ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 4-10 พ.ย.2555  (อ่าน 1090 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 4-10 พ.ย.2555
« เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2012, 13:09:44 »
1. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จฯ แทนพระองค์ ถวายผ้าพระกฐินทางชลมารค ยิ่งใหญ่งดงามตระการตา!
       
       เมื่อวันที่ 9 พ.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินและประทับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค.2554 สำหรับกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 17 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยครั้งล่าสุด จัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พ.ย.2550
       
       ทั้งนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ถึงท่าวาสุกรี ในเวลา 15.00น. โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เฝ้ารับเสด็จ จากนั้นพระองค์ได้เสด็จฯ ไปยังสะพานฉนวนท่าน้ำวาสุกรี ก่อนเสด็จฯ ประทับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ส่งเสด็จฯ ที่ท่าน้ำวาสุกรี
       
       จากนั้นกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคได้เคลื่อนไปตามลำน้ำ โดยริ้วขบวนมีเรือจำนวนทั้งสิ้น 52 ลำ ประกอบด้วย เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ,เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ,เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 ,เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ และเรือพระราชพิธีอื่นๆ อีก 40 ลำ โดยใช้กำลังพลและฝีพายจากกองทัพเรือจำนวนทั้งสิ้น 2,311 นาย ยาตราไปตามลำน้ำเจ้าพระยา ผ่านสะพานพระราม 8 สวนสันติชัยปราการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า พระบรมมหาราชวัง วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร และกองทัพเรือ รวมระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ยาตรามาถึงบริเวณหน้าโรงพยาบาลศิริราช สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงลุกขึ้นยืนและทรงทำวันทยหัตถ์ถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมทรงหันพระพักตร์ไปทางอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 ซึ่งเป็นที่ประทับของทั้งสองพระองค์ ขณะที่ฝีพายทุกคน เมื่อเรือยาตราถึงหน้าโรงพยาบาลศิริราช จะหยุดพายและหันหน้าไปทำวันทยหัตถ์ถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเช่นกัน
       
       ทั้งนี้ เมื่อเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ยาตราถึงวัดอรุณราชวราราม สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ เข้าสู่พระอุโบสถ เพื่อประกอบพิธีถวายผ้าพระกฐิน เมื่อแล้วเสร็จ จึงเสด็จฯ กลับ
       
       สำหรับกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งนี้ มีประชาชนจากทุกสารทิศมารอชมความงดงามแน่นขนัดสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยก่อนที่พระราชพิธีจะเริ่มขึ้น ได้มีฝนตกปรอยๆ แต่ก็ได้หยุดลงเมื่อพระราชพิธีใกล้จะเริ่ม
       
       2. ฝ่ายค้าน ยื่นซักฟอก-ถอดถอน “ยิ่งลักษณ์-สุกำพล-ชัจจ์” แล้ว ด้าน “สุกำพล” เซ็นถอดยศ “อภิสิทธิ์” ขณะที่เจ้าตัวโวย กลั่นแกล้ง เตรียมฟ้องศาล ปค.!

       เมื่อวันที่ 8 พ.ย. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่ง ได้เข้ายื่นญัตติถอดถอนรัฐมนตรีต่อนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา โดยเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เมื่อพบว่ารัฐมนตรีบริหารงานเข้าข่ายข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ ทุจริต หรือผิดกฎหมาย ฝ่ายค้านสามารถเข้าชื่อยื่นถอดถอนได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 271 ก่อนที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ซึ่งฝ่ายค้านได้เข้าชื่อกันจำนวน 157 คน แบ่งเป็นพรรคประชาธิปัตย์ 155 คน และพรรครักประเทศไทย 2 คน
       
       นายจุรินทร์ เผยว่า บุคคลที่ฝ่ายค้านยื่นถอดถอนมี 3 คน ประกอบด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ,พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
       
