1
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ตั้งกองทุนช่วย ลูกหมอ กำพร้า ช่วยส่งเรียนต่อ ค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายจนจบ ป.ตรี
« เมื่อ: วันนี้ เวลา 20:26:24 »
สสจ.ปราจีนบุรี ระดมความช่วยเหลือ ตั้งบัญชีกองทุนช่วยเหลือ ลูกหมอ กำพร้าพ่อแม่ อาศัยอยู่กับย่า ไม่มีเงินเรียนต่อ ค้างค่าเช่าบ้าน ซ้ำป่วยโรคลมชัก เผยมีเงินช่วยเหลือแล้วกว่า 1.5 แสนบาท แจงการใช้งบให้เป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายส่วนตัวสัปดาห์ละ 1,600 บาท ค่าเช่าบ้านเดือนละ 1 พันบาท จนเรียนจบ ป.ตรี เผยเด็กอยากเรียนต่อบัญชี
นพ.โชคชัย สาครพานิช นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ปราจีนบุรี กล่าวถึงกรณีออกหนังสือจดหมายเวียนถึง นพ.สสจ. และผู้อำนวยการโรงพยาบาลเขตสุขภาพที่ 6 เพื่อขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัว นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งเสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด เหลือเพียงมารดาวัย 80 ปี และ น.ส.อารดา วงศ์ดีเลิศ ซึ่งป่วยเป็นโรคลมชัก ซึ่งไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีเงิน ว่า การให้ความช่วยเหลือครอบครัวของ นพ.กฤษฎา เนื่องจากทราบถึงความยากลำบากของครอบครัวดังกล่าว ผ่าน นพ.โชคชัย มานะดี ผอ.รพ.กบินทร์บุรี และ นพ.พงศธร สร้อยคีรี ผอ.รพ.ประจันตคาม ซึ่ง นพ.พงศธร ถือเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ นพ.กฤษฎา คือ แพทยศาสตรบัณฑิต รุ่น 42 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยพบว่า น.ส.อารดา นั้น ต้องสูญเสียทั้งคุณพ่อและแม่ อยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งก็มีรายได้ที่ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถเรียนต่อ ม.4 ได้
น้องอารดาสูญเสียคุณแม่ไปตั้งแต่เมื่ออายุได้ 5 เดือน เมื่อคราวเดินทางไปต่างจังหวัด ซึ่งทุกคนบนรถเสียชีวิตทั้งหมด ยกเว้นน้องคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ก็ต้องมาสูญเสียคุณพ่อ คือ นพ.กฤษฎา ไปอีกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดเมื่อตอนน้องอายุได้ 2 ขวบ จึงเติบโตมากับคุณย่า จนขณะนี้มีอายุ 18 ปีแล้ว ซ้ำยังมีอาการป่วยด้วยโรคลมชัก และไม่ได้เรียนต่อชั้น ม.4 เพราะประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย โดยคุณย่ามีรายได้ไม่มาก จากการทำขนมต้มมาขายหน้าโรงเรียน และเบี้ยยังชีพอีกเดือนละ 800 บาทเท่านั้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายนั้น มีค่าเช่าบ้านประมาณพันบาท ซึ่งได้ค้างค่าเช่ามาประมาณ 2 เดือนแล้ว เบื้องต้น นพ.โชคชัย และ นพ.พงศธร ได้มีการให้ความช่วยเหลือเรื่องของยังชีพไปบ้างแล้ว แต่จากเรื่องราวดังกล่าวจึงตัดสินใจนำเรื่องของน้องเข้าที่ประชุมจังหวัด เพื่อดำเนินการช่วยเหลือ โดยตั้งบัญชี กองทุนสวัสดิการ เพื่อ น.ส.อารดา วงศ์ดีเลิศ ขึ้น และส่งหนังสือขอความอนุเคราะห์ออกไปยังเครือข่ายด้านสาธารณสุข เพื่อให้ความช่วยเหลือ เบื้องต้นมีเงินในกองทุนแล้วประมาณ 155,000 บาท นพ.โชคชัย กล่าว
นพ.โชคชัย กล่าวว่า สำหรับการนำเงินในบัญชีมาช่วยเหลือ น.ส.อารดา นั้น จะอยู่ในรูปแบบของคณะกรรมการกองทุน ซึ่งมี นพ.โชคชัย และ นพ.พงศธร เป็นหนึ่งในกรรมการด้วย ซึ่งคณะกรรมการมีมติให้จ่ายเงินสัปดาห์ละ 1,600 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่าง ๆ ของ น.ส.อารดา และคุณย่า ตกเดือนละประมาณ 6,400 บาท ค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,000 บาท ซึ่งค่าเล่าเรียนก็จะใช้เงินจากกองทุนนี้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนระยะยาวไปจน น.ส.อารดา เรียนจบปริญญาตรี ซึ่งที่ทราบคือ น.ส.อารดา อยากเรียนด้านบัญชี ส่วนการรักษาโรคลมชักของ น.ส.อารดา นั้น อยู่ในความดูแลของ รพ.กบินทร์บุรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะอยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง)
หลังจากมีการกระจายขอความช่วยเหลือ และมีการส่งต่อกันในสังคมออนไลน์ก็คาดว่าเงินในกองทุนเพื่อช่วยเหลือน้องอารดาน่าจะเพิ่มขึ้น สามารถดูแลน้องไปจนเรียนจบและประกอบอาชีพมีรายได้เป็นของตนเองได้ ส่วนการนำเงินในบัญชีมาช่วยเหลือนั้น ถ้ามีความเปลี่ยนแปลงกรรมการก็จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง สำหรับผู้มีจิตศรัทธาสามารถให้ความช่วยเหลือผ่านทางบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาประจันตคาม ชื่อบัญชีกองทุนสวัสดิการ เพื่อ น.ส.อารดา วงศืดีเลิศ เลขที่บัญชี 020067477915 นพ.โชคชัย กล่าวและว่า ส่วนความช่วยเหลือในฐานะเป้นข้าราชการนั้น เนื่องจาก นพ.กฤษฎา ได้ลาออกจาก รพ.กบินทร์บุรี ไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จึงไม่ได้มีสิทธิของข้าราชการ
18 ก.พ. 2559 MGR Online
.........................................................
