ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 7-13 ก.ค.2556  (อ่าน 920 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9782
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 7-13 ก.ค.2556
« เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2013, 23:06:51 »
 1. ผบ.เหล่าทัพ เมินคลิปเสียง ประสานเสียง “ยิ่งลักษณ์” ให้โอกาส “ยุทธศักดิ์” ทำงาน ด้าน “สนธิ” เชื่อ “ประยุทธ์” ขายตัวรับใช้ “ทักษิณ” แล้ว!

       ความคืบหน้ากรณีเว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์และเว็บไซต์ยูทูบ ได้เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาของชาย 2 คน จากแดนไกล ที่เสียงคล้าย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ซึ่งในคลิป ทั้งสองมีการวางแผนในการพา พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศ ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยตอนแรกจะทำทีออกเป็น พ.ร.บ. แต่เมื่อเข้าที่ประชุมความมั่นคงฯ จะให้ที่ประชุมเสนอรัฐบาลให้ออกเป็น พ.ร.ก.โดยอ้างเหตุผลเพื่อป้องกันเหตุวุ่นวาย นอกจากนี้ในคลิป ชายทั้งสองคนยังพูดถึงการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร โดยระบุว่าใครเหมาะสมกับตำแหน่งอะไร ไม่เท่านั้น ชายที่เสียงคล้าย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยังบอกชายที่เสียงคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยว่า ได้บอกกับ ผบ.สส. และ ผบ.ทบ. แล้วว่า ถ้าอยากมีงานทำหลังเกษียณในปี 2557 ให้รีบแสดงฝีมือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็น ซึ่ง ผบ.สส. และ ผบ.ทบ.ก็ตกปากรับคำ
       
       อย่างไรก็ตาม หลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ ปรากฏว่า ตอนแรก พล.อ.ยุทธศักดิ์ ปฏิเสธว่าไม่ได้เดินทางไปพบหรือโทรศัพท์พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด พร้อมอ้างว่า อาจเป็นฝีมือของผู้ที่ผิดหวังจากตำแหน่งใน ครม.ชุดใหม่ที่พยายามใส่ร้ายตนก็เป็นได้ แต่ตอนหลังเมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามเรื่องนี้อีก พล.อ.ยุทธศักดิ์ กลับพยายามหลบเลี่ยงและหนีนักข่าวตลอด ขณะที่ ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม อดีตนายทหารกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็น 1 ในแกนนำคนไทยหัวใจรักชาติ ได้นำพระแก้วมรกตจำลองมาท้าให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ สาบานว่าไม่ใช่บุคคลในคลิป แต่ไม่ได้รับการตอบรับจาก พล.อ.ยุทธศักดิ์แต่อย่างใด ร.อ.ทรงกลด ยังได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบคลิปเสียงดังกล่าวด้วย และว่า หากเป็นเรื่องจริง ถือว่าการกระทำของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ เข้าข่ายผิดประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ.2551 ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติยศของกองทัพ ต้องยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ค่อนข้างเครียดหลังคลิปเสียงถูกเผยแพร่ ถึงกับพูดเปรยๆ กับคนใกล้ชิดว่า อยากจะขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เห็นด้วย
       
       ขณะที่ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาและบุคคลในคลิปเสียงอย่างกว้างขวาง พร้อมเรียกร้องให้มีการชี้แจงและตรวจสอบ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า สิ่งที่พูดกันในคลิปเป็นเรื่องน่ากลัว แสดงให้เห็นถึงความพยายามใช้อำนาจทางการเมืองตอบโจทย์ตัวเองเรื่องการพ้นผิดจากกฎหมาย เรื่องธุรกิจ และพยายามยึดครองกลไกต่างๆ และพูดถึงองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสถาบันอย่างไม่เหมาะสม ถือเป็นความพยายามใช้อำนาจในทางที่ผิด นายกฯ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลต้องค้นหาความจริงและยืนยันว่า การพูดคุยตามคลิปนี้จะไม่เกิดขึ้น
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บอกเพียงว่า คลิปดังกล่าว ไม่มีใครยืนยันในรายละเอียด ต้องรอให้มีการตรวจสอบก่อน ขณะที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก โดยยอมรับว่า เสียงในคลิปเป็นเสียง พ.ต.ท.ทักษิณจริง แต่เชื่อว่าน่าจะมีการตัดต่อเพื่อบิดเบือนเนื้อหาสาระ และว่า จะนำคลิปเสียงดังกล่าวไปให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ฟังที่กรุงปักกิ่งในวันที่ 11 ก.ค.
       