       ขณะที่นายนิคม บอกว่า จะนำญัตติถอดถอนรัฐมนตรีแจ้งให้ที่ประชุมวุฒิสภาทราบในวันที่ 12 พ.ย. และจะตรวจสอบจำนวน ส.ส.ที่เข้าชื่อ รวมทั้งความถูกต้องของญัตติ ก่อนส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ภายใน 15 วัน เมื่อ ป.ป.ช.สรุปผลอย่างไร จะส่งให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 274 โดยการจะถอดถอนได้ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 หรือ 90 คน พร้อมยืนยัน จะรักษาเอกสารการยื่นถอดถอนรัฐมนตรีไว้เป็นความลับ จะเปิดเผยเมื่อถึงเวลาอันสมควร
       
       ทั้งนี้ หลังยื่นญัตติถอดถอนรัฐมนตรีได้ 1 วัน(9 พ.ย.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ได้นำทีม ส.ส.ของพรรคฯ ไปยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก 3 คน ประกอบด้วย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ,พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยยื่นต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนายสมศักดิ์ บอกว่า จะตรวจสอบความถูกต้องของลายมือชื่อผู้ยื่นญัตติ คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าคงแล้วเสร็จ จากนั้นจะประสานวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านหารือเพื่อร่วมกันกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ
       
       อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล ได้ออกมาบอกว่า วิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านได้ร่วมกันกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วว่า ระหว่างวันที่ 25-27 พ.ย. โดยลงมติในวันที่ 27 พ.ย.
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติถอดถอนและอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบางคน ดูเหมือนว่ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยได้พยายามบี้พรรคประชาธปัตย์ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ ให้หลุดจากแวดวงการเมือง โดย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 1 ในรัฐมนตรีที่ถูกยื่นถอดถอนและจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้ออกมาบอก(8 พ.ย.)ว่า ตนได้ลงนามเห็นชอบมติของคณะกรรมการรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการถอดยศและเรียกคืนเบี้ยหวัดจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แล้ว พร้อมยืนยัน ไม่ได้มีการตั้งธงเรื่องการถอดยศนายอภิสิทธิ์แต่อย่างใด
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.อ.ม.ล.ประสบชัย เกษมสันต์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการถอดยศและเรียกเบี้ยหวัดคืนจากนายอภิสิทธิ์ ได้ส่งผลการพิจารณาให้ พล.อ.อ.สุกำพล เซ็นคำสั่งรับทราบ โดยคณะกรรมการมีข้อสรุป 3 ข้อ คือ 1.การลงโทษกรณีที่นายอภิสิทธิ์ใช้เอกสารเท็จในการขึ้นทะเบียนเป็นทหาร 2.การบรรจุเป็นอาจารย์โรงเรียนายร้อยพระจุลจอมเกล้าไม่ถูกต้อง และ 3.เรื่องการแต่งตั้งยศที่ไม่ถูกต้อง โดยหลังจาก พล.อ.อ.สุกำพล เซ็นรับทราบแล้ว จะส่งเรื่องไปยังสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อยกเลิกเพิกถอนคำสั่งการบรรจุเป็นนายทหารยศร้อยตรี จากนั้นจะส่งเรื่องไปยังสำนักราชเลขาธิการ เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีการถอดยศนายอภิสิทธิ์ต่อไป ซึ่งขั้นตอนในการถอดยศยังต้องใช้เวลาอีกนานในการดำเนินการ
       
       อย่างไรก็ตาม มี รายงานว่า วันที่ 12 พ.ย.อาจรู้ผลว่ากระทรวงกลาโหมจะลงโทษนายอภิสิทธิ์อย่างไร โดยโทษทางวินัยมีตั้งแต่ภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม กัก ขัง และจำขัง รวมถึงการให้ออกจากราชการและไล่ออก ซึ่งขณะนี้นายอภิสิทธิ์ยังคงครองยศร้อยตรีอยู่ เพียงแต่นายอภิสิทธิ์เลือกที่จะไม่ใช้ยศร้อยตรีนำหน้าชื่อ
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ ได้ออกมาสวนกลับ พล.อ.อ.สุกำพลและคณะกรรมการที่สรุปผลถอดยศตน โดยชี้ว่า เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง พยายามทุกวิถีทางที่จะล้มญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และกำจัดตนออกจากการเมือง จึงเร่งรัดและรีบสรุปเรื่องนี้ ทั้งที่ตนได้มีหนังสือขอความเป็นธรรมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว “รายละเอียดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเซ็นไป ผมมั่นใจว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งเนื้อหา สาระ กระบวนการ ซึ่งเป็นที่มาของคำสั่งฉบับนี้ ผมจึงมอบให้ฝ่ายกฎหมายร่างหนังสือโต้แย้ง ส่งให้ศาลปกครองวินิจฉัย เพราะเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนจะยื่นเมื่อไรนั้น คงต้องรอคำสั่งของกระทรวงกลาโหมที่เป็นเอกสารก่อน”
       