น้องไอซ์ สู้ชูสองนิ้ว เข้าสแกนสมองก่อนรักษา ลมชัก สถาบันประสาทฯ รักษาฟรี
น้องไอซ์ ยิ้มสู้ชูสองนิ้ว เข้าสแกนสมองสถาบันประสาทฯ รับการรักษา โรคลมชัก ด้าน ผอ. เผยรักษาฟรีผ่านกองทุนเพื่อผู้ป่วยโรคลมชัก เบื้องต้นให้ยารักษาก่อน ด้านคุณย่าน้องไอซ์ขอบคุณช่วยหลานสาวได้รักษากับแพทย์เชี่ยวชาญ
ความคืบหน้าการช่วยเหลือ น.ส.อารดา วงศ์ดีเลิศ หรือ น้องไอซ์ อายุ 18 ปี ลูกสาวของ นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์โรงพยาบาลกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งภายหลังลาออกไปอยู่ รพ. เอกชน ได้เสียชีวิตจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ทำให้น้องไอซ์ต้องอาศัยอยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และประสบกับความยากลำบาก เนื่องจากรายได้จากการขายขนมของคุณย่าไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าบ้านและค่าเล่าเรียน จนไม่สามารถเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้ ขณะที่น้องไอซ์เองมีปัญหาป่วยด้วยโรคลมชัก และทำการรักษาอยู่ที่ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งขณะนี้มีการตั้งกองทุนช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าเล่าเรียนแล้ว
ล่าสุด วันนี้ (24 ก.พ.) นพ.โชคชัย มานะดี ผอ.รพ.กบินทร์บุรี พร้อมทีมแพทย์ ได้ทำการส่งตัว น.ส.อารดา มารับการรักษาโรคลมชักต่อที่สถาบันประสาทวิทยา โดย น.ส.อารดา พร้อมด้วยคุณย่าวัย 80 ปี ได้เดินทางมาถึงสถาบันประสาทวิทยา เมื่อช่วงเวลา 11.20 น. ซึ่ง น.ส.อารดา ยังคงมีท่าทีตื่นเต้นอยู่บ้างกับการเดินทางมารับการรักษาในครั้งนี้ แต่สีหน้าท่าทางยังคงแจ่มใส พร้อมชูสองนิ้วก่อนเข้าห้องฉุกเฉิน เพื่อทำการซักประวัติและประเมินอาการเบื้องต้น ซึ่งระหว่างที่เดินนั้นก็ประคองคุณย่าของตนเองตลอดเวลา
นพ.อุดม ภู่วโรดม ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า โรคลมชักเป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวกับทางระบบประสาท ซึ่งแนวทางการรักษาคนไข้นั้น จะเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ว่าเข้าได้กับโรคลมชักหรือไม่ จากนั้นจะมีการตรวจวินิจฉัยยืนยันเพิ่มเติม โดยทำการตรวจด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ เพื่อดูว่าเนื้อสมองมีความผิดปกติ หรือคลื่นสมองผิดปกติที่เข้าได้กับโรคลมชักหรือไม่ ซึ่งแต่ละรายใช้เวลาในการวินิจฉัยไม่เท่ากัน บางรายสามารถวินิจฉัยได้เลย แต่บางรายยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ ก็อาจต้องให้นอนโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูคลื่นสมองระยะยาว 24 ชั่วโมง แล้วนำมาแปลผลว่าเกี่ยวข้องกับโรคลมชักหรือไม่ ซึ่งกรณีของ น.ส.อารดา คาดว่า จะดำเนินการตรวจตามข้นตอนทั้งหมดภายในวันนี้
นพ.อุดม กล่าวว่า ทั้งนี้ หากวินิจฉัยได้ว่าเกี่ยวข้องกับโรคลมชัก ก็จะเริ่มทำการรักษาเบื้องต้นด้วยการให้ยารักษาก่อน โดยพิจารณาจากยาที่คนไข้รับประทานอยู่ปัจจุบันว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ มีการใช้ยารักษาเกินสองตัวแล้วยังไม่สามารถควบคุมอาการชักได้หรือไม่ เพื่อปรับชนิดและขนาดของยาให้มีความเหมาะสมกับคนไข้มากขึ้น ซึ่งหากคนไข้สามารถควบคุมอาการชักได้ดี ใช้เวลาไม่นานก็สามารถกลับบ้านได้ แต่หากไม่สามารถควบคุมอาการได้นั้น จะมีการติดตามตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองประมาณ 1 - 2 เดือน จากนั้นจะมีการประชุมสหวิชาชีพประเมินผลวิเคราะห์เพื่อทำการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดนั้นส่วนใหญ่ใช้เวลานอนในโรงพยาบาลประมาณ 1 สัปดาห์ ก็สามารถกลับบ้านได้หากไม่มีอาการแทรกซ้อน โดยจะมีการให้ยากันชักอย่างต่อเนื่องอย่างต่ำประมาณ 2 ปี ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งจากสถิติของสถาบันประสาทฯ พบว่า ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดกว่า 70% ไม่เกิดอาการชักอีก ส่วน 50% มีอาการชักลดลง ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับต่างประเทศ
