ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 13-19 ก.ค.2557  (อ่าน 729 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9782
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 13-19 ก.ค.2557
« เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2014, 01:44:22 »
 1. ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ ฟัน “ยิ่งลักษณ์” ผิดอาญา ม. 157 คดีทุจริตจำนำข้าว เตรียมส่งอัยการฟ้องศาล ด้านเจ้าตัว รีบแถลงโต้!

       เมื่อวันที่ 17 ก.ค. นายวิชา มหาคุณ กรรมการและโฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้เปิดแถลงข่าวผลประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต่อกรณีกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว
       
        ทั้งนี้ ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งอยู่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ได้กำหนดนโยบายการรับจำนำข้าวมาตั้งแต่ต้น และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) ที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและมีส่วนร่วมในการบริหารโครงการรับจำนำข้าว ได้กำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกสูงกว่าราคาท้องตลาด มีลักษณะบิดเบือนกลไกตลาด ขณะที่การดำเนินโครงการได้เกิดการทุจริตทุกขั้นตอน ทั้งการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ,การสวมสิทธิเกษตรกร ,โกงความชื้น ,โกงตราชั่ง ,นำข้าวมาเวียนเข้าโครงการ ,การลักลอบนำข้าวออกจากคลัง ,การระบายข้าวที่รับจำนำมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้ข้าวจากโครงการไปจำหน่าย ,เกิดระบบนายหน้าค้าข้าว ,ไม่เปิดประมูลข้าวโดยเปิดเผย ซึ่งการทุจริตดังกล่าวทำให้รัฐมีภาระรายจ่ายและขาดทุนจำนวนมาก ทั้งการอุดหนุนเกษตรกรและค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น การสีแปรสภาพ การขนส่ง การเก็บรักษา และยังอาจมีปัญหาข้าวเสื่อมคุณภาพ ข้าวสูญหายจากโกดัง ทำลายระบบการค้าข้าวโดยเสรี ฯลฯ ตลอดจนราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งในต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียตลาดส่งออกที่สำคัญ
       
        ไม่เท่านั้น ยังเกิดปัญหาการนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ ตลอดจนปริมาณรับจำนำสูงกว่าความเป็นจริง ขณะที่คุณภาพข้าวต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ ส่งผลให้เวลาระบายข้าวที่รับจำนำออก เกิดการขาดทุนจำนวนมาก อีกทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับรู้ รับทราบจากรายงานยผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล และยังทราบว่ามีการทุจริตในทุกขั้นตอนของการดำเนินโครงการ รวมทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีชาวนาที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวนับล้านครอบครัวที่ยังไม่ได้รับเงิน ทำให้ได้รับความเดือดร้อน หลายรายถึงกับฆ่าตัวตาย จึงจำเป็นที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องพิจารณายับยั้งโครงการตั้งแต่เริ่มรับทราบว่ามีการทุจริตและความเสียหาย แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับยืนยันที่จะดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการมากขึ้นเรื่อยๆ ถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากการรับจำนำข้าวที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศ
       
        คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงเห็นว่า การกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
       
        หลังจากนี้ ป.ป.ช.จะสรุปสำนวนส่งเอกสารความเห็นดังกล่าวไปยังอัยการสูงสุด เพื่อให้ดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป นายวิชา เผยด้วยว่า มูลค่าความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท
       
        สำหรับการชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดย ป.ป.ช.ครั้งนี้ มีขึ้นหลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อขออนุญาตเดินทางไปพักผ่อนที่ประเทศแถบยุโรประหว่างวันที่ 20 ก.ค.-10 ส.ค.นี้ โดยจะเดินทางพร้อม ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย ซึ่ง คสช.พิจารณาแล้วอนุญาตตามที่ร้องขอ เนื่องจากเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ขอมาตามขั้นตอน และที่ผ่านมาก็ไม่เคยขัดคำสั่งของ คสช.แต่อย่างใด
       
        ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วยทีมทนายความ ได้เปิดแถลงข่าวตอบโต้กรณีที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว โดยกล่าวหาว่า ป.ป.ช.พิจารณาคดีดังกล่าวด้วยความเร่งรีบ รวบรัด ฟังความข้างเดียว เลือกรับฟังพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตน ตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม พร้อมอ้างว่า นโยบายรับจำนำข้าว นายกฯ ในฐานะฝ่ายบริหาร เป็นเพียงผู้กำกับดูแลเท่านั้น ส่วนระดับปฏิบัติการเป็นการทำงานของหน่วยงานต่างๆ และว่า เรื่องการระบายข้าวก็ไม่เกี่ยวกับตน พร้อมปฏิเสธกรณีมีข่าวว่าตนจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อหนีคดีด้วย “วันนี้ดิฉันเป็นราษฎรเต็มขั้นแล้ว ควรจะมีสิทธิเสรีภาพเยี่ยงประชาชนคนไทยทั่วไป ขอยืนยันว่า จะไม่ทิ้งพี่น้องประชาชนคนไทย และพร้อมจะกลับมาสู่ประเทศไทย”
       
        ขณะที่นายพิชิต ชื่นบาน ทีมทนายความคดีโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เผยว่า ทีมทนายเห็นว่ากระบวนการพิจารณาของ ป.ป.ช.ที่ผ่านมาเกิดข้อสงสัยและข้อโต้แย้งเรื่องความเป็นธรรม ดังนั้นจะขอความเป็นต่ออัยการสูงสุด
       
       ด้านนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. ได้ออกมาชี้แจงหลังถูก น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงตอบโต้ โดยยืนยันว่า ป.ป.ช.พิจารณาตัดสินคดีตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ และใช้เวลาพิจารณานานพอสมควร ไม่ได้เร่งรีบ รวบรัด หรือสองมาตรฐานตามข้อสังเกตของอดีตนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด “ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่า ป.ป.ช.ฟังความข้างเดียว ไม่รับฟังพยานของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหานั้น เหตุผลที่ ป.ป.ช.ตัดพยานบางส่วนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เนื่องจากเห็นเป็นพยานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ ป.ป.ช.ไต่สวน ยืนยันว่า ป.ป.ช.ให้ความเป็นธรรมอย่างเต็มที่แล้ว หลังจากนี้คาดว่า อีก 2 สัปดาห์จะส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่า จะมีความเห็นส่งฟ้องหรือไม่ หากอัยการสูงสุดมีความเห็นแย้งกับ ป.ป.ช.คงต้องตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการสูงสดกับ ป.ป.ช.มาพิจารณาสำนวนกันอีกครั้ง”
       
       2. ชาวไทย เฮ “โค้ชเช” ไม่ทิ้ง-บินกลับไทย 20 ก.ค.ยัน ไม่ได้ต่อย “น้องก้อย” แต่ตีเบาๆ เพราะผิดวินัย!

       กลายเป็นข่าวใหญ่ทอล์คออฟเดอะทาวน์ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณี “น้องก้อย” รุ่งระวี ขุระสะ นักกีฬาเทควันโดหญิงทีมชาติไทย วัย 23 ปี เจ้าของเหรียญทองแดงศึกชิงแชมป์เอเชีย 2014 รุ่น 62 กก. ออกมาแฉว่าตนโดน “โค้ชเช” เช ยอง ซอก หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวเกาหลีใต้ ลงโทษเกินกว่าเหตุด้วยการต่อยที่หน้าและท้องหลายครั้ง หลังจากมาแข่งขันช้าและไม่มีความพร้อมในการลงแข่งขัน จนเป็นเหตุให้พ่ายเจ้าถิ่นไปอย่างขาดลอย 6 : 12 คะแนน ในศึกโคเรีย โอเพ่น ที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา
       
        ซึ่งหลังจากนั้น น้องก้อยได้โพสต์รูปภาพการคุยวิดีโอคอลกับนางนพมาศ ขุระสะ มารดา ในวันเดียวกัน พร้อมระบุข้อความไม่พอใจการกระทำของโค้ชเชว่า “กูแพ้. ไม่เจ็บเพราะแข่งเลยค่ะ. เจ็บเพราะโดนโค้ชต่อย. #คิดว่าถ้าคนเป็นพ่อเป็นแม่รู้. จะทำใจได้ไหม. #ถ้าหากคุณมีลูก #ลูกคุณโดนแบบนี้ คุณเลี้ยงลูกจนโตมาอายุ 23 ปี เลี้ยงอย่างทะนุถนอมขนาดปากร้อนใน ยังพาไปหาหมอ. #นี่โดนต่อย. #จนกรามบวม อ้าปากแล้วปวด หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่. #แม่บอกหัวใจจะสลาย กูไม่ยอมเจ็บตัวฟรี และแม่กูไม่เสียน้ำตาฟรีๆ แน่นอน”
       
