว
       
       “ความจริงสำนักงานของเราให้ทุนสนับสนุนการวิจัยหลายโครงการ เช่นล่าสุดเราได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดลคิดค้นและพัฒนาอุตสาหกรรมชีวการแพทย์ได้ 2 ชนิด คือ พัฒนาเครื่องมือผ่าตัดช่องท้องผ่านสะดือโดยใช้กล้องขนาดเล็ก โดยผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดจะไม่มีบาดแผลจากการผ่าตัดให้เห็นเลย”
       
       นอกจากนี้ เรายังได้พัฒนาบลูทูเล่ ซึ่งเป็นผ้ากอซแบบใหม่ที่พัฒนาจากข้าวเพื่อทดแทนการใช้ผ้ากอซแบบเดิมซึ่งใช้สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรัง ผู้ป่วยขาขาดที่ต้องใช้ขาเทียมแล้วเกิดแผลกดทับ ซึ่งเมื่อเปิดผ้ากอซออกจะไม่มีผลต่อแผลที่เป็นอยู่เหมือนผ้าก๊อซแบบเดิม ช่วยลดอาการติดเชื้อของผู้ป่วยได้
       
       ถอดรหัสดีเอ็นเอชายวัย 48 ปี
       พบเซลล์มะเร็งปรากฏในร่างกาย
       
       กรณีตัวอย่างการตรวจสุขภาพระดับยีน ในโปรแกรม “ZERO PLUS Cocktail” เพศชายรายหนึ่ง อายุ 48 ปี ซึ่งมีรูปร่างค่อนข้างอ้วนและเคยได้รับการตรวจพบว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่จากการวิเคราะห์ถอดรหัสดีเอ็นเอกลับพบ “การกลายพันธุ์ และยีนบนโครโมโซมทั้ง 2 ข้าง มีความบกพร่อง” ซึ่งมีคุณสมบัติของเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในร่างกาย
       
       ขณะเดียวกัน ในขั้นตอนการตรวจและซักประวัติครอบครัวมีบิดาอายุ 77 ปี เป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มารดาเสียชีวิตแล้วตอนอายุ 66 ปี สาเหตุการเสียชีวิตเป็นโรคเบาหวานชนิดคนที่มีอายุ ส่วนประวัติการป่วยเป็นโรคความดันสูง, โรคหลอดเลือดสมองอุดตันจนทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์-อัมพาต เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
       
       ประวัติของพี่น้อง มีพี่สาวและน้องสาว 2 คน ปัจจุบันมีสุขภาพดี, น้องชายคนที่ 3 เป็นโรคความดันสูง, น้องชายคนที่ 5 เป็นโรคความดันสูง, น้องชายคนที่ 6 เป็นความดันสูง, ผู้รับการตรวจมีลูกสาวเป็นแฝด และลูกชาย 1 คน (มีพรสวรรค์ทางด้านภาษา 6 ภาษา)
       
       ผลสรุปจากการวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการจะเลือกยีน หรือบริเวณที่จะวิเคราะห์จากประวัติสุขภาพส่วนตัว, ประวัติครอบครัว รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม, โภชนาการ และวิธีการดำเนินชีวิต โดยเริ่มต้นจากการค้นหาตำแหน่งพันธุกรรมกลายพันธุ์แบบ somatic mutation (s) บนบริเวณ D-loop ของ mitochondrial DNA ก่อน แล้วจึงค้นหาถอดรหัสยีน หรือดีเอ็นเอ บริเวณอื่นที่เกี่ยวข้อง
       
       พบการกลายพันธุ์แบบ somatic
       
       ผลสรุปการวิเคราะห์ของผู้รับการตรวจรายนี้ ได้ข้อมูลว่า
       
       1.การวิเคราะห์ถอดรหัสดีเอ็นเอที่สกัดจากพลาสม่าบนบริเวณ D-loop ของ mitochondrial DNA (mtDNA) พบ enilmregmsihpromylop 5 ตำแหน่ง พบการกลายพันธุ์แบบ somatic mutations 11 ตำแหน่ง
       
       2.การวิเคราะห์โดยถอดรหัสยีน TP53 เพื่อค้นหา germline polymorphism ที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งที่หลายอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อ และเป็นตำแหน่งที่พบบ่อยในคนไทย คือ R72P สำหรับผู้รับการตรวจรายนี้พบว่าพันธุกรรมตำแหน่งนี้เป็น R72P heterozygous genotype
       
       3.การตรวจค้นถอดรหัสดีเอ็นเอบนบริเวณ hotspots ของการกลายพันธุ์แบบ somatic mutation บนยีน TP53 ในพลาสม่าดีเอ็นเอ ได้พบการกลายพันธุ์แบบ somatic mutations 13 ตำแหน่งบนบริเวณเนื้อยีน และนอกจากนี้ยังพบการกลายพันธุ์ที่มีลักษณะแบบ somatic mutation อีก 2 ตำแหน่งบริเวณนอกเนื้อยีน
       
       4.การวิเคราะห์ยีนที่ทำหน้าที่ขับสารพิษ (detoxifying genes) 2 ยีน คือ GSTM1, GSTT1 และ GSTP1 (โดยใช้ดีเอ็นเอที่สกัดจากเม็ดเลือดขาว) สำหรับกรณีนี้พบว่า ยีน GSTM1 บนโครโมโซมทั้ง 2 ข้าง มีความบกพร่อง ทำให้ยีนนี้ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ยีน GSTT1 มี genotype เป็นปรกติ ส่วนยีน GSTP1 มีความบกพร่องบนโครโมโซม 1 ข้าง และมี genotype เป็น I105V การกลายพันธุ์แบบ somatic mutations ที่พบในพลาสม่าดีเอ็นเอ เป็นเบาะแสที่แสดงให้เห็นว่า ขณะนี้มีเซลล์บางส่วนที่เปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ที่เริ่มมีคุณสมบัติของเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในร่างกาย
       
       ที่สำคัญในการวิเคราะห์ได้มีหมายเหตุ : ขณะนั้นสามารถพบเซลล์ผิดปรกติได้ประมาณ 1-10 เซลล์ ในเซลล์ทั้งหมดจานวน 100,000 เซลล์
       
       การกลายพันธุ์ somatic mutations พบเฉพาะในเซลล์ผู้ป่วยหรือเริ่มป่วยไม่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลาน
       
       ส่วนสมาชิกของครอบครัวที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน และมี lifestyle แบบเดียวกันอาจเกิดการกลายพันธุ์แบบ somatic mutations ในลักษณะเดียวกันได้
       
       การกลายพันธุ์แบบ somatic mutations เหล่านี้ อาจสามารถกำจัดได้โดยการปรับเปลี่ยนโภชนาการ, วิถีชีวิต (lifestyle) และสิ่งแวดล้อม การกำจัด somatic mutations ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่ปรึกษา ที่เข้าใจเรื่องการตรวจสุขภาพระดับยีน และสามารถใช้ข้อมูลระดับดีเอ็นเอในการดูแลสุขภาพ
       
