ข่าวที่กล่าวถึงการพบ “ซาก” ทารกที่เกิดจากการทำแท้งเป็นจำนวนกว่า 2,000 ซากนั้น ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกเศร้าสลดใจ ไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นบาปหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของผู้กระทำที่จะชั่งน้ำหนักเอาว่า
กรรมที่ตกแก่แม่เด็กที่จะต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างทุกข์ทรมานเพราะมีเด็ก กรรมที่ตกแก่เด็กที่เกิดมาโดยไม่มีใครต้องการ และเมื่อเด็กนั้นเติบโตขึ้น อาจจะไปสร้างต่อกรรมกับผู้อื่นอีกกับกรรมของคนที่เป็นผู้ขัดขวางมิให้การ สร้างกรรมที่กล่าวมานี้ยุติลง ใครจะทำบาปกรรมที่หนักกว่ากัน
มองมุมกลับเด็กเหล่านี้พ่อแม่ไม่พึงปรารถนา รัฐก็ไม่มีงบจะเลี้ยง คุณหญิงคุณนายก็ได้แต่พูดไม่เคยรับเลี้ยงอย่างจริงจัง (ลูกของตัวเองยังเละเทะ) หากไม่มีการทำเช่นนี้ 10 ปีที่ผ่านมา เมืองไทยจะมีประชากรไม่พึงปรารถนาเหล่านี้มากเท่าใด?
การจับกุมหญิงที่ทำแท้ง การกระทำของหมอ (จริงๆ) ที่ทำแท้งเถื่อน (เพราะกฎหมายบอกว่าผิด) แต่หญิงปลอดภัยทุกคนจะเป็นต่อสังคมร้ายแรงมากกว่าการปล่อยให้เด็กที่ทั้งรัฐ และคุณหญิง คุณนายทั้งหลายไม่ปรารถนา เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กแว้น เด็กสก๊อย หรือเด็กช่างกลไล่ตีกัน ฆ่ากัน เสพยาเสพติดกัน ตลอดจนเป็นแกนนำม็อบสมุนม็อบที่คุณภาพต่ำเผาบ้านเผาเมืองเล่นเช่นนี้กัน กระนั้นหรือ?
ห้ามทำแท้งยังไม่พอ แม้แต่วิธีคุมกำเนิดต่างๆ ก็ไม่ให้เข้าถึง
RU 486 (ยาคุมกำเนิด)ก็ไม่ให้ใช้
ยาเหน็บแก้โรคกระเพาะ(cytotec)ก็ต้องควบคุมไม่ให้ซื้อ
ยาคุมกำเนิดหลังร่วมเพศ 72 ชั่วโมงก็ไม่ให้ขาย
แต่กลับให้ขายไวอะกร้าได้ โดยไม่เคร่งครัด
ยาพวกนี้จึงแพร่หลายอยู่ในตลาดมืด เมื่อเป็นยาต้องห้ามราคาก็ต้องแพง
ญาติอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขที่ออกคำสั่งห้าม
จึงได้กำไรจากการขายยาอย่างมหาศาล
ไม่ได้เกี่ยวกับการมีศีลธรรมแต่อย่างใดเลย
พวกที่ขายยาปลอมทั้งหลายได้โอกาสซ้ำเติมเข้าไปอีก
แพทย์ที่ทำแท้งให้หญิงอย่างปลอดภัย ถูกไล่จับดำเนินคดี ผลก็คือ แพทย์ดีๆ ติดคุก หมอเถื่อนที่ทำให้หญิงตายกลับไม่มีใครจับ(ดูคำพิพากษาฎีกาที่ 954/2502 น.1262) ค่าทำแท้งก็แพงขึ้น บวกค่าเสี่ยงภัยเข้าไปด้วย หมอเถื่อนยิ่งกำไรใหญ่ เพราะไม่เสี่ยงภัยใดๆ
กฎหมายที่ลงโทษหญิงที่ทำแท้งเพียงฝ่ายเดียว
จึงเป็นกฎหมายไร้ความเสมอภาค ขัดรัฐธรรมนูญ สมควรจะถูกยกเลิกไป
ความเข้าใจผิดที่ว่าตามประมวลกฎหมายอาญานั้น ลงโทษแพทย์ที่ทำแท้งเป็นเหตุให้ตำรวจทำผิดกฎหมายที่ไปจับแพทย์ทำแท้ง เพราะกฎหมายอาญาอนุญาตให้แพทย์ทำแท้งได้ เพื่อให้หญิงปลอดภัยจากการหาหมอเถื่อน!!!
