แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 440 441 [442] 443 444 ... 653
6616
เช็คความพร้อม7อาชีพเสรีในอาเซียน ส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในข้อตกลงต่าง ๆ ขณะที่กลุ่มวิชาชีพพยาบาลรู้น้อยที่สุด ระบุเป็นอาชีพที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งการขาดแคลน และการโยกย้ายฐานการทำงาน ล่าสุดโรงพยาบาลเอกชนเริ่มนำเข้าพยาบาลจากฟิลิปินส์แล้ว ขณะที่ผู้บริหารองค์กรวิชาชีพด้านสาธารณสุขไม่ห่วงเรื่องแพทย์ ทันตแพทย์ไหลออก เพราะส่วนใหญ่เห็นว่ายุ่งยาก และรายได้สู้ในเมืองไทยไม่ได้ เช่นเดียวกับวิชาชีพบัญชี ที่แม้จะเป็นวิชาชีพที่เข้าใจมากสุด แต่ก็ยังติดเรื่องข้อกฎหมาย

ความตื่นตัวต่อการเข้าสู่การเป็นหนึ่งในประเทศแห่ง ประชาคมอาเซียน หรือ เอซี (ASEAN Community : AC) ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศ ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในสังคมไทยขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมพร้อมประชากรเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายหลังการรวมตัวกันในปี พ.ศ.2558 หรือ ค.ศ.2015 ที่ว่ากันว่าประเทศไทยยังมีอีกหลายมิติที่จะต้องพัฒนาเพื่อให้ทันกับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้

ผลวิจัยชี้คนไทยยังสับสนการเข้าสู่ประเทศเอเซียน

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากข้อมูลข่าวสารที่ถูกเผยแพร่กันอยู่ในขณะนี้ พบว่าคนไทยส่วนใหญ่ถึงแม้จะรู้จัก AEC แต่ก็ยังมีความสับสนต่อเนื้อหาแท้จริงของการรวมตัวของประเทศทั้ง 10 โดยเฉพาะ การกล่าวถึง ประชาคมอาเซียน  หรือ  AC (ASEAN Community) กับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี (ASEAN Economic community) โดยมักจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน  แต่แท้จริงแล้ว เออีซี เป็น 1 ใน 3 เสาหลักของประชาคมอาเซียน ในการจะร่วมกันพัฒนาประเทศไปด้วยกันของประเทศในภูมิภาคทั้ง 10 ประเทศ โดยอีก 2 เสา ที่เหลือ คือ ประชาคมการเมืองและความมั่นคง (ASEAN Political-Security Community : APSC) และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม (ASEAN Socio Cultural Community : ASCC) ซึ่งหลังการรวมตัว ประชาคมนี้จะมีประชากรรวมประมาณ 600 ล้านคน

จากผลการวิจัยโครงการพัฒนาบุคลากรและผลิตภาพบุคลากร เพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียนในปี 2558 ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า บุคลากรทางการศึกษา กว่าร้อยละ 70-80 มีความรู้เกี่ยวกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนน้อยมาก และไม่รู้ว่านโยบายเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนมีอะไรบ้าง นอกจากนี้เมื่อสอบถามนักศึกษาไทยพบว่า นักศึกษา 8 คนจาก 10 คน ไม่กล้าไปทํางานในประเทศกลุ่มอาเซียน เพราะกลัวเรื่องภาษา แต่เมื่อถามนักศึกษาประเทศอื่นในอาเซียน ทุกคนต้องการเข้ามาทํางานที่ประเทศไทย นอกจากนั้น ผลการวิจัยจากสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย ซึ่งสํารวจความคิดเห็นของประชาชนต่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พบว่ามีคนกรุงเทพฯเพียงร้อยละ 49 เท่านั้น ที่รู้เรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยสํารวจจากกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ที่อาศัยในกรุงเทพฯ 400 คน อายุ 18 ปีขึ้นไปและมีรายได้ครอบครัวตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป

7 อาชีพเสรียังรู้น้อยและไม่เห็นประโยชน์จากการรวมตัว

นอกจากนี้ประเด็นที่กำลังอยู่ในความสนใจมากที่สุดประเด็นหนึ่ง ภายหลังการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน คือ การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ เพราะจากการขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของเออีซีอย่างชัดเจนก็อาจจะทำให้เกิดความสับสน และขาดแคลนแรงงานฝีมือขึ้นได้ โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือใน 7 อาชีพ คือ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การสำรวจ และบัญชี โดยจากผลการสำรวจความรู้ความเข้าใจเรื่อง เออีซี เกี่ยวกับข้อตกลงด้านการเคลื่อนย้ายวิชาชีพ 6 สาขา จัดทำโดยศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการไทย เมื่อปี 2555 พบว่า

วิชาชีพทันตแพทย์พบว่า ทันตแพทย์ไทย มีความรู้ความเข้าใจเรื่องเออีซี ร้อยละ 50 เนื่องจากได้รับข้อมูลข่าวสารและการประชาสัมพันธ์โดยทันตแพทย์สมาคมฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลทันตแพทย์ไทยมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจในรายละเอียดถึงระเบียบปฏิบัติและขั้นตอนต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง

ขณะที่ วิชาชีพแพทย์ พบว่าแพทย์ไทยมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง เออีซี มากกว่าร้อยละ 50 เนื่องจากแพทยสมาคมฯ และ แพทยสภา มีการสัมนาเผยแพร่และประชาสัมพันธ์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยแพทย์ไทยเข้าใจดีว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จะมีการเปิดเสรีทางการค้าในอาเซียนขึ้น แต่ยังขาดความเข้าใจถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นภายหลังการเปิดเสรี ซึ่งแพทย์ไทยยังมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว

วิชาชีพพยาบาล พบว่าพยาบาลไทย มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เพียงร้อยละ 20 เท่านั้น สำหรับผู้ที่ทราบและเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี คือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาการเปิดเสรี และผู้ที่อยู่ในสภาการพยาบาล ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติวิชาชีพยังไม่ค่อยทราบเรื่องดีเท่าที่ควร จึงส่งผลให้เกิดความไม่เข้าใจการเปิดเสรีด้านวิชาชีพพยาบาล อย่างไรก็ตามสภาการพยาบาลได้ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพได้ทราบอย่างต่อเนื่อง

ส่วนวิชาชีพนักบัญชี พบว่านักบัญชีของไทย มีความเข้าใจเรื่องเออีซีค่อนข้างสูง มากกว่าร้อยละ 80 เพราะเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนสำหรับนักบัญชีนั้น เป็นเรื่องที่ได้รับการประชาสัมพันธ์ให้นักบัญชีทราบอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ที่นักบัญชีเพิ่งมาตื่นตัว และการก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นักว่าเป็นแรงผักดันแก่นักบัญชีของไทยในการพัฒนามาตรฐาน เพราะตลาดงานในวิชาชีพบัญชี จะมีความเสรีอย่างจริงจังมากขึ้น

วิชาชีพวิศวกรพบว่า วิศวกรไทย มีความรู้ความเข้าใจเรื่องเออีซี  เพียงร้อยละ 30 ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย และที่ยังไม่เข้าใจมีถึงร้อยละ 70 เนื่องจากวิศวกรไทยมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวและไม่มีความสนใจไปทำงานในอาเซียน วิชาชีพสถาปนิก พบว่าสถาปนิกของไทยมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง เออีซี น้อยกว่าร้อยละ 50

‘พยาบาล’กระทบมากสุดแต่รู้เรื่องเออีซีน้อยสุด

ทั้งนี้จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า กลุ่มวิชาชีพพยาบาล เป็นกลุ่มที่มีความรู้เกี่ยวกับเรี่องนี้น้อยที่สุด แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นกลุ่มวิชาชีพที่กำลังจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มวิชาชีพ ที่ให้บริการด้านสาธารณสุขกับประชาชน เช่นเดียวกับแพทย์ และทันตแพทย์ ซึ่งมีความกังวลว่าอาจจะกลายเป็นวิชาชีพที่ส่งผลต่อประชาชน  หากมีการเคลื่อนย้ายออกไปยังประเทศอื่น ๆ หรือย้ายการให้บริการจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชน อาจจะส่งผลกระทบกับการดูแลสุขภาพและสุขอนามัยของประชาชนได้ โดยเฉพาะในกลุ่มของพยาบาลที่ถือเป็นบุคลากรด้านสาธารณสุขที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าแพทย์หรือทันตแพทย์ และยังเป็นอาชีพที่คลาดแคลนจำนวนมากในปัจจุบันอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ ศ.น.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ระบุว่า แม้ว่าสังคมจะมีความเป็นห่วงเรื่องของบุคลากรการแพทย์ ว่าจะไม่มีเพียงพอต่อความต้องการที่จะเกิดจากการเคลื่อนย้ายฐานการทำงานไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านนั้น ส่วนตัวไม่ได้คิดกังวลต่อประเด็นนี้ เนื่องจากสัดส่วนประชากรมีเพิ่มขึ้นปีละ 1 เปอร์เซนต์ แต่จำนวนแพทย์จบใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 8 เปอร์เซนต์ ซึ่งไม่เกิน 10 ปี อาจเกิดภาวะแพทย์ล้นตลาดเช่นเดียวกับประเทศในยุโรป สหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีโรงเรียนแพทย์ 21 แห่ง สามารถผลิตแพทย์ได้ปีละ 2,500 คน แต่สิ่งที่กังวลกลับเป็นเรื่องของบุคลากรพยาบาลมากกว่า เพราะในแต่ละปีพยาบาลจบใหม่มีไม่มากนัก ขณะที่พยาบาลเองทำงานไปไม่นานก็จะเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งอาจจะทำให้โรงพยาบาลเอกชนต้องนำเข้าพยาบาลจากต่างประเทศเข้ามาทำงานก็เป็นได้

พยาบาลขาดแคลนอาจต้องนำเข้าจากฟิลิปปินส์

จากบทความเรื่อง “เมื่อพยาบาล (อาเซียน) ไร้พรมแดน” โดย ศูนย์สารสนเทศยุทธศาสตร์ภาครัฐ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ชี้ว่า ในรายงานของ World Health Statistic 2012 ระบุข้อมูลสัดส่วนพยาบาลต่อประชากรของแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียนพบว่า ประเทศฟิลิปปินส์มีสัดส่วนพยาบาลต่อประชากรมากที่สุด คือมีสัดส่วนพยาบาล 6 คน ต่อประชากร 1,000 คน รองลงมาคือ ประเทศสิงคโปร์ มีสัดส่วนพยาบาล 5.9 คนต่อประชากร 1,000 คนและ บรูไน มีสัดส่วนพยาบาล 4.9 คน ต่อประชากร 1,000 คน ในขณะที่ประเทศไทยนั้นมีสัดส่วนพยาบาล 1.5 คน ต่อประชากร 1,000 คน ส่วนประเทศที่มีสัดส่วนพยาบาลต่อประชากรน้อยที่สุดคือ พม่า และกัมพูชา มีสัดส่วนพยาบาลเพียง 0.8 คน ต่อประชากร 1,000 คน

ในรายงานฉบับเดียวกันยังระบุถึงความสามารถในการผลิตพยาบาลของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน  โดยพบว่าประเทศฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย จัดเป็นประเทศที่สามารถผลิตพยาบาลได้มากกว่าประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียนหลายเท่า โดยในปี 2550 ประเทศฟิลิปปินส์สามารถผลิตพยาบาลวิชาชีพ และพยาบาลผดุงครรภ์ได้จำนวน 63,697 คน จากสถาบันการศึกษาด้านการพยาบาลจำนวน 785 แห่ง แบ่งเป็นพยาบาลวิชาชีพ 60,199 คน และพยาบาล ผดุงครรภ์ 3,498 คน ซึ่งมากที่สุดในอาเซียน สอดคล้องกับรายงาน Nurse Migration : The Asian Perspective รายงานว่าประเทศฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีการผลิตพยาบาลเพื่อส่งออกไปทำงานต่างประเทศมากที่สุดในอาเซียน คิดเป็นร้อยละ 25 ของพยาบาลทั้งหมดทั่วโลก และคิดเป็นร้อยละ 83 ของพยาบาลชาวต่างชาติในสหรัฐอเมริกา

            “ตอนนี้เราอาจจะเห็นโรงพยาบาลเอกชนของไทยนำเข้าพยาบาลจากประเทศฟิลิปปินส์แล้ว แต่เนื่องจากติดเรื่องของระเบียบ จึงทำให้พยาบาลเหล่านี้ต้องมาทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลแทน” นายกแพทยสภากล่าว

ห่วงพยาบาลไหลออก แม้จะนำเข้าก็ไม่ถึงคนจน

จากบทความชิ้นเดียวกันนี้ยังชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถผลิตพยาบาลวิชาชีพได้ไม่น้อยกว่า 7,000 คนต่อปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยพิจารณาจากข้อเสนอเชิงนโยบายของสภาการพยบาลเกี่ยวกับข้อมูลความต้องการพยาบาลปี 2553-2562 กล่าวไว้ว่า ประเทศไทยควรจะมีสัดส่วนพยาบาลต่อประชากรอยู่ที่ 1: 400 หรือคิดว่าควรมีพยาบาลประมาณ 168,500 คน เพื่อที่จะดูแลประชากรไทยได้อย่างทั่วถึง ในขณะที่ปัจจุบันมีพยาบาลวิชาชีพอยู่ที่ 125,250 คน ทำให้ยังขาดแคลนพยาบาลอยู่ถึง 43,250 คน แบ่งเป็นขาดแคลนในกระทรวงสาธารณสุข 31,250 คน และจากโรงพยาบาลอื่น ๆ (ในสังกัดภาครัฐและเอกชน) อีก 14,000 คน ทำให้เห็นว่า คนไทยยังขาดพยาบาลที่จะคอยดูแลประชากรเจ็บป่วยอีกจำนวนมาก

สำหรับสาเหตุปัญหาการขาดแคลนอาชีพพยาบาล ที่มาจากการผลิตที่ได้ออกมาในปริมาณไม่สอดคล้องกับจำนวนประชากรแล้ว สาเหตุสำคัญของการลาออกของพยาบาลส่วนใหญ่ คือปัญหาเรื่องค่าตอบแทน และสวัสดิการของพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐ จนต้องมีการย้ายออกไปสู่สถานพยาบาลเอกชนมากขึ้น และตกเป็นปัญหาเรื้อรังจนเกิดการเรียกร้องมาแล้ว และสาเหตุนี้ยังทำให้พยาบาลอีกจำนวนมาก มีความพยายามที่จะเดินทางออกไปทำงานต่างประเทศมากขึ้น

ดังนั้นแม้จะพบว่า ส่วนหนึ่งจะมีการนำเข้าพยาบาลจากประเทศฟิลิปปินส์ แต่ก็ดูเหมือนอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหากเปรียบเทียบกับค่าตอบแทนแล้ว การนำเข้าก็อาจจะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มของโรงพยาบาลเอกชน ในขณะที่โรงพยาบาลของรัฐกลับไหลออกมากขึ้น การไหลออกของพยาบาลวิชาชีพก็ยังเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วง

หมอฟันขยับย้ายยากเพราะต้องทำงานเป็นทีม

ส่วนในกลุ่มของทันตแพทย์นั้น ท.พ.ศิริชัย ชูประวัติ นายกทันตแพทยสภา ได้เคยแสดงความคิดเห็นว่า ยังไม่รู้สึกว่าการเปิดเออีซีจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องของการขาดแคลนหรือแย่งงานกันทำ ในกลุ่มของทันตแพทย์ ทั้งนี้จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีทันตแพทย์ประมาณ 12,000 คนทั่วประเทศ แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะในต่างจังหวัดยังขาดแคลนอีกประมาณ 4,000 คน แต่คงไม่ห่วงเรื่องการเดินทางไปทำงาน เนื่องจากเชื่อว่าหากทันตแพทย์ไทยจะไปทำงานต่างประเทศจริง ๆ จะต้องมุ่งเข้าไปในประเทศที่ร่ำรวยและตอบแทนรายได้ที่มากกว่าในประเทศไทย ซึ่งมีโอกาสน้อยมาก เพราะจะถูกประเทศนั้น ๆ กีดกันด้วยข้อจำกัดด้านการใช้ภาษาท้องถิ่น ถ้าไม่เก่งจริง คงไปได้ยาก ที่สำคัญทันตแพทย์ไม่เหมือนแพทย์ หรือพยาบาลที่เดินทางไปทำงานที่ไหนก็ได้เพียงลำพัง แต่ทันตแพทย์จะต้องมีทีม คือมีผู้ช่วย และเครื่องมือ อุปกรณ์ ในการทำงานซึ่งหากไปทำงานในต่างประเทศจะต้องลงทุนด้วยงบประมาณที่สูงมาก อาจจะไม่คุ้มค่าหากเทียบกับการทำงานในประเทศไทย

            “แต่สิ่งที่น่าห่วงกว่าคือเรื่องของหลักสูตรการเรียนทันตแพทย์ที่มีความแตกต่างกัน มาตรฐานจึงย่อมไม่เท่าเทียมกัน เช่น ประเทศไทย ยึดหลักสูตรตามแบบสหรัฐอเมริกา เรียนจบหลักสูตรภายใน 6 ปี ขณะที่มาเลเซีย สิงคโปร์ ยึดหลักสูตรแบบอังกฤษเรียนเพียง 5 ปี”

ระบุวิชาชีพบัญชีรุ่งที่สุดในตลาดอาเซียน

สำหรับผลกระทบในกลุ่มของนักวิชาชีพบัญชี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถือว่ามีความรู้ความเข้าใจเรื่องของการเคลื่อนย้ายแรงงานระดับสูงในเออีซีมากที่สุดนั้น นายสุพจน์ สิงห์เสน่ห์ประธานคณะกรรมการเตรียมพร้อมสู่เออีซี สภาวิชาชีพบัญชี กล่าวว่า แม้ทุกประเทศเห็นด้วยในหลักการว่า ต้องการให้มีการเคลื่อนย้ายนักบัญชีเสรี แต่ในทางปฏิบัติยังเป็นไปไม่ได้ เพราะแต่ละประเทศติดขัดข้อกฎหมายภายใน เช่น ฟิลิปปินส์ ประเทศไทย สำหรับอินโดนีเซียและมาเลเซียมีความพร้อม อนุญาตให้นักบัญชีของอีกฝ่ายเข้ามาสอบใบอนุญาตและทำงานในประเทศตัวเองได้

นายสุพจน์กล่าวว่า ไทยมีความพร้อมด้านจำนวนนักบัญชี เพราะไทยน่าจะมีนักบัญชีมากที่สุดในอาเซียน ปัจจุบันมีผู้ขึ้นทะเบียนประกอบวิชาชีพบัญชีประมาณ 5.8 หมื่นคน และมีผู้ถือใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) 8,700 คน สถาบันผลิตนักบัญชีทั่วประเทศมีกว่า 300 แห่ง ผลิตนักบัญชีปีละไม่ต่ำกว่า 20,000 คน แต่ปรากฏว่ามีผู้จบด้านบัญชีมาขึ้นทะเบียนกับสภาปีละไม่เกิน 2,000 คน ซึ่งนายสุพจน์ประเมินว่า กลุ่มที่เหลือกว่าร้อยละ 90 ไปทำงานในสำนักงานที่ไม่ไหญ่ จึงไม่จำเป็นต้องพัฒนาทักษะไปถึงขั้นการสอบ CPA ซึ่งเมื่อเปิดเสรีวิชาชีพบัญชีในประชาคมอาเซียน กลุ่มนี้จะเสียเปรียบจากมาตรฐาน โอกาส และความสามารถของบุคลากร ส่วนกลุ่มไม่ถึงร้อยละ 10 ทำงานกับบริษัทบัญชีข้ามชาติขนาดใหญ่ในไทยจะมีโอกาสเติบโตไปสู่ต่างประเทศ ได้ความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ ต่อเนื่อง

สำหรับการเตรียมความพร้อมให้แก่นักบัญชี สภาวิชาชีพบัญชีดำเนินงาน 5 กิจกรรมประกอบด้วย
(1) สัมมนาปรับความรู้และทัศนคติ 8 ครั้ง เริ่มครั้งแรกวันที่ 16 พฤษภาคม 2556
(2) เปิดหลักสูตร 1 ปี ประกาศนียบัตรพิเศษนักบัญชีเพื่อเพิ่มทักษะด้านบัญชีขั้นสูง
(3) เปิดหลักสูตรภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานและขั้นกลางในปลายปี
(4) เปิดทดสอบมาตรฐานสำนักงานบัญชีโดยเฉพาะสำนักงานบัญชีขนาดเล็ก และ
(5) พาไปดูงานในอาเซียน โดยปีที่แล้วไปดูงานที่ประเทศพม่า

อย่างไรก็ตามจากการวิเคราะห์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติเห็นว่า หากพิจารณาถึงโอกาสการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีทักษะสูงเหล่านี้ กลุ่มลูกจ้างเอกชนน่าจะเป็นกลุ่มที่จะมีโอกาสเคลื่อนย้ายแรงงานสูงกว่ากลุ่มอื่น ได้แก่ วิศวกร สถาปนิก และนักบัญชี ซึ่งมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของจำนวนผู้ประกอบอาชีพทั้ง 7 สาขาวิชาชีพ ปัจจัยผลักที่มีส่วนทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานปัจจัยหนึ่ง คือ วิศวกรบางส่วนยังว่างงานและกำลังหางานทำ ส่วนนักวิชาชีพด้านสาธารณสุข เช่น แพทย์ พยาบาล และทันตแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกจ้างรัฐบาลที่ดูเหมือนจะมีความมั่นคง แต่หากประเทศสมาชิกอีก 9 ประเทศในอาเซียนมีปัจจัยดึงดูดที่ดีกว่าโดยเฉพาะในเรื่องของค่าตอบแทน ก็จะมีโอกาสเคลื่อนย้ายแรงงานสูงด้วยเช่นกัน