       ในกรณีที่การแก้ไขทำได้สำเร็จ ไม่ควรจะตรวจพบการกลายพันธุ์ somatic mutations อีก ในการตรวจพลาสม่าดีเอ็นเอครั้งต่อไป
       
       ข้อแนะนำในการดูแลสุขภาพ
       
       อย่างไรก็ดี เมื่อ Heart Genetics ได้ทำการตรวจและแปรผลตามหลักวิชาการอย่างแม่นยำแล้ว ยังได้มีข้อแนะนำให้กับผู้ตรวจสุขภาพ โดยในกรณีนี้ระบุไว้ว่า ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ที่เข้าใจการดูแลสุขภาพระดับยีนร่วมด้วย (การกลายพันธุ์ somatic mutations จะพบเฉพาะในเซลล์ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ที่มีคุณสมบัติของเซลล์มะเร็ง หรือพบเฉพาะในเซลล์ที่ป่วยเป็นมะเร็งแล้ว)
       
       ทั้งนี้ มีตัวอย่างบางส่วนที่เป็นข้อเสนอแนะ/คำแนะนำสำหรับการลดโอกาสป่วยด้วยโรคมะเร็งจากการกลายพันธุ์บน mitochondrial DNA: คือ
       
       1.การออกกำลังกายสม่ำเสมออาจช่วยทำให้ดีเอ็นเอที่กลายพันธุ์ (somatic mutations) บนไมโตคอนเดรียลลดลง แต่การศึกษาวิจัยในส่วนนี้ยังเพิ่งเริ่มและยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกมาก
       
       2.ไมโตคอนเดรียล มีหน้าที่สร้างพลังงาน (ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่เรียกว่า ATP) โดยการเผาผลาญสารอาหารด้วยออกซิเจน (เป็นการหายใจระดับเซลล์) การทำหน้าที่นี้จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ คือ reactive oxygen species (ROS) ซึ่งสามารถทำให้ดีเอ็นเอของไมโตคอนเดรียลเกิดการเสียหายกลายพันธุ์ (แบบ somatic mutations)
       
       การกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้กระบวนการหายใจระดับเซลล์สร้าง ROS เพิ่มขึ้น และจะยิ่งมีผลทำให้เกิดการกลายพันธุ์บนไมโตคอนเดรียลเพิ่มมากยิ่งขึ้น มีหลักฐานจากงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า การบริโภคอาหารที่เป็น antioxidants สามารถช่วยแก้ไขการกลายพันธุ์ (somatic) ให้กลับมาเป็นปรกติ
       
       โดยมีหมายเหตุ สรุปท้ายว่า : คำแนะนำข้างต้นเป็นคำแนะนำที่ท่านสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แม้ว่าขณะนี้จะมี somatic mutations จำนวนน้อย หรือยังไม่มี somatic mutations เลยก็ตาม

ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์    1 กันยายน 2554

6852
ประเทศไทยกำลังมีแลปมหัศจรรย์ที่จะช่วยเรารอดพ้นจากการเจ็บป่วยใน 10 โรคร้ายได้
       • เพียงแค่เจาะเลือดก็สามารถถอดรหัสยีน-DNA ที่สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังจะป่วยด้วยโรคร้ายอะไรในอนาคต!
       • โดยเฉพาะโรคมะเร็งตัวการคร่าชีวิตในปัจจุบัน
       • ส่วนผู้สูงวัยที่ไม่ต้องการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน
       • รวมถึง พ่อ-แม่ มือใหม่หากต้องการรู้ว่าลูกคุณจะเป็นเด็กอัจฉริยะหรือออทิสติก ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป…..
      
       ปัญหาสุขภาพของสังคมไทยยังคงพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความพยายามยกระดับระบบสาธารณสุขของไทยมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม บรรดาโรคภัยต่างๆ ที่มีผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นอันดับต้นของไทย จากข้อมูลพบว่าในช่วงปี 2548-2552 โรคมะเร็งเป็นสาเหตุในการเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วย การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ปอดอักเสบ ไตอักเสบ ฆ่าตัวตายและภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าโรคภัยไข้เจ็บยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญของสังคมไทย
      
       แม้ว่าเทคโนโลยีการรักษา และเครื่องมือ ตลอดจนการศึกษาด้านสาธารณสุขของไทยจะพัฒนาขึ้นเป็นอันดับต้นๆ ของโลกแล้วก็ตาม ดังที่มุ่งหวังว่าไทยจะเป็นฮับด้านสุขภาพ แต่เหนืออื่นใดก็ต้องยอมรับว่า การรักษาสุขภาพที่ดีถือว่าเป็นการป้องกัน จะเป็นการแก้ปัญหาด้านสุขภาพได้ดีที่สุด หรือ “กันไว้ดีกว่าแก้” ซึ่งหลายครั้งก็พบว่า คนใกล้ตัวเสียชีวิตจากโรคร้ายอย่างกะทันหันโดยไม่ทันรู้ตัว
      
       จากปัญหาข้างต้น จึงมีความพยายามของนักวิชาการชาวไทยที่พยายามคิดค้นและสืบลึกลงไปถึงต้นเหตุและพัฒนาวิธีการตรวจค้นและป้องกันการเกิดโรคดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 30 ปี ซึ่งห้องปฏิบัติการ ฮาร์ท เจเนติกส์ จำกัด ได้ค้นพบตรวจการระดับยีนแห่งแรกของไทย ที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพก่อนที่จะสายเกินเยียวยา เพื่อเตรียมการป้องกันและรักษาอย่างถูกต้องที่สุด

รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร
      

ห้องปฏิบัติการบริษัทฮาร์ท เจเนติกส์ จำกัด
       “ไฮเทค-ข้อมูล”
       เจาะต้นตอพบโรคร้าย
      
       นวัตกรรมดังที่กล่าวมาเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆ อย่างการตรวจเลือดเหมือนที่พบเห็นกันทั่วไป แต่มีการลงลึกไปในระดับเม็ดเลือด เซลล์ หรือโฟกัสไปยังยีน ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญของมนุษย์ในการทำหน้าที่และออกคำสั่งให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงาน ตลอดจนการคัดกรองเชื้อโรค
      
