ผู้เขียน หัวข้อ: “โรคมนุษย์” ย่อมจะดีกว่านี้แน่  (อ่าน 732 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9782
    • ดูรายละเอียด
“โรคมนุษย์” ย่อมจะดีกว่านี้แน่
« เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2014, 23:43:06 »
โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง กลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของมนุษย์มากขึ้น ยังไม่นับโรคที่เกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมากทั้งโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต ฯลฯ
       
       โรคที่เกิดขึ้นมากในมนุษย์ในยุคหลังก็น่าจะเป็นเพราะวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมอาหาร ยา และพฤติกรรมของมนุษย์ในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป และหากจะว่าไปแล้วส่วนที่ทำให้เรามีการเปลี่ยนแปลงในโรคที่เราเป็นน่าจะมีส่วนสำคัญคือ
       
       1.กินน้ำตาลและแป้งขัดขาวมาก ทำให้มีน้ำตาลในกระแสเลือดมาก หรือไม่ก็กลายเป็นไขมันพอกตับมาก เพราะเราชอบความขาว ความอร่อยในรสชาติจนเราลืมไปว่าปัญหาของน้ำตาลและแป้งขัดขาวที่มากเกินกำลังเป็นภัยคุกคามของโรคที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน หลอดเลือดที่มีน้ำตาลลอยค้างมากก็ทำให้เกิดการบาดเจ็บเสียหายมาก ส่งผลทำให้ร่างกายต้องนำไขมันไปพอกการอักเสบหรือเสียหายในหลอดเลือดมาก และเป็นสาเหตุเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดและระบบไหลเวียนเลือดตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคไต และรวมถึงระบบโรคระบบการเผาผลาญผิดปกติ หรือกลายเป็นอาหารของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี
       
       ยุคนี้เรากินหวาน ใส่น้ำตาลมากทั้งผ่านอาหาร ขนม เครื่องดื่ม แทบทุกชนิด แม้แต่หลายคนในยุคหลังที่หันไปบริโภคเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเช่น ชาเขียว หรือ น้ำผลไม้ ต่างก็มีการใส่น้ำตาลเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติให้ผู้บริโภคติดจนทำลายสุขภาพของผู้บริโภคหนักมากขึ้นทุกวัน
       
       แม้แต่ข้าวขาวโดยเฉพาะข้าวหอมมะลินั้น มีค่าระดับน้ำตาลสูงมากจนเกือบเทียบเท่าการกินน้ำตาลโดยตรง แต่คนเรายุคหลังติดข้าวขาวกันไปหมดแล้ว ข้าวกล้อง ไม่เป็นที่นิยม คนไทยจึงเป็นโรคเบาหวานกันมากขึ้นทุกวัน
       
       ถ้าเพียงแค่คนไทยหันมาบริโภคข้าวขาวให้น้อยลง รับประทานกับข้าวมากขึ้น รับประทานน้ำตาลให้น้อยลง เราก็คงจะเจ็บป่วยจากการกินเกินน้อยลง
       
       2.เรารับประทานไขมันทรานส์กันมาก ทั้งผ่านในรูปของเนยเทียม ครีมเทียม เนยขาว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการดัดแปลงโครงสร้างของกรดไขมันในน้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัวที่เป็นของเหลวให้เป็นของกึ่งเหลวกึ่งแข็งด้วยการเติมไฮโดรเจนเพื่อป้องกันการหืน ซึ่งนิยมกันมากในอาหารกลุ่มเบเกอรี่ เค้ก โดนัท ขนมกรุบกรอบแทบทุกชนิด และยังรวมไปถึงน้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัวที่โดนความร้อนสูงก็สามารถกลายสภาพถูกอนุมูลอิสระโจมตีเป็นไขมันอันตรายได้เช่นกัน ไขมันทรานส์นั้นเป็นสาเหตุสำคัญของหลายโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคหลอดเลือดและระบบไหลเวียนเลือด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคไต และโรคมะเร็ง
       