ชุลีพร บุตรโคตร ศูนย์ข่าว TCIJ 21 สิงหาคม 2556

6617
งานวิจัยญี่ปุ่นระบุชัด‘เมทิลโบรไมด์’ซึมเข้าในเนื้อข้าวได้ แม้แปรรูปเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวก็ยังปนเปื้อน ขณะที่แพทย์ยืนยันกระทบระบบประสาท ทำให้อวัยวะล้มเหลวเฉียบพลัน เคยมีคนตายมาแล้วหลังเช่าบ้านที่ใช้ฉีดฆ่าแมลงเพียง19วัน ด้านผู้เชี่ยวชาญกรมวิชาการเกษตรเผย ต้องพ่นก่อนส่งข้าวออก ยันไม่เป็นอันตราย

หลังจากมูลนิธิชีววิถีและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคออกมาแถลง กรณีพบสารเมทิลโบรไมด์ตกค้างเกินค่ามาตรฐานในข้าวสารบรรจุถุง ต่อมาทางหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจึงออกมาให้ข้อมูลการตกค้างและพิษภัยของเมทิลโบรไมด์ ซึ่งหลายฝ่ายที่ออกมาชี้แจงข้อมูลนั้นมีความหลากหลาย ฉะนั้นทางเครือข่ายเตือนภัยสารเคมำจัดศัตรูพืช มูลนิธิเพื่อผุ้บริโภค และมูลนิธิชีววิถี จึงจัดเสวนาวิชาการ “ความจริงเรื่องเมทิลโบรไมด์ ((Methyl bromide) และโบรไมด์อิออน (Bromide ion) ขึ้นเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้เมทิลโบรไมด์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค โดยมี รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนนท์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นางบุษรา จันทร์แก้วมณี ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานสินค้าเกษตร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ น.พ.ประพจน์ เภตรากาศ ประธานมูลนิธิชีววิถี ดำเนินการเสวนา

ญี่ปุ่นทดลอง‘เมทิลโบรไมด์’ตกค้างในข้าว-ก๋วยเตี๋ยวจริง

รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึง ประเด็นสำคัญเรื่องการตกค้างเมทิลโบรไมด์ในข้าว ที่หลายฝ่ายอ้างว่า เมื่อนำข้าวมาซาวน้ำเมทิลโบรไมด์จะหายไป หรือการนำข้าวมาหุงจะทำให้เมทิลโบร์ไมด์สลายไปได้ จึงเกิดเป็นคำถามที่ว่าเมทิลโบร์ไมด์ตกค้างในข้าวนานเท่าไหร่ และสามารถซึมเข้าสู่เมล็ดข้าวได้หรือไม่ จากงานวิจัยของประเทศญี่ปุ่น ศึกษาเมทิลโบรไมด์ที่ตกค้างอยู่ในข้าวและเส้นก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น (ราเม็ง) ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวมีการทดลอง นำข้าวเปลือกและข้าวกล้อง จำนวน 2 กิโลกรัม รมด้วยเมทิลโบร์ไมด์ 17 กรัมต่อลูกบาศน์เมตร เป็นเวลา 48 เมตร จากนั้นนำข้าวดังกล่าวเป็นไว้ที่อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส ก่อนจะแบ่งตัวอย่างออกมาครั้งละ 80 กรัม ในเวลาต่าง ๆ กันเพื่อศึกษาหาเมทิลโบร์ไมด์ที่ตกค้าง โดยแสดงออกมาในรูปของโบร์ไมด์ไอออน

             “การกระจายตัวของเมทิลโบร์ไมด์พบว่า เมื่อมีการรมข้าวด้วยเมทิลโบร์ไมด์ จะสามารถซึมเข้าสู่เนื้อข้าวสารได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และสามารถกระจายได้เนื้อข้าวสารได้ดี ยาวนานและอยู่ตัว เพราะสารจับกับสารคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในเนื้อข้าวสารได้ดี ซึ่งจากการแสดงผลการทดลองพบว่า เมทิลโบร์ไมด์สามารถซึมเข้าสู่เนื้อข้าวสารได้วันที่ 34” ดร.จิราพรกล่าว

การวิจัยยังได้ออกแบบการทดลองให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการรับประทานข้าว โดยนำข้าวสาร 150 กรัม ที่มีโบร์ไมด์อยู่ 100 เปอร์เซ็นต์ นำมาล้างด้วยน้ำ 3 ครั้ง เป็นเวลา 5 นาที และปล่อยทิ้งให้แห้ง 1 ชั่วโมง จากนั้นนำข้าวมาแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งนำข้าวมาหุง และนำข้าวอีกส่วนหนึ่งมาทำเส้นก๋วยเตี๋ยว โดยการนำข้าวไปโม่เป็นแป้ง จากนั้นอบไอน้ำ 15 นาที จึงนำมานวดเป็นเส้น และนำไปอบไอน้ำต่ออีก 20 นาทีนำมาต้มเป็นเวลา 5 นาที แล้วจึงตัดเป็นเส้น และอบในตู้ 60 องศาเซลเซียส ซึ่งการทดลองดังกล่าวจะนำผลิตภัณฑ์ที่ได้ในแต่ละขั้นตอนมาทำการหาโบร์ไมด์

                “ผลการศึกษาพบว่า เมื่อนำข้าวสารมาซาวน้ำ พบโบรไมด์ 51 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อนำมาหุงเป็นข้าวสวย พบโบร์ไมด์ 41.2 เปอร์เซ็นต์ สอดคล้องกับผลการทดลองในข้างต้นว่า เมทิลโบรไมด์ซึมเข้าสู่เนื้อข้าวจริง เพราะฉะนั้นข้าวที่นำมาทำความสะอาดและหุง จึงยังพบว่ามีเมทิลโบรไมด์อยู่ กรณีของเส้นก๋วยเตี๋ยว พบว่า เมื่อนำข้าวที่ซาวน้ำเรียบร้อยแล้วมาโม่เป็นแป้ง พบเมทิลโบรไมด์ 51 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นนำแป้งไปอบไอน้ำ 15 นาที พบเมทิลโบรไมด์ 40 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อนำมาอบไอน้ำครั้งที่ 2 เป็นเวลา 20 นาที พบเมทิลโบรไมด์ 7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ และเมื่อนำส้นมาต้มพบเมทิลโบรไมด์ 5.2 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่า การทำให้เมทิลโบรไมด์ลดลงต้องใช้ระยะเวลา และความร้อนที่นานพอสมควร ชัดเจนว่า เมทิลโบรไมด์ไม่ได้จับอยู่ที่เปลือกเท่านั้น หากแต่ยังซึมเข้าไปสู่เนื้อข้าวสาร และเมื่อนำมาล้างทำความสะอาด นำมาหุงเมทิลโบรไมด์ก็ยังคงอยู่” ดร.จิราพรกล่าว

แพทย์ชี้เกิดพิษเฉียบพลัน-มีคนตายมาแล้ว

ด้าน ผศ.น.พ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงผลกระทบต่อสุขภาพของเมทิลโบรไมด์ว่า เกิดพิษแบบเฉียบพลัน ในผิวหนัง ก่อให้เกิดการอักเสบ พุพอง ในทางเดินหายใจ หลังการสัมผัส 4-12 ชั่วโมง จะเกิดอาการปอดบวมน้ำ เข้าไปกดระบบประสาทส่วนกลางทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สั่น อ่อนแรง หลอน ชัดและท้ายที่สุดนำไปสู่การเสียชีวิต มีกรณีศึกษาว่ามีการนำสารเมทิลโบรไมด์มาพ่นรมในบ้าน เพื่อกำจัดแมลง และให้คนเข้ามาเช่า พบว่าคนที่ได้รับสารเกิดอาการชักกระตุก อวัยวะภายในล้มเหลว และเสียชีวิตใน 19 วันต่อมา

                “ถ้ารับสารพิษแบบสะสม จะก่อให้เกิดอาการสติปัญญาเสื่อมถอย พฤติกรรมแปรปรวน ประสาทสัมผัสเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป มีผลต่อระบบสืบพันธุ์และเป็นพิษต่อยีนส์ เป็นพิษต่อทารกในครรภ์และก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ ในระยะยาวมีการทำให้ระบบต่อมไร้ท่อ ทั้งต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ อัณฑะและรังไข่โตขึ้นและเปลี่ยนรูปร่างไป ทำให้ระบบสืบพันธุ์เป็นหมัน ในสหรัฐอเมริกามีงานศึกษาทางระบาดวิทยา Agricultural Health Study ศึกษาเกษตรกร 7,814 คน นาน 14 ปี พบว่าเกษตรที่ใช้เมทิลโบรไมด์เป็นมะเร็งในกระเพาะ 1.4-3.13 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ใช้ และยิ่งใช้นานจะยิ่งเป็นมากขึ้น และมะเร็งต่อมลูกหมาก 1.5-3.47 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ใช่ ซึ่งในทางระบาดวิทยาถือว่ามีสารพิษแน่นอน” น.พ.ปัตพงษ์ กล่าว

เกษตรฯระบุต้องฉีดก่อนส่งออกและไม่เป็นอันตราย

ด้านนางบุษรา จันทร์แก้วมณี ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานสินค้าเกษตร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า สารรมนั้นมีมากกว่า 30 ชนิด แต่ถูกตัดออกไปเนื่องจากไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ปัจจุบันจึงมีสารรมอยู่ทั้งหมด 3 ชนิดด้วยกัน คือ 1.เมทิลโบรไมด์ (Methyl bromide) 2.ฟอสฟีน (Phosphine) 3.คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะการกำจัดแมลง เมื่อนำคาร์บอนไดออกไซด์ไปแทนที่ออกซิเจน ก็ทำให้แมลงตายเช่นเดียวกัน

สารรมที่ใช้กำจัดแมลงทั้ง 3 ชนิด มีสภาพหนักกว่าอากาศ และมีวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน ซึ่งเมทิลโบรไมด์ถูกผลิตขึ้นในรูปของน้ำ และถูกปล่อยออกมาในรูปของแก๊ส ในการรมจึงต้องปล่อยจากด้านบน และใช้เวลารม 24 ชั่วโมง ฟอสฟีนถูกผลิตมาในรูปของแข็งวิธีการใช้จึงต้องปล่อยออกมาด้านล่าง เนื่องจากต้องอาศัยความร้อนให้เกิดการสันดาบ ระเหิดขึ้นด้านบน ใช้เวลา 7 วัน และคาร์บอนไดออกไซด์ จะใช้วิธีการให้คาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปแทนที่ออกซิเจน เพื่อทำให้แมลงตายใช้เวลา 15 วัน

โดยเมทิลโบรไมด์อยู่ในโครงการลด ละ เลิก เนื่องจากเป็นตัวทำลายชั้นบรรยากาศ เริ่มตั้งแต่ 1995 จนถึงปี 2005 ยังไม่สามารถหาสารรมตัวใดมาทดแทนได้ จึงกลับมาตระหนักถึงข้อดีของสารเมทิลโบรไมด์ว่าสามารถรมเพื่อกำจัดแมลงได้ รมฆ่าเชื้อโรคในดิน รมห้องเพื่อปราศจากแมลงหรือรมเครื่องมือแพทย์เพื่อกำจัดเชื้อโรค แต่ต่อมาอนุญาตให้ใช้เมทิลโบรไมด์ในการส่งออก ซึ่งการส่งออกข้าวของไทยอยู่ภายใต้ FAO โดยที่ข้าวจะต้องปราศจากแมลงโดยเด็ดขาด

                “สารรมใหม่ที่นำมาพัฒนาเพื่อใช้แทนเมทิลโบรไมด์คือ อีโคฟูม และซัลฟูริลฟลูออไรด์ ในสหรัฐอเมริกาใช้ซัลฟูริลฟลูออไรด์รมไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้ ยังไม่มีตัวใดที่ใช้เวลาในการรมเทียบเท่ากับเมทิลโบรไมด์ที่ใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมง เป็นผลดีต่อการส่งออก เพราะถ้าหากนานกว่านั้น หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และสารรมถูกผลิตในต่างประเทศ เมื่อผลิตออกมาจะมีการวิเคราะห์เรียบร้อย มีการทดลองมารองรับ ในสหรัฐฯ กังวลเกี่ยวกับการใช้ซัลฟูริลฟลูออไรด์ในอาหาร เนื่องจากจะตกค้างเป็นฟลูออไรด์ เพราะในยาสีฟันหรือแม้แต่ในน้ำก็มีฟลูออไรด์ จึงเป็นความกังวลของผู้ผลิตว่า เด็กอาจจะได้รับฟลูออไรด์เกินขนาดจึงต้องไปหาค่าความปลอดภัย เห็นได้ชัดสารรมไม่ว่าจะสารเก่าหรือสารใหม่ ต่างก็เป็นสารเคมีที่ช่วยเรา การตกค้างก็เช่นเดียวกับพาราเซตามอล เพราะฉะนั้นเราจึงต้องใช้อย่างถูกวิธี” นางบุษรากล่าว

นางบุษรากล่าวด้วยว่า ในการรมข้าวโดยใช้สารเมทิลโบรไมด์นั้น จะต้องอยู่ในพื้นที่ปิดสนิท เพราะสารดังกล่าวไม่มีสีและกลิ่น ไม่ติดไฟ ไม่ระเบิด ไม่กัดโลหะเครื่องมือหรือเครื่องใช้ มีความสามารถในการแทรกซึมสูง กระจายตัวได้อย่างรวดเร็ว ปริมาณที่ใช้ในการรมอยู่ที่ 2 ปอนด์ต่อเนื้อที่ 1,000 ลูกบาศก์ฟุต เป็นเวลา 24 ชั่วโมง และหลังจากการรมแล้ว จะต้องเปิดให้อากาศถ่ายเทสะดวก 5-6 ชั่วโมง จะสลายตัวไป ซึ่งสารเมทิลโบรไมด์เป็นพิษต่อแมลงและสัตว์เลือดอุ่น แต่ไม่มีสารพิษตกค้าง


พรรณษา กาเหว่า ศูนย์ข่าว TCIJ 13 สิงหาคม 2556

6618
เสี้ยวหนึ่งของเรื่องราวชีวิตคนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ จากเรื่องเล่าของหมอผ่าตัดสมอง คนตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ต้องรับมือกับแรงกดดันภายใต้สภาวะความไม่สงบ ความขาดแคลนอุปกรณ์และทีมงานทางการแพทย์

ส่งผลให้ “โอกาส” ในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อเยียวยาชีวิตให้กลับสู่สภาพปรกติ กลับกลายเป็นสิ่งลำบากยากเข็ญ ในขณะที่ สส. และ สว. มีพร้อมทั้งนาฬิกาดิจิตอลเรือนละ 75,000 บาท เพื่อแจ้งบอกเวลาให้มาประชุมโดยพร้อมเพรียง และไอแพดเพื่อนั่งดูภาพโป๊ขณะที่ประชุมสภา สภาพดังกล่าวนั้นต่างกันลิบลับกับสภาพหมอ พยาบาล และทีมงานในโรงพยาบาล ที่ทำงานหนักท่ามกลางความเสี่ยง แต่กลับต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์ช่วยชีวิตคนไข้อย่างอัตคัดขัดสน

แพทย์หญิงนันทกา เทพาอมรเดช ประสาทศัลยแพทย์ (หมอผ่าตัดสมอง) โรงพยาบาลยะลา
เล่าเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของการเป็นหมอผ่าตัดสมองบ้านนอก และสภาพที่ดำเนินอยู่ท่ามกลางความด้อยโอกาสในการเข้ารับการรักษาของคนไข้ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ให้สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าฟังถึงชีวิตที่เริ่มจากการไปใช้ทุนที่จังหวัดยะลาในปี 2540 จากนั้นไปเรียนต่อที่คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี ด้านประสาทศัลยศาสตร์ จนเรียนจบปี 2545

“ไปเรียนโดยเอาทุนจากโรงพยาบาลยะลา ก็กลับมาอยู่โรงพยาบาลยะลา ช่วงนั้นเหตุการณ์ยังปกติอยู่ มีคนไข้ให้ผ่าตัดเยอะ เพราะยะลารับรีเฟอร์เคสจากปัตตานี นราธิราส และสงขลาบางส่วน จริงๆ ช่วงนั้นตั้งใจจะกลับมาเป็นอาจารย์ต่อที่คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เพราะอาจารย์ชวนไว้ แต่คิดว่าจะไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลยะลาให้ครบ 3 ปีก่อน แล้วค่อยกลับมา”

แต่เหตุการณ์ไม่สงบเริ่มช่วงปี 2547 ช่วงนั้นก็ใช้ทุนครบ 3 ปี ก็คิดบวกลบแล้วว่าจะอยู่ต่อหรือจะมาคณะแพทย์รามาฯ ตอนนั้นก็ติดต่อทางรามาฯ เรียบร้อยแล้ว แต่สถานการณ์มีเคสคนไข้บาดเจ็บเยอะ ก็เลยคิดว่าถ้าเราออกมาเราก็ปลอดภัย แต่ถ้าเราออกมา คนไข้ที่บาดเจ็บและต้องรีเฟอร์ไปไกลขึ้น ต้องส่งไป มอ. (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) ที่สงขลา มันไม่ทัน จากจุดนั้นก็เลยอยู่ที่โรงพยาบาลยะลาต่อมาถึง ณ ปัจจุบัน

ถามว่าเหตุการณ์ไม่สงบกลัวไหม ก็กลัวกันทุกคน เพียงแต่เราคิดไว้เสมอว่า บุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ยังไม่ใช่เป้าหมายของเขา ซึ่งเป้าหมายเขาจะมีกลุ่มทหาร ตำรวจ สังเกตจากเคสที่ถูกยิงก็เป็นทหาร ตำรวจ หรือไม่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง แต่ถ้าเป็นเคสที่โดนระเบิด สร้างสถานการณ์ อันนั้นจะเป็นชาวบ้าน ซึ่งระเบิดแปลว่าเราอย่าไปอยู่ที่ชุมชนคนเยอะ ไปไหนมาไหนก็มองซ้ายมองขวานิดหนึ่ง และมักจะมีชาวบ้านเกริ่นมาก่อนว่า ช่วง 2-3 วันนี้หมออย่าไปแถวนั้นนะ จะมีระเบิด ซึ่งจะจริงบ้างไม่จริงบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เชื่อไว้ก่อน เพราะว่ามักจะจริง ถ้าไม่ตรงวันที่เขาบอกในสัปดาห์นั้น ก็จะมีสักวัน

ปัญหาที่ประสบอยู่ในโรงพยาบาลคือบุคคลากร โดยเฉพาะหมอประสาทศัลยศาสตร์หรือหมอผ่าตัดสมอง ถ้าดูจำนวนทั้งประเทศอาจจะไม่ขาดแคลนมากนัก แต่หมอผ่าตัดสมองส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนกลางครึ่งต่อครึ่งจากทั้งหมด ทำให้ต่างจังหวัดขาดแคลน บวกกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เหตุการณ์ไม่สงบ ความขาดแคลนยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ เราก็เห็นใจน้องๆ (หมอรุ่นใหม่ๆ) ที่ไปอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหมอผ่าตัดสมอง หรือหมอผ่าตัดอื่นๆ ก็ตาม พอแต่งงานมีครอบครัวก็เริ่มนึกถึงครอบครัว นึกถึงลูกว่าจะไปโรงเรียนอย่างไร ปลอดภัยไหม มีโรงเรียนที่มีคุณภาพสำหรับลูกไหม สุดท้าย 80-90% แต่งงานก็จะหาที่ย้ายออก

ขณะที่เรื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์ยังขาดแคลนอยู่เยอะ ความทันสมัยสู้ในเมืองไม่ได้ ต้องใช้แบบกระเบียดกระเสียร ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ผ่าตัดสมอง อาทิ ตัวเจาะกะโหลก ลองนึกถึงสว่านที่ใช้เจาะไม้ ก็จะมีสว่านที่ใช้เจาะกะโหลก ตัวใบมีด เมืองนอกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ของเราใช้แล้วเอาไปนึ่ง และใช้จนกว่าใบมีดไม่คมแล้วจึงจะทิ้ง

เครื่องสว่าน ตามหลักการทำความสะอาด เมื่อใช้แล้วต้องอบแก๊ส ใช้เวลา 8 ชั่วโมง ดังนั้นเราต้องมีเครื่องนี้อย่างน้อย 3 เครื่อง ถึงจะใช้ได้ 24 ชั่วโมง แต่เนื่องจากจำนวนการผ่าตัดมีมากกว่า 3 เคสต่อวัน ขณะที่จำนวนเครื่องที่โรงพยาบาลยะลามีแค่ 2 เครื่อง เราต้องใช้วิธีเอาไปนึ่งไอน้ำ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ดังนั้น อายุการใช้งานของเครื่องมือจะสั้นลง และงบประมาณที่ได้มา เราขอไปปีนี้ พอปีถัดไปเราขอใหม่จะถูกติงว่าเพิ่งขอไป ทำไมขออีก ก็ต้องบอกว่าเครื่องเก่ามันเสีย เพราะเราใช้งานมันเยอะมากกว่าความทนทานของเครื่อง ใช้จนใบมีดไม่คมแล้วค่อยทิ้ง