       ส่วนท่าทีของผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อคลิปเสียงนั้น พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งถูกชายเสียงคล้าย พล.อ.ยุทธศักดิ์ พาดพิงถึงในคลิปว่า ต้องคุม “ประจิน” ไว้ เพื่อไปบีบ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก องคมนตรี ให้มีท่าทีอ่อนลง พูดถึงคลิปเสียงดังกล่าวว่า ตนยังไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ต้องรอการพิสูจน์ว่าคลิปดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกองทัพรับได้หรือไม่ หาก พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศและหยุดเล่นการเมือง พล.อ.อ.ประจิน บอกว่า ต้องดูหลักการ 2 ด้าน 1.เราต้องการให้คนในประเทศมีความรักและสามัคคี 2.เราต้องการให้กฎหมายเป็นกฎหมาย เมื่อถามต่อว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ จำเป็นต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อคลิปเสียงหรือไม่ พล.อ.อ.ประจิน ไม่ขอแสดงความเห็น พร้อมบอกว่า ต้องรอปรึกษาผู้บัญชาการเหล่าทัพก่อน
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะเปิดแถลงท่าทีต่อเรื่องคลิปเสียงในวันที่ 12 ก.ค. แต่ก่อนจะถึงวันดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางเข้ารับตำแหน่งที่กระทรวงฯ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ก.ค. โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพให้การต้อนรับ พร้อมจัดพิธีสวนสนามของกองทหารเกียรติยศ 3 เหล่าทัพ ขณะเดียวกัน ได้มีมวลชนกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติและกลุ่มกลุ่มเสื้อหลากสีหลายร้อยคนมาชุมนุมต่อต้านการเข้ารับตำแหน่งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ท่ามกลางทหารและตำรวจ 9 กองร้อยที่มาดูแลรักษาความปลอดภัย เป็นที่น่าสังเกตว่า ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม ได้พยายามนอนขวางบนพื้นถนน เพื่อขัดขวางขบวนรถ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่จะเข้ากระทรวงฯ ด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวไปควบคุมไว้ที่ สน.พระราชวัง
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แถลงหลังประชุมร่วมกับ ผบ.เหล่าทัพ โดยยืนยันว่า จะร่วมกับกองทัพปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น ช่วยสนับสนุนงานของกระทรวงกลาโหมให้เดินไปอย่างราบรื่น และว่า รัฐบาลยินดีจะดูแลสร้างขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลทุกระดับชั้นของกองทัพ พร้อมย้ำ ในการปรับย้ายทหารประจำปี จะไม่มีการล้วงลูกโผทหาร ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยังเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่หลังเกิดกรณีคลิปเสียง น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า การทำงานต้องพิสูจน์กันที่ผลงาน ไม่สามารถบอกได้ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เป็นที่น่าสังเกตว่า การแถลงข่าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลาง ผบ.เหล่าทัพยืนเป็นฉากหลัง
       
       ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พูดถึงเรื่องคลิปเสียง โดยยืนยันว่า ในการประชุมร่วมกับนายกฯ ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ พร้อมย้ำ ผบ.เหล่าทัพไม่หวั่นไหวต่ออะไรทั้งสิ้น “วันนี้ผมยังมอง พล.อ.ยุทธศักดิ์ และท่านยังมองผมดีอยู่ คนเราต้องให้โอกาสทำงานและแสดงความรู้สึกร่วมกัน ถ้าเราสะกิดและเกากันอยู่ ไม่เกิดประโยชน์อะไร และเสียเวลากับคำถามที่ตอบยาก”
       
       ขณะที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แม้ไม่ได้เปิดแถลงเรื่องคลิปเสียงเมื่อวันที่ 12 ก.ค. แต่ก็ได้ให้สัมภาษณ์ โดยยืนยันว่า ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคลิปเสียง และว่า ถึงเขามาพูดต่อหน้าหรือฟังกับหูเอง ก็ไม่โกรธ และไม่สน เพราะทำตามหน้าที่ของตัวเอง เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงจุดยืนของกองทัพกรณีพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน พล.อ.ธนศักดิ์ บอกว่า กองทัพไม่ใช่กระทรวงยุติธรรม และไม่ใช่ตำรวจ มันไม่เกี่ยวข้องกัน
       
       ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แฉเรื่องคลิปเสียงดังกล่าวผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” โดยเชื่อว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์เป็นคนที่อัดคลิปดังกล่าวเอง แต่หลุดออกมาได้อย่างไรไม่รู้ พร้อมแฉว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ เคยช่วย พ.ต.ท.ทักษิณมาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาจำคุกคดีซื้อที่รัชดาฯ โดย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ในฐานะประธานโอลิมปิกไทย ได้เชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปร่วมพิธีเปิดโอลิมปิกที่จีน พ.ต.ท.ทักษิณจึงเอาหนังสือนี้ไปขอให้ศาลอนุญาตเดินทางออกนอกประเทศ พอไปแล้ว ก็ไม่กลับมาเลย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ได้เป็นรัฐมนตรีมาตลอด ขณะเดียวกัน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ก็เป็นคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.ยุทธศักดิ์ จึงคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับวัง และ พล.อ.เปรม ได้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ จึงอาจจะต้องการเอาคลิปเสียงนี้ไปคุยกับ พล.อ.เปรม เพื่อพิสูจน์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พูดจริง
       
       นายสนธิ ยังเชื่อด้วยว่า ขณะนี้ส่วนหัวของกองทัพลงมาจนถึงระดับแม่ทัพภาค ถูกซื้อหมดแล้ว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณคุมสภา ตำรวจ และอัยการได้แล้ว และกำลังรุกศาลอยู่ เหลืออย่างเดียวคือทหาร ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ มีบทเรียนจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ปฏิวัติ เพราะจะถูก พ.ต.ท.ทักษิณย้าย ดังนั้นครั้งนี้นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ย้าย พล.อ.ประยุทธ์แล้ว ยังทุ่มงบประมาณซื้ออาวุธให้มหาศาล ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ไว้ใจไอ้ตู่มาก นายสนธิ เชื่อว่า เป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ได้เจอ พ.ต.ท.ทักษิณเรียบร้อยแล้วที่สหรัฐอเมริกา และต้องมีข้อตกลงอะไรบางอย่าง ไม่เช่นนั้นไม่มีวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดว่าไว้ใจ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนที่ขี้ระแวงมาก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เข้าใจเลยเหรอ คุณสติปัญญามีน้อยมากจนคุณไม่เข้าใจเหรอว่า ไอ้คลิปนี้คือการแทรกแซงการทำงานของรัฐบาล อันนี้ผิดกฎหมายหรือเปล่า ผิดกฎหมายชัดเจน ทักษิณคือใคร ทักษิณคืออาชญากร เป็นนักโทษชาย แล้วมาก้าวกายตั้งโน่นตั้งนี่ แล้วยังเล่าอย่างภาคภูมิภูมิใจนะว่าเมียของ พล.ร.อ.อมรเทพ พาผัวไปเจอ แล้ว พล.ร.อ.อมรเทพ อยากจะเป็นผู้บัญชาการทหารเรือใจแทบขาด จะไปพบนักโทษชายทักษิณ วันนี้เนี่ย ผมคิดว่าเราเสียตำรวจไปทั้งกรม ยังพอที่จะทำใจได้ เพราะเรายังรักษาทหารได้ วันนี้ทหารเป็นตำรวจแล้วเหรอ ใครอยากได้ตำแหน่งต้องไปหาทักษิณทุกคนเหรอ และอีกหน่อยไอ้พวกผู้บัญชาการกองพล ไอ้พวกรอง ผบ.ทบ. เสธ.ทบ. คนจะขึ้นแม่ทัพภาค ไม่ต้องแห่ไปหาทักษิณกันหมดเหรอ”
       
       นายสนธิ ยังพูดถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ใครยุให้ปฏิวัติ ถ้าประเทศเสียหายต้องร่วมรับผิดชอบด้วยว่า “คุณบอกว่าใครยุให้ปฏิวัติ ถ้าชาติเสียหายต้องรับผิดชอบ ผมจะบอกให้ ถ้าชาติฉิบหาย ถ้าชาติเจ๊ง เพราะยัยปูคนนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คุณก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน เพราะฉะนั้นประยุทธ์จะถูกตราหน้าลงไปในอนาคต เมื่อชาติล่มสลาย วันนี้ใกล้แล้วนะ รัฐบาลชุดนี้ไม่มีทางออกเรื่องเศรษฐกิจ มันตันไปหมดแล้ว ฝีแตกหมดแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะบอกพี่น้องที่ฟังรายการนี่อยู่ให้พูดกันต่อๆ ไปว่า นายประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องรับผิดชอบร่วมกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ทำให้ชาติฉิบหาย ชัดเจนไหม”
       