       3.เราดื่มนมวัวกันมากโดยไม่รู้ว่า นมวัวก่อให้เกิดโรคภัยได้หลายชนิด โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ ท้องอืด โรคไมเกรน ที่ทำให้เราต่อไปกินยาเคมีต่อเพื่อกดอาการเหล่านั้น แม้ในยุคปัจจุบันจะเป็นที่ยอมรับว่าผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมวัว ชีส เนย จะมีกรดไขมันอิ่มตัวที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด แต่เรากลับได้อีกโรคหนึ่งกลับมาคือการได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงมากในนมวัวยุคหลัง เพราะได้มีการรีดนมวัวในช่วงที่วัวท้องนานเกินไปทำให้มีปริมาณเอสโตรเจนซัลเฟตมาก ส่งผลทำให้ประเทศที่กินผลิตภัณฑ์จากนมมากมีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งอัณฑะ และมะเร็งต่อมลูกหมากมาก ความจริงแล้วถ้ามีผู้ผลิตให้ความสำคัญในเรื่องอาหารที่ให้วัวกินหญ้า และรีดนมวัวในช่วงที่วัวคลอดลูกแล้วหรือให้รีดได้ในช่วงตั้งท้องในช่วงไม่กี่เดือนแล้วแจ้งปริมาณเอสโตรเจนซัลเฟตในระดับที่ต่ำ เราก็น่าจะมีจุดขายในการให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์จากนมเพื่อสุขภาพได้อย่างแท้จริง ไม่เป็นปัญหาเหมือนกับที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
       
       4.เรากินเนื้อสัตว์ที่มีสารเคมีมาก ไม่ว่าจะเป็นสารพิษที่เกิดขึ้นในการหลอกผู้บริโภคในความสดใหม่ เช่น สารเร่งเนื้อแดง ฟอร์มาลีน ฯลฯ ซึ่งก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างมากต่อผู้บริโภค ยังไม่นับว่าวงการปศุสัตว์ได้ใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์เพื่อป้องกันโรคต่างๆ ทำให้มนุษย์ต้องกินยาปฏิชีวนะในระดับต่ำๆผ่านเนื้อสัตว์เหล่านี้อยู่ตลอดเวลาส่งผลทำให้เชื้อก่อโรคในมนุษย์มีอาการดื้อยาและกลายพันธุ์จนมีความร้ายแรงมากขึ้นทุกวัน นอกจากนี้ยังไม่นับการฉีดฮอร์โมนเข้าไปในสัตว์อีกมากเพื่อเป้าหมายในการเร่งการเจริญเติบโตให้เราบริโภคอีกด้วย จะว่าไปแล้วอาหารที่สัตว์เหล่านี้กินก็อาจจะเป็นอาหารที่มีการตัดแต่งพันธุกรรมด้วย มียาฆ่าแมลงมาก มีสารพิษมาก หรือมีโลหะหนักมาก เพราะทุกคนก็สนใจแต่การลดต้นทุน ส่งผลทำให้ผู้บริโภคเนื้อสัตว์เหล่านี้ก็จะได้รับสารพิษเหล่านี้เข้าไปผ่านห่วงโซ่อาหารและก่อให้เกิดโรคมากขึ้นทุกวัน
       
       5.การเกษตรที่เต็มไปด้วยยาฆ่าแมลง และปุ๋ยเคมี ความจริงแล้วการใช้ยาฆ่าแมลงทุกครั้งเท่ากับเรากำลังทำลายวงจรห่วงโซ่อาหารของสัตว์ที่กินแมลงไปด้วย และสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าที่จะกินแมลงที่เต็มไปด้วยสารพิษก็อาจจะตายและลดจำนวนลงไปอย่างมาก ส่วนแมลงทั้งหลายก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นตามวิวัฒนาการและการกลายพันธุ์ที่เร็วกว่าสัตว์ที่กินมัน และแมลงกินพืชมีมากส่วนหนึ่งก็มาจากการใส่ปุ๋ยเกินโครงสร้างอินทรีย์วัตถุที่พืชต้องการ วันนี้เกษตรกรจึงต้องจ่ายเงินมากกับยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี สร้างความร่ำรวยให้กับข้าราชการและนักการเมืองที่สามารถเบิกงบเร่งด่วนพิเศษทำโครงการปุ๋ยและยาฆ่าแมลงอยู่ทุกปี เกษตรก็ได้รับสารพิษเจ็บป่วยไปด้วย ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เกษตรเหล่านี้ก็พลอยเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายไปด้วยเช่นกัน
       
       ถ้าการเกษตรไทยเริ่มต้นจากการสำรวจดินแล้วใส่อินทรีย์วัตถุตามที่ดินต้องการใช้เท่าที่จำเป็น ด้วยจำนวนเงินที่ใช้ไม่มากเราอาจจะมีสินค้าเกษตรที่มีต้นทุนถูกลงเพราะใช้ปุ๋ยน้อยลง มีแมลงน้อยลงจึงใช้ยาฆ่าแมลงน้อยลง หรือไม่ต้องใช้เลย ขายได้ราคามากขึ้น และดีต่อสุขภาพทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคอีกด้วย
       