        ในเวลาต่อมา น้องก้อยยังเผยผ่านสื่อด้วยว่า ระหว่างที่ตนกำลังวอร์มเพื่อเตรียมลงแข่งรอบแรก มีผู้ช่วยโค้ชแจ้งตนว่าให้นั่งรอก่อน เพราะตนแข่งเป็นคู่ที่ 12 ซึ่งตอนนั้นเพิ่งแข่งถึงคู่ที่ 6 และ 7 ดังนั้นตนจึงไม่เตรียมตัวอะไรมาก สนับเข่าและฟันยางก็ยังไม่ได้ใส่ เพราะเห็นว่าอีกหลายคู่ กระทั่งโค้ชเชมาตาม แล้วบอกว่าทำไมถึงยังไม่พร้อม จะแข่งขันอยู่แล้ว จึงรีบไปสนามแข่งขันในสภาพที่ไม่ได้ใส่สนับเข่าและฟันยาง ด้วยความที่ไม่พร้อม ทำให้แพ้เกาหลีใต้ 6 : 12 คะแนน จากนั้นโค้ชเชก็เรียกประชุมด่วน แล้วถามว่ารู้หรือไม่ว่าจะต้องแข่งเป็นคู่ที่เท่าไหร่ พอตนจะตอบก็โดนต่อย จากนั้นโค้ชเชก็ถามอีกหลายคำถาม แต่พอจะตอบก็โดนต่อยตลอดทั้งหน้าและลำตัว จากนั้นพอกลับถึงโรงแรม โค้ชเชเรียกเข้าไปขอโทษพร้อมกับบอกว่า ผิดหวังกับผลงาน เนื่องจากหวังไว้มาก ว่าจะทำผลงานในรายการได้ดีกว่านี้ แต่สำหรับตนคิดว่าทำแบบนี้มันมากเกินไป และตัดสินใจว่าจะเลิกรับใช้ทีมชาติทันที ก่อนโทรกลับบ้านเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ซึ่งทางบ้านก็เห็นด้วยว่าให้เลิกเล่น พร้อมยืนยันว่ากลับเมืองไทยเมื่อไหร่จะแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย ขณะที่นายวัลลภ ขุระสะ บิดาของน้องก้อย ได้เรียกร้องให้โค้ชเชออกมาขอโทษน้องก้อยผ่านสื่อ
       
        อย่างไรก็ตาม กระแสสังคมค่อนข้างเห็นใจโค้ชเช เนื่องจากมองว่าการลงโทษนักกีฬาที่ไม่มีวินัยเป็นเรื่องปกติ และไม่เชื่อว่า โค้ชเชทำเกินกว่าเหตุหรือตั้งใจทำร้ายนักกีฬา เพราะโค้ชเชทุ่มเทให้กับนักกีฬามากตลอด 12 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยหลายครั้ง ตั้งแต่การพา “น้องวิว” เยาวภา บุรพลชัย คว้าเหรียญทองแดงโอลิมปิก เอเธนส์ ประเทศกรีซ เมื่อปี 2004 ขณะที่ปี 2008 ก็ฝึกซ้อมให้ “น้องเล็ก” ชนาธิป ซ้อนขำ จนคว้าเหรียญเงินเทควันโด โอลิมปิกเกมส์ มาได้สำเร็จ
       
       ทั้งนี้ น้องก้อยได้เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อช่วงดึกคืนวันที่ 14 ก.ค. ซึ่งเป็นการเดินทางกลับก่อนทัพนักกีฬาคนอื่นๆ ที่จะเดินทางกลับในคืนวันที่ 17 ก.ค. ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อลงจากเครื่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ น้องก้อยได้หลบหน้าผู้สื่อข่าวที่มารอนานกว่า 3 ชั่วโมง พร้อมส่งข้อความขอโทษสื่อ โดยให้เหตุผลว่า ไม่พร้อมให้สัมภาษณ์ใดๆ
       
       อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา น้องก้อยได้ชี้แจงกรณีที่ถูกมองว่าไม่มีวินัยและไม่พร้อมลงแข่งขันว่า “ถึงแม้ว่าตนจะเพิ่งติดทีมชาติเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ได้ลงแข่งขันรายการระดับนานาชาติเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งหากไม่มีความพร้อม หรือไม่มีความรับผิดชอบในการแข่งขัน โค้ชคงไม่เรียกเข้ามาติดทีมชาติอย่างแน่นอน”
       