ไทยพับลิก้า : ไม่คมแล้วจะเจาะสมองได้ยังไง

คืออุปกรณ์ไม่พอ พอมันไม่คมเราจึงจะเปลี่ยนอันใหม่ เพราะตัวสว่าน ถ้าตามการเบิกจ่ายของกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีรหัสการเบิกค่าตัวสว่าน เพราะมันเหมารวมในค่าผ่าตัด เราต้องจำเป็นใช้ซ้ำ จนกว่าจะใช้ไม่ได้ ถึงค่อยเปลี่ยนอันใหม่

ไทยพับลิก้า : การใช้ซ้ำในแง่คุณภาพ ความปลอดภัยเป็นอย่างไร

ก็ต้องบอกว่า ต้องมีตรงกลาง สมมติสว่าน ถ้าใช้ 4-5 ครั้ง เริ่มจะไม่ดีแล้ว รีบเปลี่ยนก่อน ถ้าเราใช้เลยกว่านั้น มันอาจจะทะลุกะโหลกไปถึงสมองได้ ซึ่งอันตรายมาก ถ้าจะเอาตามมาตรฐานก็บอกว่าใช้ครั้งเดียวทิ้ง เราก็ไม่ไหว เลยต้องเจอกันที่จุดตรงกลาง

ไทยพับลิก้า : ราคาแพงไหม

ตัวสว่าน ราคาตัวละ 4-5 พันบาทต่อชิ้น ใช้แล้วทิ้ง และตัวเครื่องเจาะกะโหลกเครื่องละกว่า 1 ล้านบาท ใช้ได้ประมาณ 2-3 ปี นอกจากนั้นจะเป็นอุปกรณ์อื่นๆ กล่าวคือ อุปกรณ์การแพทย์จะมี 2 อย่าง คือ อุปกรณ์สิ้นเปลือง เช่น สว่าน ใช้แล้วต้องทิ้ง และอุปกรณ์ที่ใช้ได้นานหน่อย อย่าง เครื่องเจาะ ตัวกล้องช่วยผ่าตัด เตียงผ่าตัด ก็มีอายุการใช้งาน โดยส่วนใหญ่ถ้ารองบประมาณจะไม่ค่อยพอ

ไทยพับลิก้า : ได้งบประมาณปีละเท่าไหร่

งบประมาณต้องจัดสรรรวมทั้งจังหวัด แล้วในจังหวัดพอมาแบ่งในโรงพยาบาล ก็ต้องจัดสรรกับแผนกอื่นๆ ทั้งหมดอีก ถ้าสามารถแยกแผนกประสาทศัลยศาสตร์ออกมาจากศัลยกรรม การจัดงบประมาณอาจจะง่ายกว่า เพราะจริงๆ แล้วหากดูจำนวนเคสของการผ่าตัดสมองอาจจะไม่เยอะเท่าการผ่าตัดทั่วไป แต่ความสิ้นเปลืองของอุปกรณ์จะมากกว่า เพราะเป็นการผ่าตัดที่ละเอียดกว่า อุปกรณ์ราคาแพงกว่า โดยเน้นสภาพของงาน

ไทยพับลิก้า: เฉพาะที่โรงพยาบาลยะลา มีผู้บาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน

เคสผ่าตัดสมอง จะมีทั้งโรคที่ผ่าตัดสมอง เช่น โรคเนื้องอก ส่วนที่บาดเจ็บ จากที่เก็บข้อมูลมีประมาณ 12,000 รายต่อปี จำนวนผู้บาดเจ็บจะเพิ่มขึ้นทุกปี และในจำนวนนี้เป็นเคสผ่าตัดสมองประมาณ 15-20% ของ 12,000 ราย แต่ถ้าไปดูข้อมูลที่เรียกว่าความสิ้นเปลืองหรือยูนิตคอสต์ (unit cost) ในการรักษา การผ่าตัดสมองหนึ่งคนเทียบกับผ่าตัดทั่วไปประมาณ 10 คน หรือ 20 คน เพราะฉะนั้น จำนวนน้อยกว่าก็จริง แต่งบประมาณในการใช้ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

ไทยพับลิก้า : แล้วมีหมอผ่าตัดสมองกี่คน

ที่ยะลามี 4 คน คือที่รับราชการ 2 คน ส่วนหมออีก 2 คน โรงพยาบาลต้องใช้วิธีจ้างพิเศษแบบเอกชน เพราะ 2 คนที่มีอยู่ไม่เพียงพอ วิธีการให้หมอมาอยู่ได้ต้องให้แรงจูงใจคือให้เงินเดือนสูงๆ 180,000 บาท/เดือน โรงพยาบาลใช้วิธีนี้มาประมาณ 4-5 ปีแล้ว การแก้ปัญหาแบบนี้ถือว่าดี ที่มีหมอมาช่วย แต่เขาช่วยได้สัก 1 ปี หรือ 2 ปี เขาได้ผ่าตัด (ฝึกประสบการณ์) และได้เงินประมาณหนึ่ง เขาก็ขอย้ายออก เพราะสถานการณ์ไม่สงบ เขามีลูกเขาก็ไป ถึงแม้เงินเดือน 180,000 บาท หรือบวกค่าผ่าตัดนอกเวลาแล้วประมาณ 200,000 บาทต่อเดือน ก็เอาไว้ไม่อยู่ ก็ไปอยู่ดี

ไทยพับลิก้า : คิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร

คือถ้ามองเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากจะดึงงบประมาณมาทั้งหมด หมอก็ยังคิดว่าอาจจะเห็นแก่ตัวเกินไป ใจคิดว่าในส่วนของประสาทศัลยแพทย์หรือหมอผ่าตัดสมองทั้งระบบ ทั้งประเทศ พัฒนาไปด้วยกัน เพราะเรารู้แล้วว่า อันดับแรก หมอผ่าตัดสมองขาด ทำอย่างไรให้เพิ่มจำนวนหมอผ่าตัดสมอง แล้วดึงให้กลับมาอยู่ในกระทรวงสาธารณสุขให้ได้ รักษาเขาไว้ให้ได้ เพราะส่วนใหญ่พอจบออกมาสัก 2-3 ปี เขาผ่าตัดคล่องเขาก็ออกไปอยู่โรงพยาบาลเอกชน อย่างผ่าตัดเลือดออกในสมอง โรงพยาบาลรัฐบาลได้ค่าผ่าตัด 2,400 บาทต่อคน แต่โรงพยาบาลเอกชนขั้นต่ำ 30,000 บาทต่อคน เท่ากับว่าการผ่าตัดในโรงพยาบาลรัฐบาล 10-15 คน เท่ากับผ่าตัดในโรงพยาบาลเอกชนคนเดียว ความเหนื่อยล้าก็ต่างกัน และต้องยอมรับว่าเด็กรุ่นหลังอย่าง Gen Y หากไปถามเขา คงหายากที่จะเสียสละเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ตอนนี้ทุกอาชีพเงินก็ต้องมาก่อน ต้องให้พอเหมาะกับค่าครองชีพและเรื่องภาระงาน ให้อยู่ด้วยกันได้ ไม่ใช่ว่าเยอะเกินหรือน้อยเกิน

ไทยพับลิก้า : ที่ผ่านมาผลิตหมอผ่าตัดสมองไปอยู่เอกชนเป็นส่วนใหญ่

ใช่ หลังจากจบมาสักพัก เพราะยังมีความแตกต่างระหว่างรัฐบาลกับเอกชนเยอะ ทั้งความสบายของงาน และค่าตอบแทน (หมอผ่าตัดสมองประสบการณ์ 3-4 ปี โรงพยาบาลเอกชนอันดับต้นๆ จ้างเดือนละ 1 ล้านบาท)

ไทยพับลิก้า : แสดงว่าการเข้าถึงของประชาชนส่วนใหญ่ในการผ่าตัดสมอง ในแง่โรงพยาบาลรัฐมันลำบากใช่ไหม นอกจากยอมไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน

ใช่ อาจจะเสียเปรียบ เพราะจำนวนโรงพยาบาลรัฐบาล หมอผ่าตัดสมองมีน้อย คนไข้ผ่าตัดต้องรอคิวนาน ถ้าเป็นเคสผ่าตัดที่ไม่ฉุกเฉินก็ไม่มีปัญหามาก แต่ถ้าหากฉุกเฉิน ต้องผ่าภายในครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง เรารู้ว่าระยะเวลาการผ่าตัดสมองมีผลมากกับการรอดชีวิตของคนไข้ เช่น คนไข้มีอุบัติเหตุ เลือดออกในสมอง หากผ่าตัดได้ภายในครึ่งชั่วโมงแรก มีโอกาสกลับไปมีชีวิตทำงานปกติ แต่ถ้าเลยไปอีก 1-2 ชั่วโมง ก็อาจจะเป็นคนพิการ หรือถ้าผ่าช้าไปอีก 3 ชั่วโมง ก็อาจจะเสียชีวิตไปเลย ทั้งๆ ที่เป็นโรคเดียวกัน

เพราะฉะนั้น คิดว่าสำหรับเคสอุบัติเหตุก็ต้องมีประสาทศัลยแพทย์ให้พอที่จะผ่าตัดได้ทันที เพราะผลของการผ่าตัดมันจะต่างกันเยอะ และชีวิตคนทุกคนไม่ว่าอาชีพไหน สำคัญเท่ากันทุกคน

ไทยพับลิก้า : ตอนนี้ปัญหาของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คุณหมอยังต้องทำงานหนักตลอดเวลา

ใช่ เนื่องจากหมอเป็นฝ่ายตั้งรับ ไม่ใช่ฝ่ายที่จะไปป้องกัน ในแง่การรักษาคนไข้เรารักษาหมดทุกคน ทั้งคนกระทำและคนถูกกระทำ ทั้งชาวบ้าน ทั้งโจร หากยังอยู่ในภาวะไม่สงบก็ต้องเตรียมให้พร้อมทั้งเรื่องคน ประสาทศัลยแพทย์ พยาบาล สถานที่ อุปกรณ์เครื่องมือ

ไทยพับลิก้า : หมอผ่าตัดสมองใน 3 จังหวัดชายแดนใต้มีกี่คน

ที่ยะลามี 4 คน สิ้นปีนี้ก็ย้ายออก ก็จะเหลือ 2 คน ที่นราธิวาสมี 1 คน ปัตตานีไม่มี และโรงพยาบาลยะลารับรวมของปัตตานีทั้งหมด นราธิวาสจะรับเป็นบางวันที่หมอนราธิวาสไม่ได้อยู่เวร เพราะหมอเขาอยู่คนเดียว การจะอยู่เวร 30 วัน คงไม่ไหว

ไทยพับลิก้า : คุณหมอต้องผ่าตัดทุกวัน

ผ่าทุกวันทั้ง 4 คน ทำงานในเวลาราชการก็ทำด้วยกันทั้งหมด นอกเวลาราชการ 30 วัน ก็หาร 4 ก็ตกประมาณคนละ 7-9 เวรต่อเดือน นั่นหมายความว่าเดือนหนึ่งก็อาจจะมี 7-8 วัน ที่เราอาจจะไม่ได้นอนทั้งคืน

ไทยพับลิก้า : เคยมีผ่าตัดต่อเนื่องไหม

เคย มีตั้งแต่เช้า กลางวัน จนเช้าอีกวัน มีอยู่บ่อยๆ ถ้าไปถามหมอผ่าตัดสมองที่อื่น ก็มีแบบหมออีกเยอะ

แพทย์หญิงนันทกา เทพาอมรเดช ประสาทศัลยแพทย์ โรงพยาบาลยะลา

ไทยพับลิก้า : โอกาสเสี่ยงที่จะพลาดเยอะ เคยกลัวว่าจะถูกฟ้องบ้างไหม

ใช่ ก็ต้องยอมรับว่าความล้าก็มีบ้าง อย่างตี 3 ตี 4 ต้องผ่าตัดคนที่ 6 -7 ความเนียนในการผ่าตัด แม้กระทั่งทีมงานที่ช่วยผ่าตัด หรือหลังผ่าตัด อย่างพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดก็ล้า เพราะคนไข้หลังผ่าตัดใหม่ๆ ส่วนใหญ่เป็นคนไข้หนัก ต้องอยู่ไอซียู และไอซียูที่โรงพยาบาลยะลามี 13 เตียง แต่คนไข้ที่หนักมีเกิน 13 คน ก็ต้องไปอยู่วอร์ดสามัญที่มีเครื่องไม้เครื่องมือ เครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดชีพจร ไม่ดีเท่าห้องไอซียู และพยาบาลก็ล้า ก็จะสงสารคนไข้ที่ต้องไปอยู่วอร์ดสามัญทั้งๆ ที่ต้องอยู่ไอซียู

เคยนึกอยู่บ่อยๆ ว่า ถ้าเกิดเป็นเรา ในวันใดวันหนึ่งต้องมานอนในตึกสามัญ ใช้เครื่องช่วยหายใจแบบนี้ แล้วพยาบาลก็ล้าแบบนี้ เราจะกล้าอยู่ไหม เราเป็นหมอเรายังไม่กล้าอยู่เลย แต่ ณ ปัจจุบัน ชาวบ้านต้องอยู่เพราะเขาไม่มีทางเลือก เขาไม่รู้ แต่เราก็พยายามทำให้ดีที่สุด เท่าที่เราทำได้ ถ้าไอซียูว่างก็พยายามย้ายกลับเข้ามา เรารู้ว่าคุณภาพการดูแลนอกไอซียูสู้ในไอซียูไม่ได้ แต่เราก็ทำให้เขาไม่ได้

เป็นความไม่เท่าเทียมในสังคม ใครมาเร็วได้ก่อน เป็นความไม่เท่าเทียมที่เราไม่ตั้งใจ แต่ถ้ามีสถานที่พอ มีงบในการสร้างห้องไอซียูเพิ่มขึ้น ซื้ออุปกรณ์ได้มากขึ้น คุณภาพทั้งหมดเพื่อคนไข้กลับไปรอดชีวิตแบบที่ดีกว่า เราอยากให้ทุกคนที่ประสบเหตุ เป็นโรค สามารถกลับไปทำงานช่วยเหลือตัวเองได้ เราไม่อยากให้มีคนพิการ

เวลาเกิดเหตุใน 3 จังหวัดฯ จะมาโรงพยาบาลยะลา อาจจะมีบางกรณีที่ข้ามจากเกิดเหตุไป มอ. เลย เช่น คนไข้ที่ต้องถูกส่งโดยเฮลิคอปเตอร์ เพราะว่าถนนปิด รถไม่สามารถผ่านได้

ไทยพับลิก้า : ยะลาเป็นโรงพยาบาลจังหวัด มีกี่เตียง

เป็นโรงพยาบาลศูนย์ มีประมาณ 600 กว่าเตียง

ไทยพับลิก้า : พอไหม

ไม่พอ อย่างศัลยประสาทมี 24 เตียง แต่ยอดคนไข้ตกประมาณ 40 คน เพราะฉะนั้นจำนวนเตียงไม่พอ ต้องนอนเตียงเสริม นอนเตียงเสริมนอกตึก นอนตรงข้างบันได ถ้าเตียงไม่พอก็ต้องนอนเตียงผ้าใบ

ไทยพับลิก้า : เป็นคนไข้อาการหนัก

เราต้องเลือกคนที่ไม่หนักอยู่ข้างนอก คนที่หนักก็อยู่ข้างใน บางคนอยู่ข้างนอกอาการดี แต่ตอนหลังแย่ลงก็ต้องย้ายเข้าข้างใน เราต้องจัดทีมพยาบาลเพิ่มต่างหากหากมีคนไข้อยู่ข้างนอกตึก จำนวนอัตรากำลังพยาบาลก็ไม่เพียงพอ เราต้องการพยาบาล 8 ชั่วโมง เวรละ 6 คน หากจำนวนคนไข้มากขึ้น พยาบาลต้องเพิ่มเป็น 8-10 คน แต่บางครั้งก็ได้แค่ 8 คน พยาบาลหมดตึกแล้วไม่มีคนมาขึ้นเวร ก็ต้องเฉลี่ยกันไป

ไทยพับลิก้า : สภาพแบบนี้เป็นมานานแค่ไหน

มีเป็นช่วงๆ ช่วงไม่ยุ่งก็มี แต่โดยสภาพเฉลี่ยแล้วจะเยอะอย่างนี้ตลอด ถามว่างบประมาณมาไหม ก็มาเรื่อยๆ มีการพัฒนาเรื่อยๆ เพียงแต่ว่างบประมาณกับการพัฒนายังไม่ทันกับจำนวนคนไข้ ไม่ทันกับจำนวนโรค ก็ต้องทำไปเรื่อยๆ

ไทยพับลิก้า : คนไข้ส่วนใหญ่เป็นอุบัติเหตุหรือโรคอื่นๆ

ส่วนใหญ่เป็นอุบัติเหตุจราจร ความไม่สงบก็มีด้วยส่วนหนึ่ง ในช่วงที่มีระเบิด ถ้ามาเยอะ 20 คน 30 คน ก็จะไม่ทัน จะต้องตามทีมชุดใหญ่มา ที่โรงพยาบาลจะมีแผนรับมืออุบัติเหตุหมู่ ก็จะเปิดแผนตามที่วางไว้ ถ้าแผนใหญ่ตามหมอทุกคนมา ตามพยาบาลมาหมดทุกคน

ไทยพับลิก้า : เมื่อตอนต้นที่บอกว่าเตียงไอซียูมีแค่ 13 เตียง นี่ต้องการเพิ่มอีกกี่เตียงถึงจะเหมาะสม

โรงพยาบาลส่วนใหญ่ ห้องไอซียูจะใช้รวมกัน มีทั้งอายุรกรรม ศัลยกรรม เด็ก ของที่โรงพยาบาลยะลามีไอซียูเพิ่มขึ้นมาคือไอซียูอุบัติเหตุทุกประเภท ความตั้งใจเดิมจะรับคนไข้อุบัติเหตุทุกอย่าง รวมทั้งศัลยกรรมทั่วไป กระดูก สมอง แต่เท่าที่ผ่านมา ไอซียูทั่วไปมี 16 เตียง อุบัติเหตุมี 13 เตียง อัตราครองเตียงในไอซียูตอนนี้เรียกได้ว่าเต็ม 100% และไอซียูอุบัติเหตุ เคสส่วนใหญ่เป็นเคสผ่าตัดสมอง และถึงมี 13 เตียง ก็ไม่พอ จริงๆ แล้วพยาบาลคนที่ดูเคสในไอซียูผ่าตัดสมองกับไอซียูจากอุบัติเหตุก็ไม่เหมือนกัน ในความเห็นหมอ หากเรามีไอซียูเฉพาะสำหรับประสาทศัลยศาสตร์ ดูคนไข้ผ่าตัดสมองแยกออกมาจากศัลยกรรมอุบัติเหตุ น่าจะดีกว่ากันเยอะ เพราะการดูแลไม่เหมือนกัน จะได้คุณภาพด้วย

ไทยพับลิก้า : ต้องใช้เงินเยอะแค่ไหน

เครื่องมือก็แพง เครื่องช่วยหายใจอย่างน้อยๆ ราคา 1 ล้านบาทต่อเครื่อง เครื่องมอนิเตอร์ อาทิ เครื่องวัดความดันและเครื่องวัดชีพจรที่มีหน้าจอ ราคาก็ 5-6 แสนบาท เตียงก็ต้องเป็นไฟฟ้าที่ปรับได้เพราะคนไข้ไม่รู้สึกตัว พยาบาลไขเตียงไม่ไหวแล้ว คนไข้พลิกตัวเองไม่ได้ ต้องพลิกทุก 2 ชั่วโมง หรือต้องดูดเสมหะ ดังนั้น ราคาอุปกรณ์ต่อคนไข้หนึ่งเตียงประมาณ 2 ล้านบาท ถ้าไอซียูมี 10 เตียง ก็ 20 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าก่อสร้างอื่นๆ อันนี้คิดแบบถูกสุดๆ แล้ว

ไทยพับลิก้า : คุณหมอเคยท้อบ้างไหม

มีบ้าง แต่ยังได้กำลังจากคนไข้ เพราะหมอจะรู้สึกดีมากถ้าคนไข้มาผ่าตัดแล้วกลับบ้านได้ จะรู้สึกว่า ถ้าเราไม่อยู่ คนนี้จะต้องถูกส่งไปหาดใหญ่ คนไข้รอดเหมือนกัน แต่ด้วยการผ่าตัดที่ช้า เขาอาจจะพิการ แต่ที่นี่เขาได้ผ่าเลย เขาสามารถกลับไปทำงานเลี้ยงครอบครัวได้ต่อ สำหรับคนไข้หนึ่งคน ไม่พิการ กลับมารอดชีวิต หมอก็ดีใจแล้ว

ไทยพับลิก้า : สิ้นปีนี้มีหมอเหลือแค่ 2 คน

ใช่ น้องที่มาจากการจ้างแบบพิเศษ เขาบอกชัดเจนตั้งแต่แรกว่ามาเพราะที่นี่มีเคสเยอะ และเพราะเงินเดือน เราคุยกันแบบตรงไปตรงมา เพราะยินดีที่มีหมอมาช่วย เราดีใจ

มีคนถามว่าที่เราจ้างหมอแบบพิเศษเงินเดือน 180,000 บาท แล้วหมอเองได้เงินเดือน 30,000 บาท บวกค่าผ่าตัดนอกเวลา รวมแล้วเดือนละประมาณ 70,000-80,000 บาท และเราจบมาหลายปีแล้ว น้องมาได้เงินเดือนเป็น 2-3 เท่าของเรา ไม่น้อยใจหรือ ก็…คิดว่าไม่รู้จะน้อยใจไปทำไม ในเมื่อเขาก็มาช่วยเรา และเงินเดือน 180,000 บาท ก็ถือว่าคุ้ม เพราะการผ่าตัดคนไข้หนึ่งคน หากเขารอดชีวิต ก็คุ้มแล้ว เงิน 180,000 บาท สำหรับชีวิตคน