ป.อาญา มาตรา 305 ที่บัญญัติว่า “ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา 301 และมาตรา 302 นั้น เป็นการกระทำของนายแพทย์ และ
(1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น หรือ
(2) หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 282 มาตรา 283 หรือมาตรา 284
ผู้กระทำไม่มีความผิด ”
กำหนดให้นายแพทย์ทำแท้งได้ตามเงื่อนไข โดยไม่มีความผิด
เท่ากับให้อำนาจแพทย์ทำแท้งได้
คนที่ไม่ใช่แพทย์ทำแท้งไม่ได้
เหมือนกับการที่กฎหมายให้อำนาจตำรวจจับกุมผู้ที่กระทำความผิดซึ่งหน้าได้ โดยไม่ต้องมีหมาย ตำรวจย่อมไม่มีความผิด มิใช่ว่าเห็นตำรวจจับกุมผู้ที่กระทำความผิดซึ่งหน้าต้องไล่จับตำรวจดำเนิน คดี ข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขัง กระนั้นหรือ? จะเอาอย่านั้นก็เอา !!!
ดังนั้นเมื่อพบว่า แพทย์ทำแท้งให้หญิง ตำรวจต้องถือว่ามีอำนาจทำได้ เว้นแต่ตนจะมีหลักฐานว่าทำไม่ถูกตามเงื่อนไข ตามที่แพทย์สภากำหนด
มิใช่ว่าจับแพทย์ก่อนแล้วไปหาเหตุเอาทีหลัง
ตำรวจจะถูกฟ้องกลับทั้งตามมาตรา 157 มาตรา 201 และมาตรา 173 และ 174
แต่หากผู้ที่กระทำไม่ใช่แพทย์ หรือผู้ช่วยของแพทย์ แต่เป็นหมอเถื่อนแล้ว จึงสมควรจะจับกุมดำเนินคดี จึงสมควรที่ตำรวจจะไปจับหมอเถื่อนที่ทำแท้งไม่ใช่จับแพทย์ที่ทำโดยปลอดภัย ให้หญิง
ที่กฎหมายบัญญัติเช่นนี้ก็เพราะเห็นว่า
1. การทำแท้งเป็น Self punishment ของหญิงอยู่แล้ว หญิงจะกระทำความผิดนี้ได้ไม่เกิน 2 ครั้งต่อหนึ่งชาติละกระมัง! ไม่เหมือนการลักทรัพย์ที่อาจทำได้ทุกวัน
2. ต้องการให้หญิงมีทางเลือกมากขึ้น บาปบุญคุณโทษของใครของมัน ไม่ใช่เอากฎหมายไปบังคับให้คนทำบุญ มิฉะนั้นจะติดคุก
3. ต้องการให้หญิงทำแท้งได้โดยปลอดภัย ค่าใช้จ่ายถูก ไม่ต้องเสี่ยงหลบๆ ซ่อนๆ
4. ต้องการทำลายกระบวนการหมอเถื่อนที่รับจ้างทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัยแล้วไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ
5. ไม่มีหญิงใดจะไปทำแท้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ดังนั้น เมื่อรัฐไม่ดูแลหญิง ไม่ดูแลเด็ก ไม่ส่งเสริมการคุมกำเนิดที่ถูกต้อง (มียาคุมออกใหม่ห้ามขายเสียหมด) แถมยังไล่จับแพทย์ที่ทำแท้งหญิงให้ปลอดภัยเสียอีก เท่ากับผลักดันให้หญิงต้องไปทำแท้งกับหมอเถื่อน ซึ่งผลที่ออกมาคือไม่ตายก็พิการ ก็เท่ากับรัฐเป็นฆาตกร ฆ่าทั้งแม่และเด็กเสียเอง
การดำเนินการจึงต้องตั้งหลักให้ถูกว่า
จะจับแพทย์ที่ทำแท้งเถื่อนหรือควรจะจับหมอเถื่อนที่ทำแท้ง (หญิง)
หากดำเนินการผิดพลาดไปแล้วโดยจับแพทย์ที่ทำแท้งเถื่อน (หญิง) ปลอดภัยและอาจจะทำโดยถูกต้องตามเงื่อนไขของกฎหมายก็ได้) แต่ไม่ไปจับหมอเถื่อนที่ทำแท้ง (หญิงตายหรือพิการ) เราคงมิใช่เพียงแต่พบร่างของซากเด็กกว่า 2,000 ศพเท่านั้น
หากแต่อาจจะมีศพของแม่เด็กเพิ่มขึ้นมาอีกกว่าครึ่งทีเดียว
( เรื่อง โดย ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ )
มติชนออนไลน์ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553