       ด้านโค้ชเช ค่อนข้างเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะที่หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่า โค้ชเชอาจตัดสินใจไม่กลับประเทศไทยอีก ท่ามกลางกระแสสื่อเกาหลีใต้ที่พยายามเสนอข่าวโน้มน้าวให้โค้ชเชกลับไปคุมทีมชาติให้บ้านเกิด
       
       ขณะที่นายพิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า กรณีที่เกิดขึ้น น้องก้อยผิดจริง เพราะไม่ได้เอาไอดีการ์ดมา ไม่ได้เอาถุงมือมา ไม่ได้วอร์มอัพ ไม่ได้ใส่อุปกรณ์ให้ครบเพื่อเตรียมตัวลงสนาม ส่วนที่น้องก้อยระบุว่า มีการสื่อสารผิดพลาด เพราะมีโค้ชบางคนบอกให้ถอดอุปกรณ์ออกก่อนหรือยังไม่ต้องเตรียมตัวนั้น นายพิมล ไม่เชื่อว่าไม่เป็นเรื่องจริง “ก็ไม่ทราบว่านักกีฬาคนที่เป็นปัญหาอยู่นี้ ไม่ได้ฟัง หรือว่าไม่ได้ใส่ใจ หรือว่ากุเรื่องขึ้นเอง ผมไม่ทราบ แต่ผมไม่เชื่อว่าเป็นความผิดที่โค้ช”
       
       นายพิมล เผยด้วยว่า ได้ถามโค้ชเชว่าเกิดอะไรขึ้น โค้ชเชบอกว่าเขาไม่ได้ทำแรงอย่างที่ว่า เขาทำลงไปเพราะหวังดีและรักนักกีฬาทุกคน ตนก็บอกโค้ชเชว่า ไม่ให้ท้อแท้เพราะนักกีฬาเพียงคนเดียว เนื่องจากมีนักกีฬาที่เป็นลูกศิษย์โค้ชเชอีกเป็นร้อยคน รวมถึงชาวไทยที่ให้กำลังใจอยู่
       
       ทั้งนี้ นอกจากโค้ชเชจะไม่เดินทางกลับประเทศไทยพร้อมทัพนักกีฬาไทยเมื่อคืนวันที่ 17 ก.ค.แล้ว ยังได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอ็นเอชเคของญี่ปุ่นในวันเดียวกัน โดยยืนยันว่า ไม่ได้ชกหรือต่อยน้องก้อยอย่างรุนแรงแต่อย่างใด แค่ตีเบาๆ เท่านั้น “วันนั้นเป็นการแข่งขันวันแรก ผมจึงปล่อยให้ความประมาทของนักกีฬาคนหนึ่งมาสร้างอิทธิพลในทีมไม่ได้ ทำให้ต้องสั่งสอน ยอมรับว่าตีเขาที่ใบหน้าและท้องเบาๆ แต่ไม่ได้ต่อย ซึ่งด้วยความที่ทำหน้าที่โค้ชให้ทีมชาติไทยมานาน จึงรู้ดีว่าวัฒนธรรมไทยไม่คุ้นกับการสั่งสอนแบบนี้ ยิ่งเป็นนักกีฬาผู้หญิงด้วย แล้วตนจะต่อยได้อย่างไร”
       
       อนึ่ง โค้ชเชเคยให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “คนค้นคน” เมื่อต้นปี 2556 ว่า ตลอดเวลาที่เป็นโค้ชให้นักกีฬาไทยมา 10 กว่าปี ตนรักลูกศิษย์เหมือนรักลูกสาวลูกชาย และตั้งใจจะช่วยทีมชาติให้ไทยเป็นที่สุดท้าย ไม่คิดจะไปช่วยประเทศอื่น แม้จะเสนอเงินเดือนให้มากกว่าก็ตาม เพราะถ้าเป็นโค้ชให้ประเทศอื่น ก็ต้องพยายามทำให้นักกีฬาประเทศนั้นชนะนักกีฬาไทย ซึ่งตนคงรับไม่ได้ ดังนั้นหากเมื่อไหร่ไม่ได้เป็นโค้ชให้ประเทศไทย ก็จะเอาเวลาไปดูแลครอบครัว
       