       การตรวจหาสาเหตุโรคร้ายในระดับยีนถูกพัฒนาไปอย่างสูงซึ่งสามารถตรวจจากเลือด และชิ้นเนื้อเพื่อสกัดลงไปในชั้นดีเอ็นเอ เพื่อตรวจสอบการเกิดโรค รวมถึงการใช้ยาและวิธีการที่ตรงกับ สาเหตุการเกิดโรค เนื่องจากยีนจะเป็นตัวกำหนดหน้าที่และการทำงานของเซลล์ภายในร่างกาย ซึ่งการตรวจในระดับยีนจะทำให้ทราบว่ายีนยังสามารถทำงานได้ปกติหรือไม่ หรือมีปัญหาที่จะก่อให้เกิดโรคในอนาคตหรือไม่ รวมถึงคำนวณระยะเวลาที่จะเกิดโรคได้ ซึ่งนำไปสู่ขั้นตอนในการตรวจให้คำแนะนำและการปรึกษาก่อนทำการรักษา (PreCounselling) เพื่อส่งต่อข้อมูลให้แพทย์ทำการวินิจฉัยแนะนำการป้องกันในกรณีที่มีแนวโน้มที่จะเกิดโรค หรือเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะกับชนิดและสาเหตุของโรคเพื่อทำการรักษาต่อไป
      
       การตรวจวิเคราะห์ยีนจึงเหนือกว่าการตรวจเลือดของโรงพยาบาลทั่วไป เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยในเรื่องการถอดรหัสดีเอ็นเอเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ที่สำคัญคือมีการรวบรวมข้อมูลดีเอ็นเอไว้กว่า 28,000 ราย หรือมี “DNA Bank” มากที่สุดในประเทศ โดยเป็นการศึกษาวิจัยและค้นพบโดย รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร อดีตนักวิจัยด้านความหลากหลายและการกลายพันธุ์ของยีน (ทุนอุดหนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล) และอื่นๆ ปัจจุบัน ซีอีโอ บริษัท ฮาร์ท เจเนติกส์ จำกัด ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐใน 2 หน่วยงาน คือ 1.สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (NIA) และ 2.ศูนย์ความเป็นเลิศทางชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (TCELS) จุดสำคัญก็คือ การเจาะเลือดโดยอ้างอิงและตรวจในระดับยีน ซึ่งการตรวจในรูปแบบเฉพาะรายบุคคลนี้จะช่วยให้การตรวจรักษามีความถูกต้องและเหมาะสมกับผู้เข้ารับการรักษาได้ดีที่สุด

       เจาะเลือดรู้ลึกถึงโรคร้าย
      
       รศ.ดร.คล้ายอัปสร บอกว่า การตรวจเลือดเพื่อเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิเคราะห์สาเหตุการเกิดโรคต่างๆ มีขั้นตอนดังนี้ คือ เมื่อเจาะเลือดทำการปั่นเลือด แยกเลือดระหว่างพลาสม่าและเม็ดเลือดขาวออกมา โดยเม็ดเลือดขาวจะนำไปตรวจหายีนที่กลายพันธุ์และนำไปสู่โรคร้ายต่างๆ
      
       ขณะที่พลาสมาจะถูกนำไปสกัดดีเอ็นเอเพื่อหาจุดที่เกิดเซลล์มะเร็งในยีนทั้งจากครอบครัวที่มีประวัติการป่วยและที่ไม่มีการป่วย เพราะฉะนั้นความแม่นยำส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับครอบครัว การประพฤติปฏิบัติตัว สิ่งแวดล้อมในการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล และเมื่อนำผลการตรวจไปพิจารณาประกอบกับประวัติครอบครัวก็จะสามารถจำกัดวงและจุดที่จะเกิดโรคได้ รวมถึงการมีฐานข้อมูลในการศึกษาจากต่างประเทศเพื่อนำไปสู่การให้คำแนะนำเพื่อป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง
      
       วิธีการตรวจเลือดนี้จะทำการตรวจในระดับที่ลึกลงไปเพื่อตรวจในระดับพลาสมาของยีน ที่จะช่วยให้ได้รู้ถึงแนวโน้มและความเป็นไปได้ของการเกิดโรค ซึ่งทราบกันดีว่าดีเอ็นเอเป็นยีนพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งสามารถกลายพันธุ์ได้ใน 2 ลักษณะคือ 1.Germline Mutation ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ที่ถ่ายทอดทางสายเลือดของบุคคลในครอบครัวซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ อันได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งสมอง และมะเร็งเม็ดเลือด
      
       2.Somatic Mutation เป็นการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเองภายหลัง และจะถูกกระตุ้นให้เกิดโรคหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีหรือสัมผัสสารก่อมะเร็งไม่รู้ตัว เช่น อยู่ใกล้ผู้สูบบุหรี่ สัมผัสสารก่อมะเร็ง โลหะหนัก หรือเชื้อไวรัสบางชนิด ซึ่งโอกาสที่จะเป็นมะเร็งในชนิดที่ใกล้เคียงกับกลุ่มแรกเพียงแต่อาจเกิดโรคในช่วงอายุที่มากขึ้น โดยผู้ที่ประวัติครอบครัวไม่พบผู้ป่วยในโรคร้ายมาก่อนก็จะค่อนข้างมั่นใจในสุขภาพ โดยลืมไปว่าโอกาสที่จะเกิดโรคร้ายมีอยู่เช่นกัน และเมื่อตรวจพบก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นการเกิดมะเร็ง ลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเกิดโรคและรับมือได้เร็วที่สุด
      
       สแกนมะเร็งตัวร้าย
      
       เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงด้านสุขภาพ โรคร้ายที่สร้างความสูญเสียแก่คนไทยเป็นอันดับ 1 ก็คือ โรคมะเร็ง ที่มีอัตราการเสียชีวิตแซงหน้าโรคร้ายอื่นๆ อย่างรวดเร็ว หรือกล่าวได้ว่าในช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมาจะมีผู้เสียชีวิตในประเทศไทยถึงชั่วโมงละ 6 คน ดังนั้น จึงกลับมาให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของโรคมะเร็งอย่างเข้มข้นมาก รวมถึงศึกษาวิจัยเพื่อความแม่นยำและเน้นถึงแนวทางในการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค
      
       จากข้อมูลในปี พ.ศ. 2552 มีจำนวนผู้ป่วยเนื้องอกและมะเร็งและเสียชีวิตรวมกันกว่า 58,076 ราย ขณะที่ในปี 2553 ตัวเลขผู้ป่วยใหม่สูงถึงประมาณ 118,601 ราย หรือมีอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 คนในแต่ละปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ปริมาณผู้ป่วยโรคมะเร็งมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจากข้อมูลการวิจัยพบว่า พันธุกรรมเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งเพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการอยู่ที่สิ่งแวดล้อมไม่ดีจะนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งที่รวดเร็ว การค้นหาต้นตอก่อนการเกิดโรค ซึ่งสามารถทำได้ใน 2 ขั้นตอน คือ 1.การตรวจชิ้นเนื้อและนำมาสกัดดีเอ็นเอ ปัญหาบางส่วนมาจากการที่ไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อมาตรวจได้ ก็สามารถสกัดดีเอ็นเอจากเลือดได้ และ 2.การตรวจจากเลือดโดยตรง ซึ่งจะนำไปพิจารณาเทียบเคียงกับกรณีการเทียบเคียงของผู้ป่วยโรคมะเร็งจนสามารถประเมินความเป็นไปได้ของการเจ็บป่วย
      
