My Community
หมวดหมู่ทั่วไป => ข่าวสมาพันธ์ => ข้อความที่เริ่มโดย: story ที่ 30 มิถุนายน 2010, 23:35:58
-
ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....
มันต้องถอน.............มันต้องถอย เพราะ ประชาชนส่วนใหญ่เสียประโยชน์ มีผลกระทบต่อระบบบริการสาธารณสุข แต่ประชาชนส่วนน้อยคือผู้เสียหาย และกลุ่ม NGO บางกลุ่มที่ต้องการมีอำนาจควบคุมเงิน ได้ประโยชน์
เหตุผล
1.ชื่อไม่เป็นมงคล ต่อวงการแพทย์ ส่อเค้าให้เกิดความเสียหายเป็นอาจินต์ ในความเป็นจริงไม่ใช่ ไม่ใช่เจตนารมณ์ของการแพทย์และการสาธารณสุข เราต้องการให้ผู้ป่วยหายจากโรคมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี
2. ชื่อ และเนื้อหาไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย ทำลายสัมพันธภาพที่ดีระหว่างแพทย์และผู้ป่วย และยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจให้ร้าวลึกมากขึ้น แพทย์ตรวจผู้ป่วยด้วยความระแวงว่าจะเกิดการฟ้องร้องหรือไม่ เกิดปรากฏการณ์ การแพทย์ที่ปกป้องตนเอง(defensive medicine) ซี่งคนทั่วไปยากที่จะเข้าใจ ปัญหานี้เกิดขึ้นในปัจจุบันตั้งแต่ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ฯ ม.41 ม42 และจะเกิดมากขึ้นในอนาคต ดังนี้
2.1 ค่าใช้จ่ายในการแพทย์บานปลายมากขึ้นทั้งของรัฐและเอกชนเพราะแพทย์จะส่งตรวจและให้การรักษาเกินความจำเป็น ร.พ.รัฐขาดทุน 505 แห่ง ต้นเหตุแห่งพ.ร.บ.ประกันสุขภาพฯ ( งบประมาณฯไม่พอ ม.41และ ม.42 ) เราได้เตือนท่านแล้วแต่ไม่รับฟัง หากเรียกเก็บเงินจากร.พ.ที่ขาดทุนอีกจะกระทบต่องานบริการของผู้ป่วยส่วนใหญ่อย่างแน่นอน
2.2ผู้ป่วยหนักมีปัญหาซับซ้อนและรักษายากถูกส่งไปร.พ.ใหญ่มากขึ้น รอคิวยาว จนเสียชีวิตไปก่อน
2.3ผู้ป่วยที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง ฉุกเฉินและรุนแรงเมื่อถูกส่งต่อจะได้รับการปฏิเสธ จนต้องเสียชีวิต ณ
ร.พ.เดิม เพราะไม่มีศักยภาพที่จะรักษา และขาดขวัญกำลังใจในการพัฒนาการรักษาในโรคที่ยาก เพราะทำแล้วร.พ.ขาดทุน ผุ้รักษาเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องสูง
3.ไม่สอดคล้องเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในประเด็นดังนี้
3.1เลือกปฏิบัติไม่ให้ความเท่าเทียมในด้านสิทธิของทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการซี่งเกิดความเสียหายได้ทั้งคู่ เช่น การติดโรคจากผู้รับบริการ การถูกบังคับอยู่เวรนอกเวลาราชการจนสุขภาพกายและจิตเสื่อม การรับผลกระทบจากรังสีและเคมีบำบัด คุณภาพชีวิตที่แย่ลงฯลฯ
3.2 ผู้ให้บริการตามมาตรฐานวิชาชีพไม่ได้รับการคุ้มครองทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ตามรัฐธรรมนูญ ในร่างพ.ร.บ.นี้ คณะกรรมการฯไม่มีตัวแทนสภาวิชาชีพในการประเมินมาตรฐานวิชาชีพ การให้บุคคลอื่นที่ไม่เข้าใจหลักการแพทย์ย่อมไม่ยุติธรรมและไม่ถูกต้อง