       ล่าสุด มีข่าวดีให้แฟนกีฬาชาวไทยได้เฮ เมื่อโค้ชเชเปิดใจผ่านสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ว่า “เมื่อวานผมได้พูดคุยกับประธานสมาคมเทควันโดของไทย(ผศ.พิมล ศรีวิกรม์) และตัดสินใจแน่วแน่ในช่วงเช้าว่า จะเดินทางกลับเมืองไทย ขอขอบคุณชาวไทยทุกคนที่ส่งข้อความและกำลังใจมาให้ รวมถึงนักกีฬาของผม ผมจะกลับมาทำหน้าที่ของผมต่อ นั่นคือการพานักกีฬาคว้าเหรียญทองโอลิมปิก” โดยจะเดินทางกลับไทยในวันที่ 20 ก.ค.นี้ เวลา 22.00น.
       
       โค้ชเชยังพูดถึงเรื่องการลงโทษน้องก้อยด้วยว่า เป็นเรื่องของความผิดทางวินัย และไม่ได้รุนแรงอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง “นอกจากผลแพ้ชนะแล้ว เธอไม่ได้ทำในสิ่งที่เป็นการเตรียมตัวที่จะลงแข่ง เรามีการพูดคุยถึงเรื่องระเบียบกันมาแล้ว และสิ่งที่ผมทำไปไม่ใช่การลงโทษที่รุนแรง”
       
       ด้าน “โค้ชทักษ์” นายพิทักษ์ ผูกพัน อดีตผู้ฝึกสอนกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ซึ่งเคยเป็นผู้ฝึกสอนให้น้องก้อย ได้ออกมายอมรับเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ว่า ตนเป็นคนแนะนำให้น้องก้อยไปแจ้งความโค้ชเช “ผมเป็นคนแนะน้องก้อยเองว่า ถ้าโดนแบบนี้หรือโดนหนักขนาดนี้ ก็ให้ไปแจ้งความเลย ซึ่งน้องเขาก็ปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่ที่บ้านเขาไม่มีเงินมากนักที่จะดำเนินการต่างๆ หรือจ้างทนาย ผมก็เลยพูดกลับไปว่า แล้วมาออกข่าวทำไม แล้วมาพูดว่าไม่ไหวทำไม ในเมื่อสุดท้ายก็ยอมเขาขนาดนี้”
       
       ขณะที่ “เสธ.โต” พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ อดีตประธานเตรียมทัพนักกีฬาทีมชาติไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาเรื่องปัญหาและสอบสวนกรณีน้องก้อยกับโค้ชเช ได้ประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ค. พร้อมแสดงความไม่พอใจที่น้องก้อยไม่มาให้การตามที่นัดหมายไว้ และว่า ที่เรียกน้องก้อยมา ไม่ใช่ต้องการสอบสวน แต่เพื่อให้ทำทุกอย่างที่เป็นผลดีต่อตัวน้อง เมื่อน้องทำแบบนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติกัน เรียกว่าหมิ่นกันมาก
       
       เสธ.โต ยังประกาศด้วยว่า จะไม่ให้โค้ชเชขอโทษน้องก้อยผ่านสื่อ “มีอย่างที่ไหนให้ครูมาขอโทษลูกศิษย์ ให้ทุกคนลองคิดดูเองว่า ถ้าสมัยก่อนเราถูกครูตีเนื่องจากทำผิด พ่อแม่จะให้ครูมาขอโทษเราหน้าเสาธงหรือไม่”
       
       พร้อมกันนี้ เสธ.โต ยังเตือนบุคคลที่กำลังยุยงปลุกปั่นให้สมาคมเทควันโดฯ เกิดปัญหาด้วยว่า ให้หยุดการกระทำนั้นๆ เสียที ถ้ายังไม่จบจริงๆ จะให้ยุบสมาคมเทควันโดฯ ทิ้งเลยหรือไม่ “การตกเป็นเครื่องมือของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่จะเป็นโค้ชเก่าหรือเป็นโค้ชใครก็ตาม ผมอยากขอให้หยุดการกระทำนั้นๆ เสีย มันไม่ได้มีผลดีต่อประเทศชาติ ถ้ายังไม่จบ จะให้โค้ชเชขอโทษจริงๆ ยุบสมาคมเลยมั้ย เดี๋ยวไปบอกการกีฬาแห่งประเทศไทยให้ว่า ไม่ต้องไปรับรองสมาคมนี้”
       
       3. คสช.แก้ กม.ตำรวจ ให้อำนาจ ผบ.ตร.เสนอชื่อ ผบ.ตร.ใหม่แทนนายกฯ ด้าน “บิ๊กตู่” ชวน “ทักษิณ” กลับ ปท.พร้อมให้ความเป็นธรรม!