ความรุนแรงของโรคลมชักมีหลายระดับ ทั้งการชักเพียงครั้งเดียวในชีวิต การชักทุกวัน หรือแม้แต่ชักวันละหลายรอบ จึงต้องทำการประเมินอาการของคนไข้ก่อน ซึ่งการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจคลื่นสมอง สามารถบอกชนิดของโรคลมชัก และวิธีการรักษาได้ แต่ต้องอาศัยเวลาในการวินิจฉัย สำหรับอัตราการเกิดโรคลมชักของประเทศไทยข้อมูลยังไม่ชัดเจน แต่ทั่วโลกพบแนวโน้มเพิ่มขึ้นความชุกอยู่ที่ 25 ต่อพันประชากร แต่โรคลมชักวัยที่พบมากขึ้นช่วงอายุก่อน 20 ปี และในวัยสูงอายุ ผอ.สถาบันประสาทฯ กล่าวและว่า การรับตัว น.ส.อารดา มารักษา เพราะอยากช่วยคนไข้ ซึ่งแต่ละปีสถาบันฯ ก็มีการช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว
นพ.อุดม กล่าวภายหลัง น.ส.อารดา เข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคลมชักว่า การตรวจวินิจฉัยนั้น ตัวคนไข้ต้องมีความพร้อม และต้องตรวจอย่างละเอียด ซึ่งตัวของ น.ส.อารดา ถือว่ามีความพร้อมพอสมควร มีความตื่นเต้นบ้าง และมีความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ทำให้ผลตรวจอย่างละเอียดยังไม่สามารถบอกอย่างชัดเจนได้ แต่ถ้าเจอสาเหตุแล้วก็นอนโรงพยาบาลไม่เกิน 1 สัปดาห์ ถ้าไม่เจอสาเหตุอาจต้องนอนนานกว่านั้น เพื่อตรวจคลื่นสมองในระยะยาว
พญ.กาญจนา อั๋นวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและโรคลมชัก กล่าวว่า หลังทราบผลจะพิจารณาว่ายากันชักที่คนไข้รับประทานอยู่นั้นตรงชนิดกับโรค และเหมาะสมหรือไม่ โดยอาจปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมเพื่อลดการชักให้มากที่สุด ส่วนจะต้องรับประทานนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับผลการตรวจวินิจฉัย ซึ่งจะมีการนำผลมาหารือกับทีมสหวิชาชีพ แต่เบื้องต้นทีมแพทย์ไม่ได้มีความกังวล การรักษาโรคลมชักนั้น มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะต้องใช้ยาที่มีราคาแพง ใช้เครื่องมือประเมินตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติม รวมถึงการผ่าตัด ซึ่งที่ผ่านมา สถาบันฯ มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อผู้ป่วยโรคลมชัก มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา กรณีผู้ป่วยยากไร้ ไม่มีสิทธิการรักษาใด หรือแม้มีสิทธิการรักษา แต่ไม่ได้ครอบคลุมการรักษาบางอย่าง เพื่อให้เข้าถึงการรักษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถร่วมบริจาคได้ผ่านบัญชี มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา ธนาคารกรุงไทย เลขที่ 020-1-33312-0 ธนาคารกรุงเทพ 090-7-12612-2 กรุณาระบุเพื่อผู้ป่วยโรคลมชัก และส่งหลักฐานการโอนหรือแจ้งกองทุนเพื่อทราบ โทร. 0-2354-6118 หรือ 0-2306-9899 ต่อ 2439, 2214 หรืออีเมล pnifoundation55@gmail.com
นางบุนนาค จับศรทิพย์ คุณย่าของน้องไอซ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณสื่อที่ให้ความสนใจทำข่าว จนทำให้น้องได้รับการรักษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านลมชัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวันนี้เดินทางมาไกลมีความเหน็ดเหนื่อย และต้องทำการตรวจเพิ่มเติม จึงยังไม่สะดวกให้ข้อมูล แต่หากมีความพร้อมจะให้สัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง
รายงานข่าวแจ้งว่า ปัจจุบันน้องไอซ์ยังมีภาวะชักที่ไม่สามารถควบคุมได้
24 ก.พ. 2559 MGR Online
...................................................