ดังนั้น โรงพยาบาลยะลาก็ยังมีนโยบายรับหมอแบบพิเศษต่อ ใครมาเราก็จ้างต่อ น้อง 2 คน ที่เขามาช่วย เขาได้ผ่าตัดแล้ว เขาพอใจแล้ว เขาก็ขอย้ายไปอยู่ที่อื่น คนใหม่มาเราก็รับ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมารับมาทำงาน 3-4 คน รู้แล้วว่าจุดหมายเหมือนกันคือมาผ่าตัด รับเงินแล้วก็ไป แต่ก็ยังยินดีที่เป็นแบบนี้ นอกจากว่าเป็นนโยบายกระทรวงสาธารณสุข หรือว่า สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ที่มีอะไรมาดึงดูดให้หมอใหม่ๆ อยู่ตลอด ตราบใดที่เหตุการณ์ยังไม่สงบ

ไทยพับลิก้า : ปกติมีเงินพิเศษสำหรับหมอในพื้นที่เสี่ยง

ใช่ มีเพิ่มเดือนละ 1 หมื่นบาทสำหรับหมอ ส่วนพยาบาล 2,500 บาท ถามว่าสำหรับหมอผ่าตัดสมอง หมื่นหนึ่งกับที่เขาจบมา เทียบกันไม่ได้กับเขาไปอยู่ที่ปลอดภัย เขาเปิดคลินิกได้ มีเวลาไปเที่ยว หมื่นหนึ่งเล็กน้อยมาก

แต่อยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่ด้วยความหวาดระแวง ก็เป็นช่วงๆ อยู่ได้ อย่าไปผิดที่ผิดทาง

ไทยพับลิก้า : อยากจะบอกอะไรกับใครไหม

สำหรับผู้บริหารหรือนักการเมือง ถ้างบประมาณที่เหลือๆ ไม่รู้จะเอาไปไหน (หัวเราะ) ส่งมาให้ทางการแพทย์ ส่งมาให้ 3 จังหวัดภาคใต้ หรือให้ประสาทศัลยแพทย์ หรือทางการแพทย์ ยังไงก็คุ้มทุนที่สุด เพราะเป็นการให้ชาวบ้าน ให้กับผู้เสียภาษี ดีกว่า

อีกอันหนึ่งสำหรับโรงพยบาลยะลา อุปกรณ์ที่ราคาแพงๆ เราของบประมาณไปทางกระทรวงสาธารณสุข จะได้ไม่ทันกับความต้องการใช้ เราได้ขอพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ เพราะอุปกรณ์ที่ขอไปหลายปียังไม่ได้ เราก็ขอไปทางสำนักพระราชวัง เราส่งข้อมูลคนไข้ ข้อมูลการผ่าตัด ไปให้พระองค์ท่าน ก็มีราชเลขามาดูว่าอุปกรณ์นี้จำเป็นแค่ไหน ทางโรงพยาบาลยะลาได้รับพระราชทานมาหลายเครื่อง และเราส่งรายงานไปตลอด เมื่อวันก่อนได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพฯ ได้ทูลรายงาน ซึ่งพระองค์บอกว่าดีมากที่ได้ให้อุปกรณ์เหล่านี้มา คุ้มที่สุด เพราะพระองค์เห็นข้อมูลที่เรารายงานไป

http://thaipublica.org/2013/08/nuntaka-neurological-surgeons/
19 สิงหาคม 2013

6619

๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๖
สวัสดี เพื่อนแพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ทุกท่าน

ร่าง พรบ. นิรโทษกรรมฯ ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงอยู่ในสภาและมีการคัดค้านอยู่นอกสภา ไม่ทราบว่าจะทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบในประเทศอีกหรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือ ประกาศค่าตอบแทนกระทรวงฯ ฉบับ๔ ทำให้เกิดความไม่สงบของกระทรวง สธ. ตั้งแต่ปี พ.ศ๒๕๕๐ คือ มีการประท้วงเรียกร้องขอ ค่าตอบแทน ฉบับ ๖ , ๗ ตามมา และปัญหาความขัดแย้ง ขับไล่ ผู้บริหาร สธ. หลังมีประกาศ ฉบับ ๘, ๙ (P4P) ในอนาคตจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีกบ้าง คงต้องติดตามกันต่อไป

สมาพันธ์ฯ โดย พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ มีโอกาสเป็นคณะทำงาน P4P ของ สธ. เข้าไปแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมและรักษาสิทธิต่างๆของ รพศ./รพท.  ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะมีการเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจาก P4P ทั้ง รพศ./รพท. และรพช. ตาม คำสั่งกระทรวงสาธารณสุข ที่ ๙๗๑/๒๕๕๖ เรื่อง แนวทางการจ่ายเงินช่วยเหลือ สำหรับกำลังคนด้านสาธารณสุข ที่ได้รับค่าตอบแทนใหม่  ซึ่งเพื่อนแพทย์ทุกท่านสามารถดูได้ที่ http://www.thaihospital.org เข้าไปที่ เว็บบอร์ด / ข่าวสมาพันธ์ ส่วนวิธีการเยียวยาและแหล่งที่มาของเงินนั้น ประธานสมาพันธ์ พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ได้ประชุมกับคณะทำงานของ สธ.จนได้ผลสรุปถึงวิธีการขอรับเงินช่วยเหลือ ออกมา เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคมนี้ คือ รพ.ที่ทำ P4P แล้วให้ผอ. เสนอขออนุมัติรับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมจาก  สสจ. โดย การพิจารณาจ่ายเงินช่วยเหลือ อาจจ่ายตามส่วนต่างระหว่างค่าตอบแทนเดิมกับค่าตอบแทนใหม่รายบุคคล หรืออาจใช้กระบวนการบริหารเพื่อพัฒนาประสิทธภาพ รพ.ในการจ่ายเงินฯ เพื่อรักษาหลักการของการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฎิบัติงาน ซึ่งรายละเอียด เงื่อนไขการจ่ายเงินฯ ทางสมาพันธ์ฯจะนำขึ้น website ต่อไป

ยังมีประเด็นที่สมาพันธ์ฯจะทำ และได้เสนอใน คณะกรรมการ P4P ของ สธ.  คือ ประเด็นลดความเลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมระหว่างวิชาชีพโดยมีหลักการ ดึงคนที่ได้น้อยขึ้นมา ไม่ดึงคนที่ได้มากให้ลดลง โดย การปรับค่าตอบแทน ฉ.๙ ซึ่งต้องพิจารณาความเป็นไปได้ทางการเงิน(จะเอาเงินมาจากไหน)  ถ้ามีรายละเอียดเพิ่มเติม จะแจ้งให้พื่อนแพทย์ทราบต่อไป

มีข่าวของ พรบ. คุ้มครองผู้เสียหายฯ หลัง NGO ผิดหวังจาก สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยินดีให้กระทรวงสาธารณสุข จัดทำ ร่างฯ พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายฯตามวิธีปกติต่อไป โดยสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับ พรบ. นี้อีกต่อไป ทางNGO จึงมีการเคลื่อนไหว ไปร้องเรียน คณะกรรมาธิการสาธารณสุข ของสภาผู้แทนราษฎร ส่งผลให้มีการจัดตั้งกรรมการมาดูแล พรบ. ฉบับนี้โดยเฉพาะ ซึ่งทางสมาพันธ์ฯ คิดว่า จะดูท่าทีกรรมการชุดนี้ไปก่อน เนื่องจาก สส.มีเรื่อง พรบ.นิรโทษกรรม ให้แก้ปัญหากันอยู่ คงไม่สนใจ พรบ. คุ้มครองผู้เสียหายฯ ในตอนนี้

                สมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป แห่งประเทศไทย

6622
จิตแพทย์เผยอาการหายใจเร็ว ตบตี กรี๊ด อาละวาด ฆ่าตัวตายในละคร ล้วนสะท้อนปัญหาสุขภาพจิต แนะชีวิตจริงหากเกิดอารมณ์เครียด โกรธ ซึมเศร้า ควรพาตัวเองออกจากสถานการณ์เสี่ยง ด้านคนใกล้ชิดต้องช่วยเหลือหาทางออก จี้ผู้ปกครองสอนลูกดูละครอะไรควรทำไม่ควรทำ
       
       รศ.นพ.เธียรชัย งามทิพย์วัฒนา หัวหน้าภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในการเสวนาเรื่อง “ดูหนังดูละคร...แล้วย้อนมองดูตัว” ในกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิตเรื่อง “จิตเวชศิริราช...ปันความรู้สู่ประชาชน” ว่า พฤติกรรมของตัวละครหลายเรื่องสะท้อนปัญหาสุขภาพจิตได้ในหลายประเด็น อย่างกรณีตัวละครกรีดร้อง หายใจเร็ว เหมือนหอบ จิกเกร็ง จนถึงขั้นสลบ เมื่อเวลาไม่ได้ดั่งใจ อิจฉา หรือเครียดนั้น อาการเหล่านี้ไม่ใช่อาการทางจิต แต่เป็นอาการทางกายที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อคนเรามีอารมณ์รุนแรงสามารถแสดงออกได้หลายอย่าง เช่น หัวใจเต้นเร็วขึ้น หายใจเร็ว (Hyperventilation syndrome) ซึ่งผู้ป่วยจะกลัวหายใจไม่เข้าแล้วเสียชีวิต จึงยิ่งพยายามหายใจก็ยิ่งเป็นมากขึ้น ตรงนี้ต้องตั้งสติก่อน โดยเฉพาะญาติหรือผู้ใกล้ชิดต้องรีบช่วยเหลือ หากไม่ใช่โรคหอบที่เมื่อหายใจไม่ออกตัวจะเขียว ก็ให้พยายามช่วยจัดท่าทางผู้ป่วย หรือพูดคุย เพื่อให้หายใจช้าลง ซึ่งส่วนใหญ่จะดีขึ้นได้เอง
       
       นพ.ปเนต ผู้กฤตยคามี อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาที่พบเห็นบ่อยในละครอีกประเด็นคือ ความรุนแรงในครอบครัว เช่น ลูกขโมยเงินแม่แล้วถูกจับได้ แม่ก็เริ่มจากพูดไม่ดีก่อน สุดท้ายเมื่อใช้อารมณ์กันมากก็กลายเป็นการลงไม้ลงมือต่อกัน ซึ่งทั้งที่จริงแล้วมีหลายวิธีในการสื่อสารอย่างมีเหตุผล การดูละครที่มีความรุนแรงนั้นผู้ปกครองต้องใช้วิจารณญาณในการสอนลูกว่า การกระทำใดที่ดีสามารถนำไปเป็นแบบอย่างได้ หรือแบบใดที่ไม่ดี ก็ต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าไม่ดีอย่างไร แล้วสิ่งที่ดีที่ควรต้องทำอย่างไร ทั้งนี้ ความรุนแรงมักมาจากอารมณ์โกรธ เพื่อต้องการแสดงออกว่าตนรับไม่ได้ ทนไม่ได้ และไม่พอใจ ซึ่งคนที่เริ่มมีอารมณ์โกรธต้องรู้จักสังเกตตนเองและระงับอารมณ์ เช่น หน้าแดง มือสั่น ก็ต้องพาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้นๆ ก่อนที่อารมณ์จะรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนควบคุมไม่ได้
       
       “ทั้งความเครียดและความโกรธ ต้องแก้ไขด้วยการออกมาจากสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความรู้เหล่านี้ โดยอาจหางานอดิเรกทำ หรือฝึกการหายใจเพื่อควบคุมอารมณ์ รวมไปถึงออกกำลังกาย ซึ่งจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยามักแนะนำเป็นประจำ หากอารมณ์กลับมาเป็นปกติแล้วก็จะช่วยให้พูดคุยด้วยเหตุผลมากขึ้น สามารถพิจารณาได้รอบด้านมากขึ้นว่าต้นเหตุของความเครียดเกิดจากอะไร และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งอาจใช้วิธีปรึกษาเพื่อนหรือคนใกล้ชิดร่วมด้วยได้ ก็จะช่วยให้เห็นทางออกมากขึ้น” นพ.ปเนต กล่าว
       
       นพ.ปเนต กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการฆ่าตัวตายในละครที่พบเห็นได้บ่อยเช่นกัน ตรงนี้เกิดจากการกดดันจิตใจที่ค่อนข้างรุนแรง ทั้งแบบสะสมเรื้อรังจนเป็นโรคซึมเศร้าและแบบเกิดขึ้นกะทันหัน ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าพฤติกรรมผู้ที่จะฆ่าตัวตายเปลี่ยนไป เช่น จัดการปัญหาไม่ได้ ทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน มีการร่ำลาโดยไม่มีเหตุผล ญาติและคนใกล้ชิดต้องสังเกตเพื่อที่จะแก้ไขได้ทัน โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีประวัติทำร้ายร่างกายตัวเองหรือเคยฆ่าตัวตายมาก่อน ต้องช่วยเหลือโดยการเก็บอาวุธ ชวนพูดคุยเพื่อแก้ปัญหา เป็นต้น สำหรับอาการของโรคซึมเศร้า ได้แก่ ไม่มีความสุข เสียใจ อารมณ์ตก รู้สึกแย่กับตัวเอง รู้สึกไม่ดีต่อสังคม เบื่อ ท้อแท้ กินน้อย น้ำหนักลด จนอาจกระทบกับการทำงาน หากญาติหรือผู้ใกล้ชิดเห็นอาการเหล่านี้จะต้องรีบช่วยเหลือ ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ โดยใช้ยาปรับอารมณ์ ร่วมกับการให้คำปรึกษา ซึ่งเมื่อผู้ที่คิดฆ่าตัวตายเมื่อผ่านช่วงอารมณ์ที่ตั้งใจฆ่าตัวตายไปแล้วความตั้งใจก็จะลดลง จนไม่คิดฆ่าตัวตายอีก
       
       นพ.ปเนต กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ รพ.ศิริราช มีเปิดให้บริการคลินิกคลายเครียด ที่ตึกผู้ป่วยนอกชั้น 7 เพื่อให้คำปรึกษาแก่ประชาชนทั่วไปที่มีปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งไม่จำเพาะเพียงผู้ป่วยจิตเวชเท่านั้น แต่ประชาชนทั่วไปที่มีเรื่องคิดมาก มีความเครียด หรือมีปัญหาในการใช้ชีวิตก็สามารถขอเข้ารับคำปรึกษาได้ รวมไปถึงแนะนำวิธีการช่วยจัดการความเครียดแบบต่างๆ เป็นต้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 สิงหาคม 2556

6623
พนักงานมหาวิทยาลัย จ่อพบ “เฉลิม” ขอไม่ใช้สิทธิประกันสังคม วอนโยกอยู่ สปสช.แทน ชี้เป็นข้าราชการเหมือนกัน ไม่เข้าข่ายระบบ สปส.แม้ยังไม่ชัดเจน เสนอส่งกฤษฎีกาตีความ

รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ เลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ กล่าวถึงความคืบหน้าภายหลังเข้าเรียกร้องสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการขอตั้งกองทุนรักษาพยาบาลพนักงานมหาวิทยาลัย เหมือนกองทุนรักษาพยาบาลข้าราชการพนักงานท้องถิ่น ว่า หลังจากได้หารือกับรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เบื้องต้นมีความเห็นร่วมกันว่าจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการย่อยขึ้นมาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ โดยขณะนี้เหลือเพียงรอเข้าพบ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข หากเห็นด้วยก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร หลังจากนั้นทางศูนย์ประสานงานฯ ก็จะขอเข้าพบ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน เพื่อหารือขอให้พนักงานมหาวิทยาลัยที่ปัจจุบันใช้สิทธิรักษาพยาบาลของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้โอนมาอยู่ในการดูแลของ สปสช.แทน
       
        ผู้สื่อข่าวถามว่าจะสามารถโอนย้ายจาก สปส.มา สปสช.ได้จริงหรือไม่ รศ.ดร.วีรชัย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ เนื่องจากกฎหมายประกันสังคมยังไม่ชัดเจนในเรื่องพนักงานมหาวิทยาลัย เพราะผู้ที่จะอยู่ในประกันสังคมต้องไม่ใช่ข้าราชการ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยจริงๆ ก็คือข้าราชการ แต่ยังไม่ชัดเจน ต้องมีการตีความ ซึ่งอยากให้ สปส.ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความเรื่องนี้ให้ชัดเจน
       
        “พวกตนออกมาเรียกร้อง เพราะต้องการความเป็นธรรมในเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลที่เทียบเท่าอาจารย์ข้าราชการคนอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนทุนรัฐบาลที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ในช่วงปี 2540 -2542 ทุกคนเข้าใจว่า เมื่อกลับมาใช้ทุนการศึกษาทุกคนจะได้รับราชการ แต่เมื่อมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี 2542 ที่ยกเลิกการบรรจุข้าราชการใหม่ ทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมต้องถูกผลักไปอยู่ในสิทธิประกันสังคม ซึ่งพวกเรามองว่า แม้สิทธินี้จะดี แต่ในแง่ศักดิ์ศรี พวกเราก็เหมือนข้าราชการคนหนึ่งก็ควรได้เท่าเทียมกัน” รศ.ดร.วีรชัย กล่าว
       
        รศ.ดร.วีรชัย กล่าวอีกว่า สิทธิรักษาพยาบาลของพนักงานมหาวิทยาลัยย่อมไม่เท่ากับข้าราชการ เนื่องจากยังเหลื่อมล้ำอยู่มาก และเมื่อเทียบกับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นกองทุนของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศยังมีพัฒนาการด้านสิทธิประโยชน์ดีกว่าด้วยซ้ำ ยกตัวอย่าง ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือการใช้หัตถการทางการแพทย์ต่างๆ ก็ต้องเป็นไปตามสิทธิ แต่ข้าราชการกับ 30 บาทไม่มี ที่สำคัญสิทธิข้าราชการและ 30 บาท ยังใช้สิทธิรักษาพยาบาลได้หลังเกษียณอีก แต่ประกันสังคมไม่คุ้มครอง
       
        อนึ่ง สำหรับนักเรียนทุนที่แปรสภาพเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยนั้นน่าจะมีประมาณกว่า 30,000 คน ซึ่งในเรื่องของปัญหาสิทธิรักษาพยาบาลที่ไม่เท่าเทียมสิทธิข้าราชการนั้น ไม่เพียงแต่นักเรียนทุนที่ถูกปรับเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย แต่ยังมีพนักงานมหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็ต้องการสิทธิรักษาพยาบาลเหมือนข้าราชการเช่นกัน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 สิงหาคม 2556

6624
สธ.เตือน 4 กลุ่มเสี่ยง ระวังปอดบวมช่วง ส.ค.-ต.ค. หลังพบป่วยสูงมากทุกปี ล่าสุดยอดผู้ป่วยสะสมตั้งต้นปี 2556 พบมากถึง 99,670 ราย เสียชีวิต 581 ราย แนะฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ออกกำลังกาย และเลี่ยงไปสถานที่แออัด
       
       วันนี้ (13 ส.ค.) นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากรายงานของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (คร.) ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-4 ส.ค. 2556 พบผู้ป่วยโรคปอดบวมทั่วประเทศ 99,670 ราย เสียชีวิต 581 ราย พบกลุ่มอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ป่วยมากสุดร้อยละ 30.50 เมื่อแบ่งตามรายภาคพบว่า ภาคเหนือมีอัตราป่วยสูงสุด จากการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี ผู้ป่วยเป็นโรคปอดบวมมากที่สุดช่วงหน้าฝนระหว่าง ส.ค.-ต.ค.และเริ่มมีผู้ป่วยมากอีกครั้งช่วงที่มีอากาศเย็นใน ม.ค.- ต้น มี.ค.
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า ในปีนี้การวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่ 1 ม.ค.-เม.ย.พบผู้ป่วยมีแนวโน้มสูงกว่าค่ากลางย้อนหลัง 3 ปี นับได้ว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคปอดบวมสูงมาก จึงได้ให้ คร.และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนดูแลสุขภาพให้แข็งแรงในช่วง ส.ค.-ต.ค.นี้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ ต้องออกกำลังกายและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยรับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่ง สธ.จัดบริการให้แก่กลุ่มเสี่ยงฟรีที่โรงพยาบาลในสังกัด สธ.ทั่วประเทศ
       
       ด้าน นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดี คร.กล่าวว่า โรคปอดบวมเป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่เกิดอาการอักเสบบริเวณเนื้อปอดและหลอดลม ส่งผลให้การทำงานของปอดลดลง มีอาการเหนื่อยหอบ และเกิดภาวะขาดออกซิเจน โดยเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสได้หลายชนิด ผู้ป่วยจะมีไข้ ไอ มีเสมหะมาก หายใจเร็ว หอบ เหนื่อย ในเด็กเล็กมักสังเกตพบอาการหายใจเร็วกว่าปกติ มากกว่า 40 ครั้งต่อนาที โดยอาการเหล่านี้อาจจะพบตามหลังอาการโรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือหลอดลมอักเสบได้ หากปอดบวมรุนแรง อาจทำให้ระบบหายใจล้มเหลว จนเกิดภาวะขาดออกซิเจน หรือติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตได้
       
       นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า กรณีผู้ป่วยเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ปกครองต้องคอยสังเกตสัญญาณเตือนโรคปอดบวม ได้แก่ ไข้สูง เด็กมีอาการซึม ไม่กินนม ไม่กินน้ำ หายใจหอบเร็วเสียงดังหวีดหายใจซี่โครงบุ๋ม ต้องรีบไปพบแพทย์ การป้องกันโรคปอดบวมนั้น ต้องดูแลสุขภาพไม่ให้ผู้ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ เช่น หวัด ไข้หวัด ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดโดยเฉพาะเด็กเล็ก ไม่ควรพาไปโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า โดยไม่จำเป็น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 สิงหาคม 2556

6625
 เครือข่ายผู้เสียหายฯ เดือด สธ.ลำเอียงเห็นผู้ป่วยต่างชาติสำคัญกว่าผู้ป่วยไทย ชี้ผลักดันร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ มานาน แต่กลับไม่คืบ เหตุเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมี เพราะมี กม.สปสช.จ่ายเงินชดเชยให้อยู่แล้ว แต่จำกัดแค่สิทธิ 30 บาท ด้าน “ประดิษฐ” สวนคนไทยมี 8 ช่องทางให้ร้องเรียนอยู่แล้ว
       
       วันนี้ (13 ส.ค.) นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กล่าวถึงกรณีกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตั้งคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางการแพทย์ระหว่างชาวต่างชาติและสถานบริการไทย (Medical Mediator) ว่า รู้สึกเสียใจที่ สธ.ไม่ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยไทยเท่ากับชาวต่างชาติ ทั้งที่ผ่านมาทางเครือข่ายฯ พยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองผู้ป่วยไทยที่ได้รับผลกระทบฯ โดยไม่จำกัดสิทธิ ทั้งสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการข้าราชการ แต่สุดท้ายกลับไม่มีความคืบหน้า
       
       “หลายคนมองว่าไม่จำเป็นต้องขับเคลื่อนร่างกฎหมายนี้ เพราะปัจจุบันมาตรา 41 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 กำหนดให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ แต่อย่าลืมว่ากฎหมายนี้ไม่ครอบคลุมทุกสิทธิ ใช้ได้เพียงสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่านั้น” นางปรียนันท์ กล่าว
       
       ด้าน นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะคนไทยก็มี 8 ช่องทางให้ร้องเรียน ดังนี้
1.ตู้ ปณ.1111 สำนักนายกรัฐมนตรี
2.สายด่วน 0-2193 -7999 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
3.เว็บไซต์ www.hss.moph.go.th
4.ไปรษณีย์ถึงศูนย์รับเรื่องร้องเรียน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ อาคาร 5 ชั้น 5 กระทรวงสาธารณสุข อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
5.ตู้รับเรื่องร้องเรียนกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
6.ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สำนักกฎหมาย สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 7.โทรศัพท์หมายเลข 0 2149 5652 โทรสารหมายเลข 0 2149 5652 และ
8.อีเมล law_hss@hss.mail.go.th

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 สิงหาคม 2556

6626
วิจัยการใช้ยาคนสองแคว พบ ยาเหลือเก็บเกินจำเป็นเพียบ ทั้งเสื่อมสภาพ หมดอายุ ยาหลายชนิดปะปนในซองเดียวกัน พบนำไปบริจาคให้โรงพยาบาลถึง 24.39% เหตุความรู้เรื่องการใช้ยาน้อย แนะเร่งให้ความรู้แก้ปัญหา
       
       ภก.อภิสิทธิ์ เทียนชัยโรจน์ เภสัชกรชำนาญการ กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก เปิดเผยผลการวิจัยเรื่อง “ผลการสำรวจปัญหาเกี่ยวกับวิธีการใช้ยาใน จ.พิษณุโลก” ในงานประชุมวิชาการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประจำปี 2556 ว่า ประชาชนมียาครอบครองที่เกินความจำเป็น ถือเป็นปัญหาหนึ่งในระบบสาธารณสุขไทย คณะผู้วิจัยจึงได้สำรวจปัญหายาเหลือใช้ในพื้นที่เพื่อนำมาแก้ปัญหาในระดับนโยบาย โดยทำการเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยในเขต จ.พิษณุโลก จำนวน 291 คน ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและสถานบริการสุขภาพชุมชนในเขตเทศบาลจำนวน 25 แห่ง ในปี 2554
       
       ภก.อภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ผลการสำรวจพบว่า สภาพยาเหลือที่พบโดยเรียงตามลำดับ ดังนี้
ยาเสื่อมสภาพ ร้อยละ 11.68
ยาหมดอายุ ร้อยละ 7.90
ยาหลายชนิดปะปนในซองเดียวกัน ร้อยละ 5.50
โดยเหตุผลที่มียาเหลือ เนื่องจากผู้ป่วยไม่ให้ความร่วมมือในการใช้ยา ร้อยละ 59.80
โดยวิธีการจัดการยา คือ นำไปบริจาคโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย ร้อยละ 24.39

สำหรับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยา พบว่า ประชาชนตอบชื่อยาได้น้อยที่สุด รองลงมาคือ การดูวันหมดอายุ วิธีใช้ ส่วนวิธีแก้ปัญหาเรื่องยา ส่วนใหญ่จะสอบถามจากแพทย์ เภสัชกร และ อสม.และคิดว่าแพทย์ หรือเภสัชกรช่วยตรวจสอบยาเดิมได้จะเป็นประโยชน์ที่สุด ทั้งนี้ พบว่าข้อมูลที่พบเป็นปัญหาระดับพื้นฐานแต่ส่งผลต่อความเสี่ยงในการใช้ยาไม่เหมาะสมได้ ดังนั้น ต้องเน้นความรู้เรื่องการเก็บรักษา การใช้ยา ให้มากขึ้นด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 สิงหาคม 2556

6627
“ประดิษฐ” โชว์เหนือ เร่งแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหาร สธ.ฟ้าแลบ ด้าน ครม.เห็นชอบปรับทั้ง 10 ตำแหน่ง ตั้งแต่รองปลัด ยันอธิบดีกรมต่างๆ ฟาก อย.และ สบส.โล่ง รอดหวุดหวิด พร้อมจ่อปรับรองอธิบดี สสจ.และ ผอ.โรงพยาบาลทั่วประเทศ ชี้อยู่มานาน แต่ไม่มีงานใหม่ๆ อ้างที่ผ่านมาใช้เวลานานกว่าจะเริ่มเดินหน้านโยบายได้ ดีเดย์ 3 และ 6 เดือนหลังแต่งตั้ง งานไม่เข้าตา เจอปรับอีก

       วันนี้ (13 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ 10 สังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตามที่ สธ.เสนอ จำนวน 10 ตำแหน่ง ได้แก่
1.นพ.นิทัศน์ รายยวา รองปลัด สธ.เป็น ผู้ตรวจราชการ สธ.
2.นพ.ทรงยศ ชัยชนะ ผู้ตรวจราชการ สธ.เป็น รองปลัด สธ.
3.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) เป็น อธิบดีกรมอนามัย
4.นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย เป็น อธิบดีกรมสุขภาพจิต
5.นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เป็น รองปลัด สธ.
6.นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัด สธ. เป็น อธิบกรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง
7.นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา รองปลัด สธ.เป็น อธิบดีกรมการแพทย์
8.นพ.อำนวย กาจีนะ ผู้ตรวจราชการ สธ.เป็น รองปลัด สธ.
9.นพ.อภิชัย มงคล ผู้ตรวจราชการ สธ.เป็น อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ
10.นพ.ธวัชชัย กมลธรรม ผู้ตรวจราชการ สธ.เป็น อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ต.2556 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นต้นไป
       
       ด้าน นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า การแต่งตั้งครั้งนี้ไม่ถือว่าเร็วกว่าปกติ เพียงแต่ต้องการให้ทุกกรมพร้อมทำงานได้ทันทีในวันที่ 1 ต.ค.เนื่องจาก สธ.กำลังอยู่ช่วงการปฏิรูป ซึ่งนอกจากตำแหน่งอธิบดีแล้ว ยังมีกระบวนการแต่งตั้งรองอธิบดี นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วย แต่ที่ผ่านมากว่าจะแต่งตั้งทุกตำแหน่งเสร็จสิ้น และพร้อมทำงานได้ก็ใช้เวลานาน 2-3 เดือน ทำให้การเดินหน้านโยบายต่างๆ เป็นไปอย่างล่าช้า ทั้งนี้ ตนเคยให้นโยบายไปแล้วว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เกิดความเหมาะสมทั้งประเทศ เพราะบางคนอยู่ในตำแหน่งเดิมเป็นเวลานานอาจทำให้การทำงานไม่มีการนำสิ่งใหม่ๆ มาปรับใช้
       
       “การโยกย้ายในครั้งนี้ ตั้งใจให้เป็นตามแผนเขตบริการสุขภาพ (Service Plan) เพื่อให้ทุกคนพร้อมทำงานตั้งแต่ 1 ต.ค.โดยเกณฑ์ในการแต่งตั้งโยกย้ายจะเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม เช่น นพ.ธวัชชัย ที่ผ่านมาเคยมีการทำกิจกรรมเรื่องแพทย์แผนไทยมาโดยตลอด ก็ให้มาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ หรือ นพ.สุพรรณ เป็นผู้ที่ทำหน้าที่เรื่องอัตรากำลังคนและเขตบริการสุขภาพมาโดยตลอด ก็มีความเหมาะสมกับอธิบดีกรมการแพทย์ที่ต้องดูแลเรื่องของกำลังคน และยังมีความทับซ้อนในเรื่องของงานวิชาการและงานบริการอยู่” รมว.สาธารณสุข กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยากชี้แจงทุกตำแหน่งเป็นรายบุคคล เพราะจะเป็นการวิจารณ์การทำงาน แต่เชื่อว่าตำแหน่งอธิบดี เป็นตำแหน่งบริหาร ไม่ว่าจะไปดำรงตำแหน่งในกรมไหนก็ต้องทำได้ทั้งหมด
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า เบื้องต้นได้ชี้แจงกับผู้บริหารทุกคนแล้วว่า การทำงานจะต้องมีการวัดผลและประเมินผล (KPI) ทุก 3 เดือน และ 6 เดือน โดย 3 เดือนแรกจะเป็นการพิจารณาว่ามีอะไรบ้างจะต้องปรับเปลี่ยน ส่วน 6 เดือนหากไม่สามารถทำงานได้ตาม KPI อย่างเป็นรูปธรรม ก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินงานมา 1 ปี เรื่องการประเมินผลยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ตำแหน่งอธิบดีบางตำแหน่งที่มีการโยกย้าย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับไม่ผ่านการประเมิน KPI แต่เห็นว่าสามารถทำงานที่เกี่ยวเนื่องกันได้ โดยการสลับตำแหน่งก็เพื่อไปต่อยอดการทำงาน
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวด้วยว่า สำหรับตำแหน่งรองปลัด สธ.ที่จะเข้ามาดูเรื่องเขตบริการสุขภาพ ให้เป็นไปตามที่ ปลัด สธ.พิจารณาเสนอมา ซึ่งขณะนี้ต้องการผู้ที่มีความรู้เรื่องระบบการเงินการคลัง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญต่อระบบสุขภาพของประเทศ เนื่องจากต้องดูแลกองทุนต่างๆ ทั้งข้าราชการท้องถิ่น แรงงานต่างด้าว การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการจัดเขตบริการสุขภาพ จึงจำเป็นต้องมีการวางระบบการเงินการคลังที่ดี
       
       อนึ่ง ตำแหน่งอธิบดีสังกัด สธ.ที่จะมีการเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย. 2556 ประกอบด้วย 1.พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ 2.นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ 3.นพ.สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ส่วนกรมที่ไม่มีการแต่งตั้งโยกย้ายคือ นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และ นาวาอากาศตรี นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัตน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
       
       อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กแพทย์ชนบท ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์การโยกย้ายซี 10 ของ สธ.ว่า โยกย้ายสายฟ้าแลบ ประดิษฐขยับเก้าอี้ซี 10 เป็นเก้าอี้ดนตรี ใครไปอยู่ไหนดูเอาเองครับ ที่ชัดๆ ก็เช่น รองปลัดนิทัศน์ รายวา ที่ภาพพจน์ใกล้ชิดแพทย์ชนบทและหัวใจมีแต่ primary care ถูกลดชั้นมาเป็นผู้ตรวจ ส่วนหมอทรงยศ ผู้ตรวจที่ไม่จัดเงินเพิ่มให้โรงพยาบาลที่ไม่ทำ P4P ในเขต 3 นั้น ได้รับการปูนบำเหน็จเลื่อนชั้นเป็นรองปลัดคู่ใจของปลัดณรงค์ หมอสุพรรณ รองปลัด สธ.ที่สั่งแล้วทำได้ทุกอย่างก็ได้รับการส่งเสริมให้เป็น อธิบดีกรมการแพทย์ หรือคิดอีกนัยหนึ่งคือ หมดสภาพแล้วเลยต้องเอาไปอยู่ที่ไหนสักที่ให้เป็นการตอบแทน หมออำนวย กาจีนะ จากผู้ตรวจมาเป็นรองปลัด คงเพราะสุพรรณน่วมแล้ว เอามาเป็นม้าใช้แทนหมอสุพรรณ และหมออภิชัย มงคล ที่เคยออกหนังสือห้ามประชุมที่หน้าบ้านนายกฯจนโดนด่าเสียสูญได้เลื่อนขั้นจากผู้ตรวจราชการ สธ.เป็น อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ งานนี้พรรคพวกและคนที่ยอมซูฮกได้ดิบได้ดีเป็นทิวแถว
       
       ส่วนเราแพทย์ชนบทและผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนทุกท่าน ก็รักษาฐานที่มั่นในชนบทต่อไปให้มั่นคง ใครมาใครไปเราไม่ว่า แต่หากมีนโยบายเพี้ยนๆ ออกมาเราก็ค้านลุดลิ่มทิ่มประตูครับ ศึกนี้ยังอีกยาวไกล

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 สิงหาคม 2556

6628
 1. มือดีแพร่คลิปอ้างอัลกออิดะห์ขู่ฆ่า “ทักษิณ” ล้างแค้นแทนชาวมุสลิมภาคใต้ที่ถูกสังหาร ชี้ เวลาของ “ทักษิณ” หมดแล้ว!

       เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ได้มีผู้ใช้นามว่า mansoor ahmed Volvo โพสต์คลิปวิดีโอลงในเว็บไซต์ยูทูบ โดยใช้หัวข้อว่า “Al-Qaeda video against former Thailand Prime Minister Thaksin Shinawatra.” ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “คลิปวิดีโอจากอัลกออิดะห์เพื่อต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร” โดยมีความยาวประมาณ 2.45 นาที จำนวน 2 คลิป ซึ่งมีเนื้อหาเหมือนกัน
       
       สำหรับเนื้อหาในคลิป ถูกแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็นภาพชายในชุดเสื้อคลุมคล้ายชาวอาหรับพร้อมผ้าคลุมหน้า โดยชายคนหนึ่งถืออาวุธปืน ขณะที่อีกคนถือกระดาษที่พิมพ์ภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ผู้หลบหนีคำพิพากษาโทษจำคุก 2 ปีของศาลฎีกาฯ ขณะที่ชายคนกลางอ่านแถลงการณ์เป็นภาษาต่างประเทศ ส่วนช่วงที่ 2 ของคลิปเป็นภาพชายสวมชุดคลุมสีขาวเปิดหน้า หนวดเคราเฟิ้ม พร้อมชูภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่มีเสียงภาษาอังกฤษอ่านประกอบ แปลความเป็นภาษาไทยว่า “ทักษิณ ชินวัตร เวลาของคุณหมดลงแล้ว สิ่งที่คุณได้ทำไว้กับพี่น้องชาวมุสลิมของเราในภาคใต้ของประเทศไทย ตอนนี้ถึงเวลาต้องชำระความแล้ว คุณได้สังหารพี่น้องชาวมุสลิมของเราในภาคใต้ของไทย และคุณได้สั่งให้มีการโจมตีมัสยิดกรือเซะ ในเมืองไทยในการลุกฮือขึ้นเมื่อปี ค.ศ.2004 และฆ่าชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์ และตอนนี้คุณก็ยังดำเนินนโยบายอันชั่วร้ายในภาคใต้ของไทย ผ่านรัฐบาลหุ่นเชิดที่ดำเนินการโดยน้องสาวของคุณ คุณจะเห็นทีมล่าสังหาร (Dead Squad) ด้านหลังของผม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราขอแจ้งเตือนคุณไว้ก่อนว่า เราจะพยายามสังหารคุณทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าที่ไหนในโลก คุณจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เราจะฆ่าคุณเพื่อล้างแค้นให้กับพี่น้องชาวมุสลิมของเรา และเราขอเรียกร้องให้ชาวมุสลิมทั้งหมดทุกชาติในโลกให้จดจำคุณและสังหารคุณในทุกที่ ...”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า คลิปดังกล่าวถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 64 ปี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ พอดี แต่ยังไม่แน่ชัดว่า คลิปดังกล่าวว่ามาจากอัลกออิดะห์ องค์กรก่อการร้ายระดับโลกจริงหรือไม่
       
       2. วิป รบ. เมินม็อบต้าน ดันสภาพิจารณาร่าง กม.นิรโทษฯ 7 ส.ค. ด้าน ปชป. ขู่ยื่นศาล รธน. ขณะที่ อพส. ย้ำ ชุมนุม 4 ส.ค.!

       เมื่อวันที่ 24 ส.ค. คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) ได้ประชุมเพื่อลงมติว่าหลังสภาเปิดสมัยประชุมสามัญทั่วไปในวันที่ 1 ส.ค.แล้ว จะมีการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับใดก่อน ซึ่งชัดเจนว่า วันที่ 1 ส.ค.จะไม่มีการพิจารณาร่างกฎหมาย เพราะต้องพิจารณากระทู้ถามและกระทู้ถามสด ส่วนวันที่ 7-8 ส.ค. มีปัญหาว่า จะพิจารณาร่างกฎหมายฉบับใดก่อน ระหว่างร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย หรือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาของ ส.ว. ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 คาดว่าจะเข้าที่ประชุมสภาในวันที่ 14-15 ส.ค. ส่วนร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จะเข้าสู่วาระในวันที่ 21-22 ส.ค.
       
       ด้านนายวรชัย เหมะ พยายามผลักดันให้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เป็นวาระแรกในวันที่ 7 ส.ค. โดยอ้างว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน พร้อมชี้ว่า กลุ่มที่คัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษฯ ก็หน้าเดิมๆ ดังนั้นรัฐบาลไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ถ้ารัฐบาลจะล้มก็ให้รู้ไป ซึ่งในที่สุด วิปรัฐบาลได้มีมติให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เป็นวาระแรกในการประชุมสภาฯ วันที่ 7 ส.ค. โดยอ้างว่า เพราะเป็นวาระที่ได้เลื่อนค้างไว้ตั้งแต่สมัยประชุมที่ผ่านมา พร้อมย้ำว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ในวันดังกล่าวจะเป็นการประชุมวาระ 1 คือรับหลักการเท่านั้น ส่วนจะนำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับอื่นมาร่วมพิจารณาด้วยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสมาชิก
       
       ด้านพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ไม่เห็นด้วยกับมติของวิปรัฐบาล จึงได้ประกาศจุดยืนของพรรคฯ ว่า การเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ จะเป็นชนวนสร้างความรุนแรงในประเทศ ดังนั้นพรรคฯ ขอยืนยันจุดยืนเดิมให้รัฐบาลถอนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษฯ 6 ฉบับออกจากวาระการประชุมสภา จากนั้นให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพในการหารือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อหาทางออกให้ประเทศ สำหรับแนวทางในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ นั้น พรรคฯ จะประชุม ส.ส.เพื่อหาข้อสรุปในวันที่ 31 ก.ค. พร้อมย้ำว่า พรรคฯ ไม่ได้มีส่วนในการปลุกม็อบให้มาชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาเพื่อต่อต้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ แต่อย่างใด
       
       ส่วนกรณีที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ต่อที่ประชุมพรรค เพื่อส่งประกบเข้าไปพิจารณาในสภาฯ โดยมีเนื้อหาคล้ายร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับประชาชนของคนเสื้อแดงที่เสนอโดยนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 แต่มีการเพิ่มเติมเนื้อหา 3 ประเด็น คือ ขยายเวลาการนิรโทษฯ ให้ครอบคลุมถึงปี 2548 ,ไม่นิรโทษฯ ให้กับความผิดที่จงใจก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินราชการและเอกชน และไม่นิรโทษฯ ความผิดในคดีทุจริตและคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ปรากฏว่า มติพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยที่จะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ประกบเข้าไปพิจารณาในสภาฯ เนื่องจากเห็นว่า ควรถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ทุกฉบับออกจากสภามากกว่า แล้วมาหาทางออกให้กับประเทศร่วมกัน ซึ่งนายอลงกรณ์ไม่ได้ติดใจและพร้อมทำตามมติพรรค ด้วยการไม่ใช้สิทธิ ส.ส.เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ของตนเข้าสภาฯ
       
       ทั้งนี้ การที่รัฐบาลพยายามเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ให้ผ่านสภา โดยไม่สนใจจะแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีของรัฐบาลต่อสภาฯ ก็ส่งผลให้นายศรีสุวรรณ จรรยา ในฐานะเลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพราะการไม่ยอมรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลต่อรัฐสภาภายในกำหนด 1 ปี ถือว่าฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 และผิดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2551 ถือเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง จึงเป็นอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินที่จะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ดำเนินการตามมาตรา 270 เพื่อส่งเรื่องให้วุฒิสภาใช้อำนาจถอดถอนต่อไป
       