       6.เรากินยาเคมีที่มีผลทำให้เกิดโรคลูกโซ่ตามมา ยิ่งรักษาด้วยยาเคมีตัวหนึ่ง ก็ต้องกินยาเคมีตัวอื่นๆตามมา กลายเป็นว่ายิ่งรักษายิ่งต้องกินยาเพิ่มมากขึ้นตามวัย ผลของยาเคมีแทบทุกชนิดมีผลข้างเคียงแตกต่างกัน และยาเคมีจำนวนมากมีผลร้ายต่อการทำงานของทั้งตับและไต ยาจำนวนไม่น้อยมีผลต่อการทำให้เกิดความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย ยาจำนวนไม่น้อยมีผลทำให้ระดับฮอร์โมนหลายชนิดมีความผิดปกติ แม้ยาเคมีมีข้อดีอยู่มาก แต่คนในยุคปัจจุบันกินยาเกินความจำเป็น เพราะเราไม่เชื่อความฉลาดในระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของมนุษย์ที่สามารถรักษาตัวเองได้ในแนวทางธรรมชาติบำบัดได้อย่างน่าอัศจรรย์
       
       7.เรามีสิ่งแปลกปลอมในชีวิตมากเกินไป เช่น การใช้ภาชนะที่เป็นถุงพลาสติกใส่อาหารความร้อน โฟม รวมไปถึงการใช้เครื่องสำอางที่มีโลหะหนักที่เป็นพิษต่อตับและร่างกาย เราใส่ผงชูรสเข้าไปในอาหารตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยีอาหาร แม้กระทั่งเราอยู่กับคลื่นไฟฟ้าจากสมาร์ทโฟน และแทบเลตมากขึ้นเกือบตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้มีผลต่อสุขภาพร่างกายจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเองทั้งสิ้น
       
       8.มนุษย์ยุคเราออกกำลังกายกันน้อยลง หลายคนทำงานอยู่ในสำนักงานมากขึ้น ตามการศึกษาของคนในยุคปัจจุบัน อยู่นิ่งๆมากขึ้น อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน สัมผัสกับอากาศจากต้นไม้น้อยลง ไม่แปลกใจเลยโรคออฟฟิศ ซินโดรม เกินขึ้นมากในยุคปัจจุบัน ทั้งอาการปวดหลัง ปวดหัวไมเกรน ปวดกล้ามเนื้อเกร็งตัว ฯลฯ
       
       9.มนุษย์ยุคเรามีความเครียดมากขึ้น ด้วยความเร่งรีบ และด้วยวิวัฒนาการทางข่าวสารและข้อมูลที่มีความรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ทำให้งานของมนุษย์ในยุคปัจจุบันมีความสมบูรณ์มากขึ้นด้วยเทคโนโลยี และทำให้มนุษย์ต้องทำงานได้งานมากขึ้น หลากหลายมากขึ้น ความเร่งรีบและการแข่งขันในยุคปัจจุบันจึงทวีความรุนแรง แสวงหาแย่งชิงผลประโยชน์มากขึ้น และมนุษย์ยุคเราก็ได้เห็นความขัดแย้ง การต่อสู้ได้เร็วและมากขึ้นในโลกยุคโซเชียลมีเดีย มนุษย์ยุคเรามีความเครียดมากขึ้นจากสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน และความเครียดนั้นก่อให้เกิดได้สารพัดโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความจำเสื่อม โรคซึมเศร้า โรคผิวหนัง โรคมะเร็ง ฯลฯ
       
       ความจริงแล้วหากเราให้เวลากับตัวเองเพื่อผ่อนคลายจิตใจ หรือการนั่งสมาธิเป็นประจำ มองโลกในแง่บวก ก็คงจะคลี่คลายปัญหาข้างต้นนี้ได้
       
       10. มนุษย์ยุคเรามีการพักผ่อนน้อยลง นอนดึกเพราะต้องทำงานหรือเสพข้อมูล ตื่นเช้าเพราะต้องไปทำงาน ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอตามนาฬิกาชีวิตที่ควรจะเป็น จึงป่วยเป็นสารพัดโรคได้ง่ายในยุคปัจจุบัน
       
       โรคที่เราเป็นในยุคปัจจุบันก็เพราะการวิวัฒนาการของมนุษย์เองโดยตรง ดังนั้นแม้เราจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้อยาก แต่เพียงแค่ได้ตระหนักและลดความเสี่ยงดังกล่าวข้างต้นให้ลดลง อย่างน้อยเราก็เจ็บป่วยน้อยลง หรือเจ็บป่วยช้าลงก่อนวัยอันควร โรคของมนุษย์ ย่อมจะดีกว่านี้แน่ จริงไหมครับ?


ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ASTVผู้จัดการรายวัน    31 ตุลาคม 2557