“หวัดดี! เป็นไงบ้างเจ้าหนู”
ลุดมีลา ทรูต กล่าวทักทาย พลางก้มลงเปิดประตูกรงที่มีป้ายชื่อ “มาวริค” ติดอยู่ เรายืนอยู่ระหว่างกรงที่เรียงเป็นแถวยาวสองแถวในฟาร์มนอกเมืองโนโวซีบีร์สค์ในไซบีเรียตอนใต้ ลุดมีลา นักชีววิทยาวัย 76 ปี ไม่ได้ทักทายผม แต่เป็นเจ้าขนฟูที่อยู่ในกรง มาวริคมีขนาดไล่เลี่ยกับสุนัขเลี้ยงแกะพันธุ์เชตแลนด์ มันมีขนสีส้มออกน้ำตาล และแถบขนสีขาวไล่ลงมาจากแผงคอถึงอก มันกระดิกหาง นอนกลิ้งไปมา หายใจแรงๆ อย่างกระตือรือร้นเพราะอยากให้คนสนใจ ในอีกหลายกรงข้างๆกันนั้น หมาจิ้งจอกสีเงินแบบเดียวกับเจ้ามาวริคนับสิบตัวต่างออกอาการอย่างเดียวกัน “อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละค่ะ” ทรูตพูดแข่งกับเสียงอึกทึกรอบตัว “พวกมันอยากสื่อสารและได้ใกล้ชิดกับคนกันทั้งนั้น”
เว้นเสียแต่ว่ามาวริคไม่ใช่สุนัขด้วยซ้ำไป แต่เป็นหมาจิ้งจอก มันกับญาติๆ อีกหลายร้อยตัว คือหมาจิ้งจอกสีเงินเพียงกลุ่มเดียวในโลกที่ถูก “ปรับให้กลายเป็นสัตว์บ้าน” ที่ผมบอกว่า “ปรับให้กลายเป็นสัตว์บ้าน” (domestication) นั้น ผมไม่ได้หมายถึงการจับพวกมันมาจากธรรมชาติแล้วฝึกให้เชื่อง แต่ผมหมายถึงการผสมพันธุ์เพื่อให้เป็นสัตว์บ้านที่เชื่องพอๆ กับเจ้าเหมียวหรือสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ของคุณ หมา จิ้งจอกเหล่านี้ปฏิบัติต่อมนุษย์ทุกคนราวกับเป็นคนที่จะมาเป็นเพื่อนกับพวก มัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมอันเป็นผลของการทดลองผสมพันธุ์ที่ว่ากันว่าน่าทึ่งที่สุด เท่าที่เคยมีมา
การ วิจัยนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 50 กว่าปีก่อนตอนที่ทรูตยังเป็นนักศึกษาปริญญาโท โดยมีนักชีววิทยาชื่อ ดมิทรี เบลเยฟเป็นหัวหน้าโครงการ นักวิจัยที่สถาบันวิทยาเซลล์และพันธุศาสตร์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ได้รวบรวมหมาจิ้งจอก 130 ตัวจากฟาร์มที่เพาะเลี้ยงไว้ตัดขนขาย จาก นั้นก็ผสมพันธุ์พวกมันโดยมีเป้าหมายในการสร้างวิวัฒนาการแบบเดียวกับที่หมา ป่ากลายเป็นสุนัขบ้าน อันเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่า 15,000 ปีก่อน
เบลเย ฟกับเพื่อนร่วมงานทดสอบปฏิกิริยาที่มีต่อมนุษย์ของลูกหมาจิ้งจอกแต่ละรุ่น และคัดเลือกตัวที่เป็นมิตรที่สุดมาเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์รุ่นต่อไป พอถึงกลางทศวรรษ 1960 การทดลองก็ดำเนินมาไกลกว่าที่คาด พวกเขาสร้างหมาจิ้งจอกอย่างเจ้ามาวริคที่ไม่เพียงไม่กลัวมนุษย์ แต่ยังหาทางเข้ามาผูกสัมพันธ์กับคนอย่างกระตือรือร้น เบลเยฟสามารถบีบอัดเวลานับพันๆ ปีในการปรับสัตว์ป่าเป็นสัตว์บ้านให้เหลือเพียงไม่กี่ปีได้ราวกับปาฏิหาริย์ แต่เขาไม่ได้ทำเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสามารถเพาะหมาจิ้งจอกที่เป็นมิตรได้เท่านั้น แต่ยังเชื่อลึกๆว่าอาจใช้พวกมันไขความลี้ลับในระดับโมเลกุลของกระบวนการปรับสัตว์ป่าให้เป็นสัตว์บ้าน