       ขณะที่นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เผยว่า วันที่ 30 ก.ค. คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) จะประชุมหารือกรณีที่สภาจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เป็นวาระแรก เพราะขณะนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ เกรงว่าวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสภาฯ วันแรก จะมีการรวบรัด อาศัยจังหวะที่ผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ ยังไม่มา เร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ทันที โดยเชื่อว่าการกำหนดพิจารณาร่างดังกล่าวในวันที่ 7 ส.ค. เป็นเพียงเกมหลอกเท่านั้น นายบุญยอด ยังเตือนด้วยว่า หากมีการพิจารณากฎหมายดังกล่าวจริง จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความแน่นอน เพราะร่างกฎหมายฉบับนายวรชัย มีผู้เซ็นชื่อสนับสนุน 7-8 คน ที่เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย คนเหล่านี้มีสิทธิเสนอกฎหมายนิรโทษฯ ที่ตัวเองมีส่วนได้เสียหรือไม่ จะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่
       
       สำหรับความเคลื่อนไหวของ “แนวร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” ที่เตรียมชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ทางแกนนำกลุ่ม ได้แก่ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ,พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ อดีตแกนนำเครือข่ายคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน และนายไทกร พลสุวรรณ ได้ประชุมและออกแถลงการณ์ให้กองทัพประชาชนฯ ในแต่ละจังหวัด จัดตั้งมวลชนเพื่อมาเข้าร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 4 ส.ค. และว่า การชุมนุมครั้งนี้เป็นการโค่นล้มระบอบทักษิณ จึงให้แต่ละจังหวัดเตรียมความพร้อมสูงสุดในการระดมมวลชนเข้าร่วมเป็นระยะ ส่วนสถานที่ชุมนุมนั้น ยังไม่ขอเปิดเผย เพราะเกรงว่ารัฐบาลจะขัดขวางการชุมนุม
       
       ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) ก็เตรียมกำลังไว้รับมือม็อบแล้ว โดยบอกว่า บช.น.เตรียมกำลังไว้ 9 กองร้อย พร้อมกำลังเสริมอีก 9 กองร้อย เพื่อรับมือผู้ชุมนุมกลุ่ม อพส.และกลุ่มต่างๆ ที่นัดชุมนุมในวันที่ 4 ส.ค. และว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาคต่างๆ นำกำลังมาเสริมด้วย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ยังพูดเหมือนขู่ผู้ชุมนุมด้วยว่า “ไม่มีอีกแล้วที่จะไปยึดทำเนียบฯ ปิดรัฐสภา เป็นม็อบอันธพาลแบบเก่า ไม่มีอีกแล้ว ต้องอยู่ในจุดที่กำหนดไว้ แต่ม็อบที่จะไปปิดล้อมไม่ให้เขาเข้า ต้องไม่มี ต้องอยู่ในกรอบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเข้าไปทำหน้าที่ตามกฎหมาย คุณจะไปปิดไม่ให้เขาเข้าเพื่ออะไร เรื่องนี้ใครผิดก็ว่ากันไป”
       
       ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ออกมายืนยันว่า คนเสื้อแดงจะไม่ไปยุ่งกับผู้ชุมนุมกลุ่ม อพส.ในวันที่ 4 ส.ค.แน่นอน “ตอนนี้สถานการณ์การเมืองดั่งสงคราม ดังนั้น เราขอแสดงจุดยืนบอกพี่น้องเสื้อแดงว่า จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นของกลุ่มกองทัพสนามม้าแม้แต่คนเดียว ให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของตำรวจเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีการเผชิญหน้ากับกลุ่มเหล่านี้ที่จะใช้พวกเราเป็นเครื่องมือในการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เพื่อจะล้มกระดาน”
       
       ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พูดถึงกรณีที่พันธมิตรฯ เคยประกาศว่า ถ้ามีการนำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เข้าสภาเมื่อใด พันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหว โดยยืนยันว่า ตนและแกนนำพันธมิตรฯ คนอื่นๆ จะไม่ออกมาชุมนุม เนื่องจากเคยถูกพรรคประชาธิปัตย์เอาเชือกมาแขวนคอไว้ เรื่องคดีสนามบิน ทำเนียบฯ และรัฐสภา หากออกมาชุมนุม ศาลอาญาก็จะเรียกพวกตนไปไต่สวนทันที หากเขาเห็นว่าผิดเงื่อนไขการประกัน ก็จะถอนประกัน แล้วคดีนี้ต้องสู้กัน 10 ปี แสดงว่าพวกตนต้องสู้คดีในคุก 10 ปีใช่หรือไม่
       
       ทั้งนี้ นายสนธิ ย้ำว่า ประเด็นที่พันธมิตรฯ ไม่เห็นด้วยในการออกกฎหมายมี 2 ประเด็น คือ ให้คนทำผิดมาตรา 112 คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพ้นโทษ และการแปรญัตติเพื่อให้ทักษิณพ้นผิด โดยประเด็นมาตรา 112 เป็นหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่า ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อะไรสำคัญกว่า ส่วนพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายสนธิ เชื่อว่า ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดแล้ว เพราะไม่มีความจริงใจต่อประชาชน ถ้าอยากแสดงให้เห็นว่าจริงใจ ต้องลุกขึ้นมาประกาศเลยว่าการเมืองแบบนี้ไม่เล่น และไถ่โทษด้วยการลาออกจาก ส.ส.ให้หมดทุกคน แล้วมาเล่นการเมืองภาคประชาชนไปเลย
       
       นายสนธิ ยังพูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยว่า วันนี้ บุญเก่าของทักษิณหมดแล้ว ต้องมารับกรรมเก่าของตัวเอง ทุกวันนี้ทักษิณพยายามสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ ซึ่งช่วยไม่ได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดหนีกรรมพ้น “ผมเชื่อว่า พ้นวันเกิดเขาวันนี้(26 ก.ค.)แล้ว กรรมจะเริ่มโหมกระหน่ำเข้ามาแล้ว คอยดูจะมีอะไรที่ประหลาดๆ เกิดขึ้นกับทักษิณ ผมเชื่ออย่างมาก แล้วคนที่ร่วมหัวจมท้ายกับทักษิณ ข้าราชการที่ไปหาทักษิณ ตำรวจ ทหาร ข้าราชการหลายคน รวมทั้ง ส.ส.ที่บินไปหาทักษิณ จะฉิบหายกันหมด”
       
       ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อัดคลิป “เปิดใจทักษิณ 64 ปี” ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิดเมื่อวันที่ 26 ก.ค.โดยบอกว่า 7 ปีที่ต้องระหกระเหินอยู่ต่างประเทศ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือได้รู้ได้เห็นเยอะ แต่ข้อเสียคือคิดถึงครอบครัว คิดถึงแผ่นดินไทย และว่า อยากเห็นประเทศกลับสู่ความปรองดอง ตนพร้อมเสียสละ “ผมจะกลับบ้านปีไหนไม่เป็นไร แต่ความปรองดองกลับสู่ประเทศไทยเมื่อไร จะถือเป็นความสุขที่สุดยอด เพราะผมคิดเอาชาติบ้านเมืองก่อน เรื่องตัวเองไม่ใช่เรื่องสำคัญ ผมถือว่าบ้านเมืองเป็นหลัก พี่น้องประชาชนเป็นหลัก ดังนั้น ผมพร้อมเสียสละ”
       
       3. แบดไทยฉาวทั่วโลก อดีตคู่หูนรกแตก “อาร์ท-เอ” ไล่ชกกันนัวกลางสนามแข่งที่แคนาดา ด้านสหพันธ์แบดฯ โลก ตั้งข้อหาหนัก -ให้ทั้งคู่แจงภายใน 30 ก.ค.!

       วงการแบดมินตันไทยเกิดเรื่องฉาวไปทั่วโลก เมื่ออดีตคู่หู บดินทร์ อิสระ หรือ อาร์ท และมณีพงศ์ จงจิตร หรือ เอ วิ่งไล่ต่อยกันในสนาม ระหว่างการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศชายคู่ “โยเน็กซ์ แคนาดา โอเพ่น” ที่ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 22 ก.ค.
       
       สำหรับการแข่งขันดังกล่าว เอ-มณีพงศ์ จับคู่กับนิพิฐพนธ์ พวงพั่วเพชร หรือ ต้นน้ำ และอาร์ท-บดินทร์ จับคู่กับ ภควัฒน์ วิไลลักษณ์ หรือ ท็อป โดยหลังจบเกมแรก คู่มณีพงศ์ชนะไปก่อน 21-12 แต่ระหว่างเกม เอ-มณีพงศ์ กับอาร์ท-บดินทร์ ยั่วโมโหกันตลอด จากนั้นระหว่างสลับแดนก่อนเริ่มเกมสอง อาร์ท-บดินทร์ ได้เปิดฉากต่อยเอ-มณีพงศ์ เมื่อเอวิ่งหนี อาร์ทก็วิ่งตาม ก่อนที่เอจะใช้แร็กเก็ตฟาดเข้ากกหูขวาของอาร์ท จนเลือดออก ส่งผลให้อาร์ทวิ่งไล่ตามด้วยความไม่พอใจ โดยช่วงหนึ่งอาร์ทได้หยิบเก้าอี้ทุ่มใส่เอ แต่ไม่ถูก ก่อนจะวิ่งไล่ต่อ กระทั่งวิ่งตามทันและยื้อยุดจนเอล้มลง จากนั้นอาร์ทได้ระดมต่อยและเตะเอ กระทั่งเจ้าหน้าที่ทีมไทยรีบเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน ด้านกรรมการตัดสินใจยกเลิกการแข่งขัน และให้คู่ของเอ-มณีพงศ์ ชนะฟาวล์ไป
       
       ทั้งนี้ ได้มีผู้เผยแพร่คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวสู่สายตาคนทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ยูทูบ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และกระทบต่อชื่อเสียงของประเทศไทย หลังเกิดเหตุ เอ-มณีพงศ์ ได้ให้สัมภาษณ์ข้ามประเทศว่า อาร์ท-บดินทร์ เป็นฝ่ายลงมือก่อน
       
       ด้านอาร์ท-บดินทร์ ได้ถ่ายคลิปเปิดใจขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ผมขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากโดนแร็กเก็ตฟาดหูจนเลือดออก หูฉีก ทำให้ขาดสติ ผมต้องขอโทษแฟนๆ ชาวไทยที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงประเทศชาติ ขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ขอให้เรื่องจบลงแค่ตรงนี้”
       
       ขณะที่นางยาใจ อิสสระ มารดาของอาร์ท-บดินทร์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยน้ำเสียงสะอื้น หลังเดินทางจาก จ.อุตรดิตถ์ มารับลูกชายที่เดินทางกลับจากแคนาดาเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 24 ก.ค.ว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยอมรับว่า อาร์ทเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าผิดทั้งคู่ พร้อมวิงวอนให้สังคมให้อภัยและให้ความยุติธรรมกับลูกชาย
       
       ด้านสหพันธ์แบดมินตันโลก(BWF) ได้ลงมติต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 25 ก.ค. โดยตั้งข้อหาทั้งอาร์ท-บดินทร์ และเอ-มณีพงศ์ สำหรับอาร์ทถูกตั้งข้อหา 5 ข้อ คือ 1. การแสดงออกไม่เหมาะสมหลายอย่าง 2. การด่าทอหรือการใช้วาจาไม่สุภาพ 3.การทำร้ายร่างกาย 4.การแสดงออกที่ไม่เหมาะสมกับวินัยนักกีฬา และ 5.การประพฤติตนเป็นการเสื่อมเสียต่อเกมแบดมินตัน ส่วนเอ-มณีพงศ์ ถูกตั้งข้อหา 3 ข้อ คือ 1.การแสดงออกไม่เหมาะสม 2.การด่าทอหรือการใช้วาจาไม่สุภาพ และ 3.การแสดงที่ไม่เหมาะสมกับวินัยนักกีฬา ทั้งนี้ ทางสหพันธ์ฯ ให้อาร์ทและเอส่งเอกสารชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อทางสหพันธ์ฯ ภายในวันที่ 30 ก.ค. จากนั้นสหพันธ์ฯ จะตัดสินโทษในวันที่ 2 ส.ค.
       
       ขณะที่คณะกรรมการบริหารสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ได้ประชุมพิจารณาโทษอาร์ท-บดินทร์ และเอ-มณีพงศ์แล้วเมื่อวันที่ 27 ก.ค. โดย ศ.เจริญ วรรธนะสิน นายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย เผยผลประชุมว่า “คณะกรรมการของสมาคมได้พิจารณาโทษดังต่อไปนี้คือ 1.บดินทร์ อิสระ มีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ซึ่งถือเป็นโทษที่ร้ายแรง โดนแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับแบดมินตันทั้งในและต่างประเทศตลอดชีวิต แต่เนื่องจากได้ทำผลงานให้ไทยมีชื่อเสียง และสารภาพ ทำให้โทษลดเหลือ 2 ปี ขณะที่มณีพงศ์ จงจิตร ที่ไม่ได้ทำร้าย แต่มีเจตนายั่วยุผู้อื่นให้ก่อเหตุทะเลาะวิวาท โดนแบนห้ามลงแข่งขันทั้งในและต่างประเทศเป็นเวลา 6 เดือน แต่เนื่องจากทำผลงานทำให้ไทยมีชื่อเสียง และยอมรับความผิด โดนลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ 3 เดือน และโดนภาคทัณฑ์อีกด้วย"
       
       ทั้งนี้ นางรุ่งนภา พินทุวัฒน์ ผู้จัดการแบดมินตันทีมชาติไทย และนายศิริพงษ์ ศิริกูล โค้ชของสมาคมฯ ก็โดนลงโทษเช่นกัน โดยห้ามคุมทีมเป็นเวลา 3 เดือน เนื่องจากไม่สามารถควบคุมนักกีฬาได้ ขณะที่นายเจน ปิยะทัต ประธานสโมสรแกรนนูลาร์ ต้นสังกัดของอาร์ท-บดินทร์ ก็โดนลงโทษเช่นกันแต่หนักกว่า เนื่องจากฝั่งแกรนนูลาร์เป็นฝ่ายเริ่มกระทำก่อน จึงโดนห้ามคุมนักกีฬาไปแข่งขันเป็นเวลา 6 เดือน อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ทุกคนที่โดนลงโทษสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่คณะกรรมการบริหารสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทยจะประชุมพิจารณาโทษอาร์ท-บดินทร์ และเอ-มณีพงศ์ ได้มีการเชิญทั้งคู่มารับทราบข้อกล่าวหาของทางสหพันธ์แบดมินตันโลก จากนั้นอาร์ทและเอได้จับมือกันพร้อมกล่าวขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน โดยอาร์ท บอกว่า “ผมต้องขอโทษเออีกครั้ง ขอโทษนายกสมาคมฯ เลขาธิการฯ และคนไทยทุกคนที่ทำให้เสียชื่อเสียงของประเทศชาติ” ขณะที่เอ ก็ได้กล่าวทำนองเดียวกันว่า “ผมต้องขอโทษคนไทย คนในวงการแบดมินตันไทย แบดมินตันแคนาดา ที่ผมได้ทำเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อประเทศชาติ” พร้อมกันนี้ เอ ยังยอมรับด้วยว่า ได้มีการยั่วยุในเกมนัดชิงชนะเลิศจริง “ผมยอมรับว่าได้มีการยั่วยุในเกมดังกล่าวจริง และแจกกล้วยให้บดินทร์ ตามที่มีคนได้แจ้งมา เนื่องจากตนต้องการทำลายสมาธิคู่ต่อสู้ ก่อนจะเกิดเหตุวุ่นวายตามมา”
       
       อนึ่ง อาร์ท-บดินทร์ และ เอ-มณีพงศ์ เคยเป็นคู่หูนักแบดมินตันไทยประเภทชายคู่ และร่วมกันสร้างชื่อเสียงโด่งดังทะลุเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ กีฬาโอลิมปิกเกมส์ ฤดูร้อน 2012 “ลอนดอนเกมส์” เมื่อเดือน ส.ค.2555 ก่อนพ่ายให้กับอดีตคู่มือหนึ่งของโลกจากมาเลเซีย และด้วยสไตล์การเล่นของทั้งคู่ที่ดุดัน หนักหน่วง และรวดเร็ว ทำให้ได้รับฉายาจากแฟนกีฬาชาวไทยว่า “คู่หูนรกแตก” อย่างไรก็ตาม หลังจบโอลิมปิกเกมส์ 2012 มีข่าวว่าทั้งคู่แตกคอกันอย่างรุนแรง จนต่างประกาศแยกทางกัน เป็นอันปิดฉากคู่หูนรกแตกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
       
       4. อย. แนะ ซาวข้าวช่วยลดสารตกค้าง ด้านเครือข่ายต้านสารเคมี ยัน ไม่จริง เหตุสารซึมลึกถึงโมเลกุล ขณะที่สมาคมข้าวถุง ลั่น กินแล้วตาย จ่าย 20 ล้าน!

เครือข่ายต่อต้านสารเคมีฯ ยืนยัน การล้างข้าวหรือซาวข้าว ไม่สามารถขจัดสารตกค้างโบรไมด์ไอออนที่เมล็ดข้าวได้ตามที่ อย.ระบุ เพราะสารซึมลึกถึงระดับโมเลกุล

       เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เผยว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงฉบับใหม่ เพื่อกำหนดค่าตกค้างของสารคมควัน 3 ชนิดในข้าวสารบรรจุถุง ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีการกำหนดค่ามาตรฐานในข้าวสารมาก่อน โดยกำหนดให้สารไฮโดรเจน ฟอสไฟด์ มีปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดไม่เกิน 0.1 มิลลิกรัมของสารต่อ 1 กิโลกรัมของอาหาร(พีพีเอ็ม) ,สารเมทิล โบรไมด์ ไม่เกิน 0.01 พีพีเอ็ม และสารซัลเฟอริล ฟลูออไรด์ ไม่เกิน 0.1 พีพีเอ็ม พร้อมย้ำว่า ทั้งหมดนี้เป็นไปตามมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ(CODEX)
       
        ภญ.ศรีนวล ยังยืนยันด้วยว่า การแนะนำให้ประชาชนล้างข้าวหรือซาวข้าว สามารถขจัดโบรไมด์ไอออนได้แน่นอน ซึ่งจากการทดลองพบว่า ในการซาวข้าวครั้งแรก โบรไมด์ไอออนหายไปถึง 85% ยังไม่รวมการนำไปหุง ซึ่งจะละลายโบรไมด์ไอออนได้อีก
       
        อย่างไรก็ตาม น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานมูลนิธิชีววิถี เครือข่ายต่อต้านสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ได้ออกมาแย้งว่า การล้างข้าวหรือซาวข้าว ไม่สามารถขจัดโบรไมด์ไอออนที่เมล็ดข้าวได้ “การแนะนำให้ประชาชนป้องกันตัวเองด้วยการล้างข้าวหรือซาวข้าวนั้น ไม่สามารถขจัดโบรไมด์ไอออนได้แน่ เพราะมันซึมลึกอยู่ในระดับโมเลกุล ซึ่งการตรวจสอบยังต้องเอาเมล็ดข้าวไปเผา เพื่อสกัดโบรไมด์ไอออนออกมา”
       
        น.ส.ปรกชล ยังบอกด้วยว่า การที่ อย.จะกำหนดปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด(MRL) สารเมทิล โบรไมด์ ให้ไม่เกิน 0.01 พีพีเอ็ม ถือว่าน้อยกว่าค่ามาตรฐานโลกมาก และอาจจะน้อยที่สุดในโลกก็ว่าได้ ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริง คงเป็นไปได้ยาก และไม่แน่ใจว่าประเทศไทยมีเทคโนโลยีรองรับการตรวจถึงระดับ 0.01 พีพีเอ็มแล้วหรือยัง
       
        ด้านนายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย พยายามเรียกความเชื่อมั่นให้กับการบริโภคข้าวถุงด้วยการประกาศว่า เพื่อให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในข้าวบรรจุถุง สมาคมพร้อมจ่ายเงินให้ 20 ล้านบาท หากผู้ใดบริโภคข้าวสารบรรจุถุงของสมาชิกสมาคมและเสียชีวิตจากสารเมทิลโบรไมด์

ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 กรกฎาคม 2556

6629
1. “วสันต์” ไขก๊อกประธาน-ตุลาการศาล รธน. มีผล 1ส.ค. ยัน ทำตามสัญญา-ไม่เกี่ยวการเมือง เตรียมสรรหาตุลาการฯ ใหม่ใน 30 วัน!