       3. “เสธ.อ้าย” นัดชุมนุมใหญ่ 24 พ.ย.ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งเป้า 1ล้านคน ยัน ไม่เคลื่อนขบวน-ไม่ยืดเยื้อ ไม่เกิน 2 วันจบ!

       เมื่อวันที่ 10 พ.ย. พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม ได้แถลงนัดชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 2 หลังชุมนุมครั้งแรกที่สนามม้านางเลิ้งเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยบอกว่า ทางกลุ่มนัดชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่เวลา 09.01น. เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล และว่า การชุมนุมครั้งนี้จะไม่มีการเคลื่อนขบวนไปตามจุดต่างๆ เพราะไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อน โดยตั้งเป้าจะมีผู้เข้าร่วมชุมนุม 1 ล้านคน พร้อมยืนยันว่า การชุมนุมจะไม่ยืดเยื้อ โดยจะจบภายใน 1 หรือไม่เกิน 2 วัน 1 คืน ทุกอย่างจะต้องจบลง
       
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 พ.ย. คณะศิษย์เก่าเตรียมทหารบางรุ่น นำโดย พล.อ.ธนู ศรียากูล ประธานศิษย์เก่าเตรียมทหารรุ่น 5 และ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร แกนนำเตรียมทหารรุ่น 5 ญาติผู้พี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รวมตัวกันที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ก่อนอ่านแถลงการณ์ต่อต้านการปฏิวัติ พร้อมเรียกร้องให้ พล.อ.บุญเลิศ หยุดสร้างความแตกแยกในสังคม และให้ลาออกจากประธานศิษย์เก่านักเรียนเตรียมทหาร เพื่อรักษาชื่อเสียงของสถาบันมิให้เสื่อมเสีย
       
       ขณะที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ได้เตือน พล.อ.บุญเลิศ ให้หยุดเคลื่อนไหว เพราะบ้านเมืองดีอยู่แล้ว ควรปล่อยไปตามครรลองประชาธิปไตย “ถ้าพี่อ้ายคิดว่าม็อบท่านมีมาก ผมคิดว่าผมมีมากกว่าท่านมาก และไม่ต้องใช้เงินด้วย”
       
       ด้าน พล.อ.บุญเลิศ ไม่แปลกใจที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์คัดค้านการชุมนุมของตน เพราะ พล.อ.ชัยสิทธิ์ใช้นามสกุลชินวัตร และที่ผ่านมาก็ได้ดีเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย จึงจำเป็นต้องออกมาเคลื่อนไหวเพื่อตอบแทนบุญคุณ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.บุญเลิศ ยังยืนยันด้วยว่า ตนจะไม่ลาออกจากการเป็นประธานมูลนิธินักเรียนเตรียมทหารตามที่เตรียมทหารบางส่วนเรียกร้องอย่างแน่นอน เพราะตำแหน่งดังกล่าว ตนได้รับเลือกตั้งจากอดีตนักเรียนเตรียมทหารทั้ง 30 รุ่น และที่ผ่านมา ตนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งมาแล้วถึง 2 ครั้ง
       
       4. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องประมูล 3 จี ให้ศาล ปค.วินิจฉัย มีการแข่งขันเป็นธรรมหรือไม่ พร้อมขอศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว!