       ทว่า จุดสำคัญที่สุดในการตรวจหาโรคมะเร็งโดยทั่วไปที่มักตรวจพบในระยะที่ 1-4 ซึ่งหมายความว่าผู้เข้ารับการตรวจตกอยู่ในสถานะผู้ป่วยแล้วไม่ว่าจะอยู่ในขั้นที่ 1-4 ก็ตาม ซึ่งจะเป็นอันตรายเนื่องจากอัตราการขยายตัวของเซลล์เนื้อร้ายจะลุกลามแบ่งตัวขึ้นแบบทวีคูณหากมีการแตกตัวของเซลล์มะเร็งในขั้นที่ 2-4 และนำไปสู่การสูญเสียชีวิตในที่สุด
      
       “เซลล์เพียงเซลล์เดียวหลุดมาเพียง 1 เซลล์ในกระแสเลือด ในช่วงก่อนที่จะพบว่าเป็นมะเร็งตรวจเจอค่อนข้างยากแต่ก็สามารถตรวจได้อย่างแม่นยำ ทำให้เตรียมตัวรักษาได้ และที่สำคัญคือผู้ที่ไม่เคยมีประวัติการป่วยเป็นมะเร็งก็สามารถตรวจได้ เพราะมีโอกาสเป็นเช่นกัน”
      
       รวมถึงระยะเวลาของการบ่มเพาะและการเติบโตและแสดงอาการของโรคมะเร็งใช้ระยะเวลาที่แตกต่างกัน จึงเป็นเหตุผลว่า ผู้ที่ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีจึงไม่พบว่าตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่การตรวจวิเคราะห์ในพลาสมาดีเอ็นเอเพื่อค้นหาเซลล์มะเร็งก่อนการป่วยระยะที่ 1 (ระยะที่ 0) หรือเรียกว่า ZeroPlus นี้ บุคคลทั่วไปไม่สามารถที่จะสังเกต หรือตรวจพบอาการใดๆ ได้เลย
      
       ขณะที่การตรวจในระยะที่ 0 หรือก่อนเข้าสู่การป่วย ซึ่งตรวจในขั้นตอนปรกติค่อนข้างยากเนื่องจากจะมีเซลล์มะเร็งปรากฏในกระแสเลือดเพียง 1ใน 1,000,000 เซลล์ รวมถึงดีเอ็นเอในพลาสม่าจะย่อยสลายตัวเร็ว จึงค่อนข้างยากในการตรวจสอบ แต่การตรวจเจอในขั้นนี้จะสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดโรคด้วยการรักษาสุขภาพ รับประทานอาหารชีวจิต ซึ่งหากเข้าสู่ในขั้นที่ 1 ที่สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็งได้ง่าย เนื่องจากมีจำนวนเซลล์มะเร็งไหลเวียนในกระแสเลือดถึง 1,000 ล้านเซลล์ แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ป่วยที่ต้องใช้การรักษาแล้ว ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น
      
       ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการดังกล่าวสามารถตรวจเซลล์มะเร็งในระดับ 0 ก่อนขั้นที่ 1 (Zero plus) ได้เพียงแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือเป็น 1 ใน 4 แห่งที่สามารถตรวจได้ในโลก โดยมีในสหรัฐอเมริกา 2 แห่ง เยอรมนี 1 แห่ง และไทย 1 แห่งเท่านั้น

       วางแผนชีวิต
       “สร้างอัจฉริยะ - ป้องกันโรคร้าย”
      
       นอกเหนือจากการตรวจมะเร็งแล้ว ยังสามารถตรวจโรคอื่นๆ รวมถึงการตรวจยีนเพื่อค้นหาความเป็นอัจฉริยะของลูกก็สามารถตรวจพบได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฝึกฝนและพัฒนาอย่างถูกวิธีโดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กที่ความเป็นอัจฉริยะที่สามารถตรวจหา “พรสวรรค์” และครอบครัวสามารถฝึกฝน “พรแสวง” ให้พัฒนาไปพร้อมๆ กันเพื่อสร้างเด็กอัจฉริยะให้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งในช่วงเด็กแรกเกิดสามารถตรวจได้ทันทีจากการเจาะเลือด ซึ่งในช่วงวัย 3-5 ขวบเป็นช่วงของการบ่มเพาะความสามารถของเด็กให้พัฒนาอย่างถูกทางและเหมาะสมที่สุด
      
       “เด็กแรกเกิดสามารถตรวจค้นแววความเป็นอัจฉริยะได้ทั้งในทางวิชาการ หรือด้านกีฬา ซึ่งเมื่อทราบว่ามียีนเด่นเรื่องใด พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถจะปรับหรือสร้างการเรียนรู้ที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาให้พรสวรรค์ที่ติดตัวมาปรากฏขึ้นมาได้ ซึ่งหากช้าไปหรือพัฒนาไม่ถูกทางพรสวรรค์ที่ติดตัวมาก็จะหายไปเนื่องจากไม่ถูกพัฒนาอย่างถูกวิธี” รศ.ดร.คล้ายอัปสรกล่าว
      
       รวมถึงปัญหาของเด็กออทิสติก หรือสมาธิสั้น ก็สามารถตรวจพบจากการตรวจยีนเช่นกัน เมื่อผู้ปกครองทราบตั้งแต่ต้นจะสามารถเตรียมการรับมือและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อดูแลได้อย่างถูกต้องต่อไป แต่สำหรับผู้ป่วยหรือบุคคลทั่วไป ก็สามารถตรวจค้นหาโรคร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อที่จะวางแผนการใช้ชีวิตประจำวันให้เหมาะสม และวางแผนในชีวิตและการรักษาโรคไว้ล่วงหน้า ก่อนที่โรคร้ายจะลุกลามเกินแก้ไข
      
       นอกจากนี้ ตรวจหาโรคภัยที่เมื่อล่วงเข้าสู่วัยชราที่มักพบเจอกันบ่อย อันได้แก่ โรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน ซึ่งโรคเหล่านี้จะสร้างปัญหาในช่วงวัยชราและเมื่อค้นพบแต่เนิ่นๆ ก็จะสามารถดูแลตนเองได้อย่างถูกวิธี ซึ่งวิธีการตรวจในระดับยีนสามารถตรวจค้นโรคได้กว่า 10 โรค ดังนี้
      
       1.มะเร็งทุกชนิด 2.โรคหลอดเลือดหัวใจ-สมอง อุดตันจากคอเลสเตอรอล 3.โรคหัวใจอุดตันกะทันหัน 4.โรคเบาหวาน (เบาหวานเมื่ออายุเยอะและตรวจไม่พบในช่วงแรก) 5.โรคอ้วนจากพันธุกรรม 6.โรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ 7.โรคตับแข็ง 8.โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ 9.สมาธิสั้น ออทิสติก และ 10.ความเป็นอัจฉริยะ
      