       เมื่อวันที่ 16 ก.ค. มีข่าวสะพัดว่า นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งแล้ว ซึ่งต่อมา นายวสันต์ ออกมายอมรับว่า ได้ยื่นหนังสือลาออกจริง และแจ้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ส่วนเหตุผลที่ลาออก เนื่องจากได้ให้คำมั่นสัญญากับคณะตุลาการฯ ว่า จะดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญไม่เกิน 2 ปี หรือจนกว่าจะเสร็จภารกิจงานคดีต่างๆ และว่า จริงๆ แล้วจะลาออกตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ขณะนั้นมีกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(กวป.) มาชุมนุมที่หน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และโจมตีการทำงานของคณะตุลาการฯ จึงเลื่อนการลาออกมาเป็นวันที่ 1 ส.ค. เพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นทางการเมือง อีกทั้งได้เสร็จสิ้นภารกิจที่ตั้งใจไว้ พร้อมย้ำว่า การลาออกครั้งนี้ไม่ใช่การลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียว แต่ลาออกจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย
       
       ทั้งนี้ วันต่อมา(17 ก.ค.) นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ ได้แถลงยืนยันการลาออกของนายวสันต์ พร้อมเผยเหตุผลที่ลาออกเนื่องจากนายวสันต์ได้ปฏิบัติภารกิจที่ตั้งใจไว้ลุล่วงแล้ว คือ 1.เร่งรัดพิจารณาคดีที่ค้างในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จใน 1 ปี ซึ่งเมื่อต้นปี 2555 สำนักงานฯ มีคดีที่ค้างอยู่ถึง 123 คดี แต่ขณะนี้พิจารณาเสร็จสิ้นไปแล้วถึง 109 คดี ยังมีที่ค้างอยู่แค่ 30 คดีเท่านั้น 2.ปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญให้รองรับภารกิจ 3.เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพัฒนาภาพลักษณ์ขององค์กร และให้ประชาชนมีความเข้าใจ โดยงานบางส่วนเสร็จสิ้นแล้วตามที่นายวสันต์ได้สัญญาไว้เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 24 ส.ค.2554 ว่าจะอยู่ปฏิบัติภารกิจดังกล่าวให้แล้วเสร็จไม่เกิน 2 ปี และว่า สำนักงานฯ ได้มีหนังสือแจ้งประธานวุฒิสภาถึงการลาออกของนายวสันต์แล้วเมื่อวันที่ 16 ก.ค.
       
       นายพิมล ยืนยันด้วยว่า การลาออกของนายวสันต์ไม่เกี่ยวกับแรงกดดันทางการเมือง และว่า หลังจากนี้นายวสันต์จะใช้เวลาในการเขียนพ็อกเกตบุ๊กเกี่ยวกับชีวิตการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2-3 เดือน ส่วนคดีที่สำคัญในขณะนี้ เช่น คำร้องที่ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และการพิจารณาสมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายพิมล ยืนยันว่า คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เหลือทั้ง 8 คนจะพิจารณาต่อไป
       
       ทั้งนี้ คาดว่าหลังนายวสันต์ลาออก คณะตุลาการฯ จะเห็นชอบให้นายจรูญ อินทจาร ตุลาการฯ ที่อาวุโสสูงสุด ปฏิบัติหน้าที่ประธานในที่ประชุมไปจนกว่าจะมีประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ สำหรับกระบวนการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่แทนนายวสันต์นั้น เนื่องจากนายวสันต์มาจากผู้ทรงคุณวุฒิสายนิติศาสตร์ ดังนั้นตุลาการฯ คนใหม่จึงต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิสายนิติศาสตร์เช่นกัน โดยขั้นตอนการสรรหานั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 206 ระบุว่า ให้มีคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ,ประธานศาลปกครองสูงสุด ,ประธานสภาผู้แทนราษฎร ,ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญซึ่งเลือกกันเองให้เหลือ 1 คน เป็นกรรมการ ทำหน้าที่สรรหาและคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีเหตุให้ต้องเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งดังกล่าว จากนั้นให้ประธานวุฒิสภาเรียกประชุมวุฒิสภาเพื่อมีมติให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการคัดเลือกภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับรายชื่อ เมื่อวุฒิสภามีมติเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่แล้ว ตุลาการฯ คนใหม่ก็จะมาประชุมร่วมกับ 8 ตุลาการฯ เพื่อเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ ก่อนจะนำรายชื่อตุลาการฯ คนใหม่และประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ ในคราวเดียวกัน
       
       2. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่ง ผบ.ตร. ฟัน “คำรณวิทย์” กรณีบินพบ “ทักษิณ” ขณะที่เจ้าตัว อ้าง ถามแม่แล้วไม่ผิด ด้านเสื้อแดง ขู่จัดหนักผู้ตรวจการฯ !

       เมื่อวันที่ 14 ก.ค. มีรายงานข่าวจากสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ส่งหนังสือแจ้งนายจตุรันต์ บุญเบญจรัตน์ ผู้ช่วยผู้ประสานงานกลุ่มกรีน เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ในฐานะผู้ร้อง ที่ยื่นคำร้องขอให้ผู้ตรวจการฯ สอบกรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ที่เกาะฮ่องกง เพื่อให้ประดับยศ พล.ต.ท.ให้ เมื่อเดือน มิ.ย.2555 ว่าผิดจริยธรรมหรือไม่ โดยผู้ตรวจการฯ ได้มีมติส่งหนังสือไปยัง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.อมรินทร์ อัครวงษ์ จเรตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และประมวลจริยธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เนื่องจากผู้ตรวจการฯ ได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้เดินทางออกนอกประเทศเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2555 และเดินทางกลับในวันที่ 30 มิ.ย.2555
       
       ทั้งนี้ ผู้ตรวจการฯ เห็นว่า ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเป็นตำแหน่งที่สำคัญ การเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหนีคดีตามการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติยศของตำรวจ และอาจทำให้เกิดข้อครหาในกระบวนการยุติธรรม ผู้ตรวจการฯ จึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยจริยธรรมของผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552 มาตรา 38 ส่งเรื่องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้บังคับบัญชา ให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ภายใน 30 วัน ก่อนชี้แจงให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบต่อไป
       
       ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ พูดถึงเรื่องนี้ว่า แล้วแต่ผู้บังคับบัญชาจะพิจารณา แต่ส่วนตัวยืนยันว่า การให้ พ.ต.ท.ทักษิณติดยศให้เพราะมีความเคารพ และเป็นประเพณีอยู่แล้ว อย่างนายตำรวจจบใหม่ติดยศ ร.ต.ต. ก็ให้คนที่เคารพประดับยศให้ทั้งนั้น เพราะถือเป็นการให้เกียรติ และมองว่าไม่ผิดจริยธรรมแต่อย่างใด “ผมคุยกับแม่ผม และแม่ผมสอนเสมอเกี่ยวกับจริยธรรม ดังนั้นการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ติดยศให้ก็ไม่ได้ผิดอะไร และผมก็ถามแม่ผม ไม่ได้ไปถามแม่ใคร” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ยังบอกด้วยว่า “คนที่ร้องเรียนเรื่องนี้ ผมบอกได้เลยว่าไม่มีการโกรธเกลียดอะไรกัน แต่ขอให้ร้องเรียนและดำเนินการเร็วๆ หน่อย เพราะผมเหลือเวลารับราชการอีกเพียง 14 เดือนเท่านั้น”
       
       ขณะที่คนเสื้อแดงบางส่วนไม่พอใจการกระทำของผู้ตรวจการแผ่นดิน เช่น นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดงปทุมธานี จึงได้นำคนเสื้อแดงประมาณ 50 คน ไปยื่นหนังสือขอให้ผู้ตรวจการฯ หยุดดำเนินการเอาผิด พล.ต.ท.คำรณวิทย์ หาไม่แล้ว คนเสื้อแดงจะเดินทางมาจัดการกับผู้ตรวจการฯ ให้หนักกว่านี้ จะให้ออกจากตำแหน่งกันไปเลย นายวุฒิพงศ์ ยังนำภาพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขณะทรงประดับยศ พล.ต.ท.ให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ มาโจมตีผู้ตรวจการแผ่นดินด้วย พร้อมยืนยันว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ไม่ได้ทำอะไรผิด แค่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แตะบ่าเพื่อเป็นเกียรติเท่านั้น
       
       ทั้งนี้ นายวุฒิพงศ์ บอกด้วยว่า ภาพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขณะทรงประดับยศให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์นั้น มีขึ้นเมื่อวันที่ 8 ส.ค.2555 ในโอกาสที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โปรดเกล้าฯ ให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเข้าเฝ้าฯ เพื่อพระราชทานพระราโชบายแนวทางการปฏิบัติงานถวายความปลอดภัยและจราจรกรณีมีขบวนเสด็จ ในการนี้ พระองค์จึงทรงมีพระกรุณาประดับยศ พล.ต.ท.ให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เป็นการส่วนพระองค์ หลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ พล.ต.ท.แก่ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2555
       
       ด้านผู้สื่อข่าวตรวจสอบพบว่า ภาพที่ พ.ต.ท.ทักษิณประดับยศให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ นั้น มีขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2555 เช่นกัน แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ติดยศให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก่อนจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศหรือไม่ ทราบจากข่าวเพียงว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เดินทางออกจากประเทศไทยเพื่อไป พบ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.2555 และเดินทางกลับประเทศในวันที่ 30 มิ.ย.2555
       
       3. ป.ป.ช. มีมติ 6 ต่อ 2 ฟัน “หมอเลี้ยบ” พ่วงอดีตปลัดไอซีที-ผอ.สำนักอวกาศ ฐานแก้สัญญาสัมปทานดาวเทียมมิชอบเอื้อ “ชินคอร์ป”!

       เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ประชุมลงมติกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ได้ส่งเรื่องต่อ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2551 กล่าวหา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ,นายไกรสร พรสุธี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงไอซีที เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงไอซีที เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ว่า อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ(ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ป ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด(มหาชน) หรือบริษัท ไทยคม จำกัด(มหาชน) ในปัจจุบัน จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยมิชอบ
       
       ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติ 6 ต่อ 2 เสียงว่า การกระทำของนายไชยยันต์และนายไกรสรที่เสนอความเห็นให้มีการอนุมัติแก้ไขสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ด้วยการลดสัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปดังกล่าวตามความต้องการของทางบริษัทฯ เป็นการกระทำที่เอื้อต่อชินคอร์ป เพราะทราบดีอยู่แล้วว่า เหตุที่บริษัทดังกล่าวขอลดสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อหาพันธมิตรมาช่วยขยายศักยภาพในการแข่งขันให้มีความเข้มแข็งและมีเงินทุนเพียงพอในการดำเนินโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ ซึ่งการลดสัดส่วนดังกล่าว ทำให้ชินคอร์ป ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ไทยคมไม่ต้องระดมทุนหรือกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้นเพื่อรักษาสัดส่วนร้อยละ 51 ของตนเอง แต่กลับกระจายความเสี่ยงไปให้นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากนี้การลดสัดส่วนการถือหุ้นลงร้อยละ 11 ดังกล่าว ย่อมส่งผลให้ชินคอร์ปได้รับทุนคืนจากการขายหุ้นจำนวนดังกล่าวออกไปด้วย อีกทั้งการลดสัดส่วนการถือหุ้นยังส่งผลเป็นการลดทอนความมั่นคงและความมั่นใจในการดำเนินโครงการดาวเทียมของชินคอร์ป ในฐานะผู้ได้รับสัมปทานโดยตรงที่ต้องมีอำนาจควบคุมบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า การอนุมัติลดสัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปในบริษัท ไทยคม เป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ต่อชินคอร์ปและไทยคม ผู้รับสัมปทานจากรัฐโดยไม่สมควร
       
       คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังชี้ด้วยว่า การกระทำของ นพ.สุรพงษ์ในการอนุมัติแก้ไขสัญญาด้วยการลดสัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปดังกล่าว โดยไม่มีการเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบก่อน เป็นการกระทำที่มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ขณะที่การกระทำของนายไกรสรและนายไชยยันต์ ถือว่ามีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ด้วย
       
       ที่ประชุม ป.ป.ช.จึงมีมติให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยกับนายไกรสรและนายไชยยันต์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ 3 ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 92 และส่งให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. มาตรา 70 ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 10
       
       ทั้งนี้ มีกรรมการ ป.ป.ช. 1 คนขอถอนตัวไม่ร่วมพิจารณาคดีนี้ คือ นายกล้านรงค์ จันทิก เนื่องจากเคยพิจารณาเรื่องนี้เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการ คตส.
       
       4. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ตรวจพบข้าวถุงยี่ห้อ “โค-โค่” มีสารตกค้างเกินมาตรฐาน ด้าน อย.ชี้ เอาผิดไม่ได้ เหตุเป็นอาหารความเสี่ยงต่ำ!

       เมื่อวันที่ 16 ก.ค. น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้แถลงข่าวเรื่อง “ผลทดสอบข้าวสารถุงยี่ห้อไหนไม่มีสารเคมี” ว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ร่วมกับมูลนิธิชีววิถี และศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ ตรวจสารเคมีในข้าวสารบรรจุถุง 46 ตัวอย่าง จากยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ,คาร์บาเมต ,ยากันรา และสารรมควันข้าวเมทิลโบรไมด์ พบว่า ข้าวสาร 12 ยี่ห้อ ไม่พบสารตกค้าง ได้แก่ ลายกนก-ข้าวหอมมะลิ ,ข้าวพันดี-ข้าวขาว ,ธรรมคัลเจอร์-ข้าวหอม ,รุ้งทิพย์-ข้าวเสาไห้ ,บัวทิพย์-ข้าวหอม ,ตราฉัตร-ข้าวขาว ,ข้าวมหานคร-ข้าวขาว ,สุพรรณหงส์-ข้าวหอมสุรินทร์ ,เอโร่-ข้าวขาว ,ข้าวแสนดี-ข้าวหอมทิพย์ ,โฮมเฟรชมาร์ท-จัสมิน และชามทอง-ข้าวหอมมะลิ
       
       ส่วนอีก 34 ตัวอย่าง พบสารเมทิลโบรไมด์ ตั้งแต่ 0.9-67 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม(พีพีเอ็ม) โดยแบ่งเป็นระดับต่างๆ ดังนี้

1.ตกค้างน้อยมาก 0.9 พีพีเอ็ม มี 7 ตัวอย่าง ได้แก่ ช้างเผือก-ข้าวเสาไห้ ,cooking for fun-ข้าวหอมมะลิ ,ข้าวเบญจรงค์-ข้าวหอมมะลิ ,แฮปปี้บาท-ข้าวขาว ,เทสโก ตราคุ้มค่า-ข้าวหอม และ อคส.-ข้าวหอมมะลิ

2.ตกค้างน้อย 0.9-5 พีพีเอ็ม จำนวน 14 ตัวอย่าง ได้แก่ ข้าวอิ่มทิพย์-ข้าวขาว ,ชาวนาไทย-ข้าวเสาไห้ ,ข้าวแสนดี-ข้าวขาว ,ท็อปส์-ข้าวหอมมะลิ ,ตราเกษตร-ข้าวขาวหอม ,ฉัตรทอง-ข้าวหอมมะลิ ,ติ๊กชีโร่-ข้าวหอมมะลิ ,หงส์ทอง-ข้าวหอมมะลิ ,บิ๊กซี-ข้าวหอมปทุม ,ตราฉัตร-ข้าวหอมผสม ,โรงเรียน-ข้าวหอมมะลิ ,ฉัตรอรุณ-ข้าวหอมผสม ,ปทุมทอง-ข้าวหอมมะลิ และไก่แจ้เขียว-ข้าวหอมมะลิ
       
3.ตกค้างสูง คือระหว่าง 5-25 พีพีเอ็ม จำนวน 7 ตัวอย่าง ได้แก่ พนมรุ้ง-ข้าวขาว ,ท็อปส์-ข้าวหอมปทุม ,คุ้มค่า-ข้าวเสาไห้ ,เอโณ่-ข้าวหอม ,มาบุญครอง-ข้าวขาว ,ดอกบัว-ข้าวหอมมะลิ และปิ่นเงิน-ข้าวหอม

4.ตกค้างสูง คือระหว่าง 25-50 พีพีเอ็ม จำนวน 5 ตัวอย่าง ได้แก่ ถูกใจ-ข้าวขาว ,สุรินทิพย์-ข้าวหอมมะลิ ,ดอกบัว-ข้าวขาวตาแห้ง ,ตราดอกบัว-ข้าวเสาไห้ และข้าวแสนดี-ข้าวหอม และ

5.ตกค้างเกินมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ(CODEX) ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด 50 พีพีเอ็ม จำนวน 1 ตัวอย่าง คือ ข้าวยี่ห้อ “โค-โค่-ข้าวขาวพิมพา” โดยมีสารตกค้าง 67.4 พีพีเอ็ม
       
       สำหรับการตรวจสารพิษจากเชื้อราและคุณภาพข้าวถุงนั้น ยังไม่เสร็จ ทั้งนี้ น.ส.สารี ยืนยันด้วยว่า “การเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการดิสเครดิตธุรกิจหรือโจมตีรัฐบาล แต่ต้องการคุ้มครองผู้บริโภค โดยจะส่งผลการตรวจนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และเรียกร้องให้ อย. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยรายละเอียดชื่อยี่ห้อข้าวที่พบการปนเปื้อนด้วย”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแถลงผลการตรวจสอบสารเคมีในข้าวและพบข้าวยี่ห้อโค-โค่-ข้าวขาวพิมพา มีสารตกค้างเกินมาตรฐานฯ ปรากฏว่า นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการ อย. ได้นำคณะสื่อมวลชนไปตรวจโรงงานบริษัท สยามเกรนส์ จำกัด อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งรับจ้างบรรจุข้าวถุงยี่ห้อโค-โค่-ข้าวขาวพิมพา ของบริษัท เสถียรรุ่งเรืองมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ทั้งนี้ นพ.บุญชัย เผยว่า อย.เคยเก็บตัวอย่างข้าวยี่ห้อนี้ไปตรวจสารตกค้างแล้วเมื่อวันที่ 12 ก.ค. ซึ่งผลออกมาเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ว่า เกินมาตรฐาน 50 พีพีเอ็มเช่นกัน อย.จึงเข้าเก็บตัวอย่างข้าวยี่ห้อนี้เพื่อส่งตรวจซ้ำอีกครั้ง เนื่องจากหลักการตรวจสอบใดๆ ก็ตาม ต้องมีการตรวจซ้ำเพื่อยืนยัน
       
       ด้านนายชูศักดิ์ ว่องวิชชกร หัวหน้าด่านตรวจพืชท่าเรือกรุงเทพ กรมวิชาการเกษตร เผยว่า จากการตรวจสอบข้าวยี่ห้อโค-โค่-ข้าวขาวพิมพา พบว่า เหตุที่ทำให้สารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน เกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิคในการรมข้าวถุง ซึ่งปกติจะต้องรมข้าวก่อนบรรจุถุงเท่านั้น แต่ทางบริษัทฯ บรรจุข้าวถุงตามออเดอร์เสร็จเร็ว ทำให้ต้องเก็บไว้ในโกดังนานกว่าปกติก่อนกระจายขายตามท้องตลาด ทำให้บริษัทฯ เข้าใจว่าหากรมควันซ้ำหลังบรรจุจะช่วยให้ปลอดมอดแมลงต่างๆ ได้ ซึ่งถุงบรรจุจะมีรูเล็กๆ สำหรับไล่อากาศภายในถุงออก สารรมควันจึงซึมผ่านรูเข้าไปในถุงและเข้าไปยังเมล็ดข้าว “การทำผิดวิธีเช่นนี้ ทำให้สารรมควันซึมเข้าไปในถุง ทำให้การระเหยออกจากถุงยาก โดยปกติ เพียง 24 ชั่วโมงก็จะระเหยไปอยู่แล้ว แต่พออยู่ในถุง ไม่มีการเปิด ก็ทำให้การระเหยออกใช้เวลานานขึ้น จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้ตรวจพบสารดังกล่าวเกินมาตรฐานได้ เบื้องต้นบริษัทได้รับทราบและรับปากจะแก้ไขแล้ว ซึ่ง อย.จะเข้ามาตรวจซ้ำอย่างต่อเนื่อง”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ข้าวยี่ห้อโค-โค่-ข้าวขาวพิมพา จะมีสารตกค้างเกินมาตรฐานฯ แต่ก็ไม่สามารถเอาผิดได้ โดย ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการ อย. ชี้แจงว่า เป็นเพราะขั้นตอนการเอาผิดยังไม่มี เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่เคยมีการกำหนดค่ามาตรฐานในข้าวสารมาก่อน เพราะถือว่าเป็นอาหารที่มีความเสี่ยงต่ำ และเมื่อแปรผลเป็นค่าอันตรายต่อหน่วยที่ร่างกายไม่ควรได้รับ ก็ถือว่ายังไม่เกินค่ามาตรฐาน
       
       5. ศาล อนุมัติหมายจับ “สมีคำ” แล้ว 3 ข้อหา ขณะที่ “ป.ป.ง.” มีมติอายัดทรัพย์อีก 60 ล้าน พบโยกเงินออกนอกประเทศนับพันล้าน เหลือในบัญชีเแค่ 3 แสน!

