ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 1-6 ก.ค.2556  (อ่าน 804 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9782
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 1-6 ก.ค.2556
« เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2013, 23:05:35 »
 1. แฉคลิปเสียงคนแดนไกล วางแผนดัน กม.นิรโทษฯ เป็น พ.ร.ก.พาตัวเองกลับบ้านโดยเร็ว ด้าน “ยุทธศักดิ์” รีบปัดไม่ใช่คนในคลิป!

       เมื่อวันที่ 6 ก.ค. เว็บไซต์ยูทูบและ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาของชาย 2 คน จากแดนไกล เมื่อปลายเดือน มิ.ย.2556 โดยเนื้อหาครอบคลุมเรื่องราวความเป็นไปของบ้านเมืองและการเมืองไทยในขณะนี้ มีทั้งหมด 4 ตอน ความยาวตอนละ 5-8 นาที โดยผู้ที่เผยแพร่คลิปดังกล่าวในเว็บไซต์ยูทูบ ใช้ชื่อว่า “ไทยรักชาติ” พร้อมตั้งชื่อคลิปว่า เสียงการสนทนาของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการวางแผนกลับประเทศ
       
       ทั้งนี้ เนื้อหาในคลิปมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น การที่ชายคนที่ 1 บอกกับชายคนที่ 2 ว่า จะทำภารกิจสำคัญในชีวิตด้วยการพาชายคนที่ 2 กลับประเทศให้สำเร็จ ด้วยการมุบมิบออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยตอนแรกจะทำเป็น พ.ร.บ. แล้วค่อยให้ที่ประชุมสภาความมั่นคงฯ อ้างความจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น พ.ร.ก. เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย พร้อมแสดงความมั่นใจว่า จะไม่มีใครต่อต้านกฎหมายดังกล่าวได้ เนื่องจากฝ่ายต่อต้านมีน้อย ถ้าเอาทหารอยู่ ทหารไม่เอากับฝ่ายต่อต้าน ทุกอย่างก็จบ “ชายคนที่ 2 - ในสภาความมั่นคง ก็ใช้วิธีเข้าไปเสร็จปุ๊บ เนี่ย หน้าตาเป็น พ.ร.บ. และก็ในสภากลาโหมก็ไม่ต้องออกข่าว แต่บอกให้รู้ว่า ถ้าเพื่อความรวดเร็ว และไม่วุ่นวาย น่าจะเป็น พ.ร.ก. อะไรอย่างนี้ พูดไว้ บันทึกไว้ พอไปถึงสภาความมั่นคงปั๊บ พอเข้าไป บอกว่าเสนอเป็น พ.ร.บ. หน้าตาเป็น พ.ร.บ. นะ แล้วสภาความมั่นคงก็บอกว่า ขอให้รัฐบาลเสนอออกเป็น พ.ร.ก. มันจะได้มีอะไรรองรับ ชายคนที่ 1- มันทำอะไรไม่ได้หรอกครับ ไอ้ฝ่ายต่อต้านวันนี้นะ ชายคนที่ 2 - นิดเดียวเอง เพียงแต่ว่าสำคัญคือ ทหารไม่เอาด้วยก็จบ ชายคนที่ 1- ทหารไม่เอาด้วยจบ แต่ต้องเอาทหารก่อน ผมถึงบอกต้องเอาทหารก่อน”
       
       และอีกช่วงหนึ่งที่ทั้งคู่สนทนากันว่า “ชายคนที่ 2 - มันเป็นหน้าที่พี่นะ พี่เอาผมออกมา พี่ต้องเอาผมกลับ (หัวเราะ) ชายคนที่ 1 - ผมบอก ... โอ้โห! ตอนท่านพูดกับผม ผมบอก โอ้โห นี่หนูช่วยราชสีห์แล้วนะ ผมดีใจนะ ดีใจจังได้ช่วยราชสีห์สักครั้งหนึ่ง ชายคนที่ 2 - เอาออกไป ต้องเอากลับมาให้ได้ ชายคนที่ 1 - ต้องเอากลับมา แหม เป็นครั้งสุดท้ายแล้วครับ ครั้งสุดท้ายในชีวิต ในประวัติ เป็นประวัติชีวิตเลย เพราะว่าหลังจากนี้ไปก็ ไม่เป็นไรต่อละ พอละ แต่ต้องทำให้ได้สักที มันเป็นความภูมิใจนะครับ ของชีวิตของคนเรา”
       