       ขณะเดียวกัน แล็บของฮาร์ท เจเนติกส์ ยังสามารถตรวจสุขภาพระดับยีนเพื่อหาโรคอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมโลกได้อีก ด้วยการกำหนดรหัสจำเพาะเพื่อตรวจหาแต่ละโรคได้ด้วย
      
       เปรียบเทียบตรวจ
       “ดีเอ็นเอ-เลือด”
      
       แต่เมื่อถามว่าการตรวจโรคในระดับของยีนและการเจาะเลือดทั่วไปตามที่พบเห็นในโรงพยาบาลทั่วไป มีความแตกต่างกันอย่างไร แม้ว่าเบื้องต้นจะมีการเจาะเลือดที่เหมือนกันโดยเก็บตัวอย่างได้ใน 2 ทาง คือ เจาะเลือดทั่วไปหรือการใช้เซลล์เยื่อกระพุ้งแก้ม แต่การตรวจค้นในระดับยีนซึ่งลึกลงไปและเฉพาะเจาะจงกว่าการตรวจเลือดทั่วไป
      
       จุดที่แตกต่างกันก็คือ การตรวจเลือดโดยทั่วไปสามารถบอกได้เพียงว่าเป็นโรคใด จำนวนกี่โรค รวมถึงสามารถตรวจได้เพียงในรายการที่กำหนดไว้ และที่สำคัญคือ การตรวจภายหลังที่มีการป่วยหรือเกิดการติดเชื้อหรือขยายตัวของโรคแล้ว
      
       แต่การตรวจเลือดในระดับดีเอ็นเอ นอกจากจะสามารถรู้ว่าป่วยเป็นโรคใดแล้ว ยังสามารถรู้ถึงโอกาสที่จะเจ็บป่วยได้ก่อนที่จะแสดงอาการ รวมถึงยังประเมินระยะเวลาในการเกิดโรค ไปจนถึงสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงระบุจุดที่จะเกิดโรคต่างๆ ได้ โดยเทียบเคียงกับประวัติของครอบครัวและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลการวิจัยเพื่อความแม่นยำในการพิจารณาเป็นข้อมูลให้กับแพทย์เพื่อเลือกวิธีการในการรักษาต่อไป
      
       อย่างไรก็ตาม ในโรงพยาบาลทั่วไปบางแห่งก็พบว่ามีการตรวจเลือดในระดับดีเอ็นเอเช่นกัน หากแต่มีในกลุ่มโรคที่มีปริมาณผู้ป่วยมาก และใช้เวลานานเนื่องจากในแต่ละกรณีต้องส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศเพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งใช้เวลาในการตรวจราวๆ 1 ปี แต่ข้อดีของฮาร์ท เจเนติกส์ คือ การตรวจภายในประเทศไทยได้ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาวิเคราะห์และมีความสะดวกในการเข้ารับการตรวจและรักษา รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญโดยตรงในด้านการถอดรหัสดีเอ็นเอ ซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ที่หากวัดจากปริมาณทั้งหมดทั่วโลกจะมีเพียง 100 แห่งทั่วโลก
      
       ตรวจยีน ตรงยา-รักษาง่าย
      
       การพัฒนาวิธีการตรวจค้นหาสาเหตุหรือการรักษาที่ตรงจุดของของโรคโดยตรง ซึ่งไม่รู้เพียงแค่ป่วยเป็นโรคอะไร แต่สามารถรับรู้ได้ว่าร่างกายของผู้ป่วยจะรับหรือปฏิเสธสารเคมีประเภทใดบ้าง จึงเหมือนเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและเลือกวิธีการรักษาโรคที่เหมาะสมได้ง่าย ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหายจากโรคได้ดียิ่งขึ้น หรือการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีต่างๆ อาทิ การฉายรังสีเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง การใช้เคมีบำบัด “การทำคีโม” ตลอดจนการบำบัดด้วยฮอร์โมน ซึ่งการรักษาในบางวิธีอาจส่งผลร้ายต่อการรักษาแทน ตัวอย่างเช่น ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ค้นพบว่ายีนในร่างกายไม่อาจถูกรังสีได้ ซึ่งหากทำการรักษาอาจจะทำให้เป็นการกระตุ้นให้มะเร็งแตกตัวได้เร็วขึ้น แทนที่จะหยุดยั้งการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง
      
       ดังนั้น วิธีการตรวจในระดับยีนจึงมีความพิเศษกว่าการตรวจทั่วไป โดยจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวินิจฉัยของแพทย์ว่ารักษามาถูกทางหรือไม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการหายจากโรค ลดความเจ็บปวดจากขั้นตอนการรักษา ประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค หรือมีข้อควรระวังเช่นไรทั้งการรับประทานอาหาร การอยู่ใกล้วัตถุที่เพิ่มความเสี่ยงของโรค รวมถึงการตรวจภายหลังการรักษาโรคว่าโรคร้ายหายจริงหรือไม่หรือยังมีเชื้อโรคร้ายอยู่ หรือสรุปง่ายๆว่า “เลือกยา ตรงยีน” นั่นเอง
      
       “บางครั้งผู้ป่วยต้องการที่จะทราบถึงกระบวนการรักษาของแพทย์ที่จะได้ผลหรือไม่ ซึ่งต่อมาก็พบว่าการรักษาโรคมะเร็งที่เป็นอยู่มีสาเหตุจากการใช้ยาไม่ถูกประเภท การใช้ยาหรือวิธีการรักษา ซึ่งการใช้ยาในบางกลุ่มไม่ถูกกับโรค เมื่อใช้ไป ซึ่งมะเร็งลำไส้ที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ไม่ตอบสนองต่อตัวยาจึงทำให้ยาที่ให้ไปไม่เกิดผลในการรักษา และเซลล์มะเร็งก็กระจายต่อไปได้” รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร กล่าว
      
       หวั่นข้อมูลดีเอ็นเอไทยไหล
      
       อย่างไรก็ตาม การตรวจโรคในระดับยีนกำลังเป็นทิศทางที่วงการแพทย์ของโลกพยายามที่จะยกระดับขึ้นไป ซึ่งส่วนหนึ่งจะช่วยในการรักษา ขณะที่ส่วนหนึ่งก็คือ ฐานข้อมูลยีนของประเทศต่างๆ จะถูกพัฒนาและปรับปรุงในการออกแบบยาและอาหารเสริมให้เหมาะสมตามแต่ละภูมิภาค โดยปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างกว้างขวางในสัตว์เศรษฐกิจและพืชเศรษฐกิจไปแล้ว
      
       ดังนั้น การค้นคว้าวิจัยยีนเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดและผลิตอาหารและยาให้ตรงกับกลุ่มผู้ใช้ให้เหมาะสมมากขึ้น จะถือว่าเป็นการยกระดับการรักษาโรคครั้งสำคัญ แต่ยังมีจุดที่น่าเป็นห่วงก็คือ การค้นคว้าวิจัยและการเก็บข้อมูลในต่างประเทศมีความพร้อมและมีนักวิจัยเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีกลุ่มธุรกิจที่พร้อมลงทุนมากกว่า ซึ่งหากข้อมูลยีนของคนไทยไปอยู่ในมือต่างชาติ อาจทำให้เกิดการผลิตสินค้าต่างๆ มาขายในประเทศไทย ซึ่งอาจทำให้ราคาสูง หรือมองในแง่ร้ายในประเด็นด้านความมั่นคง ก็อาจนำไปสู่การผลิตอาวุธชีวภาพ ที่เกิดผลเฉพาะกลุ่มได้ด้วย
      
       ด้วยเหตุนี้ การวิจัยในระดับยีนจึงเป็นก้าวแห่งการค้นคว้าที่สำคัญของวงการวิทยาการทางการแพทย์ไทย เบื้องต้นจะสามารถช่วยในการป้องกันการเกิดโรคและอาจลดอัตราการเสียชีวิตของคนไทยได้...
      