เป็นที่รู้กันว่าสัตว์บ้านจะมีลักษณะเฉพาะเหมือนๆ กันชุดหนึ่ง พวกมันมีแนวโน้มที่จะตัวเล็กกว่า หูลู่ และหางม้วนมากกว่าบรรพบุรุษที่เป็นสัตว์ป่า คุณลักษณะเช่นนี้ทำให้พวกมันดูน่ารักอ่อนเยาว์ในสายตามนุษย์ บางครั้งขนมีลักษณะเป็นแต้มๆ (ศัพท์เฉพาะทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า piebald หรือลายด่าง) ขณะที่บรรพบุรุษสัตว์ป่ามักมีขนสีเดียว ลักษณะเฉพาะเหล่านี้และอื่นๆ ซึ่งบางครั้งเรียกว่าฟีโนไทป์ (phenotype) หรือลักษณะปรากฏของการเป็นสัตว์บ้าน พบได้ในสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ในระดับต่างกันไป ตั้งแต่สุนัข หมู และวัว ไปจนถึงสัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ไก่ และแม้แต่ปลาบางชนิด
เบลเยฟสงสัยว่าขณะที่หมาจิ้งจอกกลายเป็นสัตว์บ้าน พวกมันอาจเริ่มแสดงฟีโนไทป์ของการเป็นสัตว์บ้านด้วยเช่นกัน และเขาก็คิดถูกอีกครั้ง เพราะการเลือกว่าจะนำหมาจิ้งจอกตัวไหนมาขยายพันธุ์โดยดูเพียงว่ามันเข้ากับมนุษย์ได้ดีเพียงไร ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของพวกมันไปพร้อมกับนิสัยใจคอด้วย หลังผ่านไปเพียงเก้ารุ่น นักวิจัยบันทึกว่าลูกหมาจิ้งจอกที่เกิดมามีหูลู่กว่าและบางตัวมีขนด่าง ถึงตอนนี้หมาจิ้งจอกก็พากันส่งเสียงครวญครางและกระดิกหางเวลาเห็นคน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เคยพบในหมาจิ้งจอกตามธรรมชาติมาก่อน
เบลเยฟสันนิษฐานว่า ปัจจัยหรือกลไกที่ขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คือยีนชุดหนึ่งที่ถ่ายทอดลักษณะความเชื่องให้สัตว์ ซึ่งเป็นรูปแบบพันธุกรรมหรือจีโนไทป์ (genotype) ที่หมาจิ้งจอกอาจมีเหมือนกับสัตว์อื่นๆ ที่สามารถนำมาเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์บ้านได้ ปัจจุบันสิ่งที่ทรูตและกำลังทำอยู่ที่ฟาร์มหมาจิ้งจอกแห่งนี้คือการค้นหายีนเหล่านั้นนั่นเอง ส่วนนักวิจัยในที่อื่นๆ กำลังเจาะลึกลงไปในดีเอ็นเอของหมู ไก่ ม้า และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ งานวิจัยเหล่านี้มุ่งตอบคำถามพื้นฐานทางชีววิทยาข้อหนึ่งว่า “การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จากสัตว์ป่ามาเป็นสัตว์บ้านเกิดขึ้นได้อย่างไร” ลีฟ แอนเดอร์สสัน อาจารย์ด้านชีววิทยาจีโนม กล่าว คำตอบของคำถามนี้ไม่เพียงช่วยให้เราเข้าใจว่า เราจะนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงเป็นสัตว์บ้านได้อย่างไร แต่ยังทำให้เราเรียนรู้ที่จะลดความดิบเถื่อนในตัวเราลงอีกด้วย
แต่การจะชี้ชัดลงไปว่ายีนตัวใดกำหนดคุณสมบัติความเป็นสัตว์ป่าหรือสัตว์บ้านกลับเป็นเรื่องยาก ประการแรก นัก วิทยาศาสตร์ต้องระบุยีนที่กำหนดพฤติกรรมเป็นมิตรและก้าวร้าวให้ได้เสียก่อน ทว่าในความเป็นจริงรูปแบบพฤติกรรมทั่วไปเหล่านั้นเป็นการผสมผสานของพฤติกรรม ที่มีรูปแบบเฉพาะเจาะจงกว่า ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความกล้า ความเฉยชา หรือความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งนักวิจัยต้องจำแนกแยกแยะออกจากกันอย่างชัดเจน จากนั้นจึงนำมาตรวจสอบและแกะรอยไปจนถึงยีนใดยีนหนึ่งหรือชุดของยีนที่ทำงานประสานกัน