บทความนี้ ไม่ได้หมายความว่า แพทย์ต่อต้านการเข้าถึงการรักษา ได้อย่างเท่าเทียมของคนไทยทุกคน แต่อยู่ที่กลุ่มบุคคลที่บงการ จัดการ เอาหน้า และได้ประโยชน์ ขาดความเข้าใจ หรือเข้าใจแต่ไม่สนใจ และสร้างความร้าวฉานขึ้นในประเทศ
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา กรรมการแพทยสภาที่ปรึกษาสำนักกฎหมายการแพทย์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ กมธ.สนช. ให้คำตอบ คือกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 เป็นต้นเหตุสำคัญอันแรกแห่งปัญหาในการส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องแพทย์
นับตั้งแต่ประเทศไทยมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งกฎหมายนี้เสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร โดยประชาชนได้เข้าชื่อเสนอกฎหมาย และรัฐบาลได้ยกร่างกฎหมายประกบ ทั้งนี้ฝ่ายประชาชนที่ได้เข้าไปเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎร และได้นำร่างกฎหมายทั้งสองมาพิจารณาร่วมกัน โดยฝ่ายประชาชนที่ได้เข้าไปพิจารณาร่วมกันในชั้นกรรมาธิการ ได้แก่ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง น.ส.ยุพดี สิริสินสุข นายสงวน นิตยารัมภพงศ์ (ต่อมาทั้งสามคนนี้ได้เข้าไปเป็นบอร์ดและเลขาธิการ สปสช.อย่างยาวนาน) ซึ่งฝ่ายประชาชนได้กล่าวว่า ประชาชนเป็นผู้เสนอร่างกฎหมาย แล้วกระตุ้นและผลักดันรัฐบาลให้รัฐบาลสนับสนุนงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยให้พรรครัฐบาลสนับสนุนให้กฎหมายผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา จนสามารถประกาศออกมาใช้บังคับได้ในปี พ.ศ.2545
ในช่วงที่มีการนำร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรนั้น มีข่าวเรื่องการชุมนุมประท้วงของบุคลากรทางการแพทย์ นำโดยแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า (ขอบันทึกไว้ว่าผู้นำในการเรียกร้องนี้คือ นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ) ที่ใช้สัญลักษณ์ในการคัดค้านโดยการแต่งชุดดำหรือใส่ปลอกแขนดำ (ไว้ทุกข์) โดยบุคลากรทางการแพทย์เหล่านั้นได้เรียกร้องให้ยกเลิกร่างกฎหมายมาตรา 44 และ 45 (ซึ่งต่อมาเมื่อพิจารณาบัญญัติเป็นกฎหมายแล้ว กลายเป็นมาตรา 41 และ 42)
เหตุผลที่มีการเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรา 41 นั้น เนื่องจากมาตรา 41 บัญญัติไว้ว่าให้คณะกรรมการกันเงินจำนวนไม่เกินร้อยละหนึ่งของเงินที่จะจ่ายให้หน่วยบริการไว้เป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้รับบริการ ในกรณีที่ผู้รับบริการได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลของหน่วยบริการ โดยหาผู้กระทำผิดมิได้ หรือหาผู้กระทำผิดได้ แต่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด
ทำไมแพทย์จึงร่วมคัดค้านมาตรา 41 และ 42 บุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ที่เป็นหัวหน้าทีมในการสั่งการรักษาผู้ป่วย ต่างก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า ถ้ามีกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่เก็บค่ารักษาเพียง 30 บาท ย่อมจะทำให้มีผู้ป่วยมารับการรักษาที่โรงพยาบาลมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย โดยที่จำนวนบุคลากรที่จะทำงานรักษาประชาชนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนเท่าๆกับจำนวนผู้ป่วย
ซึ่งจะทำให้แพทย์ต้องทำงานมากขึ้น จนอาจจะมีเวลาไม่เพียงพอที่จะเอาใจใส่ในรายละเอียดของการซักประวัติความเจ็บป่วย ไม่มีเวลาพอที่จะตรวจร่างกายผู้ป่วยอย่างละเอียดรอบคอบ แล้วจะทำให้เกิดความผิดพลาดในการรักษาผู้ป่วยมากขึ้น และความผิดพลาดนี้อาจจะนำไปสู่ความเสียหายแก่ผู้ป่วย ซึ่งเมื่อผู้ป่วยมีสิทธิที่จะมาขอ เงินช่วยเหลือ จากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ก็ย่อมส่งเสริมให้ผู้ป่วยมาร้องขอ ความช่วยเหลือ มากขึ้น และการที่ผู้ป่วยมาร้องขอความช่วยเหลือก็ย่อมต้อง กล่าวหาว่า แพทย์เป็นผู้กระทำให้เกิด ความเสียหาย ไว้ก่อน ทั้งๆที่ความเป็นจริงนั้น ความเสียหายที่เกิดจากการรักษาพยาบาลนั้น อาจมิได้เกิดจากการกระทำผิดของแพทย์ผู้รักษาเลย การมีบทบัญญัติมาตรา 41 จึงเท่ากับเป็น แรงกระตุ้น ให้ผู้ป่วย เรียกร้องหรือฟ้องร้อง ขอ เงินค่าช่วยเหลือ มากขึ้นเรื่อยๆ
และความคิดเหล่านี้ของบุคลากรทางการแพทย์นั้นเป็นความจริง กล่าวคือ หลังจากมีกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแล้ว การฟ้องร้องและร้องเรียนแพทย์และโรงพยาบาลมีมากขึ้นหลายเท่าตัว และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตลอดมา จึงพูดได้ว่าการมีบทบัญญัติมาตรา 41 จึงเท่ากับเป็น แรงกระตุ้น ให้ผู้ป่วย เรียกร้องหรือฟ้องร้อง ขอ เงินค่าช่วยเหลือ มากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนั้นมาตรา 41 ยังตอกย้ำว่า ความเสียหายนั้นสามารถหาผู้กระทำความผิดได้หรือหาผู้กระทำผิดได้ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่า การเกิดความเสียหายนั้น ต้องมีคน กระทำความผิด แต่อาจจะปิดบังซ่อนเร้น จนผู้สอบสวนไม่สามารถ หาคนผิดได้ ทั้งๆที่ความเป็นจริงก็คือ ความเสียหายจากการไปรับการรักษาจากโรงพยาบาลนั้น มันอาจเกิดขึ้นได้โดย ไม่มีคนทำผิดเลย (ซึ่งจะอธิบายต่อไปว่ามันเป็นไปได้อย่างไร) จึงทำให้ประชาชนต้องกล่าวโทษแพทย์ให้มากๆเข้าไว้ จึงจะร้องขอการช่วยเหลือ ได้มากๆ.
โดย หมอดื้อ 26 มี.ค. 2560
http://www.thairath.co.th/content/895452