โซเชียลสะเทือนใจลูกหมอกำพร้า เขียนเรียงความสะท้อนชะตาชีวิต เสียพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก อยู่กับย่า ปากกัดตีนถีบจบแค่ ม.3 ด้าน สสจ.ปราจีนฯ ตั้งกองทุนหาเงินส่งเรียนต่อ
วานนี้ (18 ก.พ. 59) เฟซบุ๊ก Ittaporn Kanacharoen ของ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์ภาพจดหมายทางราชการฉบับหนึ่งของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี เรื่อง ขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัว นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 พร้อมกับโพสต์ข้อความเล่าถึงชะตากรรมของครอบครัวของ นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี แพทย์จากจุฬารุ่นที่ 42 ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด ทิ้งแม่วัยเกือบ 80 และลูกสาวซึ่งมีอาการลมชักไว้หนึ่งคน แต่กลับไม่ได้เรียนหนังสือเพราะไม่มีเงิน
พล.อ.ต.นพ.อิทธพร บอกว่า อ่านจดหมายเวียนฉบับนี้ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์เกิดขึ้นกับครอบครัวของ นพ.กฤษดา อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งเรียนจบแพทย์จากจุฬาลงกรณ์รุ่นที่ 42 ซึ่งหลังอ่านหนังสือเวียนฉบับดังกล่าวแล้ว ต้องกลับไปค้นเรียงความของลูกสาวคนเดียวของ นพ.กฤษดา ที่เหลืออยู่ (เป็นโรคลมชัก และไม่ได้เรียนหนังสือแล้วตอนนี้เพราะไม่มีเงิน) ซึ่งชนะการประกวดเรียงความในวันแม่ปี 2555 (4 ปีก่อน) มาอ่าน จากเพจ คุณครูน๊อต ก่อนนำมาเผยแพร่และขอความช่วยเหลือให้แก่ ด.ญ.อารดา ในเฟซบุ๊ก
เรียงความสะท้อนชะตาชีวิต ลูกหมอกำพร้า พ่อช่วยคนจนตัวตาย วอนสังคมช่วยเหลือ
19 กุมภาพันธ์ 2559
โซเชียลสะเทือนใจลูกหมอกำพร้า เขียนเรียงความสะท้อนชะตาชีวิต เสียพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก อยู่กับย่า ปากกัดตีนถีบจบแค่ ม.3 ด้าน สสจ.ปราจีนฯ ตั้งกองทุนหาเงินส่งเรียนต่อ
วานนี้ (18 ก.พ. 59) เฟซบุ๊ก Ittaporn Kanacharoen ของ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์ภาพจดหมายทางราชการฉบับหนึ่งของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี เรื่อง ขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัว นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 พร้อมกับโพสต์ข้อความเล่าถึงชะตากรรมของครอบครัวของ นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี แพทย์จากจุฬารุ่นที่ 42 ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด ทิ้งแม่วัยเกือบ 80 และลูกสาวซึ่งมีอาการลมชักไว้หนึ่งคน แต่กลับไม่ได้เรียนหนังสือเพราะไม่มีเงิน
พล.อ.ต.นพ.อิทธพร บอกว่า อ่านจดหมายเวียนฉบับนี้ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์เกิดขึ้นกับครอบครัวของ นพ.กฤษดา อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งเรียนจบแพทย์จากจุฬาลงกรณ์รุ่นที่ 42 ซึ่งหลังอ่านหนังสือเวียนฉบับดังกล่าวแล้ว ต้องกลับไปค้นเรียงความของลูกสาวคนเดียวของ นพ.กฤษดา ที่เหลืออยู่ (เป็นโรคลมชัก และไม่ได้เรียนหนังสือแล้วตอนนี้เพราะไม่มีเงิน) ซึ่งชนะการประกวดเรียงความในวันแม่ปี 2555 (4 ปีก่อน) มาอ่าน จากเพจ คุณครูน๊อต ก่อนนำมาเผยแพร่และขอความช่วยเหลือให้แก่ ด.ญ.อารดา ในเฟซบุ๊ก
เรียงความสะท้อนชะตาชีวิต ลูกหมอกำพร้า พ่อช่วยคนจนตัวตาย วอนสังคมช่วยเหลือ
ผมได้ตรวจสอบเอกสารนี้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรีที่ โทรศัพท์ 0-3721-1626 ต่อ 108 แล้วครับ จะนำเรื่องนี้ปรึกษากรรมการแพทยสภาต่อไป ขอส่งให้ผู้บังคับบัญชา เพื่อนๆ พี่น้องในกระทรวงสาธารณสุข และสถาบันที่จบมา พิจารณาช่วยลูกหมอกำพร้าท่านนี้ด้วยตามสมควรด้วยนะครับ และอาจต้องมีมาตรการต่อไปในอนาคตสำหรับกรณีเหตุการณ์เช่นนี้..ขอบคุณครับ
ทั้งนี้ พล.อ.ต.นพ.อิทธพรได้นำเรียงความเรื่อง ชีวิตของลูกกำพร้า ซึ่งเขียนโดย ด.ญ.อารดา วงศ์ดีเลิศ นักเรียนชั้น ม.1/1 โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) ต.กบินทร์ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ลูกสาวคนเดียวของ นพ.กฤษฎา ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศประกวดเรียงความของโรงเรียนเมื่อปี 2555 มาเผยแพร่ โดยมีเนื้อหาสะท้อนชะตากรรมของครอบครัวเธอที่ต้องผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาหลายครั้งหลายหน ด.ญ.อารดา เล่าเรื่องราวว่า เธอเป็นลูกกำพร้า เสียแม่ไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธออายุได้เพียง 5 เดือน ต่อมาเมื่ออายุ 2 ปี ก็ต้องมาสูญเสียพ่อคือ นพ.กฤษดา ไปอีกคนหลังจากพ่อของเธอรักษาคนไข้จนต้องติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่กับย่าตามลำพัง แต่เธอก็ไม่ย่อท้อต่อชีวิต และพยายามดิ้นรนปากกัดตีนถีบเรื่อยมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรื่องเรียงความของ ด.ญ.อารดา ถูกเผยแพร่ต่อในโซเซียลมีเดีย จนมีผู้มาแสดงความคิดเห็นไปในทางชื่นชม และเห็นอกเห็นใจอย่างกว้างขวาง ซึ่งล่าสุดจากการตรวจสอบพบว่า ปัจจุบัน ด.ญ.อารดา โตขึ้นเป็น น.ส.อารดา แล้ว เรียนจบชั้น ม.3 และไม่ได้เรียนต่อเนื่องจากฐานะยากจน ต้องออกมารับจ้างทั่วไป และขายขนมกับย่าวัยใกล้ 80 อยู่ที่หน้าโรงเรียนในจ.ปราจีนบุรี