       นอกจากนี้ ในคลิป ชายทั้งคู่ยังพูดถึงการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร ซึ่งชายคนที่ 1 บอกว่า จะบอกผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) และผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ว่าจะแต่งตั้งโยกย้ายใครต้องปรึกษานายกรัฐมนตรีก่อน นอกจากนี้ยังมีบางช่วงบางตอนที่ชายคนที่ 1 บอกกับชายคนที่ 2 ด้วยว่า เดี๋ยวนี้ ผบ.สส.รู้สึกดีกับนายกฯ แล้ว “ชายคนที่ 1- ผบ.สูงสุดก็สารภาพตรงๆ กับนายกฯ ว่ายังมีอะไรบางอย่างที่ยังค้างใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ผมสนับสนุนหมดทุกเรื่อง ผมก็ชื่นใจ พา ผบ.สูงสุดมาพบกับนายกฯ ได้เรื่องนี้ด้วย”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ ปรากฏว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รีบออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยบินไปพบหรือโทรศัพท์พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประเทศสิงคโปร์ตามที่มีการเผยแพร่คลิปเสียงทางเว็บไซต์ยูทูบแต่อย่างใด พร้อมอ้างว่า อาจเป็นฝีมือของผู้ที่ผิดหวังจากตำแหน่งใน ครม.ชุดใหม่ที่พยายามใส่ร้ายตนก็เป็นได้ กำลังให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียด พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยังปฏิเสธด้วยว่า นายกฯ ไม่ได้วางแผนจะแทรกแซงหรือล้วงโผการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีแต่อย่างใด
       
       2. รัฐบาล กลับลำคืนราคารับจำนำข้าวที่ 15,000 ด้าน ปชป.ซัด ไม้หลักปักขี้เลน-หวังผลการเมืองมากกว่าวินัยการคลัง!

น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัด ก.คลัง ในฐานะ ปธ.คณะอนุ กก.ปิดบัญชีฯ ถูกรัฐบาลตั้ง คกก.สอบกรณีระบุว่าการรับจำนำข้าวมีการทุจริตทุกขั้นตอน ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธว่าไม่ได้พูดอย่างนั้น

       ความคืบหน้ากรณีชาวนาไม่พอใจที่รัฐบาลปรับลดราคารับจำนำข้าวจากตันละ 15,000 บาท เหลือ 12,000 บาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.2556 เป็นต้นไป พร้อมขู่ หากรัฐบาลไม่ทบทวน ชาวนา 26 จังหวัดจะเคลื่อนไหวใหญ่ ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โยนให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) เป็นผู้ชี้ขาดในวันที่ 1 ก.ค.นั้น ตอนแรกมีข่าวว่า ที่ประชุม กขช.จะมีมติยืนรับจำนำข้าวที่ราคาตันละ 12,000 บาท เพราะต้องรักษาวินัยทางการเงินการคลัง แต่ผิดคาด เพราะที่ประชุม กขช. ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธาน กขช. ไม่ยอมเข้าประชุม แต่มอบให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมแทน ได้มีมติให้คงราคารับจำข้าวเปลือก 100% ความชื้น 15% ที่ 15,000 บาทต่อตัน ส่วนข้าวชนิดอื่นก็ให้คงราคาเดิมก่อนหน้านี้เช่นกัน โดยจำกัดวงเงินไม่เกิน 5 แสนบาทต่อครัวเรือน และราคาดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ 15 ก.ย.2556 ส่วนภาคใต้จะสิ้นสุดในวันที่ 30 พ.ย.2556
       
