ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 9-15 มิ.ย.2556  (อ่าน 819 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9782
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 9-15 มิ.ย.2556
« เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2013, 23:00:30 »
 1. “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ถูกคนขับรถอุ้มฆ่า ด้าน “เฉลิม-ตำรวจ” รีบสรุป คดีชิงทรัพย์ ขณะที่ “สนธิ-โสภณ” เชื่อ ฝีมือรัฐบาล-สีกากี”!

       เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 8 มิ.ย. นางสุภากร แหวนหล่อ พี่สาวนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซด์เดอร์ ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.วังทองหลาง ว่า นายเอกยุทธหายตัวไปพร้อมกับคนขับรถ และติดต่อทางโทรศัพท์ไม่ได้ ทั้งนี้ หลังสอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง ได้ความว่า นายเอกยุทธพร้อมคนขับรถ ไปรับประทานอาหารที่ร้านครัวกระแต ย่านสะพานควายเมื่อเย็นวันที่ 6 มิ.ย. ก่อนจะออกจากร้านในช่วงดึก ต่อมา เช้าวันรุ่งขึ้น(7 มิ.ย.) นายเอกยุทธได้โทรศัพท์หาพี่สาวให้เสมียนนำสมุดเช็คไปให้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งระหว่างที่เสมียนนำสมุดเช็คไปให้ที่สนามบิน ก็ไม่เห็นนายเอกยุทธ มีเพียงนายสันติภาพ เพ็งด้วง คนขับรถของนายเอกยุทธเป็นผู้มารับเช็ค ก่อนนำไปให้นายเอกยุทธเซ็นที่รถตู้โฟล์กสีดำ ทะเบียน ฮพ 9304 กรุงเทพมหานคร ของนายเอกยุทธ โดยบอกให้เสมียนรอ 45 นาที เมื่อนายเอกยุทธเซ็นเช็คแล้ว นายสันติภาพจึงนำเช็คมาให้เสมียนเพื่อไปขึ้นเงิน ก่อนนัดเจอกันอีกครั้งที่สนามบินในช่วงบ่าย ซึ่งระหว่างที่เสมียนนำเงินมาให้ที่สนามบิน ก็ไม่เห็นนายเอกยุทธแต่อย่างใด เพราะคนที่มารับเงินคือนายสันติภาพ มีรายงานด้วยว่า เช็ค 3 ใบ 2 ธนาคารที่นายเอกยุทธเซ็นใบละล้านกว่า รวม 5 ล้านบาท มีการเขียน พ.ศ.ผิด 1 ใบ เป็น พ.ศ.2553 เจ้าหน้าที่ธนาคารจึงโทรศัพท์กลับไปหานายเอกยุทธเพื่อให้ยืนยัน ก่อนจะออกเงินให้
       
        ทั้งนี้ นอกจากพี่สาวนายเอกยุทธ จะเข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.วังทองหลางแล้ว นางอรุณี สุนทรภัทร น้องสาวนายเอกยุทธ ก็ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบปรามด้วย โดยการแจ้งความมีขึ้นหลังจากตรวจสอบบ้านนายเอกยุทธแล้วพบว่า ประตูหลังบ้านเปิดอยู่ ขณะที่เซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดภายในบ้านถูกถอดออกไป
       
        ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ในฐานะทนายความของนายเอกยุทธ พูดถึงสาเหตุการหายตัวไปของนายเอกยุทธว่า น่าจะมีหลายสาเหตุ โดยก่อนหน้านี้นายเอกยุทธได้ไล่พนักงานของบริษัทออกไป 3 คน เนื่องจากจับได้ว่าร่วมกันยักยอกเงินบริษัทไปกว่า 1 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งระหว่างนายเอกยุทธกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ตำรวจได้มีหมายเรียกนายเอกยุทธเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน คดีที่ พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้การเท็จ กรณีทะเลาะวิวาทในร้านอาหารคาราโอเกะซิตี้ ย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา เมื่อเดือน ธ.ค.2555
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังญาติแจ้งความได้ 2 วัน(10 มิ.ย.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้ออกมาเผยว่า พบตัวนายสันติภาพแล้ว อยู่ระหว่างนำตัวมาสอบปากคำที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) แต่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กลับพูดไปอีกทาง โดยบอกว่า ยังไม่พบตัวนายสันติภาพแต่อย่างใด พร้อมเผยว่า คนขับรถของนายเอกยุทธเป็นชาว จ.พัทลุง และเคยถูกดำเนินคดีวิ่งราวทรัพย์ แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง และอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีข้อหากรรโชกทรัพย์
       
        ด้าน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์อีกครั้งในวันเดียวกัน โดยบอกว่า พบรถและคนขับรถนายเอกยุทธแล้ว อยู่ระหว่างสอบสวน แต่ยังไม่เจอตัวนายเอกยุทธ โดยเบื้องต้นมุ่งประเด็นปมธุรกิจและเรื่องส่วนตัว แต่ให้น้ำหนักเรื่องธุรกิจมากกว่า เพราะก่อนหายตัว นายเอกยุทธเบิกเงิน 5 ล้านบาท
       
        ขณะที่นายก้องการุณ ศรีประสาน อายุ 33 ปี ลูกชายนายเอกยุทธ พูดถึงการหายตัวไปของนายเอกยุทธว่า ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องคนขับรถกับแฟนสาวที่ถูกไล่ออกเพราะยักยอกเงินไปกว่าล้านบาทหรือไม่ แต่เซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดที่ถูกถอดออกไป ต้องเป็นคนภายในเท่านั้นที่รู้
       
        วันต่อมา(11 มิ.ย.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้นำตัวนายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล อายุ 25 ปี คนขับรถของนายเอกยุทธมาเปิดแถลง พร้อมด้วยของกลางเงินสด 65,000 บาท และทรัพย์สินบางส่วนของนายเอกยุทธ เช่น แหวนทองคำขาว โดยบอกว่า ตำรวจได้ตัวนายสันติภาพเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ขณะขับรถย้อนกลับมากรุงเทพฯ ด้านนายสันติภาพ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยอ้างว่า หลังออกจากร้านครัวกระแตเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 6 มิ.ย. ได้มุ่งหน้ากลับบ้านย่านทาวน์อินทาวน์ จากนั้นนายเอกยุทธให้ช่วยถอดกล้องวงจรปิด ต่อมาวันรุ่งขึ้น ได้สั่งให้ขับรถไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรับสมุดเช็คจากหลานนายเอกยุทธ ก่อนเซ็นและส่งคืนไป จากนั้นในช่วงบ่าย นายเอกยุทธสั่งให้ขับรถมารับเอกสารจากคนชื่ออิงค์ที่สนามบินอีกครั้ง เป็นถุงเอกสาร ไม่รู้ว่าข้างในเป็นเงิน ต่อมานายเอกยุทธได้ให้ตนขับรถลงใต้เมื่อเวลา 03.00น.วันที่ 8 มิ.ย. ซึ่งเมื่อขับถึงปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้มีรถเก๋ง 2 คันมาจอดด้านหลังเพื่อรับนายเอกยุทธ โดยได้ยินนายเอกยุทธพูดโทรศัพท์ว่าให้รออยู่ที่พม่า จากนั้นตนได้ขับรถไป จ.พัทลุง กะจะเอารถไปโชว์เพื่อน แต่ไม่เจอใคร จึงขับเข้ากรุงเทพฯ แต่เมื่อถึงสมุทรสงคราม รถเกิดยางแตก และเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้เชิญมาสอบปากคำ
       