       นายสนธิ ทิ้งท้ายด้วยว่า ภาพรวมของคลิปเสียงดังกล่าว เป็นบทสรุปถึงการล่มสลายของชาติ และว่า การตัดสินใจเผยแพร่คลิปเสียงครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจทำงานเพื่อชาติจริงๆ เพราะรู้ว่าหลังจากนี้ต้องมีการวางแผนที่จะทำร้ายหรือฆ่าตน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ก็ขอให้รู้ว่าเป็นฝีมือของพวกทหาร เป็นฝีมือของคนซึ่งเดือดร้อนจากการพูดความจริงของตน
       
       2. พิธีกร “คนค้นคน” ขอโทษโพสต์ข้าวมีสารพิษ ยัน แค่อุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวการเมือง ด้านสมาคมข้าวถุง-เอกชนรุมฟ้อง!

       เมื่อวันที่ 10 ก.ค. นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือ เช็ค ผู้ดำเนินรายการ “คนค้นคน” และผู้บริหารบริษัท ทีวีบูรพา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า โรงสีข้าวที่กำลังเตรียมส่งข้าวออกจำหน่าย ที่มาจากโรงสีรายใหญ่ในภาคอีสาน และเป็นโรงงานของ ส.ส.เพื่อไทย มีสารพิษตกค้างไม่สามารถละลายในน้ำได้ แถมทำให้หนูตายใน 5 นาที พร้อมระบุไม่ควรซื้อข้าวหอมปทุมธานีทุกยี่ห้อ ซึ่งถูกจำหน่ายในนาม ข้าวหอมปทุมธานี และสต๊อกต่อไปคือข้าวเสาไห้ ยี่ห้อ “เบญจรงค์” ข้าว “ตราฉัตร” เพราะเป็นสต๊อกจากต้นปีที่แล้วนำมาจัดจำหน่าย ทั้งนี้ หลังข้อความดังกล่าวถูกโพสต์ได้ไม่นาน ก็มีการลบไป กระทั่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ถูกอำนาจรัฐบล็อกเพจ
       
       อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ข้อความดังกล่าวจะถูกลบ ได้มีการแชร์ข้อความดังกล่าวต่อไปเป็นจำนวนมาก ร้อนถึงนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต้องรีบออกมาปฏิเสธว่า ข้อความดังกล่าวไม่จริง เป็นการสร้างข่าวของผู้ไม่หวังดี เป็นเรื่องที่ทำลายระบบข้าวสาร การค้าและประเทศชาติ “หากใครมีหลักฐาน ควรออกมาระบุว่า พื้นที่ใด ยี่ห้ออะไร จะเข้าไปตรวจสอบ ไม่ใช่แค่มีปัญหาไม่ถึง 1% จะทำให้ที่เหลือเกือบ 100% เสียหาย เบื้องต้นยืนยันว่า ข้าวไทยมีคุณภาพ ที่เป็นปัญหาอาจมีเพียงบางจุดเท่านั้น”
       
       ด้าน นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) แถลงยืนยันว่า จากการตรวจสอบข้าวถุง ยังไม่พบสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(เอฟเอโอ) และเมื่อนำข้าวสารไปซาวกับน้ำ สารเคมีก็ละลายหายไปถึงร้อยละ 20 เมื่อหุง สารตกค้างก็จะถูกความร้อนทำลายหายไปอีกร้อยละ 80 จึงเหลือสารตกค้างน้อยมาก ไม่เป็นอันตราย ที่อ้างว่ามีหนูตายจากการกินข้าวนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้
       
       ขณะที่ผู้ค้าข้าวที่ถูกพาดพิงถึงในโพสต์ข้อความของนายสุทธิพงษ์ต่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก และพร้อมใจกันเข้าแจ้งความดำเนินคดีนายสุทธิพงศ์ในหลายจังหวัด ได้แก่ เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) ผู้ผลิตข้าวถุงตราฉัตร แจ้งความดำเนินคดีนายสุทธิพงษ์ ที่ สน.ห้วยขวาง ข้อหาหมิ่นประมาท ,บริษัท อินเตอร์ ไรซ์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายข้าวเบญจรงค์ แจ้งความดำเนินคดีนายสุทธิพงษ์ ข้อหาหมิ่นประมาทและกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่ สภ.บางแก้ว จ.สมุทรปราการ ,โรงสีข้าวทรัพย์อนันต์ แจ้งความดำเนินคดีนายสุทธิพงษ์ ที่ สภ.เมืองสุรินทร์ ฐานทำให้ธุรกิจเสียหายและเสียชื่อเสียง
       