       ทั้งนี้ นายกิตติรัตน์ พูดถึงสาเหตุที่ กขช.มีมติคงราคาเดิมรับจำนำข้าวที่ตันละ 15,000 บาทว่า เนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า ยอดการขึ้นทะเบียนเกษตรกรจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.2556 มีเพียง 2 แสนกว่าราย มีปริมาณข้าวในโครงการอีก 2.9 ล้านตัน ซึ่งถือว่ายังอยู่ในกรอบที่รัฐบาลสามารถดูแลได้ ประกอบกับกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ มีวิธีระบายข้าวในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยเพิ่มช่องทางระบายแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี และมีการเห็นชอบให้ขายข้าวเป็นการทั่วไปให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศเพื่อส่งออกต่างประเทศหรือจำหน่ายในประเทศ ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว และข้าวขาว รวมทั้งขายข้าวเปลือกให้แก่ผู้ประกอบการที่จะส่งออกข้าวนึ่งด้วย
       
       ส่วนจะทำอย่างไรกับเกษตรกรที่นำข้าวมาจำนำในช่วงที่ราคาปรับลดลงเหลือตันละ 12,000 บาทนั้น นายกิตติรัตน์ บอกว่า ทาง กขช.จะมีมติช่วยเหลือย้อนหลังให้แก่เกษตรกรดังกล่าว ซึ่งคาดว่ามีจำนวนน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่รอมติ กขช.ในวันที่ 1 ก.ค.
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังรู้ผลมติ กขช. ว่าจะรับจำนำข้าวที่ราคาตันละ 15,000 บาทเหมือนเดิม ปรากฏว่า นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย รีบออกมาแสดงความดีใจ พร้อมประกาศว่า “ชาวนาจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย(พท.) ต่อไป เพราะที่ผ่านมามีแต่ พท.เท่านั้นที่กล้าลงมาช่วยเหลือชาวนาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ไม่เกรงกลัวว่าจะถูกพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามจ้องเล่นงาน...”
       
       ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ได้มีมติเห็นชอบมติของ กขช.ที่ให้กลับมารับจำนำข้าวที่ตันละ 15,000 บาทเหมือนเดิมจนถึงวันที่ 15 ก.ย. ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลกลับไปกลับมา ไม่มีจุดยืน กลัวม็อบชาวนา โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ชี้ว่า ที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์โครงการรับจำนำข้าว เหตุผลไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่อยู่ที่การทุจริต ที่เงินไม่ตกถึงมือชาวนาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และการบริหารจัดการของรัฐบาลก็ไม่สามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้ “ที่รัฐบาลกลับมาให้ราคารับจำนำข้าวที่ 15,000 บาทต่อตันเท่าเดิม เป็นพฤติกรรมแบบไม้หลักปักขี้เลน ไม่มีความชัดเจนในการบริหารประเทศ เอาตัวรอดไปวันๆ สะท้อนว่ารัฐบาลห่วงประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าวินัยทางการตลัง และโครงการนี้คงขาดทุนย่อยยับเหมือนเดิม แม้จะเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่คงเป็นแพะตัวใหม่เท่านั้น”
       