19 กุมภาพันธ์ 2559
https://www.nationtv.tv/news/378490355
นพ.โชคชัย สาครพานิช นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ปราจีนบุรี กล่าวถึงกรณีออกหนังสือจดหมายเวียนถึง นพ.สสจ. และผู้อำนวยการโรงพยาบาลเขตสุขภาพที่ 6 เพื่อขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัว นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งเสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด เหลือเพียงมารดาวัย 80 ปี และ น.ส.อารดา วงศ์ดีเลิศ ซึ่งป่วยเป็นโรคลมชัก ซึ่งไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีเงิน ว่า การให้ความช่วยเหลือครอบครัวของ นพ.กฤษฎา เนื่องจากทราบถึงความยากลำบากของครอบครัวดังกล่าว ผ่าน นพ.โชคชัย มานะดี ผอ.รพ.กบินทร์บุรี และ นพ.พงศธร สร้อยคีรี ผอ.รพ.ประจันตคาม ซึ่ง นพ.พงศธร ถือเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ นพ.กฤษฎา คือ แพทยศาสตรบัณฑิต รุ่น 42 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยพบว่า น.ส.อารดา นั้น ต้องสูญเสียทั้งคุณพ่อและแม่ อยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งก็มีรายได้ที่ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถเรียนต่อ ม.4 ได้
น้องอารดาสูญเสียคุณแม่ไปตั้งแต่เมื่ออายุได้ 5 เดือน เมื่อคราวเดินทางไปต่างจังหวัด ซึ่งทุกคนบนรถเสียชีวิตทั้งหมด ยกเว้นน้องคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ก็ต้องมาสูญเสียคุณพ่อ คือ นพ.กฤษฎา ไปอีกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดเมื่อตอนน้องอายุได้ 2 ขวบ จึงเติบโตมากับคุณย่า จนขณะนี้มีอายุ 18 ปีแล้ว ซ้ำยังมีอาการป่วยด้วยโรคลมชัก และไม่ได้เรียนต่อชั้น ม.4 เพราะประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย โดยคุณย่ามีรายได้ไม่มาก จากการทำขนมต้มมาขายหน้าโรงเรียน และเบี้ยยังชีพอีกเดือนละ 800 บาทเท่านั้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายนั้น มีค่าเช่าบ้านประมาณพันบาท ซึ่งได้ค้างค่าเช่ามาประมาณ 2 เดือนแล้ว เบื้องต้น นพ.โชคชัย และ นพ.พงศธร ได้มีการให้ความช่วยเหลือเรื่องของยังชีพไปบ้างแล้ว แต่จากเรื่องราวดังกล่าวจึงตัดสินใจนำเรื่องของน้องเข้าที่ประชุมจังหวัด เพื่อดำเนินการช่วยเหลือ โดยตั้งบัญชี กองทุนสวัสดิการ เพื่อ น.ส.อารดา วงศ์ดีเลิศ ขึ้น และส่งหนังสือขอความอนุเคราะห์ออกไปยังเครือข่ายด้านสาธารณสุข เพื่อให้ความช่วยเหลือ เบื้องต้นมีเงินในกองทุนแล้วประมาณ 155,000 บาท นพ.โชคชัย กล่าว
นพ.โชคชัย กล่าวว่า สำหรับการนำเงินในบัญชีมาช่วยเหลือ น.ส.อารดา นั้น จะอยู่ในรูปแบบของคณะกรรมการกองทุน ซึ่งมี นพ.โชคชัย และ นพ.พงศธร เป็นหนึ่งในกรรมการด้วย ซึ่งคณะกรรมการมีมติให้จ่ายเงินสัปดาห์ละ 1,600 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่าง ๆ ของ น.ส.อารดา และคุณย่า ตกเดือนละประมาณ 6,400 บาท ค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,000 บาท ซึ่งค่าเล่าเรียนก็จะใช้เงินจากกองทุนนี้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนระยะยาวไปจน น.ส.อารดา เรียนจบปริญญาตรี ซึ่งที่ทราบคือ น.ส.อารดา อยากเรียนด้านบัญชี ส่วนการรักษาโรคลมชักของ น.ส.อารดา นั้น อยู่ในความดูแลของ รพ.กบินทร์บุรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะอยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง)
หลังจากมีการกระจายขอความช่วยเหลือ และมีการส่งต่อกันในสังคมออนไลน์ก็คาดว่าเงินในกองทุนเพื่อช่วยเหลือน้องอารดาน่าจะเพิ่มขึ้น สามารถดูแลน้องไปจนเรียนจบและประกอบอาชีพมีรายได้เป็นของตนเองได้ ส่วนการนำเงินในบัญชีมาช่วยเหลือนั้น ถ้ามีความเปลี่ยนแปลงกรรมการก็จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง สำหรับผู้มีจิตศรัทธาสามารถให้ความช่วยเหลือผ่านทางบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาประจันตคาม ชื่อบัญชีกองทุนสวัสดิการ เพื่อ น.ส.อารดา วงศืดีเลิศ เลขที่บัญชี 020067477915 นพ.โชคชัย กล่าวและว่า ส่วนความช่วยเหลือในฐานะเป้นข้าราชการนั้น เนื่องจาก นพ.กฤษฎา ได้ลาออกจาก รพ.กบินทร์บุรี ไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จึงไม่ได้มีสิทธิของข้าราชการ
18 ก.พ. 2559 MGR Online
.........................................................