3.3 มีการบังคับจ่ายเงินทั้งจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งกระทบสิทธิและเสรีภาพอย่างแรง แต่ไม่มีการทำประชาพิจารณ์ ในบุคคลที่เกี่ยวขอ้ง
4.อายุความยาว 10 ปี ยืดเยื้อยาวนาน เช่นเดียวกับคดีอาญา สร้างความวิตกกังวล รบกวนสมาธิการทำงาน มีผลกระทบต่อผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่รับบริการ ทำให้สูญเสียแพทย์ที่ดีออกจากระบบเพียงแค่ถูกกล่าวหา
5.ภาระค่าใช้จ่ายจะถูกผลักไปยังผู้ป่วยที่รักษากับ คลินิกและร.พ.เอกชน
6.เพิ่มหน่วยงานที่มารับผิดชอบในการจ่ายเงิน สร้างภาระงบประมาณและ สร้างปัญหาเช่นเดียวกับสปสช. ที่เรียกว่าเสือนอนกิน ไม่มีหน่วยงานใดตรวจสอบ และคานอำนาจ บีบบังคับร.พ.ต่างๆโดยใช้เงินเป็นตัวล่อ ซี่งรอ ฯพณฯ ร.ม.ต.สธ.มาแก้ไข หากเกิดเสือ 2 ตัว ในวงการสาธารณสุข อีก มวลชนบุคลากรสาธารณสุขจะหมดความอดกลั้น จะเกิดการประท้วงกลางกระทรวงแน่นอน ท่านเตรียมรับมือไว้ได้เลย
ทางออกของประชาชน
1.พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ม.41 ควรครอบคลุมผู้ป่วยทุกประเภท และตัดเงินไปไว้ที่สถานบริการ ดำเนินการเอง อย่าเอาไว้กับเสือนอนกิน (สปสช.)
2.รับเงินจากกองทุนต้องยุติคดีแพ่งและอาญา หากไม่พีงพอใจ ประชาชนไปฟ้องศาลตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคได้ซี่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น รวดเร็วมีระบบเจรจาไกล่เกลี่ย ซี่งศาลให้ความยุติธรรมอยู่แล้ว ไม่ต้องตั้งคณะกรรมการใหม่ ไม่ต้องตั้งองค์กรใหม่เสียงบประมาณแผ่นดิน ซี่ง แย่กว่าเดิมองค์ประกอบไม่น่าเชื่อถือ
3.ผู้ร่วมจ่าย มี สปสช.รัฐบาล สำนักงานประกันสังคม
4.ผู้ป่วยรักษาคลินิกเอกชนและร.พ.เอกชน หากมีปัญหาสามารถบริหารจัดการได้เองอยู่แล้ว ไม่ต้องรวมในพ.ร.บ.ดังกล่าว ยกเว้นสมัครใจ
เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ที่แท้จริงควรถอนร่าง พ.ร.บ.ออกจากสภาผู้แทนราษฎรก่อน และ เริ่มต้นใหม่ในสิ่งที่ดีกว่า ด้วยความรอบคอบรอบด้านและประชาชนทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
พญ.สุธัญญา บรรจงภาค
-
พ.ร.บ.ที่ผ่านมติของคณะรัฐมนตรีนั้น ให้จ่ายแก่ประชาชน 2 เด้งคือ
1.เงินช่วยเหลือเบื้องต้น
2.เงินชดเชยความเสียหาย
ในความเห็นจากนักกฎหมายมหาชนผู้หนึ่งกล่าวว่าพ.ร.บ.ฉบับนี้ ก็อาศัยทำตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ คือ
1.การช่วยเหลือ ถือว่าไม่ได้ทำความผิด แต่ช่วยเพราะมนุษยธรรม
2.การชดเชย ภือว่าทำความผิดคือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ซึ่งเมื่อหน่วยงานจ่ายเงินชดเชยแล้ว ต้องไปไล่เบี้ยเอากับผู้กระทำความผิด
ในพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายนี้ ไม่มีกำหนเดไว้ในพ.ร.บ.ว่า "ห้ามไล่เบี้ย" ซึ่งในทางกฎหมายถือว่า ถ้าไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจน ให้เทียบเคียงได้จากกฎหมายอื่นๆที่มีอยู่
เพราะฉะนั้น ถ้ามีการจ่ายเงินชดเชยแล้ว ต้องมีการไล่เบี้ยเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
-
ตามปกติแล้วพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่นั้น ใช้บังคับเฉพาะข้าราชการและลูกจ้างหน่วยราชการเท่านั้น
แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ในพ.ร.บ.ค้มครองผู้เสียหายนี้ ได้รวบหัวรวบหางเอาองค์กรเอกชนเช่นกาชาด โรงพยาบาลเอกชน ร้านทำฟัน คลีนิกรักษาสิว ฝ้า ร้านขายยา ร้านกายภาพบำบัดทันตแพทย์
เทคนิกการแพทย์ เภสัช หรือการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์อื่นๆ
ทั้งหลายทั้งปวงต้องมาอยู่ภายใต้พ.ร.บ.นี้ และผู้ดำเนินการมีหน้าที่ "จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน"
ถ้าฝ่าฝืนไม่จ่ายเงินตามที่คณะกรรมการสั่ง มัสิทธิถูกลงโทษทั้งทางแพ่ง คือต้องเสียค่าปรับ
และมีโทษทางอาญาคือ ถูกจำคุก 6 เดือน
เสียเงินน่ะไม่เป็นไร สถานพยาบาลก็คงไปไล่เบี้ยเอากับ "ผู้รับบริการ" หรือรัฐบาลที่ "จ่ายเงินแทนผู้รับบริการ"
แต่สิ่งที่จะเสียหายมากกว่านั้นคือ ผู้ประกอบวิชาชีพ ที่อาจต้องถูกไล่เบี้ย หลังจากคณะกรรมการมีคำสั่งให้จ่ายเงินทดแทนแก่ "ผู้เสียหายแล้ว"
และถ้าผู้ประกอบวิชาชีพไม่มีเงินจ่าย ก็อาจต้องไปติดคุกแทนใช้หนี้
นอกจากนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯนี้ ยังมีคณะกรรมการอุทธรณ์ ให้ประชาชนร้องอุทธรณ์ได้ ถ้าไม่พอใจเม็ดเงินที่คณะกรรมการจ่ายชดเชย
แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ผู้ประกอบวิชาชีพนั้น ไม่มีสิทธ์ใดๆ ในการยื่ยอุทธรณ์แก่คณะกรรมการทั้งสิ้นทั้งปวง
ถ้าผู้ประกอบวิชาชีพกลัวการจ่ายเงินหรือกลลัวถูกไล่เบี้ย ต้องไปฟ้องศาลปกครองได้สถานเดียวเท่านั้น
-
ฉะนั้นใครผู้ใดที่อยู่นอกกระทรวงสาธารณสุข
ถือว่าตัวเองลาออกมาแล้ว ปลอดภัย แล้ว
นับว่าท่านคิดผิดมากๆ
(แต่ไม่เป็นไร คิดผิดก็คิดใหม่ได้ ก่อนที่จะสายเกินไป)
เพราะพ.ร.บ.นี้ เปรียบเหมือนหมาป่าอยากขย้ำลูกแกะ
นิทานออสปโบราณ หมาป่าสก็อยาดขย้ำลูกแกะเป็นอาหาร ก็หาเรื่องว่าลูกแกะทำให้น้ำในลำธารขุ่น หาป่ากินไม่ลง ถ็าลูกแกะไม่ได้ทำให้น้ำจุ่น
ก็ต้องเป็นพ่อแม่ของแกนั่นแหละที่เป็นคนทำ
หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็นเพื่อนฝูงญาติโกโหติกาของแกนั่นแหละที่ทำ
ฉะนั้นหมาป่าก็ต้องมีความชอบธรรม ที่จะขย้ำลูกแกะได้ทุกตัว
ไม่เฉพาะตัวที่ยืนเซ่ออยู่ในกระทรวงสาธารณสุข
อุ๊บส์
ขออภัย
ตัวที่ยืนเซ่ออยู่ริมลำธาร
-
หมาป่า = NGO
ลูกแกะ = ?????
ถ้าไม่อยากเป็น ลูกแกะ ----> มันต้องถอน