        ทั้งนี้ หลังตำรวจนำนายสันติภาพมาเปิดแถลงข่าว ปรากฏว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี รีบออกมาฟันธงว่า การหายตัวไปของนายเอกยุทธ เจ้าหน้าที่รัฐไม่เกี่ยวข้อง และไม่ได้เป็นการสร้างสถานการณ์ของนายเอกยุทธ พร้อมเชื่อว่านายเอกยุทธถูกฆาตกรรมชิงทรัพย์ เพราะเบิกเงินไป 5 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก แล้วออกไปกับคนขับรถ “ผมไม่เชื่อคนขับ เหตุผลไม่เพียงพอ ผมเชื่อว่าถูกฆาตกรรม ถ้าคนขับรถลงมือเอง เชื่อว่าตายแล้ว”
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายสันติภาพอ้างว่านายเอกยุทธไปพม่า ปรากฏว่า ยังไม่ทันข้ามวัน นายสันติภาพก็รับสารภาพว่าได้ร่วมกับพวกก่อเหตุฆ่านายเอกยุทธ เพื่อชิงทรัพย์ รวมทั้งโกรธแค้นที่นายเอกยุทธไล่แฟนสาวออกจากงาน เมื่อสบโอกาสพานายเอกยุทธไปกินข้าวที่ร้านครัวกระแต จึงขับรถออกไปรับเพื่อน คือนายสุทธิพงศ์ หรือเบิ้ม พิมพิสาร ให้แอบอยู่ในรถ แล้วมารอนายเอกยุทธเหมือนเดิม เมื่อรับนายเอกยุทธออกจากร้านอาหาร จึงใช้ปืนของนายเอกยุทธจี้นายเอกยุทธ พร้อมใส่กุญแจมือ จากนั้นขับรถกลับไปที่บ้านนายเอกยุทธและถอดเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิด ก่อนพาไปขังที่บ้านพี่สาวตนที่ย่านลาดกระบัง พอรุ่งเช้าก็นำตัวนายเอกยุทธไปสนามบิน เพื่อบังคับให้เซ็นเช็ค 5 ล้านบาท เมื่อได้เงินเรียบร้อย จึงนำตัวนายเอกยุทธเตรียมลงใต้ แต่ระหว่างกลับรถบริเวณสะพานข้ามคลองลำมะขาม ถนนฉลองกรุง 3 เวลาประมาณ 19.00น. นายเอกยุทธได้เปิดประตูรถวิ่งหนีทั้งที่ถูกล็อคด้วยกุญแจมือ นายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์จึงช่วยกันนำตัวกลับมาขึ้นรถ ก่อนบีบคอและใช้เชือกผูกรองเท้าของนายสุทธิพงศ์รัดคอจนนายเอกยุทธเสียชีวิต จากนั้นได้ขับรถลงใต้ไปที่ จ.พัทลุง โดยติดต่อเพื่อนอีก 2 คนเพื่อมาช่วยฝังศพนายเอกยุทธ คือนายชวลิต วุ่นชุม และนายทิวากร เกื้อทอง สำหรับจุดที่ฝังศพคือบริเวณเขาจิงโจ้
       
        หลังตำรวจนำผู้ต้องหาไปชี้จุดฝังศพบริเวณเขาจิงโจ้ ปรากฏว่า พบศพนายเอกยุทธในสภาพเปลือย ซึ่งผู้ต้องหาบอกว่าเพื่อทำลายหลักฐานที่อาจติดอยู่ที่เสื้อผ้า ส่วนที่ลำคอมีรอยช้ำคล้ายถูกบีบคอ สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 4-5 วัน ก่อนนำศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวชฯ ซึ่งภายหลังมีการแถลงผลว่า สาเหตุการเสียชีวิตของนายเอกยุทธเนื่องจากขาดอากาศหายใจ แต่ยืนยันไม่ได้ว่าเกิดจากการบีบคอหรือรัดคอ เนื่องจากศพมีสภาพเปลี่ยนแปลงไปมาก ด้านญาติได้เข้ารับศพนายเอกยุทธเพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลที่วัดลาดพร้าวเป็นเวลา 7 วัน ก่อนจะทำพิธีฌาปณกิจต่อไป
       