น้องไอซ์ สู้ชูสองนิ้ว เข้าสแกนสมองก่อนรักษา ลมชัก สถาบันประสาทฯ รักษาฟรี
น้องไอซ์ ยิ้มสู้ชูสองนิ้ว เข้าสแกนสมองสถาบันประสาทฯ รับการรักษา โรคลมชัก ด้าน ผอ. เผยรักษาฟรีผ่านกองทุนเพื่อผู้ป่วยโรคลมชัก เบื้องต้นให้ยารักษาก่อน ด้านคุณย่าน้องไอซ์ขอบคุณช่วยหลานสาวได้รักษากับแพทย์เชี่ยวชาญ
ความคืบหน้าการช่วยเหลือ น.ส.อารดา วงศ์ดีเลิศ หรือ น้องไอซ์ อายุ 18 ปี ลูกสาวของ นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์โรงพยาบาลกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งภายหลังลาออกไปอยู่ รพ. เอกชน ได้เสียชีวิตจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ทำให้น้องไอซ์ต้องอาศัยอยู่กับคุณย่ามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และประสบกับความยากลำบาก เนื่องจากรายได้จากการขายขนมของคุณย่าไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าบ้านและค่าเล่าเรียน จนไม่สามารถเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้ ขณะที่น้องไอซ์เองมีปัญหาป่วยด้วยโรคลมชัก และทำการรักษาอยู่ที่ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งขณะนี้มีการตั้งกองทุนช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าเล่าเรียนแล้ว
ล่าสุด วันนี้ (24 ก.พ.) นพ.โชคชัย มานะดี ผอ.รพ.กบินทร์บุรี พร้อมทีมแพทย์ ได้ทำการส่งตัว น.ส.อารดา มารับการรักษาโรคลมชักต่อที่สถาบันประสาทวิทยา โดย น.ส.อารดา พร้อมด้วยคุณย่าวัย 80 ปี ได้เดินทางมาถึงสถาบันประสาทวิทยา เมื่อช่วงเวลา 11.20 น. ซึ่ง น.ส.อารดา ยังคงมีท่าทีตื่นเต้นอยู่บ้างกับการเดินทางมารับการรักษาในครั้งนี้ แต่สีหน้าท่าทางยังคงแจ่มใส พร้อมชูสองนิ้วก่อนเข้าห้องฉุกเฉิน เพื่อทำการซักประวัติและประเมินอาการเบื้องต้น ซึ่งระหว่างที่เดินนั้นก็ประคองคุณย่าของตนเองตลอดเวลา
นพ.อุดม ภู่วโรดม ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า โรคลมชักเป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวกับทางระบบประสาท ซึ่งแนวทางการรักษาคนไข้นั้น จะเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ว่าเข้าได้กับโรคลมชักหรือไม่ จากนั้นจะมีการตรวจวินิจฉัยยืนยันเพิ่มเติม โดยทำการตรวจด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ เพื่อดูว่าเนื้อสมองมีความผิดปกติ หรือคลื่นสมองผิดปกติที่เข้าได้กับโรคลมชักหรือไม่ ซึ่งแต่ละรายใช้เวลาในการวินิจฉัยไม่เท่ากัน บางรายสามารถวินิจฉัยได้เลย แต่บางรายยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ ก็อาจต้องให้นอนโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูคลื่นสมองระยะยาว 24 ชั่วโมง แล้วนำมาแปลผลว่าเกี่ยวข้องกับโรคลมชักหรือไม่ ซึ่งกรณีของ น.ส.อารดา คาดว่า จะดำเนินการตรวจตามข้นตอนทั้งหมดภายในวันนี้
นพ.อุดม กล่าวว่า ทั้งนี้ หากวินิจฉัยได้ว่าเกี่ยวข้องกับโรคลมชัก ก็จะเริ่มทำการรักษาเบื้องต้นด้วยการให้ยารักษาก่อน โดยพิจารณาจากยาที่คนไข้รับประทานอยู่ปัจจุบันว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ มีการใช้ยารักษาเกินสองตัวแล้วยังไม่สามารถควบคุมอาการชักได้หรือไม่ เพื่อปรับชนิดและขนาดของยาให้มีความเหมาะสมกับคนไข้มากขึ้น ซึ่งหากคนไข้สามารถควบคุมอาการชักได้ดี ใช้เวลาไม่นานก็สามารถกลับบ้านได้ แต่หากไม่สามารถควบคุมอาการได้นั้น จะมีการติดตามตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองประมาณ 1 - 2 เดือน จากนั้นจะมีการประชุมสหวิชาชีพประเมินผลวิเคราะห์เพื่อทำการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดนั้นส่วนใหญ่ใช้เวลานอนในโรงพยาบาลประมาณ 1 สัปดาห์ ก็สามารถกลับบ้านได้หากไม่มีอาการแทรกซ้อน โดยจะมีการให้ยากันชักอย่างต่อเนื่องอย่างต่ำประมาณ 2 ปี ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งจากสถิติของสถาบันประสาทฯ พบว่า ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดกว่า 70% ไม่เกิดอาการชักอีก ส่วน 50% มีอาการชักลดลง ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับต่างประเทศ
