ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 2-8 มิ.ย.2556  (อ่าน 862 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9779
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 2-8 มิ.ย.2556
« เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2013, 22:58:46 »
1. รัฐบาล ผวามูดี้ส์ลดเครดิต รีบอ้าง จำนำข้าวเจ๊งไม่ถึง 2.6 แสนล้าน แต่ตอบไม่ได้ขาดทุนเท่าไหร่ ด้าน “สนธิ” ชี้ ขาดทุนจริงกว่า 3 แสนล้าน!

       หลัง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายแฉทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลางที่ประชุมสภาฯ โดยชี้ว่า โครงการรับจำนำข้าวขาดทุนแล้วกว่า 2.6 แสนล้านบาท รวมทั้งมีคนที่มีอำนาจเหนือรัฐมนตรีในกระทรวงพาณิชย์เป็นจอมบงการฟันหัวคิวในโครงการรับจำนำข้าว คือ พ.ต.นพ.วีรวุฒิ วัจนะพุกกะ ซึ่งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และเป็นคณะกรรมการนโยบายจำนำข้าวทั้งในยุคที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
       
        ปรากฏว่า พ.ต.นพ.วีรวุฒิ ได้ออกมายืนยันว่า ไม่มีการแอบขายข้าวให้โรงสีโชควรลักษณ์รุ่งเรืองกิจในราคาต่ำ เพื่อไปขายต่อแบบฟันกำไรอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา พร้อมท้าเดิมพันตำแหน่งกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นผู้อภิปรายแฉตนด้วย “ผมขอท้าเดิมพันตำแหน่งกับ นพ.วรงค์ หากไม่ใช่การแอบขาย ขอให้ นพ.วรงค์ลาออกจากตำแหน่ง หากพบว่ามีการแอบขายจริง ก็พร้อมจะลาออกจากตำแหน่งเลขานุการ รมว.พาณิชย์ทันที และเห็นว่า นพ.วรงค์ควรเป็นเลขานุการเงามากกว่า รมว.พาณิชย์เงา”
       
        ด้าน นพ.วรงค์ ได้ออกมาสวนกลับโดยบอก ไม่ให้ราคา พ.ต.นพ.วีรวุฒิ เพราะออกมาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ และว่า สิ่งที่ พ.ต.นพ.วีรวุฒิต้องทำคือ เตรียมข้อมูลไปชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และอาจถึงขั้นต้องเตรียมติดคุกหรือไม่ “ผู้ต้องหามักจะปฏิเสธ แล้วโยนความผิดให้คนอื่น อีกอย่างฐานะของผมกับ พ.ต.นพ.วีรวุฒิ ก็ต่างกัน ถือว่าเป็นคนละระดับ ผมเป็น ส.ส. ต้องเป็นนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มาท้าเดิมพันกันถึงจะสมศักดิ์ศรี”
       
        ทั้งนี้ ปัญหาทุจริตจำนำข้าวที่พรรคประชาธิปัตย์แฉว่าขาดทุนกว่า 2.6 แสนล้าน เริ่มสั่นคลอนรัฐบาล เมื่อมีข่าวว่า สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ หรือมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้ออกบทวิเคราะห์ทำนองอาจทบทวนลดเครดิตของประเทศไทยลง เนื่องจากความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ร้อนถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องเรียกประชุมรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปสรุปตัวเลขการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าว แล้วกลับมารายงานภายในวันที่ 6 มิ.ย. เพื่อสรุปตัวเลขที่แท้จริง และชี้แจงให้สาธารณชนรับทราบ ก่อนส่งข้อมูลให้มูดี้ส์ต่อไป
       