        สำหรับเงิน 5 ล้านที่นายสันติภาพนำไปนั้น ได้ฝากไว้ที่พ่อ คือ จ.ส.อ.อิทธิพล เพ็งด้วง เป็นทหารสังกัด ช.พัน 401 ค่ายอภัยบริรักษ์ จ.พัทลุง จำนวน 2 ล้าน ส่วนที่เหลือ พ่อนำไปฝากไว้กับนายสมนึก บัวพัว ลุงของนายสันติภาพ ที่ จ.สงขลา
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสันติภาพกับนายสุทธิพงศ์ยังซัดทอดกันไปมาในประเด็นใครเป็นคนฆ่านายเอกยุทธ โดยนายสันติภาพอ้างว่า นายสุทธิพงศ์ใช้เชือกรองเท้ารัดคอจนเสียชีวิต ขณะที่นายสุทธิพงศ์อ้างว่า นายสันติภาพบีบคอนายเอกยุทธจนเสียชีวิตแล้ว จึงให้ตนใช้เชือกรองเท้ารัดคอไว้อีกครั้ง
       
        ด้านตำรวจได้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธ จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ,ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ,ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด ,ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวให้ปราศจากเสรีภาพจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย พร้อมกันนี้ยังแจ้งข้อหาพ่อแม่ของนายสันติภาพ ฐานรับของโจรด้วย
       
        ขณะที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความนายเอกยุทธ ซึ่งได้มีโอกาสร่วมสอบผู้ต้องหาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เผยว่า ยังมีหลายประเด็นที่น่าสงสัย เช่น ฮาร์ดดิสก์จากกล้องวงจรปิดที่หายไป และหากผู้ต้องหาต้องการชิงทรัพย์ เหตุใดจึงนำทรัพย์สินส่วนตัวของนายเอกยุทธไปโยนทิ้ง ทั้งนี้ นายสุวัตร ยังไม่ขอพูดกรณีที่เคยระบุว่าการอุ้มฆ่านายเอกยุทธอาจเกี่ยวข้องกับ เสธ.คนดัง โดยบอกว่าขอรวบรวมหลักฐานให้ชัดเจนก่อน ส่วนกรณีที่นายเอกยุทธมีคดีฟ้องร้อง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ฐานหมิ่นประมาทนั้น ญาติได้มอบหมายให้ทนายถอนฟ้องแล้ว
       
        ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มองว่า การอุ้มฆ่านายเอกยุทธ เป็นไปได้ที่จะมาจากฝ่ายรัฐบาล แต่ไม่รู้ว่าฝีมือใคร เพราะนายเอกยุทธสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณและเป็นศัตรูกับรัฐบาลชุดนี้ และยังเล่นงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรื่อง ว.5 โฟร์ซีซันส์ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจจะไม่กล้าพูด แต่คนรอบตัวอาจจะโกรธแทน และเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องโกรธแทนน้องสาวแน่ นายสนธิ ยังเชื่อด้วยว่า นายบอลกับนายเบิ้มไม่ใช่คนฆ่านายเอกยุทธ ต้องมีอีกทีมเป็นคนฆ่า ทีมซึ่งตำรวจต้องการปกปิด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า นายบอลมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์มาก นักข่าวบอกว่า เวลาอยู่ที่ บช.น. จู่ๆ นายบอลก็ขอคุยกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ 2 คนในห้อง ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติของอาชญากร แถมตอนที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์พานายบอลออกมาแถลงข่าว ยังเดินจูงมือนายบอล เหมือนต้องการให้กำลังใจ
       