ความรุนแรงของโรคลมชักมีหลายระดับ ทั้งการชักเพียงครั้งเดียวในชีวิต การชักทุกวัน หรือแม้แต่ชักวันละหลายรอบ จึงต้องทำการประเมินอาการของคนไข้ก่อน ซึ่งการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจคลื่นสมอง สามารถบอกชนิดของโรคลมชัก และวิธีการรักษาได้ แต่ต้องอาศัยเวลาในการวินิจฉัย สำหรับอัตราการเกิดโรคลมชักของประเทศไทยข้อมูลยังไม่ชัดเจน แต่ทั่วโลกพบแนวโน้มเพิ่มขึ้นความชุกอยู่ที่ 25 ต่อพันประชากร แต่โรคลมชักวัยที่พบมากขึ้นช่วงอายุก่อน 20 ปี และในวัยสูงอายุ ผอ.สถาบันประสาทฯ กล่าวและว่า การรับตัว น.ส.อารดา มารักษา เพราะอยากช่วยคนไข้ ซึ่งแต่ละปีสถาบันฯ ก็มีการช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว
นพ.อุดม กล่าวภายหลัง น.ส.อารดา เข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคลมชักว่า การตรวจวินิจฉัยนั้น ตัวคนไข้ต้องมีความพร้อม และต้องตรวจอย่างละเอียด ซึ่งตัวของ น.ส.อารดา ถือว่ามีความพร้อมพอสมควร มีความตื่นเต้นบ้าง และมีความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ทำให้ผลตรวจอย่างละเอียดยังไม่สามารถบอกอย่างชัดเจนได้ แต่ถ้าเจอสาเหตุแล้วก็นอนโรงพยาบาลไม่เกิน 1 สัปดาห์ ถ้าไม่เจอสาเหตุอาจต้องนอนนานกว่านั้น เพื่อตรวจคลื่นสมองในระยะยาว
พญ.กาญจนา อั๋นวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและโรคลมชัก กล่าวว่า หลังทราบผลจะพิจารณาว่ายากันชักที่คนไข้รับประทานอยู่นั้นตรงชนิดกับโรค และเหมาะสมหรือไม่ โดยอาจปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมเพื่อลดการชักให้มากที่สุด ส่วนจะต้องรับประทานนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับผลการตรวจวินิจฉัย ซึ่งจะมีการนำผลมาหารือกับทีมสหวิชาชีพ แต่เบื้องต้นทีมแพทย์ไม่ได้มีความกังวล การรักษาโรคลมชักนั้น มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะต้องใช้ยาที่มีราคาแพง ใช้เครื่องมือประเมินตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติม รวมถึงการผ่าตัด ซึ่งที่ผ่านมา สถาบันฯ มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อผู้ป่วยโรคลมชัก มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา กรณีผู้ป่วยยากไร้ ไม่มีสิทธิการรักษาใด หรือแม้มีสิทธิการรักษา แต่ไม่ได้ครอบคลุมการรักษาบางอย่าง เพื่อให้เข้าถึงการรักษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถร่วมบริจาคได้ผ่านบัญชี มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา ธนาคารกรุงไทย เลขที่ 020-1-33312-0 ธนาคารกรุงเทพ 090-7-12612-2 กรุณาระบุเพื่อผู้ป่วยโรคลมชัก และส่งหลักฐานการโอนหรือแจ้งกองทุนเพื่อทราบ โทร. 0-2354-6118 หรือ 0-2306-9899 ต่อ 2439, 2214 หรืออีเมล pnifoundation55@gmail.com
นางบุนนาค จับศรทิพย์ คุณย่าของน้องไอซ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณสื่อที่ให้ความสนใจทำข่าว จนทำให้น้องได้รับการรักษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านลมชัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวันนี้เดินทางมาไกลมีความเหน็ดเหนื่อย และต้องทำการตรวจเพิ่มเติม จึงยังไม่สะดวกให้ข้อมูล แต่หากมีความพร้อมจะให้สัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง
รายงานข่าวแจ้งว่า ปัจจุบันน้องไอซ์ยังมีภาวะชักที่ไม่สามารถควบคุมได้
24 ก.พ. 2559 MGR Online
...................................................