       เมื่อวันที่ 14 ก.ค. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกประกาศฉบับที่ 88 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยตำรวจแห่งชาติ โดยมีการแก้ไขหลายประเด็น เช่น ให้การเสนอชื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) คนใหม่ เปลี่ยนจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ เป็น ผบ.ตร.เป็นผู้เสนอ และเสนอได้เฉพาะรอง ผบ.ตร.และจเรตำรวจแห่งชาติเท่านั้น ไม่สามารถเสนอที่ปรึกษา สบ 10 และหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ ทำให้แคนดิเดตในตำแหน่ง ผบ.ตร.ลดลงจากเดิม
       
        นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.) และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) โดยในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิ ให้มาจากการเลือกของวุฒิสภาจำนวน 2 คน และเพิ่มปลัดกระทรวงกลาโหมเข้ามาเป็น ก.ต.ช.โดยตำแหน่ง ส่วนการแต่งตั้งระดับรองผู้บัญชาการและผู้บังคับการ ให้เสนอชื่อเฉพาะคนในหน่วยเท่านั้น ไม่สามารถเสนอชื่อข้ามหน่วยได้ นอกจากนี้การแต่งตั้งระดับผู้กำกับการขึ้นไป ต้องให้ ก.ตร.เห็นชอบก่อน แล้ว ผบ.ตร.และผู้บัญชาการค่อยไปออกคำสั่ง
       
        ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้า คสช. ได้กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 18 ก.ค. โดยพูดถึงการปฏิรูปตำรวจว่า ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น ยังทำงานในกรอบโครงสร้างเดิมอยู่ และจะนำไปสู่การปฏิรูปในระยะที่ 2 ซึ่งต้องรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ส่วนการปรับโครงสร้าง ก.ต.ช. และ ก.ตร.นั้น เป็นการปรับชั่วคราวเท่านั้น เพื่อดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติยศของตำรวจ “คสช.จะไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือแต่งตั้งใดๆ ทั้งสิ้น ให้เป็นเรื่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ”
       
        พล.อ.ประยุทธ์ ยังย้ำด้วยว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการตำรวจใหม่ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปตำรวจในอนาคต และทำให้การแต่งตั้งเป็นธรรม ช่วงนี้เป็นยุคเปลี่ยนผ่าน และ คสช.ให้ความสำคัญกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเป็นพิเศษ ไม่ได้มุ่งหวังทำลายเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือทำลายองค์กรตำรวจแต่อย่างใด หลักการก็ใช้หลักการเดียวกับการแต่งตั้งข้าราชการทหาร ที่ผู้บังคับบัญชาต้องแต่งตั้งขึ้นมาตามลำดับชั้น และ ผบ.ตร.จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบผลดีและผลเสียของการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่ไม่มีประสิทธิภาพขึ้นมาปกครองในลำดับที่ต่ำลงไป “ส่วนที่ปลัดกระทรวงกลาโหมเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการนั้น เพื่อจะตรวจสอบความโปร่งใสและเป็นประจักษ์พยานเท่านั้น”
       
        พล.อ.ประยุทธ์ ยังพูดถึงปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีทั้งสนับสนุนและไม่สนับสนุนการทำงานของ คสช.ด้วยว่า “คสช.ทราบดีถึงความห่วงใย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งสนับสนุนและไม่สนับสนุนการปฏิบัติของ คสช. แต่อยากพูดให้ทุกคนได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นอยากให้ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วย อย่าเพิ่งคัดค้าน บางคนก็ไม่รู้ข้อมูลอย่างแท้จริงทั้งหมด บางคนก็โต้แย้งในทุกประเด็นที่ คสช.ทำอยู่ หรือทุกประเด็นที่ผมพูดออกไป บางทีก็ไม่ได้ฟังว่าพูดอะไรเลย บางทีก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แล้วก็เอาความคิดของตนเองเป็นหลัก”
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ส่งสัญญาณชวนให้คนที่อยู่ต่างประเทศ ซึ่งอาจหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ ให้กลับประเทศ โดยบอก ผู้ที่ยังอยู่ต่างประเทศก็กลับมาเถิด คสช.พร้อมจะให้ความเป็นธรรม เราจะต่อสู้กันไปทำไม ถ้าเรากลับมาร่วมมือกัน คิดว่าคนไทยต้องให้อภัยกันอยู่แล้ว กรุณากลับมา เราจะขัดแย้งกันต่อไปไม่ได้ ต้องร่วมมือร่วมใจกัน นำพาประเทศชาติไปสู่อนาคตที่ดีในวันข้างหน้า
       
       4. อัยการ สั่งฟ้องผู้ต้องหาฆ่าข่มขืน “น้องแก้ม” แล้ว ด้านศาลนัดไต่สวน 22 ก.ค.!