        ด้านนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แสดงความมั่นใจว่า ตัวเลขขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวไม่น่าจะเกินตัวเลขขาดทุนจากการประกันรายได้ของรัฐบาลก่อน พร้อมย้ำว่า การใช้เงินในโครงการรับจำนำข้าวก็อยู่ในกรอบ 5 แสนล้าน โดยมาจากเงินกู้ 4.1 แสนล้าน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) 9 หมื่นล้าน “ผมไม่มั่นใจตัวเลขที่ว่าจำนำข้าวขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท เพราะยังไม่มีการตรวจสอบตัวเลขอย่างเป็นทางการ ต้องรอการสรุปของคณะกรรมการนโยบายข้าว จึงถือว่าเป็นตัวเลขทางการ”
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กจี้ให้รัฐบาลเปิดข้อมูลการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าว เพราะยิ่งปกปิดข้อมูล จะยิ่งทำให้มูดี้ส์คาดเดาไปในทางเลวร้ายที่สุดไว้ก่อน พร้อมย้ำว่า ไม่เห็นด้วยกับการปกปิดข้อมูล เพราะเป็นการใช้เงินของประชาชน ประชาชนจึงควรมีสิทธิได้ข้อมูลอย่างครบถ้วน
       
        ด้าน น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ได้ออกมาเปิดเผยอีกครั้ง หลังจากที่เคยเปิดเผยมาครั้งหนึ่งแล้วว่าโครงการรับจำนำข้าวขาดทุน 2.6 แสนล้านกระทั่งถูกสั่งย้ายไม่ให้ดูแลการปิดบัญชี โดยครั้งนี้ น.ส.สุภา เผยว่า ได้จัดส่งข้อมูลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะชี้แจงต่อสาธารณชนเมื่อใด พร้อมยืนยัน การประเมินผลการดำเนินโครงการดังกล่าว ใช้ข้อมูลจากองค์การคลังสินค้า(อคส.) และองค์การตลาดเพื่อการเกษตร(อ.ต.ก.) ทั้งภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงสต๊อกข้าว โดยใช้การบันทึกราคาตามราคาตลาด ไม่ใช่การประเมินราคาระบายข้าวเองและไม่ใช่ราคารับจำนำ “ผลขาดทุนจากการปิดบัญชีที่เสนอไปให้นายกรัฐมนตรีนั้น ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่มากกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการคำนวณบนพื้นฐานข้อมูลที่ปรากฏจริง ไม่ได้ต้องการมีปัญหากับใคร หรือทำร้ายประเทศชาติ แต่ต้องการให้นายกฯ รับทราบความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง”
       
        ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดแถลงพร้อมกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งทั้ง 3 คนพยายามย้ำว่า โครงการรับจำนำข้าวมีประโยชน์ต่อชาวนา ทำให้ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ช่วยให้เศรษฐกิจปีที่ผ่านมาเติบโตได้เกือบ 1% ทำให้จีดีพีเพิ่มจาก 5% เป็น 6% เมื่อปีที่แล้ว ส่วนตัวเลขขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทนั้น นายบุญทรง ยืนยันว่าไม่จริง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าขาดทุนไปเท่าไหร่ เมื่อผู้สื่อข่าวรุมถามว่า จริงๆ แล้วขาดทุนเท่าไหร่กันแน่ เพราะอธิบายมา 3 คนแล้วยังไม่ชัดเจนว่าโครงการรับจำนำข้าวขาดทุนหรือไม่ขาดทุน นายบุญทรงจึงขอให้ผู้สื่อข่าวใจเย็นๆ พร้อมอ้างว่า ยังไม่ปิดโครงการ จึงบอกไม่ได้ว่าขาดทุนเท่าไหร่กันแน่ เพราะข้าวที่รับจำนำมา ต้องใช้เวลาขายอีก 2-3 ปี จึงจะขายหมด
       
        ด้านนายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เชื่อว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลต้องขาดทุนมากกว่า 2 แสนล้านบาทแน่นอน เนื่องจากราคาซื้อข้าวมากกว่าราคาขาย พร้อมเผยว่า ขณะนี้การส่งออกข้าวของไทยลดลง จากที่เคยส่งออกถึง 10 ล้านตัน แต่ปีที่ผ่านมาเหลือส่งออกเพียง 7 ล้านตัน และคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่แค่ 6 ล้านตัน เนื่องจากผู้ประกอบการไม่มีข้าวที่จะส่งออก
       
        ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาแฉเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น เพราะต้องการหาเสียง แต่เผอิญมีพ่อค้าหัวใสไปเจรจากับคนที่อยู่เมืองนอกว่าให้รับอย่างนี้ แล้วจะแบ่งผลประโยชน์ให้ คนที่อยู่เมืองนอกก็เห็นว่าได้ทั้งคะแนนเสียงและเงิน ก็เลยสั่งน้องสาวตั้งโครงการรับจำนำข้าว พอมีโครงการ ก็เลยเกิดคนตระกูลเดียวกับที่เคยเสียชื่อเรื่องลำไย เห็นเข้าก็ตาโต มาร่วมหากินกับข้าวด้วย เลยโกงกันอย่างหนัก สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ ถ้าไม่ใช่โรงสีของพวกตัวเองจะไม่รับจำนำ “งานนี้ผมบอกเลยถ้าคุณตั้งกรรมการสอบสวนที่ไม่เข้าข้างใคร 1.ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ไม่ต้องติดตะราง 2.นักการเมืองไม่ต้องติดตะราง 3.ครม.ทั้งชุดตัองติดตะราง 4.ยิ่งลักษณ์แฟนของโสภณ องค์การณ์ก็ต้องติดตะรางเช่นกัน เพราะเป็นประธานนโยบายข้าว เพราะฉะนั้นสิ่งที่สุภาเสนอตัวเลขมาไม่ผิด มูดี้ส์พูดก็ไม่ผิด ตัวเลข 260,000 ล้าน ยังต่ำกว่าความเป็นจริง อาจมากกว่านี้อีกเยอะ มันต้อง 300,000 กว่าล้าน”
       
       2. ลูกชาย “เผดิมชัย” ปัดเอี่ยวรถหรูไฟไหม้ ด้าน “บอย ปกรณ์-ชรัส” รีบเคลียร์ตัวเองเช่นกัน หลังครอบครองรถต้องสงสัยติดบัญชีดีเอสไอ!

       ความคืบหน้ากรณีเกิดไฟไหม้รถหรู 6 คันระหว่างอยู่บนรถเทรลเลอร์ ขณะขับอยู่บนถนนมิตรภาพ ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อนำไปส่งที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้ให้เจ้าหน้าที่เดินทางไปตรวจสอบรถหรูทั้ง 6 คัน ซึ่งพบว่า เลขตัวถังรถยนต์ยี่ห้อลัมโบร์กีนี สีขาว ที่ไฟไหม้ เป็นรถที่ตรงกับบัญชีรถยนต์ต้องสงสัยในจำนวน 5,000 คัน ที่ดีเอสไอมีข้อมูลว่าเป็นรถที่นำเข้าอย่างผิดกฎหมาย โดยใช้วิธีหลบเลี่ยงภาษีด้วยการสำแดงเท็จ นายธาริตจึงลงนามคำสั่งให้ดีเอสไอรับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ซึ่งมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายขบวนการ
       
        ทั้งนี้ มีข่าวว่า รถ 1 ใน 6 คันที่ไฟไหม้ ที่หมายเลขทะเบียน ฌล 6217 เป็นรถของ พ.ต.สุขชาติ สะสมทรัพย์ บุตรชายนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งนายเผดิมชัย ยอมรับว่า บุตรชายเคยซื้อรถมือสองทะเบียนดังกล่าวจริง แต่ไม่ถูกใจทะเบียน จึงขอออกทะเบียนใหม่ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับซากรถที่ไฟไหม้
       
        ขณะที่ พ.ต.สุขชาติ บุตรชายนายเผดิมชัย ได้เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนดีเอสไอเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. โดยนำเอกสารการจดทะเบียนรถและการเสียภาษีรถที่ใช้ในปัจจุบันมาแสดง เพื่อยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับรถที่ไฟไหม้ พร้อมย้ำว่า รถลัมโบร์กีนีที่ตนใช้คือ รุ่นกัลลาโด้ ราคา 13 ล้านบาท ส่วนรถที่ไฟไหม้ รุ่นมาเซราโก้ ราคากว่า 20 ล้านบาท
       
        ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติพิเศษภาค ดีเอสไอ เผยว่า หลังจากพิจารณาเอกสารหลักฐานแล้ว เชื่อว่า พ.ต.สุขชาติ ไม่เกี่ยวข้องกับรถที่ไฟไหม้
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากลูกชายนักการเมืองจะมีชื่อเข้าไปเกี่ยวโยงกับรถหรูที่ไฟไหม้แล้ว ปรากฏว่ายังมีคนดังอีกหลายวงการรีบออกมาเคลียร์ตัวเองเช่นกัน หลังครอบครองรถหรูที่ต้องสงสัยติดอยู่ในบัญชีของดีเอสไอ ได้แก่ พระเอกชื่อดัง “บอย” ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่า รถทะเบียน ฌฬ 167 เป็นรถเก่าอายุประมาณ 20 ปีแล้ว ซื้อมาเมื่อ 1-2 ปีก่อน ในราคาเกือบ 6 แสนบาท แม้จะเป็นรถนำเข้า แต่มั่นใจว่าไม่มีปัญหา และพร้อมตอบคำถาม หากดีเอสไอเรียกไปสอบ
       
        ด้านนายชรัส เฟื่องอารมณ์ นักร้องชื่อดัง ซึ่งเป็นเจ้าของรถเบนซ์ทะเบียน กย 6519 ที่ถูกระบุว่าเข้าข่ายต้องสงสัยนำเข้าผิดกฎหมาย ก็ยืนยันว่า รถคันดังกล่าวไม่ใช่ของตน แต่ยอมรับว่ามีรถเบนซ์อยู่คันหนึ่ง เป็นรถมือสองจากญี่ปุ่นที่ถอดชิ้นส่วนเข้ามาประกอบในไทย ซื้อมาเมื่อปีก่อน ราคาประมาณ 1 ล้านบาท ยืนยันว่าซื้อถูกต้องตามกฎหมาย และยินดีถ้าดีเอสไอจะเรียกไปสอบ
       
        ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุไฟไหม้รถหรู 6 คันดังกล่าว นายอัฌษไธค์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ได้สั่งย้ายนายดนัย โคตรอาษา ขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ และนายณัฏฐ์พัชร์ จันทะ หัวหน้าตรวจสภาพรถยนต์ขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ ให้มาช่วยราชการที่กรมการขนส่งทางบก เนื่องจากพบหลักฐานว่า ไม่ได้ดำเนินการตามระเบียบของกรมฯ ในการตรวจสภาพและรับจดทะเบียนรถ
       
        ด้านนายดนัย บอกว่า พร้อมปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้บังคับบัญชาเห็นสมควร แต่ยืนยัน ตนปฏิบัติราชการมานานกว่า 30 ปี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย แม้ว่าจะเหลืออายุราชการอีกเพียง 4 เดือนก็ตาม
       
        ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้ขอหมายศาลไปตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัย 4 จุดในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ที่เกี่ยวข้องกับรถหรูยี่ห้อลัมโบร์กีนี สีขาว ที่ไฟไหม้ โดยจุดแรกเป็นบ้านและบริษัทของนางพรพิมล เคหะฐาน กรรมการผู้จัดการบริษัท ธรรมะ มอเตอร์ ริช จำกัด ย่านหนองจอก จุดที่ 2 บริษัท เจเอ็มดับบลิว มอเตอร์ส จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง จุดที่ 3 บริษัท ทีเอเอ็น เอ็กซ์เพรส จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และจุดที่ 4 บริษัท พอใจ ออโตพาร์ท จำกัด ย่านโชคชัย 4 ซึ่งระหว่างตรวจค้น นางพรพิมล ปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนรถหรูยี่ห้อลัมโบร์กีนีที่ไฟไหม้ แต่ยอมรับว่ามีคนชื่อ “เป๋” นำเอกสารมาติดต่อขอให้จดทะเบียนให้ แต่ได้ปฏิเสธไป เพราะบริษัทไม่มีศักยภาพพอที่จะจดทะเบียนให้
       
        ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เผยว่า “การตรวจค้นทำให้ยืนยันข้อเท็จจริงว่า รถจดประกอบนั้น ทุกอย่างถูกประกอบด้วยกระดาษ นอกจากนี้ยังพบเอกสารเป็นรายการสั่งซื้อรถหรูอีกหลายรายการ ซึ่งดีเอสไอจะขยายผลต่อไป”
       
        ขณะที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เผยว่า เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ตนได้ลงนามประกาศกฎกระทรวงคมนาคมงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วนำเข้าจากต่างประเทศ และว่า หลังจากนี้จะให้เวลารถจดประกอบที่ยังไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดำเนินการให้ถูกต้องภายใน 1 ปี ส่วนรถติดก๊าซที่ไม่ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จะต้องดำเนินการจดทะเบียนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หากพ้นกำหนดแล้ว กรมการขนส่งทางบกจะไม่รับจดทะเบียนรถจดประกอบอีกต่อไป
       
       3. “กำนันแดง” คนดังเมืองจันท์ ถูกมือปืนบุกยิงถล่มถึงบ้านดับ – “จ่ายักษ์” 1 ใน 3 คนร้ายเคยเป็นการ์ด นปช. ด้าน ปชป. จี้ ตร.นำตัวสอบ หวั่นเอี่ยว 6 ศพวัดปทุมฯ !

       เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. เวลา 08.00น. ได้เกิดเหตุคนร้าย 3 คน ใช้รถเก๋งสีบรอนซ์เทา ไม่ทราบยี่ห้อและเลขทะเบียน ไปจอดหน้าบ้านนายบุญจริง พินิจ หรือกำนันแดง กำนันตำบลแก่งหางแมว จ.จันทบุรี จากนั้นคนร้ายได้ลงจากรถ ก่อนใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม.กระหน่ำยิงใส่ร่างกำนันแดงที่นั่งอยู่หน้าบ้านพัก รวม 6 นัด ก่อนขึ้นรถหลบหนี
       
        ขณะที่ญาติได้นำตัวกำนันแดงส่งโรงพยาบาล แต่เจ้าตัวทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตระหว่างทาง ด้านตำรวจ สภ.แก่งหางแมว หลังรับแจ้ง ได้รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกระจายกำลังออกติดตามคนร้าย กระทั่งพบรถคนร้ายเกิดอุบัติเหตุแหกโค้งตกลงข้างทาง ในที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิต 1 ราย คือนายไฉน ประมุสุกะ เป็นชาว จ.พระนครศรีอยุธยา ในตัวพบบัตรระบุเป็นสมาชิก อปพร.เขตบางรัก กทม. ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย คือนายธนวิทย์ สีไหล พักอยู่ย่านหนองแขม กทม. และนายศรชัย ศรีดี เป็นชาว จ.สกลนคร ซึ่งทั้งสองได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ขณะที่ตำรวจได้อายัดตัวทั้งสองเรียบร้อยแล้ว
       
       สำหรับชนวนสังหารกำนันแดงนั้น แหล่งข่าวจากพนักงานสอบสวน เผยว่า ผู้ต้องหาที่บาดเจ็บสารภาพว่า รับงานจ้างยิงกำนันแดง โดยชนวนสังหารมาจากปมการเมือง คาดว่าอาจเกี่ยวพันกรณีกำนันแดงไปรับงานเป็นหัวคะแนนและดูแลคุ้มครองผู้สมัครตำแหน่งนายก อบต.แห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ท่าใหม่ ซึ่งกำหนดเลือกตั้งในวันที่ 9 มิ.ย.
       
        ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายศรชัย ศรีดี 1 ในคนร้าย มีชื่อเล่นว่า ยักษ์ ตำรวจพบประวัติว่า เมื่อ 2 ปีก่อนเคยเป็นการ์ดให้กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) นอกจากนี้ยังเคยนำอาวุธปืนยิงถล่มวัดพระแก้วด้วย
       
        ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้เปิดแถลงแฉว่า นายศรชัย เป็นอดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย และเป็นการ์ดให้กลุ่ม นปช.ในเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี 2552-2553 นอกจากนี้ยังมีหมายจับคดีครอบครองอาวุธสงครามและขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค อีกทั้งยังมีความใกล้ชิดกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. เพราะนายจตุพรเคยประกันตัวนายศรชัยในเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี 2552 นายชวนนท์ ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลและตำรวจนำตัวนายศรชัยมาสอบเพิ่มด้วย เพราะอาจรู้เห็นเหตุการณ์ยิง 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม
       
        ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ยืนยันว่า ไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวอะไรกับนายศรชัย แต่ยอมรับว่า เคยพานายศรชัยเข้ามอบตัวก่อนมีเหตุการณ์สงกรานต์เลือดในปี 2553 พร้อมย้ำว่า นายศรชัยไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกรณี 6 ศพวัดปทุมฯ
       
        ด้านนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา เรียกร้องให้ดีเอสไอหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งขอให้ศาลสั่งอายัดตัวนายศรชัย เพราะมีหมายจับของศาลในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่สำคัญมีภาพทางสื่อมวลชนด้วยว่า นายศรชัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการครอบครองอาวุธสงครามภายในสถานีรถไฟฟ้าระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง นอกจากนี้นายศรชัยยังช่วยให้นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช.หลบหนีการจับกุมที่โรงแรมเอสซีปาร์ค
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า นายศรชัย ให้การกับตำรวจโดยอ้างว่า ตนไม่ใช่มือยิงกำนันแดง ตนแค่ร่วมเดินทางมากับกลุ่มของ 2 มือปืนเท่านั้น พร้อมซัดทอดว่า มือยิงคือนายไฉน ที่เสียชีวิตหลังรถเกิดอุบัติเหตุ ด้านตำรวจ สภ.แก่งหางแมว ได้ขอศาลฝากขังนายศรชัยและนายธนวิทย์ เป็นเวลา 12 วัน ระหว่างวันที่ 5-12 มิ.ย. เนื่องจากทั้งสองบาดเจ็บสาหัส ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยพักรักษาตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษ โรงพยาบาลพระปกเกล้า
       
        ส่วนที่มีข่าวลือว่า นายธนวิทย์และนายศรชัย ได้ยื่นขอประกันตัวออกไปแล้วเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.นั้น พ.ต.อ.โสภณ ศิริมาจันทร์ ผู้กำกับการ สภ.แก่งหางแมว ยืนยันว่าไม่จริง แต่ยอมรับว่า หากมีการยื่นขอประกันตัว ก็เป็นสิทธิ เพราะผู้ต้องหาให้การภาคเสธ และขึ้นอยู่กับศาลจะพิจารณา โดยพนักงานสอบสวนจะไม่คัดค้านการประกันตัว
       
       4. “ชัย ราชวัตร” เลื่อนให้ปากคำคดีหมิ่น “ยิ่งลักษณ์” ด้านตำรวจขู่ออกหมายจับ ขณะที่เจ้าตัว ยันไม่ตาขาวหนีคดี พร้อมแย้ม อาจเลิกเขียนการ์ตูน!

       เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. เว็บไซต์สำนักข่าวโพสต์ทูเดย์ ได้นำเสนอรายงานพิเศษ เรื่อง ปากคำ “ชัย ราชวัตร” กับ “ภารกิจสุดท้าย” โดยสัมภาษณ์นายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ ชัย ราชวัตร คอลัมนิสต์การ์ตูน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ซึ่งระบุว่า ตนอาจจะยุติการเขียนการ์ตูนให้กับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เนื่องจากอายุมากขึ้น และเรื่องไม่สนุกเหมือนเดิม “ผมลากสังขารมานานเต็มที และก็ 72 อายุมากแล้วด้วย ...และมันก็ไม่สนุกเหมือนเดิมแล้ว ที่ผ่านมาโรงพิมพ์ก็ต่ออายุให้เราเรื่อยๆ ปกติไทยรัฐเขาเกษียณอายุ 60 ตอนนี้ต่ออายุมา 72 แล้ว ไหนยังต้องคอยหลบภัยจากเรื่องการเมืองนี่มันไม่สนุกหรอก ผมคงหาทางลงที่มันค่อยๆ ลง แต่ไม่ใช่ปุ่บปับ โดดลงจากเวทีเลย”
       
