ผู้เขียน หัวข้อ: ตร.จ่อแจ้ง 2 ข้อหาหมอเจ้าของคลินิกทำอุ้มบุญ  (อ่าน 709 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9779
    • ดูรายละเอียด
พนักงานสอบสวนมั่นใจจะสรุปเอาผิดแพทย์เจ้าของคลินิกรับทำอุ้มบุญได้ใน 2 ข้อหา เนื่องจากมีพยานบุคคลและสถานที่กระทำความผิดที่ชัดเจน ด้านทนายชิเกตะเสนอให้ ตร.เดินทางไปสอบปากคำถึงญี่ปุ่น
       
       วันนี้ (27 ส.ค.) พ.ต.อ.ภาคภูม พูลศิริโภคา พงส.ผทค.สน.ลาดพร้าว กล่าวถึงความคืบหน้าคดีอุ้มบุญว่า นายก้อง สุริยมณฑล จะนำเอกสารคำชี้แจงของนายชิเกตะ มัตซูโตกิ เอกสารแสดงการเเต่งตั้งทนายความและมอบอำนาจให้นายก้องดำเนินการด้านคดีแทนนายชิเกตะฉบับจริงมอบให้พนักงานสอบสวนในวันที่ 29 ส.ค.นี้ และจะเชิญตัวนายชาตรี พินใย นิติกร ชำนาญการพิเศษ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เข้าปากคำเพิ่มเติมภายในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ยอมรับว่าคดีในส่วนของ สน.ลาดพร้าวนั้นใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงการสอบปากคำนายชิเกตะเท่านั้นซึ่งตนต้องทำเรื่องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาก่อนว่าจะสามารถเดินทางไปสอบปากคำนายชิเกตะตามที่นายก้องเสนอได้หรือไม่
       
       ด้าน พ.ต.อ.เดชา พรมสุวรรณ์ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.ลุมพินี กล่าวว่า ขณะนี้ได้สอบปากคำแม่อุ้มบุญไปแล้วทั้งสิ้น 7 ปาก และวันนี้ได้รับการประสานจากแม่อุ้มบุญที่เหลือทั้ง 4 คนว่าขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำเนื่องจากยังไม่พร้อมที่จะเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวน โดยขอเลื่อนเข้าให้ปากคำในวันพรุ่งนี้ คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะสามารถสอบปากคำแม่อุ้มบุญที่เหลือได้ทั้งหมด และกระบวนการหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐาน เสนอต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาดำเนินการในขั้นตอนต่อไป พร้อมกันนี้ยังได้เสนอแนวทางว่าจะมีการสอบปากคำบุคคลที่พยานกล่าวอ้างถึงว่าเป็นนายหน้า
       
       พ.ต.อ.เดชากล่าวต่อว่า สำหรับกรณี นพ.พิสิฐ สันติวัฒนากุล เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ เวชกรรม เฉพาะทางสูตินรีเวชย่านเพลินจิต ที่ได้ประสานจะเข้าให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวน ขณะก็ยังยืนยันว่าจะเดินทางมาพบในวันที่ 6 ก.ย.นี้ เช่นเดิม อีกทั้งในส่วนที่จะมีการส่งเจ้าหน้าที่ เดินไปสอบปากคำนายชิเกตะที่ประเทศญี่ปุ่นหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้เนื่องจากทางผู้บังคับบัญชาได้มีแบ่งความรับผิดชอบของงานแล้ว แต่ยืนยันว่าการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมขณะนี้ สามารถเอาผิดต่อสถานพยาบาลรวมทั้งแพทย์ที่เกี่ยวข้องได้ โดยในวันนี้เวลา 11.00 น.ทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องจะเข้าร่วมหารือแนวทางการดำเนินงานกับ พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วย ผบ.ตร ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
       
       พล.ต.ท.ก่อเกียรติกล่าวว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานไปแล้วรวม 7 คน ส่วนที่เหลืออีก 4 คนนั้นคาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะแล้วเสร็จ พร้อมยืนยันว่า ตำรวจสามารถดำเนินการเอาผิดต่อ นพ.พิสิฐ เจ้าของสถานพยาบาลออลไอวีเอฟ เวชกรรม เฉพาะทางสูตินรีเวช ย่านเพลินจิตได้ใน 2 ข้อหา คือ ไม่ควบคุมดูแลแพทย์ในสถานพยาบาลให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าดัวยวิชาชีพเวชกรรม มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 20,000บาท และข้อหาลักลอบเปิดสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ได้ขึ้นทะเบียนต่อราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาท เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีหลักฐานและพยานบุคคลรวมทั้งสถานที่ในการกระทำผิดที่ชัดเจน
       
       อย่างไรก็ตาม นายชิเกตะ มัตซูโตกิ พ่อชาวญี่ปุ่นนั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้กองการต่างประเทศ รวมทั้งประสานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและชี้แจงรายงานความเป็นอยู่ของเด็กและพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ระหว่างนี้อยู่ระหว่างรอเอกสาร นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ประสานไปยังประเทศญี่ปุ่นที่เชื่อว่านายชิเกตะอาศัยอยู่เพื่อนำตัวกลับมาให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวนซึ่งทางเจ้าหน้าที่เชื่อว่านายชิเกตะจะเดินทางมาให้ปากคำ เนื่องจากจะต้องมีการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเป็นผู้ครองของเด็ก สำหรับการดำเนินคดี กับพ่อชาวญี่ปุ่นและอุ้มบุญนั้นยังไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากการผลการตรวจดีเอ็นเอได้ยืนยันว่านายชิเกตะเป็นพ่อของเด็กทั้ง 12 คนจริง รวมทั้งยังไม่พบว่ามีความผิดเข้าข่ายการค้ามนุษย์ จึงไม่สามารถดำเนินคดีได้

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000098112
27 สิงหาคม 2557