        ขณะที่นายโสภณ องค์การณ์ ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เอเอสทีวี และคอลัมนิสต์ในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ เผยว่า ในวงการตำรวจพูดกันว่า อาชญากรรมในลักษณะอุ้มฆ่านายเอกยุทธนี้ ตำรวจเท่านั้นที่จะทำได้ การถอดเสื้อผ้าทิ้งก่อนฝังศพ ก็คือแนวคิดทางตำรวจที่ต้องการปกปิดร่องรอยอาชญากรรม และว่า งานนี้ คนในวงการใต้ดินพูดกันว่า เงินมาจากทางเหนือ ผู้ที่มีเครือข่ายจัดการหาทีมมา และหามาได้ 3 คน ให้มีคนเก็บและคนกวาด เขารู้กันหมดว่าใครเป็นคนสั่ง ใครเป็นคนรับงาน และทีมนี้มาจากไหน งานนี้ไม่ใช่ เสธ. แต่เป็นนักการเมืองกับสีกากี ส่วนพวกทีมท้องถิ่นอย่างพวกนายบอล เป็นเพียงตัวประกอบเพื่อให้ดูว่าเป็นการชิงทรัพย์ แต่ตัวจริงเป็นมือระดับพระกาฬ ปกติทีมนี้ทำงานแล้วเอาเข้าเตาเผาแถวปากช่องโคราช ไม่มาทิ้งอย่างนี้ ที่มาทิ้งก็เพื่อเปิดโอกาสให้เห็นว่าเป็นการปล้นทรัพย์ธรรมดา จะได้ปิดคดีเร็วๆ
       
       2. ศาลฎีกา พิพากษากลับยกฟ้อง “พล.ต.อ.วาสนา-ปริญญา” คดีจัดเลือกตั้งมิชอบเอื้อ ทรท. ชี้ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง!

       เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) , พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. ,นายปริญญา นาคฉัตรีย์ ,นายวีระชัย แนวบุญเนียร ,พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ กรรมการ กกต.และ พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา อดีตเลขาธิการ กกต. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. พ.ศ.2541 จากกรณีจัดการเลือกตั้งเมื่อปี 2549 เอื้อประโยชน์ให้พรรคไทยรักไทย(ทรท.)
       
        คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 3-5 เม.ย.2549 จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่และใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่รอบ 2 ใน 38 เขต 15 จังหวัดเมื่อวันที่ 23 เม.ย.2549 โดยเปิดรับสมัครใหม่ทั้งที่ไม่มีอำนาจ และอนุญาตให้ผู้สมัครเวียนเทียนลงสมัครข้ามเขตได้ เพื่อช่วยให้ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยมีคู่แข่ง จะได้เลี่ยงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องได้คะแนน 20% ซึ่งการจัดเลือกตั้งโดยเพิ่มเงื่อนไขเช่นนี้ ทำให้การเลือกตั้งใหม่ไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรงเป็นปฏิปักษ์และเป็นภัยต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 101 ,108 ,157 ขณะที่จำเลยให้การปฏิเสธ
       
        ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ค.2549 ให้จำคุก พล.ต.อ.วาสนา ,นายปริญญา และนายวีระชัย จำเลยที่ 2-4 คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี สำหรับจำเลยที่ 1 และ 6 ศาลยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 5 พล.อ.จารุภัทร นั้น ได้ลาออกจาก กกต.ไปก่อน โจทก์จึงถอนฟ้อง
       