       วันเดียวกัน(2 ก.ค.) คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม วุฒิสภา ได้มีการประชุมพิจารณาเรื่องโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล โดยมีการเชิญ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว เข้าชี้แจงตัวเลขขาดทุนในโครงการฯ ซึ่ง น.ส.สุภา บอกว่า การรับจำนำข้าวสามารถเกิดการทุจริตได้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจดทะเบียนเกษตรกร การนำข้าวเปลือกมาเวียนในโครงการ ส่วนตัวเลขขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวใน 3 ฤดูกาลผลิต คือ ฤดูกาลผลิต 2554/2555 ,ฤดูกาลผลิต 2555 และฤดูกาลผลิต 2555/2556 น.ส.สุภา บอกว่า เบื้องต้นตัวเลขขาดทุน 220,968 ล้านบาท
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังมีข่าวว่า น.ส.สุภาระบุว่าการรับจำนำข้าวมีการทุจริตทุกขั้นตอน ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้พูดเหมือนท้าให้ น.ส.สุภา นำหลักฐานมายืนยันว่ามีการทุจริตทุกจุดจริง พร้อมจะดำเนินคดีและตรวจสอบทั้งหมด
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ติง น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า ไม่ควรพูดท้าทายผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะที่ผ่านมา น.ส.สุภาได้ส่งรายงานปัญหาโครงการรับจำนำข้าวให้นายกฯ ไปนานแล้ว “อยากถามว่า นายกฯ จะมาเรียกหาใบเสร็จจากคนอื่นทำไม ทั้งที่ตัวเองมีหน้าที่ปราบปรามการทุจริตด้วย จึงคิดว่าเป็นการเบี่ยงประเด็น เพื่อให้ น.ส.สุภา เงียบ”
       
       ขณะที่นายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้ออกมาเตือน น.ส.สุภา ทำนองว่าอย่าพูดเกินหน้าที่ โดยบอกว่า น.ส.สุภาทำหน้าที่อะไร มีหน้าปิดบัญชีก็ปิดไป และชี้แจงในส่วนที่ปิดบัญชีเท่านั้น
       
       ด้าน น.ส.สุภา ได้ออกมาชี้แจงว่า ข่าวลงเกินจริงมาก ตนไม่ได้พูดว่าการรับจำนำข้าวมีการทุจริตทุกขั้นตอน แต่มีคำถามที่ค่อนข้างตอบยากจาก กมธ.เศรษฐกิจฯ ว่า ขั้นตอนไหนที่คิดว่าโกงที่สุด ซึ่งได้ตอบไปว่า ตอบไม่ได้ แต่กระบวนการทำงานที่วิเคราะห์จากพฤติการณ์ของคน ขั้นตอนการขึ้นทะเบียน ขั้นตอนการจำนำ การเก็บรักษาและการขายนั้นมีโอกาสและความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการทุจริตได้ “เราไม่ได้เข้าไปตรวจสอบว่า ทุจริตได้หรือไม่ ข่าวที่ออกมาเป็นตุเป็นตะ ถ้ามานั่งฟังแต่ต้นจนจบก็จะรู้ว่า เกือบ 2 ชั่วโมงของการชี้แจงมีที่มาที่ไปอย่างไร ขอยืนยันว่าเป็นกลางมาตลอด ซึ่งขั้นตอนต่างๆ ที่พูดถึง ได้เสนอปิดความเสี่ยงเหล่านั้นไปในรายงานคณะกรรมการปิดบัญชีที่เสนอต่อนายกรัฐมนตรีแล้ว”
       
       อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนรัฐบาลจะไม่ยอมจบ โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาบอก(5 ก.ค.)ว่า นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ลงนามคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณี น.ส.สุภา ไปให้ข้อมูลต่อ กมธ.เศรษฐกิจฯ และมีสื่อมวลชนนำไปเสนอว่ามีการทุจริตจำนำข้าวทุกขั้นตอน ว่าเนื้อหาที่แท้จริงเป็นอย่างไร ทั้งนี้ นายกิตติรัตน์ อ้างว่า การตั้งคณะกรรมการสอบ ไม่ใช่สอบสวน น.ส.สุภา แต่เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย รวมทั้งเพื่อตัว น.ส.สุภาเองด้วย เพราะเป็นข้าราชการต้องระมัดระวังการให้ความคิดเห็น
       