      

6853
นักวิจัยดีเอ็นเอเผยโอกาสเกิดมะเร็งกว่าร้อยละ 90 มาจากพฤติกรรมการกินอยู่ สิ่งแวดล้อม และการรับสิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกาย ส่งผลยีนกลายพันธุ์เพาะเชื้อมะเร็ง ชี้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม-ล้างพิษช่วยลดได้ ขณะคีโม-ฉายรังสีโอกาสหายมีน้อย เตือนใช้สเต็มเซลล์ยิ่งเร่งมะเร็งโต เผยมีเคสตัวอย่างดูดีแต่ภายนอก แต่ดีเอ็นเอพรุนหมด
       
       รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ทางเอเอสทีวี ดำเนินรายการโดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ วันที่ 16 ก.พ. รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และกรรมการห้องปฏิบัติการฮาร์ท จีเนติกส์ แขกรับเชิญในรายการ ได้กล่าวถึงการทำงานของห้องปฏิบัติการฮาร์ท จีเนติกส์ว่า ได้ทำงานเกี่ยวกับการวิจัยถอดรหัสดีเอ็นเอที่เกี่ยวกับโรคเรื้อรัง เช่น หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน และที่ทำอยู่ปัจจุบันคือคือการตรวจมะเร็งตั้งแต่ก่อนขั้นที่ 1 ซึ่งยังไม่ป่วยเลย การตรวจดีเอ็นเอผู้ป่วยมะเร็งที่ป่วยแล้วว่าหายป่วยหรือยัง การตรวจการตอบสนองของผู้ป่วยมะเร็งเพื่อวางแผนการรักษา การตรวจทั้งหมดจะใช้ฐานข้อมูลจีโนมมนุษย์ที่สหรัฐอเมริกาและประเทศทางตะวันตกได้ร่วมกันวิจัยเอาไว้เป็นเวลา 13 ปี ใช้เงินมากกว่า 3 พันล้านเหรียญ โดยมีฐานข้อมูลจีโนมมนุษย์ 13 คน ให้เราใช้โดยไม่คิดมูลค่า
       
       รศ.ดร.คล้ายอัปสรกล่าวต่อว่า การเป็นมะเร็งนั้น มีทั้งติดตัวมาตั้งแต่เกิด เรียกว่าเป็นกรรมพันธุ์ เราสามารถเก็บเซลล์ในร่างกายมาถอดรหัสดีเอ็นเอเพื่อดูว่าเกิดมะเร็งที่ตรงไหน เมื่อตรวจพบก็สามารถก็เอาไปตรวจในคนที่ยังไม่ป่วยได้ เพื่อหาทางป้องกัน ซึ่งตำแหน่งที่ตรวจพบในชิ้นเนื้อของคนที่ป่วย สามารถบอกได้ว่าคนที่ยังไม่ป่วยจะป่วยเป็นมะเร็งอะไร และบางกรณีสามารถบอกได้ว่าจะป่วยภายในกี่ปี
       
       ส่วนสาเหตุการเกิดมะเร็งอีกสาเหตุหนึ่งคือการกลายพันธุ์ของยีน เรียกว่า ยีนโซมาติก ซึ่งเมื่อเราตรวจพบก็สามารถบอกได้เช่นกันว่าจะเป็นมะเร็งอะไร โดยการเกิดยีนโซมาติกนี้มาจากพฤติกรรมการกินอยู่ หรือการรับสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย เมื่อตรวจพบแล้วสามารถป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งได้ ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมและหยุดการเอาสิ่งแปลกปลอมจากข้างนอกเข้าไปในร่างกาย มีเคสที่เราตรวจพบยีนโซมาติกเพียงนิดเดียว ซึ่งแค่เปลี่ยนพฤติกรรมก็สามารถหยุดการเป็นมะเร็งได้ แต่เขาไม่เปลี่ยนพฤติกรรม กลับไปเอาอะไรบางอย่างเข้าไปในร่างกาย ทำให้ขณะนี้มียีนโซมาติกเต็มไปหมด และถ้าทิ้งไว้จะเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะหากดีเอ็นเอส่วนที่ทำหน้าที่ป้องกันมะเร็งที่เรียกว่ายีนนางฟ้าไม่สามารถทำหน้าที่ได้ หรือยีนที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมตัวเอง ทำงานไม่ได้ ก็จะทำให้เป็นมะเร็งทันที
       
       การเกิดยีนโซมาติกนั้น เกิดได้ทั้งจากสิ่งแวดล้อมพฤติกรรมการกินอยู่ และกรรมพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์มาจากสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมรวมทั้งการรับเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย เมื่อเป็นแล้วต้องหาทางให้ภูมิคุ้มกันกลับคืนมา ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม และอย่าทำอะไรที่ทำให้สถานการณ์แย่ลง มีกรณีศึกษาที่เราตรวจพบและแนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิธีการกินอยู่ แต่เขาไม่ทำตาม กลับไปฉีดเอาอะไรบางอย่างเข้ามา คือ สเต็มเซลล์จากสัตว์ ซึ่งตอนนนี้เขากำลังจะป่วยเป็นมะเร็งแล้ว
       
       จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ มีผู้มะเร็งในไทยเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1 แสนคน เสียชีวิตปีละ 6 หมื่นคน หรือเฉลี่ยแล้วทุกวันมีผู้ป่วยมะเร็งใหม่ 11.5 คน เสียชีวิต 1 คนในทุกๆ 10 นาที โดยผู้ป่วยใหม่ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนั้น 9 คนพบว่า ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งมาก่อน อยู่ๆ ก็เป็น นั่นเพราะเกิดยีนโซมาติกจากพฤติกรรมการกินอยู่ ซึ่งหากยีนโซมาติกยังน้อยอยู่ก็สามารถแก้ไขได้
       