       ด้านจำเลยที่ 2-4 ได้ยื่นอุทธรณ์ พร้อมขอให้มีการลดหย่อนโทษ โดยอ้างว่า จำเลยได้ประกอบคุณงามความดีมา ได้รับราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะ อีกทั้งได้ดำรงตำแหน่งสำคัญมาก่อน แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จำเลยมีประสบการณ์เคยดำรงตำแหน่งสำคัญมาก่อน จนมีคุณสมบัติตามวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญได้เป็น กกต. แต่กลับไม่ได้ใช้ประสบการณ์สร้างความสุขและช่วยระงับวิกฤตที่เกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง และใช้อำนาจหน้าที่เพื่อสร้างวิกฤตให้ใหญ่มากยิ่งขึ้น พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามจึงไม่มีเหตุให้ลดโทษตามที่ขอ ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 24 เม.ย.2551 จากนั้น พล.ต.อ.วาสนา ,นายปริญญา และนายวีระชัย ได้สู้ต่อในชั้นฎีกา ซึ่งในเวลาต่อมา นายวีระชัย ได้เสียชีวิตลง
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า ศาลฎีกาใช้เวลาพิจารณาคดีนี้นานกว่า 5 ปี โดยพิพากษากลับยกฟ้อง พล.ต.อ.วาสนาและนายปริญญา เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีสิทธิฟ้องอดีต กกต. เนื่องจากนายถาวรไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง พร้อมระบุว่า การกระทำของ กกต.จะเป็นความผิดตามมาตรา 24 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต.ก็ต่อเมื่อเป็นการกระทำต่อผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ส่วนที่นายถาวรเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน จ.สงขลา เขตเลือกตั้งที่ 6 และเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์นั้น ศาลชี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ส่งผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนั้น นายถาวรจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ศาลยังย้ำด้วยว่า กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสียหายโดยตรง เพราะหากบัญญัติเช่นนั้น แล้วมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากต่างใช้สิทธิฟ้องร้อง จะเกิดความไม่เป็นธรรมต่อ กกต. ดังจะเห็นได้จากกรณีที่ศาลอุทธรณ์เคยพิพากษายกฟ้องคดีที่ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กับพวกรวม 9 คน เคยยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา และนายปริญญาว่ากระทำผิด พ.ร.บ.กกต. เนื่องจากเห็นว่า นพ.นิรันดร์กับพวกไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง การกระทำของ กกต.จะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อเป็นการกระทำผิดต่อรัฐเท่านั้น
       
        หลังฟังคำพิพากษา พล.ต.อ.วาสนา และนายปริญญา ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ โดย พล.ต.อ.วาสนา กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า รู้สึกเฉยๆ และหลังจากนี้จะกลับไปอยู่บ้านพักที่ต่างจังหวัด
       
       3. ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก “ดา ตอร์ปิโด” 15 ปี คดีหมิ่นเบื้องสูง!

       เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์และพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 3-15 ปี
       
        คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย.2551 จำเลยได้ปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงบนเวทีเสียงประชาชน ณ ท้องสนามหลวง ท่ามกลางประชาชนที่มาฟังจำนวนหลายคน โดยจำเลยได้พูดจาบจ้วงล่วงเกิน เปรียบเทียบและเปรียบเปรย หมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนไม่เคารพและเสื่อมศรัทธา
       
        ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2554 ให้จำคุกจำเลย 3 กระทงๆ ละ 5 ปี รวม 15 ปี เนื่องจากพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม 3 นาย ที่เป็นสายสืบฟังการปราศรัยพบว่าจำเลยกล่าวข้อความดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ จึงบันทึกเสียงลงแผ่นซีดี พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ว่า จำเลยพูดจาบจ้วง ดูหมิ่นสถาบัน เป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งต่อมา จำเลยยื่นอุทธรณ์
       
        ขณะที่ศาลอุทธรณ์ พิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยทำให้สถาบันเสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติยศ จึงเห็นสมควรลงโทษสถานหนักเพื่อไม่ให้บุคคลอื่นกระทำเป็นเยี่ยงอย่าง โดยเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
       
       4. ชาวพุทธช็อก “พระมิตซูโอะ” สึกแล้ว กลับญี่ปุ่นทันที ขณะที่แม่ชีเผย สุขภาพไม่ดี พร้อมปรารภอยากกลับไปตอบแทนแผ่นดินเกิด!

       เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. มีข่าวแพร่สะพัดว่า พระมิตซูโอะ คเวสโก อายุ 63 ปี เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี พระชื่อดัง ลูกศิษย์พระโพธิญาณเถร(หลวงปู่ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ได้ลาสิกขาแล้วเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่วัดชนะสงคราม กทม. และเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นแล้ว
       
        ทั้งนี้ วันเดียวกัน ทางมูลนิธิมายา โคตมี วัดสุนันทวนาราม ซึ่งริเริ่มก่อตั้งโดยพระมิตซูโอะ ได้ออกมายอมรับว่า พระมิตซูโอะได้ลาสิกขาจริง แต่ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ และที่วัดใด โดยทางมูลนิธิจะประชุมและเผยความชัดเจนในวันที่ 11 มิ.ย.
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า ข่าวพระมิตซูโอะลาสิกขา ได้สร้างความประหลาดใจแก่ประชาชนเป็นอันมาก โดยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยอมรับว่า หลังทราบข่าวรู้สึกตกใจมาก เพราะพระอาจารย์มิตซูโอะอุปสมบทมานานหลายสิบปีแล้ว และได้ทำคุณประโยชน์ต่อวงการพระพุทธศาสนามากมาย
       
        ขณะที่แม่ชีพิณพรรณ เนียมมุณี ซึ่งปฏิบัติธรรมที่วัดนี้มานานกว่า 8 ปี ยอมรับว่า ตกใจมากที่ทราบว่าพระมิตซูโอะลาสิกขา และไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ทราบเพียงว่าพระอาจารย์มิตซูโอะมีปัญหาสุขภาพมานานกว่า 2 ปีแล้ว ป่วยเป็นโรคเบาหวาน สุขภาพจึงไม่ค่อยแข็งแรงและเหนื่อยมาก เพราะรับกิจนิมนต์เกือบทุกวัน “ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากพระอาจารย์มิตซูโอะเคยพูดกับญาติโยมว่า ท่านเป็นคนญี่ปุ่น อยากตอบแทนแผ่นดินเกิด หากมีโอกาสก็อยากจะกลับไปช่วยเหลือคนญี่ปุ่นบ้าง เพราะคนญี่ปุ่นขณะนี้ยังมีคนที่ทุกข์และลำบากมากเช่นกัน”
       
        วันต่อมา(11 มิ.ย.) แม่ชีพิณพรรณ เผยอีกครั้งว่า นางลัดดา สุวรรณกุล อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นจิตอาสาที่มาช่วยงานมูลนิธิในวัด ได้รับโทรศัพท์จากอดีตพระมิตซูโอะซึ่งโทรทางไกลจากญี่ปุ่นแจ้งว่า แม้ไม่ได้อยู่ในสมณเพศแล้ว แต่ยังยืนยันจะเดินหน้าเผยแผ่วิปัสสนากรรมฐานต่อไป โดยจะร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิในประเทศญี่ปุ่นเปิดคอร์สฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐานให้แก่ชาวญี่ปุ่นและคนไทยในญี่ปุ่นในเดือน ก.ย.นี้
       
        ด้านนายยงยุทธ ยุงรัมย์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิมายา โคตมี เผยว่า มูลนิธิจะสานต่อโครงการต่างๆ ที่อดีตพระมิตซูโอะเริ่มไว้ต่อไป ส่วนที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยเรื่องเงินบัญชีของวัด ยืนยันว่าการเบิกจ่ายทำในนามนิติบุคคล ต้องมีกรรมการเซ็นชื่อมากกว่า 1 คน พระมิตซูโอะรูปเดียวจะทำอะไรไม่ได้ จึงอยากให้ประชาชนเข้าใจตรงกัน สำหรับพระที่จะมาทำหน้าที่เจ้าอาวาสแทนนั้น ทางมูลนิธิต้องปรึกษาทางวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ว่าจะให้พระรูปใดที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งแทน เพราะวัดสุนันทวนารามเป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 มิถุนายน 2556