       ขณะที่นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณี น.ส.สุภา ยืนยันว่า เป็นเพียงการสอบข้อเท็จจริง ไม่ใช่การสอบวินัย จึงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร หากพบว่าสิ่งที่ น.ส.สุภา ชี้แจง ไม่ตรงกับที่สื่อมวลชนเสนอข่าว ก็จะให้ น.ส.สุภาแถลงข่าวอีกครั้ง
       
       ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะรองประธานคณะกรรมการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ข้องใจที่กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการสอบ น.ส.สุภา จึงเตรียมเชิญนายกิตติรัตน์ และผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบถามถึงเหตุผลการตั้งคณะกรรมการสอบดังกล่าวในเร็วๆ นี้
       
       3. “สุดารัตน์” รอด “ป.ป.ช.” มีมติเอกฉันท์ ยกคำร้องคดีจัดซื้อคอมพ์ ขณะที่เจ้าตัว ดีใจ สังคมได้รู้ไม่ใช่ทุจริต!

       เมื่อวันที่ 2 ก.ค. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ประชุมเพื่อลงมติกรณีมีการกล่าวหาคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กับพวกรวม 16 คน ว่ากระทำการทุจริตในโครงการประกวดราคาจัดซื้อและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการบริหารข้อมูลข่าวสารด้านการเงิน การคลัง และข้อมูลโรงพยาบาล จำนวน 818 แห่งทั่วประเทศ มูลค่า 821 ล้านบาท ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2547
       
       ทั้งนี้ หลังประชุม นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกและกรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ 8 เสียง ให้ยกคำร้องในประเด็นที่ว่านักการเมือง ซึ่งประกอบด้วย คุณหญิงสุดารัตน์ ,นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ,นายอุดมเดช รัตนเสถียร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีพฤติกรรมข่มขืนใจและบีบบังคับให้ข้าราชการประจำกลั่นแกล้งบริษัท กิจการร่วมค้า พีสแควร์ ไทยคอม ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด ไม่ให้เป็นผู้ชนะการประกวดราคาหรือไม่ ซึ่งจากการไต่สวนพยานบุคคลและเอกสาร ป.ป.ช.เห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่มีน้ำหนักที่ฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวทั้งสามได้กระทำการตามที่มีการกล่าวหาร้องเรียน สำหรับกรรมการ ป.ป.ช.ที่ไม่ได้ร่วมลงมติด้วย คือ นายภักดี โพธิศิริ ที่ขอถอนตัว เนื่องจากเป็นคู่กรณี เพราะถูกคุณหญิงสุดารัตน์ยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง
       
       นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังมีมติ 5 ต่อ 3 ยกคำร้องเกี่ยวกับการสั่งยกเลิกผลการประกวดราคาของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา เนื่องจากเห็นว่าการยกเลิกสามารถทำได้ และชอบด้วยระเบียบแล้ว จึงไม่มีมูลความผิด สำหรับนายวิชัย เทียนถาวร ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้อนุมัติยกเลิกการประกวดราคานั้น ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ให้ยกคำร้องเช่นกัน ส่วนกรณีนายพิพัฒน์ ยิ่งเสรี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการประกวดราคาซื้อและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์,นายจรัล ตฤณวุฒิพงษ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายบุญเลิศ ลิ้มทองกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขนั้น ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติให้เลื่อนการพิจารณาไปในการประชุมครั้งหน้า
       
       ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวถึงมติ ป.ป.ช.ที่ยกคำร้องตนและผู้เกี่ยวข้องว่า “อยากให้สังคมเข้าใจว่าการกระทำของพวกเราไม่ใช่ทุจริต ที่ผ่านมาสังคมเข้าใจผิดคิดว่าทุจริตจัดซื้อคอมพิวเตอร์ ทั้งๆ ที่พวกเราไปยกเลิกการจัดซื้อ ทำให้ไม่สบายใจ ส่วนตัวแล้วเมื่อผลปรากฏออกมา ก็ไม่อาฆาต แต่มีคุณหมอบางคนยื่นเรื่องฟ้องเอาผิดกับผู้ใช้เอกสารเท็จและใช้พยานเท็จในการกล่าวหา โดย 1 คดี ศาลได้พิพากษาตัดสินไปแล้วว่า จำเลยมีความผิด ให้จำคุก ส่วนอีก 2 คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งคงต้องหารือกันว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ทั้งหมดนี้ ดิฉันอยากให้เป็นบรรทัดฐานสำหรับข้าราชการที่ทำงานเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนว่า พวกเขาควรจะได้รับความเป็นธรรม”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า คดีนี้ มีการเลื่อนลงมติมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งเดิมกำหนดว่าจะลงมติตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย. แต่เนื่องจากมีการขอคำสั่งจากศาลอาญาและศาลปกครอง กรณีบุคคลในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหามีการฟ้องร้องกันว่า ต่างฝ่ายต่างให้การเท็จต่อ ป.ป.ช.มาประกอบการพิจารณา ประกอบกับยังมี 2-3 ประเด็นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วยังไม่ได้ข้อยุติ จึงเลื่อนไปเป็นวันที่ 20 มิ.ย.
       
       แต่ที่ประชุมวันที่ 20 มิ.ย. ก็ยังไม่มีมติ ด้วยเหตุผลเดิม คือ ป.ป.ช.ยังมีหลายประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติ จึงเลื่อนไปเป็นวันที่ 25 มิ.ย. จากนั้นที่ประชุมวันที่ 25 มิ.ย. ก็ยังไม่มีมติอีก เนื่องจากนายประสาท พงษ์ศิวาภัย 1 ในกรรมการ ป.ป.ช.ป่วยเป็นโรคนิ่ว ต้องเข้ารับการผ่าตัดกะทันหัน จึงเลื่อนการพิจารณามาเป็นวันที่ 2 ก.ค. กระทั่งมีมติยกคำร้องในที่สุด
       
       4. แพทย์นิติเวช เผยผลตรวจศพ “เอกยุทธ” พบบาดแผลถูกสังหารด้วยเทคนิค “ท่าพิเศษ” ไม่ใช่รัดคอ ด้าน “ทนายสุวัตร” ชี้ ต้องเป็นฝีมือตำรวจหรือทหาร!

       เมื่อวันที่ 1 ก.ค. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง และเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ เข้าให้ข้อมูล โดยมี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นประธาน สำหรับผู้เข้าชี้แจง ประกอบด้วย พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานสอบสวน ,พ.ต.อ.สง่า กรรภิรมย์ ผกก.สส.บก.น.4 ,พ.ต.อ.ณัฐฏ์ บุรณศิริ เจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง และ พ.ต.ท.ปิยพงษ์ สาครเย็น แพทย์ผู้ผ่าชันสูตรศพนายเอกยุทธ
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อ กสม.ให้ พ.ต.ท.ปิยพงษ์ อธิบายถึงการตายของนายเอกยุทธ ปรากฏว่า พล.ต.ต.อนุชัย ได้พูดเหมือนดักคอว่า “คดีนี้อยู่ระหว่างสอบสวน ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะต่อสู้คดี ผมว่าเราเคลียร์เฉพาะอะไรที่พอชี้แจงได้ อะไรที่เป็นหลักฐานสำคัญที่จะต้องไปเปิดเผยต่อศาล พวกนั้นไม่จำเป็น ให้สรุปว่าเราทำงานด้วยความโปร่งใสหรือไม่...”
       