       ความคืบหน้าคดีฆ่าข่มขืนน้องแก้ม บนขบวนรถไฟตู้นอนรถเร็วที่ 174 สายนครศรีธรรมราช-กรุงเทพฯ โดยผู้ต้องหาคือนายวันชัย แสงขาว หรือเกม อายุ 22 ปี ผู้ก่อเหตุข่มขืน และนายณัฐกรณ์ ชำนาญ หรือหนึ่ง อายุ 19 ปี ที่ช่วยดูต้นทาง ซึ่งขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั้น เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ได้มีการประชุมร่วมกันระหว่างตำรวจจังหวัดประจวบคีรีขันธ์กับอัยการ เพื่อให้สำนวนคดีมีความสมบูรณ์ที่สุด ก่อนร่างสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหาเสนอต่อศาล เพื่อประกอบการพิจารณาคดีให้เป็นคดีตัวอย่างที่พนักงานสอบสวนและอัยการร่วมกันทำให้มีบทลงโทษผู้ต้องหาคดีข่มขืนโดยเร็วที่สุด
       
        หลังจากนั้น พนักงานสอบสวนได้นำสำนวนคดีจำนวน 432 หน้า ส่งมอบให้ น.ส.เนื้อทิพย์ โกมลมาลย์ อธิบดีอัยการภาค 7 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการส่งฟ้องต่อศาล ซึ่ง น.ส.เนื้อทิพย์ ได้สั่งให้มีการตั้งคณะทำงานอัยการจังหวัดหัวหินเข้าร่วมพิจารณาตรวจสอบสำนวน เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และเพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รอบคอบ รวดเร็ว และโปร่งใส
       
        ต่อมาช่วงบ่ายวันเดียวกัน อัยการจังหวัดหัวหินได้นำสำนวนคดีฆ่าข่มขืนน้องแก้มส่งศาลจังหวัดหัวหินเพื่อพิจารณา โดยฟ้องนายวันชัย จำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ และข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี และฟ้องนายณัฐกรณ์ หรือหนึ่ง จำเลยที่ 2 ฐานสนับสนุนนายวันชัยข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งศาลได้ออกนั่งบัลลังก์ในช่วงเย็นวันเดียวกัน
       
        ทั้งนี้ ศาลอธิบายคำฟ้องให้จำเลยทราบ พร้อมสอบคำให้การว่าจำเลยจะรับสารภาพหรือปฏิเสธข้อกล่าวหา ซึ่งนายวันชัยรับสารภาพ ส่วนนายณัฐกรณ์ให้การปฏิเสธ ด้านศาลวิเคราะห์พฤติการณ์แล้ว เห็นว่าเป็นคดีอุกฉกรรจ์ มีโทษสูง จึงไม่อนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้งสอง พร้อมนัดไต่สวนคำให้การจำเลยที่ 2 ที่ศาลจังหวัดหัวหินในวันที่ 22 ก.ค. เวลา 09.00น.
       
        จากนั้น เจ้าหน้าที่เรือนจำได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ด้านนายสุทิน ชิดชอบ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เผยว่า ทางเรือนจำได้ขังผู้ต้องหาทั้งสองรวมกับผู้ต้องหาคดีทั่วไป ไม่ขังรวมกับผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ เพื่อลดปัญหาถูกทำร้าย พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิดป้องกันไม่ให้เกิดการทำร้ายผู้ต้องหา รวมทั้งให้นายวันชัยและนายณัฐกรณ์อยู่ห้องขังเดียวกัน พร้อมเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดจนกว่าจะมีการตัดสินคดี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคดีฆ่าข่มขืนมีโทษสูง ดังนั้นอาจต้องย้ายผู้ต้องหาไปคุมขังที่เรือนจำความมั่นคงสูงสุดต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 กรกฎาคม 2557