       ด้านสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย ก็เตรียมยื่นฟ้องนายสุทธิพงษ์ ฐานหมิ่นประมาท สร้างความเสียหายต่อระบบค้าข้าวถุงทั้งระบบในเร็วๆ นี้ ไม่เท่านั้นนายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งให้ฝ่ายกฎหมายหาทางเอาผิดนายสุทธิพงษ์เช่นกัน ฐานปล่อยข่าวสร้างความสับสนและตื่นตระหนกแก่ประชาชน
       
       ขณะที่นายสุทธิพงษ์ ได้เปิดแถลง(11 ก.ค.) ชี้แจงถึงการโพสต์ข้อความข้าวมีสารพิษว่า ข้อความดังกล่าวถูกส่งต่อกันมาทางโซเชียลเน็ดเวิร์กระยะหนึ่งแล้ว ตนเพียงก๊อปปี้และโพสต์ตามเท่านั้น ซึ่งทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภค และว่า การโพสต์ดังกล่าวทำผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยระหว่างแก้ไขคำผิด นิ้วเกิดไปโดนปุ่มโพสต์ ข้อความจึงถูกส่งไปทันที ทั้งที่ยังเขียนข้อความไม่หมด ด้วยความไม่สบายใจจึงรีบลบข้อความอย่างเร็วที่สุด แต่ก็มีคนนำสิ่งที่โพสต์ไปขยายผล ทั้งตัดทอนและต่อเติมความเห็น ทำให้เจตนารมณ์ถูกเบี่ยงเบน ยืนยันว่าไม่มีเจตนาเกี่ยวกับการเมือง “ผมต้องรับผิดชอบต่อการลุกลามบานปลายขนาดนี้ ผมมีความไม่สบายใจอย่างยิ่ง หลังจากนี้จะไปขอพบผู้ประกอบการ เพื่อชี้แจงให้เข้าใจถึงเจตนาของผม ถึงตอนนี้ผมพร้อมมากกว่าขอโทษอีก ผมมีความบริสุทธิ์ใจ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอุบัติเหตุจริงๆ”
       
       3. ไทย-บีอาร์เอ็น บรรลุข้อตกลงร่วม ถอนทหาร-หยุดยิง 40 วันเดือนรอมฎอน!

       เมื่อวันที่ 12 ก.ค. สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ(บีอาร์เอ็น) ในการยุติความรุนแรงใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในช่วงเดือนรอมฎอน ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.-18 ส.ค.2556 รวมเวลา 40 วัน ประกอบด้วย จ.ปัตตานี ,นราธิวาส ,ยะลา และ 5 อำเภอใน จ.สงขลา ได้แก่ อ.นาทวี ,อ.สะเดา ,อ.จะนะ ,อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย
       
       ทั้งนี้ ข้อตกลงร่วมระบุว่า ในช่วงเดือนรอมฎอนนี้ ฝ่ายไทยจะงดใช้มาตรการรุนแรงในการป้องกันการก่ออาชญากรรมในพื้นที่ภาคใต้ ขณะที่ฝ่ายบีอาร์เอ็นจะพยายามไม่ก่อความรุนแรง ไม่สร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินของทางราชการและประชาชน และระหว่างนี้ ทั้งสองฝ่ายจะทำงานอย่างหนัก เพื่อรับประกันว่า เดือนรอมฎอนจะปลอดจากความรุนแรง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของทั้งสองฝ่ายที่จะหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน โดยยึดมั่นหลักการเจรจาสันติภาพว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับสันติสุขที่ถาวรและยั่งยืนในพื้นที่ภาคใต้ หากฝ่ายใดละเมิด ขัดขวาง หรือทำลายข้อตกลงร่วม จะถือว่าเป็นฝ่ายที่ไม่ฝักใฝ่สันติและไม่เคารพต่อความมุ่งมาดปรารถนาของประชาชนชาวไทย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ที่แถลงข้อตกลงร่วมนี้ ก็คือ ดาโตะ เสรี อาห์หมัด ซัมซามิน ฮาซิม ผู้แทนของรัฐบาลมาเลเซีย โดยแถลงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พร้อมชี้ว่า คำมั่นสัญญาของกลุ่มบีอาร์เอ็นที่จะลดความรุนแรงช่วงเดือนรอมฎอนนี้ จะเป็นบททดสอบใหญ่ที่สุดว่า การเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลไทยจะส่งผลออกมาเป็นรูปธรรมหรือไม่
       