       เมื่อวันที่ 8 พ.ย. นายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงผลการพิจารณากรณีมีหลายกลุ่มร้องเรียนเรื่องการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ หรือ 3 จี เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ว่า คณะทำงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติเอกฉันท์เห็นพ้องกับคำร้องทั้งจากนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ,กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจทีโอที ,กลุ่ม ส.ว.นำโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน ที่ส่งเรื่องพร้อมความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการประมูล 3 จี จึงมีมติส่งเรื่องให้ศาลปกครองวินิจฉัย ตามอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน มาตรา 14
       
       ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติให้ส่งข้อเสนอแนะเพิ่มเติมต่อศาลปกครองด้วย โดยขอให้ศาลฯ ไต่สวนฉุกเฉินหรือชะลอการออกใบอนุญาตการประมูล 3 จีให้แก่เอกชน นายรักษเกชา บอกด้วยว่า หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลปกครองในการวินิจฉัย และอาจมีการแตกประเด็นไต่สวนออกไปในกรณีอื่นๆ ได้อีก เช่น การประมูล 3 จี เข้าข่ายฮั้วประมูลหรือไม่
       
       ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดิน มองว่า การดำเนินการประมูล 3 จี ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 ที่ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีเป็นธรรม แต่การประมูลครั้งนี้มีผู้เข้าแข่งขันเพียง 3 ราย และมีการแข่งขันเพื่อแย่งชิงราคากันเพียงแค่ 3 สล็อต จากทั้งหมด 9 สล็อต ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ เพราะประมูลได้น้อยกว่าราคาประเมิน
       
       ด้านนายประวิช รัตนเพียร ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงการทำหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีการประมูล 3 จีว่า ไม่อยากให้มองว่าการดำเนินการของผู้ตรวจการแผ่นดินจะทำให้เกิดความล่าช้าในการนำเทคโนโลยี 3 จี มาใช้ แต่การได้มาซึ่งระบบ 3 จี ต้องเป็นไปโดยถูกต้องตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะต้องไม่ลืมว่าคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสมบัติของทุกคน ดังนั้นเมื่อมีการร้องเรียน และปรากฏเหตุการณ์ จึงจำเป็นต้องให้มีการตัดสินโดยศาลปกครอง และไม่ว่าผลการพิจารณาจะออกมาอย่างไร ขอให้ทุกฝ่ายยอมรับ เพื่อความชัดเจนและเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติต่อไป
       
       ทั้งนี้ ศาลปกครองได้รับเรื่องไว้ในสารบบความ โดยหลังจากนี้จะมีการจ่ายสำนวนให้องค์คณะตุลาการพิจารณาคำฟ้องเพื่อมีคำสั่งต่อไปว่าจะให้ไต่สวนฉุกเฉินหรือไม่
       
       ด้าน พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) และประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) พูดถึงมติของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ส่งเรื่องให้ศาลปกครองวินิจฉัยเรื่องการประมูล 3 จีว่า ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด พร้อมชี้ว่า เรื่องของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ เป็น พ.ร.บ.ใหม่ หากผู้ที่ศึกษาไม่ลึกซึ้งอาจไม่เข้าใจ และว่า การที่ศาลปกครองรับเรื่อง 3 จีไว้ไต่สวน ถือเป็นเรื่องดีที่ กสทช.จะได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยพร้อมเข้าให้ปากคำต่อศาลปกครองทันที พ.อ.เศรษฐพงค์ ยังดักคอเอกชนที่เข้าร่วมประมูล 3 จีด้วยว่า หากศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับหรือชะลอการให้ใบอนุญาต 3 จี ผู้ประกอบการภาคเอกชนไม่มีสิทธิฟ้อง กสทช.เพราะเป็นคำสั่งของศาล
       
       5. ศาล รธน.ไม่รับตีความสัญญาขายข้าวจีทูจีเข้าข่าย ม.190 หรือไม่ พร้อมไม่รับวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส. “ยงยุทธ” เหตุเจ้าตัวลาออกแล้ว!