เมื่อใดที่ระบุยีนเหล่านั้นได้ นักวิจัยจะสามารถทดสอบได้ว่า ยีน ที่มีผลต่อพฤติกรรมยังมีส่วนกำหนดลักษณะภายนอกอย่างใบหูที่ตกลู่และขนที่ เป็นลายด่าง ตลอดจนคุณลักษณะอื่นๆที่บ่งบอกความเป็นสัตว์บ้านด้วยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทรูตและแอนนา คูเคโควา เพื่อนนักวิจัยชาวอเมริกันที่ให้การสนับสนุนโครงการวิจัยหมาป่าในไซบีเรีย กำลังมุ่งความสนใจไปที่ขั้นตอนแรก นั่นคือการโยงพฤติกรรมที่เป็นมิตรเข้ากับยีน ทุกปีเมื่อถึงช่วงปลายฤดูร้อน คู เคโควาจะเดินทางไปยังโนโวซีบีร์สค์เพื่อประเมินและรวบรวมข้อมูลจากลูกหมา จิ้งจอกเกิดใหม่ในปีนั้น เธอจะใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์แบบเดียวกัน สำหรับหมาจิ้งจอกทุกตัว เพื่อเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ เกี่ยวกับท่าทาง การเปล่งเสียง และพฤติกรรมอื่นๆของหมาจิ้งจอก จากนั้นจะนำไปประเมินร่วมกับข้อมูลสายพันธุ์หรือเพดิกรี (pedigree) ซึ่งเป็นบันทึกที่ติดตามหมาจิ้งจอกที่เป็นมิตร ก้าวร้าว และกลุ่มที่เป็น “ลูกผสม” (หมาจิ้งจอกที่เกิดจากพ่อแม่แต่ละกลุ่ม)
จากนั้นทีมวิจัยร่วมอเมริกัน-รัสเซียจะสกัดดีเอ็นเอจากตัวอย่างเลือดหมาจิ้งจอกแต่ละตัว และวิเคราะห์หาความแตกต่างที่ชัดเจนในจีโนมระหว่างกลุ่มที่ประเมินพฤติกรรมว่าดุร้ายกับกลุ่มที่เชื่อง ทีมวิจัยรายงานว่าพวกเขาพบดีเอ็นเอหมาจิ้งจอกสองบริเวณที่แสดงออกเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างกันอย่างมากสองแบบ และนี่อาจเป็นตำแหน่งของยีนสำคัญในการปรับเปลี่ยนสัตว์ป่าให้กลายเป็นสัตว์บ้าน พวกเขาได้ข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่า การเปลี่ยนผ่านจากสัตว์ป่าสู่สัตว์บ้านไม่ได้เกิดจากยีนใดยีนหนึ่ง แต่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมหลายประการ หรือพูดง่ายๆคือเกิดจากยีนหลายยีนนั่นเอง
แน่ นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในฟาร์มหมาจิ้งจอกแห่งนี้เป็นเพียงแค่การทดลองทาง วิทยาศาสตร์ ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา โครงการต้องผ่านร้อนผ่านหนาวและช่วงเวลาอันยากลำบาก ตั้งแต่ยุคคอมมิวนิสต์จนถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียต หลายครั้งที่โครงการจำเป็นต้องจัดการและควบคุมประชากรหมาป่า โดยขายพวกที่เชื่องน้อยเกินไปหรือไม่ก้าวร้าวมากพอที่จะเป็นสัตว์วิจัยให้แก่ฟาร์มขนสัตว์ ใน ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทางสถาบันกำลังดำเนินการขอใบอนุญาตจำหน่ายหมาจิ้งจอกเชื่องๆ ซึ่งเป็นส่วนเกินของงานวิจัยให้เป็นสัตว์เลี้ยงทั้งในและต่างประเทศ โดยบอกว่า ไม่ เพียงเป็นการช่วยหาบ้านที่ดีกว่าให้หมาจิ้งจอกที่ไม่มีใครต้องการ แต่ยังเป็นการระดมเงินทุนเพื่อช่วยให้โครงการวิจัยเดินหน้าต่อไปด้วย ทรูตบอกว่า “สถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ เราพยายามทำดีที่สุดเพื่อให้ประชากรหมาจิ้งจอกของเรามีชีวิตอยู่อย่างสุข สบายตามอัตภาพค่ะ”
เมษายน 2554