       ทั้งนี้ นายสมชัย ยอมรับว่า สมัยก่อนตนถูกคุกคามถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ถึงกับถูกฟ้องร้อง พร้อม
       เผยว่า ช่วงที่เขียนงานยากที่สุด มี 3 ช่วง คือสมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะชื่นชอบและศรัทธาจึงไม่อยากโจมตี ช่วงนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต และยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากประชาชนและสื่อถูกแบ่งแยกออกเป็นสองขั้ว พอเขียนไม่ถูกใจคนกลุ่มหนึ่งก็จะมีคนมาต่อต้าน ทำให้นายทุนคิดมาก จึงต้องพยายามให้เบาลง “อย่างทุกวันนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนจำนวนมากสนับสนุนอยู่ เขียนอะไรบางทีก็ต้องเบรกเหมือนกัน คือเขียนได้แต่ไม่เต็มที่ ในวงการสื่อด้วยกันก็ไม่ได้สามัคคีเป็นทิศทางเดียวกัน มันก็เลยยาก”
       
       นายสมชัย ยังยืนยันด้วยว่า ตนไม่เห็นว่าหนังสือพิมพ์จะต้องเป็นกลาง เพราะหน้าที่ของมันคือการชี้นำประชาชนให้รู้อะไรถูกผิดดีหรือชั่ว เปรียบเสมือนสุนัขเฝ้าบ้าน ถ้าไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์โดยอ้างว่าต้องเป็นกลาง ใครก็มาเป็นนักหนังสือพิมพ์ได้ ความเป็นกลางคือหลุมหลบภัยของคนขี้ขลาด “สิ่งหนึ่งผมขอบอกคนอ่านว่า ผมไม่เคยทรยศต่อคนอ่าน แล้วก็ไม่เคยทรยศต่อจุดยืนของตัวเอง และเมื่อไรวันไหนวางมือไปผมก็จะวางมือลักษณะนี้ ไม่ใช่วางมือไปเพราะเปลี่ยนจุดยืนตัวเอง ไม่เหมือนนักการเมืองบ้านเราเปลี่ยนแปลงตลอด ทุกวันนี้ไม่ได้โกงกินอย่างเดียว แต่มีลักษณะยึดครองประเทศไทยไปถาวรเลย ขนาดคิดจะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง มันร้ายกาจกว่าเมื่อก่อนนี้เยอะ”
       
        ส่วนความคืบหน้ากรณีที่นายสมชัยถูก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ฟ้องฐานหมิ่นประมาท กรณีแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "โปรดเข้าใจ กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ" ซึ่งพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต เห็นว่าคดีมีมูลและออกหมายเรียกนายสมชัยมาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 5 มิ.ย.นั้น ปรากฏว่า นายสมชัยได้ขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนออกไปก่อน เพื่อเตรียมข้อมูลหลักฐานและคำให้การที่จะใช้ต่อสู้คดี โดยจะเข้าให้ปากคำภายใน 30 วัน ด้าน พ.ต.อ.สุคุณ พรหมายน รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 บอกว่า หากนายสมชัยยังไม่เข้าพบพนักงานสอบสวนตามที่กำหนด จะมีการขออนุมัติหมายจับต่อไป
       
       ด้านนายสมชัย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ถึงกรณีที่ตำรวจอาจออกหมายจับตน โดยยืนยันว่า อย่าหวังว่าจะมีวันนั้น คนๆ นี้ไม่ใช่คนตาขาวจนคิดหนีคดี


ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 มิถุนายน 2556