       รศ.ดร.คล้ายอัปสร กล่าวว่า การรักษามะเร็งด้วยการทำคีโมหรือการฉายรังสีนั้น สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แต่ก็ไปสร้างมะเร็งตัวใหม่ขึ้นมา หรือไปเลี้ยงให้มะเร็งอีกชนิดเติบโตขึ้นมาได้ ส่วนการฉีดสเต็มเซลล์นั้น เนื่องจากเป็นเซลล์อ่อน จึงแพร่กระจายไปทุกที่ในร่างกาย และไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งหรือไปเจอเซลล์ปกติในร่างกายที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น ไขกระดูกสันหลัง ก็จะเข้าไปแทรกกันอยู่
       
       ในร่างกายของเรานั้นมีกลไกการป้องกันอยู่แล้ว โดยมียีนที่เรียกว่า ยีนล้างพิษหรือยีนขับสารพิษ ยีนซ่อมยีน ยีนก่อมะเร็ง ยีนกำจัดเซลล์มะเร็ง และยีนของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งแล็บของเราจะตรวจยีนล้างพิษหรือยีนขับสารพิษเป็นหลัก ถ้าตรวจแล้วพบว่ายังปกติอยู่ ก็แนะนำว่าอย่าไปทำอะไรที่เป็นพฤติกรรมแย่ๆ จนทำให้ยีนทำงานไม่ไหว อย่างไรก็ตาม บางคนที่ร่างกายอ่อนแอ อาจมียีนชนิดนี้น้อย ก็ยิ่งต้องระวังอย่ารับอะไรแปลกปลอมเข้ามา เช่น เป็นเด็ก หากไปฉีดวัคซีนอาจทำให้เป็นออทิสติก ซึ่งเมื่อตรวจเจอ พ่อแม่ก็ต้องระมัดระวังว่าหลังลูกคลอดต้องไม่ให้รับอะไรแปลกปลอมเข้ามา
       
       รศ.ดร.คล้ายอัปสรกล่าวอีกว่า ยีนโซมาติกสามารถทำให้หายได้ โดยมีงานวิจัยระบุว่า เวลาเรามีสมาธิร่างกายเราจะหลั่งสารภูมิคุ้มกันออกมา กรณีที่กลุ่มสันติอโศกทำการล้างพิษตับ ดื่มน้ำผักผลไม้ ดื่มน้ำด่าง ลดการรับประทานเนื้อสัตว์ ก็น่าจะเปลี่ยนยีนโซมาติกได้ เนื่องจากมีงานวิจัยของฝรั่งรองรับว่าการลดการรับประทานเนื้อแดงนั้นสามารถช่วยได้ เพราะเราลดการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย เอาแต่สิ่งที่เป็นธรรมชาติเข้าไป ลดอาหาร พิษที่สะสมในร่างกายก็จะออกมา จึงลดยีนโซมาติกลงได้
       
       การรักษามะเร็งด้วยการใช้สารเคมีหรือฉายรังสีนั้น ไม่ใช่คำตอบ เว้นแต่จะโชคดีจริงๆ หากสารเคมีที่ใช้มีความสดคล้องกับเซลล์มะเร็งที่เป็น หากเปรียบเซลล์มะเร็งเป็นผู้ร้าย การใช้คีโมหรือฉายรังสีก็เหมือนกับตำรวจปิดตายิงผู้ร้าย ซึ่งนอกจากอาจจะยิงผู้ร้ายไม่โดนแล้ว ยังไปโดนคนอื่นที่ไม่ใช่ผู้ร้ายด้วย
       
       สำหรับแล็บที่ทำอยู่ มีการตรวจมาแล้วประมาณเกือบ 1 พันตัวอย่าง เริ่มจากฐานข้อมูลเดิมที่เป็นการตรวจหลอดเลือดหัวใจ ตอนหลังที่เราทำอยู่เป็นการตรวจหามะเร็ง ซึ่งเราสามรารถพัฒนายีนมาร์กเกอร์ของเราขึ้นมา และมียีนตัวอย่างของคนไทยเก็บไว้ เมื่อเราตรวจ เราสามารถมองเห็นเลยว่า มีการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอที่จะทำให้เราป่วยในอนาคตมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เราไม่รู้ตัว เวลามาหาแพทย์ก็รักษายากแล้ว เป็นถึงขั้นที่ 3 หรือ 4 แล้ว เพราะเราคิดว่า เราสบายดี ประวัติครอบครัวไม่มีใครเป็นมะเร็ง เราไม่กังวล และละเลยที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เมื่อมาตรวจเจอก็ป่วยเป็นมะเร็งแล้ว
       
       รศ.ดร.คล้ายอัปสรย้ำว่า การลกความเสี่ยงของการเกิดยีนโซมาติกต้องแก้ที่พฤติกรรมการกินอยู่ ซึ่งการล้างพิษตับก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง มีสถิติที่โรงพยาบาลอุบลราชธานีทำไว้เป็นเวลากว่า 10 ปี โดยให้ผู้ป่วยมะเร็งเลือกเอาว่าจะรักษาแบบแผนปัจจุบัน หรือจะไปกินยาต้มยาหม้อ ปรากฏว่าผู้ป่วยที่กินยาต้มยาหม้อสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าพวกที่รักษาโดยใช้เคมี แต่งานวิจัยนี้ไม่ได้เผยแพร่ เพราะมีความขัดแย้งกันอยู่
       
       นอกจากนี้ อยากเตือนเรื่องการใช้สเต็มเซลล์ที่กำลังนิยมกัน ทั้งเพื่อความงามและรักษามะเร็ง การใช้สเต็มเซลล์จะมีดีเอ็นเอแปลกปลอมจากสัตว์เข้ามาในร่างกายของเรา เคยเจอบางคนที่ใช้สเต็มเซลล์แล้วดูดี ผ่องใสแต่ภายนอก แต่ดีเอ็นเอพรุนไปหมดจากการฉีดสิ่งแปลกปลอมเข้าไป
       
       รศ.ดร.คล้ายอัปสรกล่าวในตอนท้ายว่า การจะตรวจอีเอ็นเอหรือไม่ตรวจนั้น ถ้าเรามีพฤติกรรมดี พฤติกรรมที่ถูกต้อง ถ้ากลัวเรื่องสารพิษ เราก็มีทางเลือกแบบการล้างพิษ ซึ่งถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องตรวจ เพราะค่าตรวจแพง แต่ถ้าบางคนสงสัย ก็อาจต้องตรวจ โดยการตรวจอาจเปรียบเทียบกันก่อนกับหลังการล้างพิษ หรือล้างพิษแล้วมาตรวจก็จะชัดมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้สนใจตรวจเเอ็นเอ สามารถติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-8698870-71

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 กุมภาพันธ์ 2556

6854
ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ๕ โรงแรมเซ็นทรา อาคาร B ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ

การลงทะเบียนช่วงเช้า  มี นพ.ชวน ชีพเจริญรัตน์ (รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์)เป็นผู้ดำเนินการ