       ความคืบหน้ากรณีที่สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) 67 คน ได้ยื่นคำร้องให้นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี) จำนวน 7.32 ล้านตันของรัฐบาล เข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องให้ที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบก่อนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 หรือไม่ ซึ่งประธานวุฒิสภาได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องดังกล่าวไว้วินิจฉัย โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากยังไม่มีเอกสารหนังสือสัญญา ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จะใช้ในการวินิจฉัยตามมาตรา 190 วรรคหก
       
       ศาลรัฐธรรมนูญ ยังบอกเหตุผลเพิ่มเติมด้วยว่า ในอดีต เมื่อมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องในลักษณะดังกล่าว จะมีการยื่นเอกสารที่ขอให้วินิจฉัย เช่น เมื่อครั้งรัฐธรรมนูญ 2540 มีการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า หนังสือแจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงิน ที่รัฐบาลมีไปถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เป็นหนังสือสัญญาหรือไม่ หรือกรณีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจรัฐ ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือไม่ รวมถึงกรณีคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา วันที่ 18 มิ.ย.2551 เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือไม่ แต่การยื่นของ ส.ว.และประธานวุฒิสภาครั้งนี้ กลับไม่มีการส่งเอกสารหนังสือสัญญาซื้อขายข้าวที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาด้วยแต่อย่างใด
       
       นอกจากนี้ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังมีมติไม่รับคำร้องกรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ที่ขอให้ศาลฯ วินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ว่าสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106(5) ประกอบมาตรา 102(6) หรือไม่ หลังถูกคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน(อ.ก.พ.) มีมติไล่ออกจากราชการกรณีทุจริตที่ดินอัลไพน์ ทั้งนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลที่ไม่รับคำร้องดังกล่าวว่า เนื่องจากนายยงยุทธลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.แล้ว
       
       6. “โอบามา” คว้าชัยได้นั่ง ปธน.สหรัฐฯ 2 สมัย ขณะที่ “ลัดดา แทมมี่ ดั๊กเวิร์ธ” สาวไทยได้เป็น ส.ส.รัฐอิลลินอยส์!

       เมื่อวันที่ 7 พ.ย. สื่อต่างประเทศ ต่างเกาะติดผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีและการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศมีขึ้นเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐฯ ซึ่งผลปรากฏว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เอาชนะคู่แข่งอย่างนายมิตต์ รอมนีย์ จากพรรครีพับลีกันไปได้อย่างสบายๆ ขณะที่ พ.ท.หญิงลัดดา แทมมี่ ดั๊กเวิร์ธ ชาวอเมริกันเชื้อสายไทย จากพรรคเดโมแครต ที่สูญเสียขาทั้งสองข้างระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในสงครามอิรัก สามารถคว้าชัยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขต 8 รัฐอิลลินอยส์ได้
       
        ทั้งนี้ ทันทีที่ทราบผลเลือกตั้ง รอมนีย์ ได้ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ พร้อมขอให้โอบามาประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำประเทศต่อไป ขณะที่ประธานาธิบดีโอบามาได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ที่มีผู้ตามเขาอยู่ถึง 22 ล้านคน โดยขอบคุณผู้สนับสนุนที่ทำให้เขาสามารถคว้าชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก่อนเปิดแถลงชัยชนะอย่างเป็นทางการ
       
        สำหรับชัยชนะครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้โอบามาเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตคนที่ 2 ที่สามารถรักษาตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เอาไว้ได้นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แต่ยังเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกที่ได้รับชัยชนะ 2 สมัยติดต่อกันด้วย
       
        ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีกับโอบามา ที่ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่ออีกสมัย พร้อมยืนยัน ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ยังดีเหมือนเดิม ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกว่า ไม่ว่าโอบามาหรือรอมนีย์ จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นโยบายต่างประเทศของไทยก็คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะสหรัฐฯ เป็นมิตรประเทศกับไทยมานาน และไทยดำเนินนโยบายโดยยึดสายกลางมาโดยตลอด
       
        ด้านนายทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 พ.ย.นี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ และถือโอกาสหารือเรื่องการค้าการลงทุนระหว่างกัน ก่อนที่นายโอบามาจะเดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชาต่อ


ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 พฤศจิกายน 2555