        สำหรับการให้ข้อมูลของ พ.ต.ท.ปิยพงษ์ มีหลายตอนที่น่าสนใจ เช่น มีการบอกว่า ต้องแยกการตายของนายเอกยุทธออกเป็น 2 ส่วน คือ สาเหตุการตาย และกระบวนการเสียชีวิต ซึ่งชัดเจนว่าสาเหตุการตายคือขาดอากาศหายใจ แต่กระบวนการเสียชีวิต พบการบีบร่วมกับการอุดกั้นการหายใจส่วนนอก เมื่อ กสม.ถามว่า การบีบรัด คนร้ายใช้เชือกหรือมือ พ.ต.ท.ปิยพงษ์ บอกว่า “รายงานการตรวจศพของผม รายนี้ไม่ได้ตายด้วยการรัดคอ”
       
        ทั้งนี้ การให้ข้อมูลของ พ.ต.ท.ปิยพงษ์ ไม่เพียงขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับคำให้การของ 2 ผู้ต้องหา คือ นายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือ บอล และนายสุรพงษ์ พิมพิสาร หรือ เบิ้ม ที่ซัดทอดกันไปมา โดยนายบอลอ้างว่านายเบิ้มใช้เชือกผูกรองเท้ารัดคอนายเอกยุทธจนถึงแก่ความตาย ขณะที่นายเบิ้มยอมรับว่า ใช้เชือกผูกรองเท้ารัดคอนายเอกยุทธจริง แต่รัดคอหลังจากที่นายบอลกระทืบนายเอกยุทธจนเสียชีวิตแล้ว
       
        พ.ต.ท.ปิยพงษ์ ยังเผยบาดแผลที่พบหลังตรวจศพนายเอกยุทธ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า นายเอกยุทธไม่ได้เสียชีวิตด้วยการบีบคอหรือรัดคอ แต่เสียชีวิตด้วยเทคนิคท่าพิเศษ โดยบอกว่า บาดแผลภายนอกมี 8 แห่ง 1.แผลบวมฟกช้ำบริเวณส้นเท้าซ้าย 2.แผลถลอกกดทับบริเวณข้อมือทั้งสองข้าง 3.แผลฟกช้ำบริเวณหัวไหล่ขวาและบ่า 4.แผลฟกช้ำบริเวณใต้สะบักหลังซ้าย 5.แผลฟกช้ำบริเวณหลังเอวขวา 6.แผลฉีกขาดหนังถลกบริเวณส้นเท้าซ้ายด้านนอก 7.แผลฟกช้ำบริเวณปลายจมูก 8.แผลถลอกกดทับเป็นแนวยาวผ่านปากพาดไปคอด้านหลังทั้งสองข้าง และเหนือคางไปคอด้านหลังซ้าย “มันมีบาดแผลที่คอด้านขวา ที่โคนลิ้นด้านขวา มีเทคนิคท่าพิเศษ เป็นการกระทำจากด้านหลัง”
       
        เมื่อ กสม.ซักถามต่อว่า “ท่าพิเศษ” คืออะไร พ.ต.ท.ปิยพงษ์ ขยายความว่า “เป็นท่าพิเศษที่ทำมาจากข้างหลังทางขวา ระหว่างที่คนร้ายลงมือฆ่า ผู้ตายยังมีสติอยู่ แต่ถูกพันธนาการที่มือและข้อมือไว้ทางด้านหลัง เห็นได้จากผลการตรวจศพข้อ 3-5 ที่มีแรงทำมาจากด้านหลังขวา และมีการกดโดยใช้แกนในตำแหน่งโคนลิ้นขวา เป็นเหตุให้ศพปราฏรอยโคนลิ้นขวาฟกช้ำ ยืนยันว่าไม่ใช่บีบ ผมไม่ได้ใช้คำว่ากุญแจมือ แต่ใช้คำว่ามีการพันธนาการที่มือและข้อมือ การทำไม่ได้มาจากด้านหน้าแน่นอน และยังพบบาดแผลฟกช้ำจากจมูก มีการใช้มืออุดกั้น”
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังแพทย์ที่ผ่าศพนายเอกยุทธออกมาเผยหลักฐานว่านายเอกยุทธตายด้วยเทคนิคท่าพิเศษไม่ใช่การรัดคอหรือบีบคอตามที่ 2 ผู้ต้องหาให้การก่อนหน้านี้ ปรากฏว่า นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความนายเอกยุทธ ได้ออกมาชี้ว่า คนที่มีความรู้ความสามารถในการฆ่าคนด้วยท่าพิเศษ ต้องเป็นตำรวจหรือไม่ก็ทหาร ซึ่งตนยืนยันตั้งแต่ต้นแล้วว่า ลำพังนายบอลกับนายเบิ้มแค่สองคนไม่สามารถฆ่านายเอกยุทธได้แน่
       
       ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รีบออกมาอ้างว่า การให้ข้อมูลคดีการเสียชีวิตของนายเอกยุทธเป็นไปตามที่สถาบันนิติเวชวิทยาได้ให้ข้อมูลก่อนหน้านี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงแต่อย่างใด และว่า ผลการชันสูตร ระบุแค่สาเหตุการตาย ไม่ได้ชี้ว่าใครเป็นผู้ทำ พร้อมย้ำ ผลการชันสูตรศพจะถูกนำไปประกอบสำนวนคดี และไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอาจส่งผลต่อรูปคดี
       
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 ก.ค. คณะอนุกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน ได้ประชุมติดตามความคืบหน้าคดีฆาตกรรมนายเอกยุทธ โดยเชิญหลายฝ่ายมาให้ข้อมูล เช่น นพ.สมบูรณ์ คุโรปกรณ์พงษ์ รองผู้อำนวยการด้านบริหารปฐมภูมิและทุติยภูมิ โรงพยาบาลพัทลุง ซึ่งได้ชี้แจงผลการชันสูตรพลิกศพนายเอกยุทธ โดยยืนยันว่า ไม่พบร่องรอยของการถูกรัดคอ และถูกมัดมือมัดเท้า มีเพียงรอยช้ำขนาดเท่าเหรียญบาทที่บริเวณคอ ซึ่งเป็นลักษณะการถูกกระแทกหรือกดเท่านั้น และรอยยุบบริเวณศีรษะไม่มีรอยแตก สำหรับสาเหตุการเสียชีวิต คาดว่าเกิดจากการที่สมองขาดอากาศ
       
       ด้าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราชการสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และอดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งเข้าให้ข้อมูลเช่นกัน ได้ตั้งข้อสังเกตว่า มีการตั้งประเด็นในคดีนี้น้อยเกินไป ,มีการใช้รถคันเกิดเหตุไปทำภารกิจอื่นและจำลองแผนคำรับสารภาพแทนการตรวจหาร่องรอยคนร้าย นอกจากนี้ยังเห็นว่าแพทย์ที่เข้าไปชันสูตรศพในพื้นที่ ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ เพราะมีผู้กำกับในที่เกิดเหตุ และว่า ขณะนี้ไม่มีความคืบหน้าที่จะเร่งติดตามทรัพย์สินของนายเอกยุทธที่หายไปกลับคืน
       
       พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ยังบอกด้วยว่า หากรัฐบาลยังไม่สามารถสร้างความโปร่งใสในการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ ก็จะมีเหยื่อในคดีแบบนี้เกิดขึ้นอีกจำนวนมาก และไม่มีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเข้ามาคานอำนาจได้
       
       ขณะที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความนายเอกยุทธ ก็ตั้งข้อสังเกตเช่นกันโดยเชื่อว่า การเสียชีวิตของนายเอกยุทธมีสาเหตุมาจากประเด็นทางการเมืองมากกว่าประสงค์ต่อทรัพย์ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเร่งปิดคดี เนื่องจากคนร้ายหวังเพียงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เท่านั้น และก่อนจะเสียชีวิต นายเอกยุทธเคยระบุว่า หากต้องเสียชีวิตก็มีเพียงประเด็นเดียว คือความขัดแย้งกับผู้มีอำนาจทางการเมืองเท่านั้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 กรกฎาคม 2556