โซเชียลสะเทือนใจลูกหมอกำพร้า เขียนเรียงความสะท้อนชะตาชีวิต เสียพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก อยู่กับย่า ปากกัดตีนถีบจบแค่ ม.3 ด้าน สสจ.ปราจีนฯ ตั้งกองทุนหาเงินส่งเรียนต่อ
วานนี้ (18 ก.พ. 59) เฟซบุ๊ก Ittaporn Kanacharoen ของ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์ภาพจดหมายทางราชการฉบับหนึ่งของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี เรื่อง ขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัว นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 พร้อมกับโพสต์ข้อความเล่าถึงชะตากรรมของครอบครัวของ นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี แพทย์จากจุฬารุ่นที่ 42 ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด ทิ้งแม่วัยเกือบ 80 และลูกสาวซึ่งมีอาการลมชักไว้หนึ่งคน แต่กลับไม่ได้เรียนหนังสือเพราะไม่มีเงิน
พล.อ.ต.นพ.อิทธพร บอกว่า อ่านจดหมายเวียนฉบับนี้ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์เกิดขึ้นกับครอบครัวของ นพ.กฤษดา อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งเรียนจบแพทย์จากจุฬาลงกรณ์รุ่นที่ 42 ซึ่งหลังอ่านหนังสือเวียนฉบับดังกล่าวแล้ว ต้องกลับไปค้นเรียงความของลูกสาวคนเดียวของ นพ.กฤษดา ที่เหลืออยู่ (เป็นโรคลมชัก และไม่ได้เรียนหนังสือแล้วตอนนี้เพราะไม่มีเงิน) ซึ่งชนะการประกวดเรียงความในวันแม่ปี 2555 (4 ปีก่อน) มาอ่าน จากเพจ คุณครูน๊อต ก่อนนำมาเผยแพร่และขอความช่วยเหลือให้แก่ ด.ญ.อารดา ในเฟซบุ๊ก
เรียงความสะท้อนชะตาชีวิต ลูกหมอกำพร้า พ่อช่วยคนจนตัวตาย วอนสังคมช่วยเหลือ
19 กุมภาพันธ์ 2559
โซเชียลสะเทือนใจลูกหมอกำพร้า เขียนเรียงความสะท้อนชะตาชีวิต เสียพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก อยู่กับย่า ปากกัดตีนถีบจบแค่ ม.3 ด้าน สสจ.ปราจีนฯ ตั้งกองทุนหาเงินส่งเรียนต่อ
วานนี้ (18 ก.พ. 59) เฟซบุ๊ก Ittaporn Kanacharoen ของ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์ภาพจดหมายทางราชการฉบับหนึ่งของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี เรื่อง ขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัว นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 พร้อมกับโพสต์ข้อความเล่าถึงชะตากรรมของครอบครัวของ นพ.กฤษฎา วงศ์ดีเลิศ อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี แพทย์จากจุฬารุ่นที่ 42 ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด ทิ้งแม่วัยเกือบ 80 และลูกสาวซึ่งมีอาการลมชักไว้หนึ่งคน แต่กลับไม่ได้เรียนหนังสือเพราะไม่มีเงิน
พล.อ.ต.นพ.อิทธพร บอกว่า อ่านจดหมายเวียนฉบับนี้ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์เกิดขึ้นกับครอบครัวของ นพ.กฤษดา อดีตแพทย์ รพ.กบินทร์บุรี ซึ่งเรียนจบแพทย์จากจุฬาลงกรณ์รุ่นที่ 42 ซึ่งหลังอ่านหนังสือเวียนฉบับดังกล่าวแล้ว ต้องกลับไปค้นเรียงความของลูกสาวคนเดียวของ นพ.กฤษดา ที่เหลืออยู่ (เป็นโรคลมชัก และไม่ได้เรียนหนังสือแล้วตอนนี้เพราะไม่มีเงิน) ซึ่งชนะการประกวดเรียงความในวันแม่ปี 2555 (4 ปีก่อน) มาอ่าน จากเพจ คุณครูน๊อต ก่อนนำมาเผยแพร่และขอความช่วยเหลือให้แก่ ด.ญ.อารดา ในเฟซบุ๊ก
เรียงความสะท้อนชะตาชีวิต ลูกหมอกำพร้า พ่อช่วยคนจนตัวตาย วอนสังคมช่วยเหลือ
ผมได้ตรวจสอบเอกสารนี้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรีที่ โทรศัพท์ 0-3721-1626 ต่อ 108 แล้วครับ จะนำเรื่องนี้ปรึกษากรรมการแพทยสภาต่อไป ขอส่งให้ผู้บังคับบัญชา เพื่อนๆ พี่น้องในกระทรวงสาธารณสุข และสถาบันที่จบมา พิจารณาช่วยลูกหมอกำพร้าท่านนี้ด้วยตามสมควรด้วยนะครับ และอาจต้องมีมาตรการต่อไปในอนาคตสำหรับกรณีเหตุการณ์เช่นนี้..ขอบคุณครับ
ทั้งนี้ พล.อ.ต.นพ.อิทธพรได้นำเรียงความเรื่อง ชีวิตของลูกกำพร้า ซึ่งเขียนโดย ด.ญ.อารดา วงศ์ดีเลิศ นักเรียนชั้น ม.1/1 โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดใหม่ท่าพาณิชย์) ต.กบินทร์ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ลูกสาวคนเดียวของ นพ.กฤษฎา ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศประกวดเรียงความของโรงเรียนเมื่อปี 2555 มาเผยแพร่ โดยมีเนื้อหาสะท้อนชะตากรรมของครอบครัวเธอที่ต้องผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาหลายครั้งหลายหน ด.ญ.อารดา เล่าเรื่องราวว่า เธอเป็นลูกกำพร้า เสียแม่ไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธออายุได้เพียง 5 เดือน ต่อมาเมื่ออายุ 2 ปี ก็ต้องมาสูญเสียพ่อคือ นพ.กฤษดา ไปอีกคนหลังจากพ่อของเธอรักษาคนไข้จนต้องติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่กับย่าตามลำพัง แต่เธอก็ไม่ย่อท้อต่อชีวิต และพยายามดิ้นรนปากกัดตีนถีบเรื่อยมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรื่องเรียงความของ ด.ญ.อารดา ถูกเผยแพร่ต่อในโซเซียลมีเดีย จนมีผู้มาแสดงความคิดเห็นไปในทางชื่นชม และเห็นอกเห็นใจอย่างกว้างขวาง ซึ่งล่าสุดจากการตรวจสอบพบว่า ปัจจุบัน ด.ญ.อารดา โตขึ้นเป็น น.ส.อารดา แล้ว เรียนจบชั้น ม.3 และไม่ได้เรียนต่อเนื่องจากฐานะยากจน ต้องออกมารับจ้างทั่วไป และขายขนมกับย่าวัยใกล้ 80 อยู่ที่หน้าโรงเรียนในจ.ปราจีนบุรี
19 กุมภาพันธ์ 2559
https://www.nationtv.tv/news/378490355