นพ.เกรียงศักดิ์ พิมพ์ดา(รพ.อุดรธานี)  เป็นพิธีกรช่วงเช้า


พญ.สุธัญญา บรรจงภาค(รพ.นครปฐม) เป็นผู้ดำเนินการประชุมธุรการเลือกตั้งกรรมการบริหารสมาพันธ์วาระ ๒๕๕๖-๒๕๕๘


นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ (เลขาธิการแพทยสภา) ร่วมแสดงความคิดเห็น


ผู้เข้าร่วมประชุมช่วงเช้า


นพ.ประดิษฐ์ ไชยบุตร(รพ.ราชบุรี) ดำเนินการอภิปราย Quality of Patient Care : เปิดโลกทรรศน์ “อะไรคือคุณภาพ”


เริ่มอภิปราย จาก พญ.เมธินี ไหมแพง (ผู้ช่วยประธานคณะผู้บริหารศูนย์การแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ) ต่อด้วยนพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวง สธ. และนพ.เจษฎา จงไพบูลย์พัฒนะ(ผอก.รพ.วชิระภูเก็ต)


พญ.พจนา กองเงิน ที่ปรึกษาสมาพันธ์ฯ มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวง สธ.


พญ.พจนา กองเงิน ที่ปรึกษาสมาพันธ์ฯ มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ พญ.เมธินี ไหมแพง


พญ.พจนา กองเงิน ที่ปรึกษาสมาพันธ์ฯ มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ นพ.เจษฎา จงไพบูลย์พัฒนะ โดยมีนพ.ศิริชัย ศิลปอาชา ร่วมแสดงความยินดี


บรรยากาศการแสดงความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม เรื่องบทบาทและทิศทางของสมาพันธ์ฯ หลังอาหารมื้อเที่ยง


นพ.ภีศเดช สัมมานันท์(รพ.นครพิงค์ เชียงใหม่) กล่าวรายงานต่อ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมช.สธ.


นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมช.สธ.กล่าวเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการภาคบ่าย และแสดงความคิดเห็นหลายประเด็น


บรรยากาศผู้เข้าร่วมประชุมช่วงบ่าย  Quality of work life : พวกเราชาว สธ. อยู่กันอย่างไร? หรือจะไปกันแบบนี้? ดำเนินการอภิปรายโดย นพ.ประดิษฐ์ ไชยบุตร(รพ.ราชบุรี)


คุณอรวรรณ นุ้ยภักดี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคล สำนักงาน กพ. อภิปรายเป็นคนแรก


นพ. ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ (ปลัดกระทรวงสาธารณสุข) พูดถึงนโยบายของกระทรวงฯหลายเรื่อง และตอบคำถามของผู้เข้าร่วมประชุม


นพ. วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี (กรรมการแพทยสภา) พูดถึงประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายที่มีผลกระทบต่อการประกอบวิชาชีพของพวกเรา


พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ(รพ.สุรินทร์) มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ นพ. ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ (ปลัดกระทรวงสาธารณสุข)


พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ(รพ.สุรินทร์)มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ คุณอรวรรณ นุ้ยภักดี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคล กพ.


นพ.เพิ่มบุญ จิรยศบุญศักดิ์(รพ.สงขลา) มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ นพ. วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี (กรรมการแพทยสภา)


ถ่ายรูปร่วมกับ ปลัดกระทรวงฯ หลังปิดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ๒๕๕๖ ของสมาพันธ์

6855
  “หมอสมศักดิ์” นั่งเก้าอี้นายกแพทยสภา สมัยที่ 2 เครือข่ายผู้ป่วยกังวลเอื้อเอกชน     
       
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เชิญคณะกรรมการแพทยสภา วาระใหม่ พ.ศ. 2556-2558 มาประชุมพร้อมกันเป็นครั้งแรก เพื่อเลือกคณะผู้บริหารแพทยสภา ผลการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ได้มีมติเลือกและแต่งตั้งทีมผู้บริหารแพทยสภาใหม่ ดังนี้
1.นายกแพทยสภา ได้แก่ ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา 
2.อุปนายกแพทยสภา คนที่ 1 ได้แก่ ศ.นพ.สิน อนุราษฎร์
3.อุปนายกแพทยสภา คนที่ 2 ได้แก่ พล.ต.ท.นพ.จงเจตน์ อาวเจนต์พงษ์ 
4.เลขาธิการแพทยสภา ได้แก่ นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์
5.รองเลขาธิการแพทยสภา ได้แก่ น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ 
6.เหรัญญิกแพทยสภา ได้แก่ นพ.สมศักดิ์ เจริญชัยปิยกุล  และ
6.โฆษกแพทยสภา ได้แก่ พญ.ชัญวลี ศรีสุโข 
ซึ่งรายนามทีมผู้บริหารแพทยสภาทั้งหมด จะมีประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการต่อไป           
       
       นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหาย ทางการแพทย์ กล่าวว่า ไม่แปลกใจกับรายชื่อดังกล่าว สิ่งที่กังวล ก็คือ กลุ่มคนเหล่านี้มีความพยายามในการคัดค้านร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการบริการสาธารณสุข พ.ศ.... มาตลอด และเชื่อว่า จะสนับสนุนการเดินหน้าของโรงพยาบาลเอกชนตามนโยบายเมดิคัลฮับ หากเป็นเช่นนั้น ประชาชนจะได้รับผลกระทบแน่นอน อย่างไรก็ตาม มองว่า หากฝ่ายการเมืองเห็นถึงประชาชนเป็นสำคัญ ก็ควรเดินหน้าร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ไม่ใช่หยุดชะงักเช่นนี้ เนื่องจากเครือข่ายฯยังคงติดตาม ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจ ที่จะผลักดันร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว  เนื่องจากเรียกร้องมานานนับสิบปีแล้ว แต่ปัญหาคือ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวเป็นวาระค้างพิจารณาอยู่ในสภา ซึ่งสภาฯ ได้ส่งกลับให้ สธ.พิจารณาใหม่ให้เหมาะสมเพื่อนำกลับเข้าสภาฯ อีกครั้ง แต่จนบัดนี้กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ           
       
       “เท่าที่ทราบ สธ.ได้ตั้งคณะกรรมการปรับปรุงร่างกฎหมายตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 เพื่อยกร่าง พ.ร.บ.หลักฯ จนถึงวันนี้เกือบครบ 1 แล้ว ยังไม่มีการปรับปรุงร่างกฎหมายแม้แต่มาตราเดียว แต่กลับมีการตั้งอนุกรรมการเพื่อพิจารณาว่าควรมีหรือไม่ควรมี พ.ร.บ.ฉบับนี้ ทำให้เครือข่ายมีความวิตกกังวล ว่า ตราบใดที่กระทรวงไม่ส่งร่างหลักเข้าสภา ทางสภาก็จะไม่มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้” นางปรียนันท์ กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 กุมภาพันธ์ 2556

หน้า: 1 ... 455 456 [457] 458 459 ... 651