       ด้าน พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เผยว่า ข้อแลกเปลี่ยนที่ฝ่ายไทยให้กับบีอาร์เอ็นในการลดเหตุรุนแรงก็คือ มาตรการปิดล้อมตรวจค้นจะบรรเทาลง จะมีการถอนชุดปฏิบัติการทหารในหมู่บ้านชุดเล็กๆ ออกมา แล้วให้อาสาสมัครรักษาดินแดน(อส.) และตำรวจเข้าไปดูแลแทน เพราะฝ่ายบีอาร์เอ็นไม่อยากเห็นภาพทหารอยู่เต็มพื้นที่ จนทำให้บรรยากาศในเดือนรอมฎอนดูเคร่งเครียด
       
       ทั้งนี้ ก่อนหน้าการแถลงข้อตกลงร่วมในการยุติเหตุรุนแรงช่วงเดือนรอมฎอน ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ได้เกิดเหตุระเบิดริมทางรถไฟบริเวณ หมู่ 1 ต.บาลอ อ.รามัน จ.ยะลา ส่งผลให้จ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ 8 นาย ซึ่ง พล.ท.ภราดร บอกว่า กลุ่มบีอาร์เอ็นยอมรับว่าเหตุดังกล่าวเป็นฝีมือของทางกลุ่ม ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะในกลุ่ม ก็มีคนส่วนน้อยที่คิดต่าง และว่า สถิติการก่อเหตุช่วงเดือนรอมฎอนในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุร้อยกว่าครั้งตลอด ดังนั้นหลังบรรลุข้อตกลงร่วม ต้องเฝ้าดูว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะเกิดเหตุรุนแรงหรือไม่
       
       4. คณะสงฆ์ศรีสะเกษ มีมติให้ “เณรคำ” ขาดจากความเป็นพระแล้ว เหตุอาบัติปาราชิกจากการเสพเมถุน!

       เมื่อวันที่ 13 ก.ค. พระครูสิริวินัยวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์พระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการสอบสวนทั้งคณะ เพื่อพิจารณาอธิกรณ์หลวงปู่เณรคำ ซึ่งถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดพระธรรมวินัยในเรื่องการเสพเมถุน การฟอกเงิน และฉ้อโกงประชาชน
       
       ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นการประชุม ได้มีการเปิดแถลงข่าว โดยพระครูวัชรสิทธิคุณ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการสอบสวน บอกว่า ที่ประชุมได้พิจารณากรณีที่โจทก์ คือ “น.ส. เอ” ได้กล่าวหาจำเลย คือพระวิรพลว่า ได้มีการคบหากันจนมีเพศสัมพันธ์ด้วยกันและมีบุตร 1 คน เมื่อที่ประชุมพิจารณาพยานหลักฐานทั้งจากฝ่ายบ้านเมือง กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และสำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีสะเกษแล้ว ถือว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อพระธรรมวินัย ซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าภิกษุรูปใดเสพเมถุนธรรม ถือว่า พระภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที คณะกรรมการจึงมีมติเอกฉันท์ว่า ให้พระวิรพลขาดจากความเป็นพระภิกษุ ด้วยต้องอาบัติปาราชิกในการเสพเมถุนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป “การที่พระได้ขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่มีสมณะภาวะ ในส่วนของบ้านเมืองก็ดำเนินการไปตามกระบวนการ ในฝ่ายสงฆ์ศรีสะเกษถือว่าจบสิ้นกระบวนการ ซึ่งจะได้รายงานให้คณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ได้รับทราบตามลำดับต่อไป”
       
       ส่วนจะดำเนินการอย่างไรกับสำนักสงฆ์ขันติธรรมนั้น คณะสงฆ์ศรีสะเกษจะประชุมพิจารณากันอีกครั้ง โดยอาจจะให้มีการตั้งเป็นวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต้องตรวจสอบว่า ขณะนี้การดำเนินการตั้งวัดไปถึงขั้นตอนใดแล้ว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 กรกฎาคม 2556