       ความคืบหน้าหลังคณะสงฆ์ จ.ศรีสะเกษ มีมติให้ “เณรคำ” ขาดจากความเป็นพระ เนื่องจากอาบัติปาราชิกจากการเสพเมถุน ปรากฏว่า ในด้านคดี เมื่อวันที่ 17 ก.ค. นายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ ผู้อำนวยการส่วนคดีความมั่นคง 1 กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้ยื่นคำร้องพร้อมเอกสารหลักฐานเพื่อขอศาลอนุมัติหมายจับนายวิรพล สุขผล หรืออดีตเณรคำ ฉัตติโก ประธานสำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ในความผิด 3 ข้อหา คือ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 ,ข้อหาฉ้อโกงประชาชน และข้อหากระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี
       
        ทั้งนี้ หลังศาลพิจารณาสำนวนพยานหลักฐานของดีเอสไอแล้ว เห็นว่า มีหลักฐานพอสมควรให้เชื่อได้ว่าผู้ต้องหาได้กระทำการที่จะเป็นความผิดทั้ง 3 ข้อหา ประกอบกับผู้ต้องหาไม่ได้อยู่ในประเทศ เชื่อว่าน่าจะมีพฤติการณ์หลบหนี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับ
       
        หลังศาลอนุมัติหมายจับอดีตเณรคำ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีเอสไอ แถลงถึงแนวทางการส่งหมายจับนายวิรพล ให้ประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรปพิจารณาเพิกถอนวีซ่า เพื่อนำตัวนายวิรพลกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยว่า ตนได้ลงนามหนังสือเพื่อส่งให้กรมการกลสุลพิจารณาเพิกถอนหนังสือเดินทางนายวิรพลแล้ว ส่วนการเพิกถอนวีซ่า การผลักดันกลับประเทศไทย และการส่งเจ้าหน้าที่ไปรับนายวิรพลนั้น ได้มอบให้สำนักงานกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ดีเอสไอ เร่งดำเนินการแล้ว
       
        ด้านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) ก็ได้เดินหน้าอายัดทรัพย์บางส่วนของนายวิรพลแล้ว โดยเมื่อวันที่ 19 ก.ค. พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ป.ป.ง. แถลงผลประชุมคณะกรรมการธุรกรรมการเงินว่า ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินนายวิรพลจำนวน 60 รายการ มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท เป็นรถยนต์ 23 คัน ที่ดิน 10 แปลง และบัญชีเงินฝาก 27 บัญชี จาก 150 บัญชี โดยพบว่า มีเงินเหลือในบัญชีเพียง 320,000 บาทเท่านั้น เนื่องจากได้มีการยักย้ายถ่ายเทเงินออกไปก่อนหน้านี้แล้ว อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.สีหนาท ยืนยันว่า จากการตรวจสอบพบว่า เงินที่ถูกยักย้ายถ่ายเทออกไปต่างประเทศมีไม่ถึง 1,000 ล้านบาท แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด ส่วนกรณีที่จะให้มีการตรวจสอบทองคำน้ำหนักกว่า 8 ตันนั้น พ.ต.อ.สีหนาท บอกว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน อยู่ระหว่างประสานนายสงกรานต์ อัจฉริยทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติม

ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 กรกฎาคม 2556

6630
 1. ผบ.เหล่าทัพ เมินคลิปเสียง ประสานเสียง “ยิ่งลักษณ์” ให้โอกาส “ยุทธศักดิ์” ทำงาน ด้าน “สนธิ” เชื่อ “ประยุทธ์” ขายตัวรับใช้ “ทักษิณ” แล้ว!

       ความคืบหน้ากรณีเว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์และเว็บไซต์ยูทูบ ได้เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาของชาย 2 คน จากแดนไกล ที่เสียงคล้าย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ซึ่งในคลิป ทั้งสองมีการวางแผนในการพา พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศ ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยตอนแรกจะทำทีออกเป็น พ.ร.บ. แต่เมื่อเข้าที่ประชุมความมั่นคงฯ จะให้ที่ประชุมเสนอรัฐบาลให้ออกเป็น พ.ร.ก.โดยอ้างเหตุผลเพื่อป้องกันเหตุวุ่นวาย นอกจากนี้ในคลิป ชายทั้งสองคนยังพูดถึงการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร โดยระบุว่าใครเหมาะสมกับตำแหน่งอะไร ไม่เท่านั้น ชายที่เสียงคล้าย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยังบอกชายที่เสียงคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยว่า ได้บอกกับ ผบ.สส. และ ผบ.ทบ. แล้วว่า ถ้าอยากมีงานทำหลังเกษียณในปี 2557 ให้รีบแสดงฝีมือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็น ซึ่ง ผบ.สส. และ ผบ.ทบ.ก็ตกปากรับคำ
       
       อย่างไรก็ตาม หลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ ปรากฏว่า ตอนแรก พล.อ.ยุทธศักดิ์ ปฏิเสธว่าไม่ได้เดินทางไปพบหรือโทรศัพท์พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด พร้อมอ้างว่า อาจเป็นฝีมือของผู้ที่ผิดหวังจากตำแหน่งใน ครม.ชุดใหม่ที่พยายามใส่ร้ายตนก็เป็นได้ แต่ตอนหลังเมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามเรื่องนี้อีก พล.อ.ยุทธศักดิ์ กลับพยายามหลบเลี่ยงและหนีนักข่าวตลอด ขณะที่ ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม อดีตนายทหารกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็น 1 ในแกนนำคนไทยหัวใจรักชาติ ได้นำพระแก้วมรกตจำลองมาท้าให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ สาบานว่าไม่ใช่บุคคลในคลิป แต่ไม่ได้รับการตอบรับจาก พล.อ.ยุทธศักดิ์แต่อย่างใด ร.อ.ทรงกลด ยังได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบคลิปเสียงดังกล่าวด้วย และว่า หากเป็นเรื่องจริง ถือว่าการกระทำของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ เข้าข่ายผิดประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ.2551 ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติยศของกองทัพ ต้องยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ค่อนข้างเครียดหลังคลิปเสียงถูกเผยแพร่ ถึงกับพูดเปรยๆ กับคนใกล้ชิดว่า อยากจะขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เห็นด้วย
       
       ขณะที่ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาและบุคคลในคลิปเสียงอย่างกว้างขวาง พร้อมเรียกร้องให้มีการชี้แจงและตรวจสอบ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า สิ่งที่พูดกันในคลิปเป็นเรื่องน่ากลัว แสดงให้เห็นถึงความพยายามใช้อำนาจทางการเมืองตอบโจทย์ตัวเองเรื่องการพ้นผิดจากกฎหมาย เรื่องธุรกิจ และพยายามยึดครองกลไกต่างๆ และพูดถึงองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสถาบันอย่างไม่เหมาะสม ถือเป็นความพยายามใช้อำนาจในทางที่ผิด นายกฯ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลต้องค้นหาความจริงและยืนยันว่า การพูดคุยตามคลิปนี้จะไม่เกิดขึ้น
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บอกเพียงว่า คลิปดังกล่าว ไม่มีใครยืนยันในรายละเอียด ต้องรอให้มีการตรวจสอบก่อน ขณะที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก โดยยอมรับว่า เสียงในคลิปเป็นเสียง พ.ต.ท.ทักษิณจริง แต่เชื่อว่าน่าจะมีการตัดต่อเพื่อบิดเบือนเนื้อหาสาระ และว่า จะนำคลิปเสียงดังกล่าวไปให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ฟังที่กรุงปักกิ่งในวันที่ 11 ก.ค.
       
       ส่วนท่าทีของผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อคลิปเสียงนั้น พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งถูกชายเสียงคล้าย พล.อ.ยุทธศักดิ์ พาดพิงถึงในคลิปว่า ต้องคุม “ประจิน” ไว้ เพื่อไปบีบ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก องคมนตรี ให้มีท่าทีอ่อนลง พูดถึงคลิปเสียงดังกล่าวว่า ตนยังไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ต้องรอการพิสูจน์ว่าคลิปดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกองทัพรับได้หรือไม่ หาก พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศและหยุดเล่นการเมือง พล.อ.อ.ประจิน บอกว่า ต้องดูหลักการ 2 ด้าน 1.เราต้องการให้คนในประเทศมีความรักและสามัคคี 2.เราต้องการให้กฎหมายเป็นกฎหมาย เมื่อถามต่อว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ จำเป็นต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อคลิปเสียงหรือไม่ พล.อ.อ.ประจิน ไม่ขอแสดงความเห็น พร้อมบอกว่า ต้องรอปรึกษาผู้บัญชาการเหล่าทัพก่อน
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะเปิดแถลงท่าทีต่อเรื่องคลิปเสียงในวันที่ 12 ก.ค. แต่ก่อนจะถึงวันดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางเข้ารับตำแหน่งที่กระทรวงฯ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ก.ค. โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพให้การต้อนรับ พร้อมจัดพิธีสวนสนามของกองทหารเกียรติยศ 3 เหล่าทัพ ขณะเดียวกัน ได้มีมวลชนกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติและกลุ่มกลุ่มเสื้อหลากสีหลายร้อยคนมาชุมนุมต่อต้านการเข้ารับตำแหน่งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ท่ามกลางทหารและตำรวจ 9 กองร้อยที่มาดูแลรักษาความปลอดภัย เป็นที่น่าสังเกตว่า ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม ได้พยายามนอนขวางบนพื้นถนน เพื่อขัดขวางขบวนรถ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่จะเข้ากระทรวงฯ ด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวไปควบคุมไว้ที่ สน.พระราชวัง
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แถลงหลังประชุมร่วมกับ ผบ.เหล่าทัพ โดยยืนยันว่า จะร่วมกับกองทัพปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น ช่วยสนับสนุนงานของกระทรวงกลาโหมให้เดินไปอย่างราบรื่น และว่า รัฐบาลยินดีจะดูแลสร้างขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลทุกระดับชั้นของกองทัพ พร้อมย้ำ ในการปรับย้ายทหารประจำปี จะไม่มีการล้วงลูกโผทหาร ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยังเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่หลังเกิดกรณีคลิปเสียง น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า การทำงานต้องพิสูจน์กันที่ผลงาน ไม่สามารถบอกได้ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เป็นที่น่าสังเกตว่า การแถลงข่าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลาง ผบ.เหล่าทัพยืนเป็นฉากหลัง
       
       ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พูดถึงเรื่องคลิปเสียง โดยยืนยันว่า ในการประชุมร่วมกับนายกฯ ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ พร้อมย้ำ ผบ.เหล่าทัพไม่หวั่นไหวต่ออะไรทั้งสิ้น “วันนี้ผมยังมอง พล.อ.ยุทธศักดิ์ และท่านยังมองผมดีอยู่ คนเราต้องให้โอกาสทำงานและแสดงความรู้สึกร่วมกัน ถ้าเราสะกิดและเกากันอยู่ ไม่เกิดประโยชน์อะไร และเสียเวลากับคำถามที่ตอบยาก”
       
       ขณะที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แม้ไม่ได้เปิดแถลงเรื่องคลิปเสียงเมื่อวันที่ 12 ก.ค. แต่ก็ได้ให้สัมภาษณ์ โดยยืนยันว่า ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคลิปเสียง และว่า ถึงเขามาพูดต่อหน้าหรือฟังกับหูเอง ก็ไม่โกรธ และไม่สน เพราะทำตามหน้าที่ของตัวเอง เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงจุดยืนของกองทัพกรณีพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน พล.อ.ธนศักดิ์ บอกว่า กองทัพไม่ใช่กระทรวงยุติธรรม และไม่ใช่ตำรวจ มันไม่เกี่ยวข้องกัน
       
       ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แฉเรื่องคลิปเสียงดังกล่าวผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” โดยเชื่อว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์เป็นคนที่อัดคลิปดังกล่าวเอง แต่หลุดออกมาได้อย่างไรไม่รู้ พร้อมแฉว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ เคยช่วย พ.ต.ท.ทักษิณมาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาจำคุกคดีซื้อที่รัชดาฯ โดย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ในฐานะประธานโอลิมปิกไทย ได้เชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปร่วมพิธีเปิดโอลิมปิกที่จีน พ.ต.ท.ทักษิณจึงเอาหนังสือนี้ไปขอให้ศาลอนุญาตเดินทางออกนอกประเทศ พอไปแล้ว ก็ไม่กลับมาเลย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ได้เป็นรัฐมนตรีมาตลอด ขณะเดียวกัน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ก็เป็นคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.ยุทธศักดิ์ จึงคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับวัง และ พล.อ.เปรม ได้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ จึงอาจจะต้องการเอาคลิปเสียงนี้ไปคุยกับ พล.อ.เปรม เพื่อพิสูจน์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พูดจริง
       
       นายสนธิ ยังเชื่อด้วยว่า ขณะนี้ส่วนหัวของกองทัพลงมาจนถึงระดับแม่ทัพภาค ถูกซื้อหมดแล้ว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณคุมสภา ตำรวจ และอัยการได้แล้ว และกำลังรุกศาลอยู่ เหลืออย่างเดียวคือทหาร ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ มีบทเรียนจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ปฏิวัติ เพราะจะถูก พ.ต.ท.ทักษิณย้าย ดังนั้นครั้งนี้นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ย้าย พล.อ.ประยุทธ์แล้ว ยังทุ่มงบประมาณซื้ออาวุธให้มหาศาล ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ไว้ใจไอ้ตู่มาก นายสนธิ เชื่อว่า เป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ได้เจอ พ.ต.ท.ทักษิณเรียบร้อยแล้วที่สหรัฐอเมริกา และต้องมีข้อตกลงอะไรบางอย่าง ไม่เช่นนั้นไม่มีวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดว่าไว้ใจ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนที่ขี้ระแวงมาก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เข้าใจเลยเหรอ คุณสติปัญญามีน้อยมากจนคุณไม่เข้าใจเหรอว่า ไอ้คลิปนี้คือการแทรกแซงการทำงานของรัฐบาล อันนี้ผิดกฎหมายหรือเปล่า ผิดกฎหมายชัดเจน ทักษิณคือใคร ทักษิณคืออาชญากร เป็นนักโทษชาย แล้วมาก้าวกายตั้งโน่นตั้งนี่ แล้วยังเล่าอย่างภาคภูมิภูมิใจนะว่าเมียของ พล.ร.อ.อมรเทพ พาผัวไปเจอ แล้ว พล.ร.อ.อมรเทพ อยากจะเป็นผู้บัญชาการทหารเรือใจแทบขาด จะไปพบนักโทษชายทักษิณ วันนี้เนี่ย ผมคิดว่าเราเสียตำรวจไปทั้งกรม ยังพอที่จะทำใจได้ เพราะเรายังรักษาทหารได้ วันนี้ทหารเป็นตำรวจแล้วเหรอ ใครอยากได้ตำแหน่งต้องไปหาทักษิณทุกคนเหรอ และอีกหน่อยไอ้พวกผู้บัญชาการกองพล ไอ้พวกรอง ผบ.ทบ. เสธ.ทบ. คนจะขึ้นแม่ทัพภาค ไม่ต้องแห่ไปหาทักษิณกันหมดเหรอ”
       
       นายสนธิ ยังพูดถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ใครยุให้ปฏิวัติ ถ้าประเทศเสียหายต้องร่วมรับผิดชอบด้วยว่า “คุณบอกว่าใครยุให้ปฏิวัติ ถ้าชาติเสียหายต้องรับผิดชอบ ผมจะบอกให้ ถ้าชาติฉิบหาย ถ้าชาติเจ๊ง เพราะยัยปูคนนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คุณก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน เพราะฉะนั้นประยุทธ์จะถูกตราหน้าลงไปในอนาคต เมื่อชาติล่มสลาย วันนี้ใกล้แล้วนะ รัฐบาลชุดนี้ไม่มีทางออกเรื่องเศรษฐกิจ มันตันไปหมดแล้ว ฝีแตกหมดแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะบอกพี่น้องที่ฟังรายการนี่อยู่ให้พูดกันต่อๆ ไปว่า นายประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องรับผิดชอบร่วมกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ทำให้ชาติฉิบหาย ชัดเจนไหม”
       
       นายสนธิ ทิ้งท้ายด้วยว่า ภาพรวมของคลิปเสียงดังกล่าว เป็นบทสรุปถึงการล่มสลายของชาติ และว่า การตัดสินใจเผยแพร่คลิปเสียงครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจทำงานเพื่อชาติจริงๆ เพราะรู้ว่าหลังจากนี้ต้องมีการวางแผนที่จะทำร้ายหรือฆ่าตน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ก็ขอให้รู้ว่าเป็นฝีมือของพวกทหาร เป็นฝีมือของคนซึ่งเดือดร้อนจากการพูดความจริงของตน
       
       2. พิธีกร “คนค้นคน” ขอโทษโพสต์ข้าวมีสารพิษ ยัน แค่อุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวการเมือง ด้านสมาคมข้าวถุง-เอกชนรุมฟ้อง!

       เมื่อวันที่ 10 ก.ค. นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือ เช็ค ผู้ดำเนินรายการ “คนค้นคน” และผู้บริหารบริษัท ทีวีบูรพา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า โรงสีข้าวที่กำลังเตรียมส่งข้าวออกจำหน่าย ที่มาจากโรงสีรายใหญ่ในภาคอีสาน และเป็นโรงงานของ ส.ส.เพื่อไทย มีสารพิษตกค้างไม่สามารถละลายในน้ำได้ แถมทำให้หนูตายใน 5 นาที พร้อมระบุไม่ควรซื้อข้าวหอมปทุมธานีทุกยี่ห้อ ซึ่งถูกจำหน่ายในนาม ข้าวหอมปทุมธานี และสต๊อกต่อไปคือข้าวเสาไห้ ยี่ห้อ “เบญจรงค์” ข้าว “ตราฉัตร” เพราะเป็นสต๊อกจากต้นปีที่แล้วนำมาจัดจำหน่าย ทั้งนี้ หลังข้อความดังกล่าวถูกโพสต์ได้ไม่นาน ก็มีการลบไป กระทั่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ถูกอำนาจรัฐบล็อกเพจ
       
       อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ข้อความดังกล่าวจะถูกลบ ได้มีการแชร์ข้อความดังกล่าวต่อไปเป็นจำนวนมาก ร้อนถึงนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต้องรีบออกมาปฏิเสธว่า ข้อความดังกล่าวไม่จริง เป็นการสร้างข่าวของผู้ไม่หวังดี เป็นเรื่องที่ทำลายระบบข้าวสาร การค้าและประเทศชาติ “หากใครมีหลักฐาน ควรออกมาระบุว่า พื้นที่ใด ยี่ห้ออะไร จะเข้าไปตรวจสอบ ไม่ใช่แค่มีปัญหาไม่ถึง 1% จะทำให้ที่เหลือเกือบ 100% เสียหาย เบื้องต้นยืนยันว่า ข้าวไทยมีคุณภาพ ที่เป็นปัญหาอาจมีเพียงบางจุดเท่านั้น”
       
       ด้าน นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) แถลงยืนยันว่า จากการตรวจสอบข้าวถุง ยังไม่พบสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(เอฟเอโอ) และเมื่อนำข้าวสารไปซาวกับน้ำ สารเคมีก็ละลายหายไปถึงร้อยละ 20 เมื่อหุง สารตกค้างก็จะถูกความร้อนทำลายหายไปอีกร้อยละ 80 จึงเหลือสารตกค้างน้อยมาก ไม่เป็นอันตราย ที่อ้างว่ามีหนูตายจากการกินข้าวนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้
       
       ขณะที่ผู้ค้าข้าวที่ถูกพาดพิงถึงในโพสต์ข้อความของนายสุทธิพงษ์ต่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก และพร้อมใจกันเข้าแจ้งความดำเนินคดีนายสุทธิพงศ์ในหลายจังหวัด ได้แก่ เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) ผู้ผลิตข้าวถุงตราฉัตร แจ้งความดำเนินคดีนายสุทธิพงษ์ ที่ สน.ห้วยขวาง ข้อหาหมิ่นประมาท ,บริษัท อินเตอร์ ไรซ์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายข้าวเบญจรงค์ แจ้งความดำเนินคดีนายสุทธิพงษ์ ข้อหาหมิ่นประมาทและกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่ สภ.บางแก้ว จ.สมุทรปราการ ,โรงสีข้าวทรัพย์อนันต์ แจ้งความดำเนินคดีนายสุทธิพงษ์ ที่ สภ.เมืองสุรินทร์ ฐานทำให้ธุรกิจเสียหายและเสียชื่อเสียง
       
       ด้านสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย ก็เตรียมยื่นฟ้องนายสุทธิพงษ์ ฐานหมิ่นประมาท สร้างความเสียหายต่อระบบค้าข้าวถุงทั้งระบบในเร็วๆ นี้ ไม่เท่านั้นนายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งให้ฝ่ายกฎหมายหาทางเอาผิดนายสุทธิพงษ์เช่นกัน ฐานปล่อยข่าวสร้างความสับสนและตื่นตระหนกแก่ประชาชน
       
       ขณะที่นายสุทธิพงษ์ ได้เปิดแถลง(11 ก.ค.) ชี้แจงถึงการโพสต์ข้อความข้าวมีสารพิษว่า ข้อความดังกล่าวถูกส่งต่อกันมาทางโซเชียลเน็ดเวิร์กระยะหนึ่งแล้ว ตนเพียงก๊อปปี้และโพสต์ตามเท่านั้น ซึ่งทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภค และว่า การโพสต์ดังกล่าวทำผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยระหว่างแก้ไขคำผิด นิ้วเกิดไปโดนปุ่มโพสต์ ข้อความจึงถูกส่งไปทันที ทั้งที่ยังเขียนข้อความไม่หมด ด้วยความไม่สบายใจจึงรีบลบข้อความอย่างเร็วที่สุด แต่ก็มีคนนำสิ่งที่โพสต์ไปขยายผล ทั้งตัดทอนและต่อเติมความเห็น ทำให้เจตนารมณ์ถูกเบี่ยงเบน ยืนยันว่าไม่มีเจตนาเกี่ยวกับการเมือง “ผมต้องรับผิดชอบต่อการลุกลามบานปลายขนาดนี้ ผมมีความไม่สบายใจอย่างยิ่ง หลังจากนี้จะไปขอพบผู้ประกอบการ เพื่อชี้แจงให้เข้าใจถึงเจตนาของผม ถึงตอนนี้ผมพร้อมมากกว่าขอโทษอีก ผมมีความบริสุทธิ์ใจ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอุบัติเหตุจริงๆ”
       
       3. ไทย-บีอาร์เอ็น บรรลุข้อตกลงร่วม ถอนทหาร-หยุดยิง 40 วันเดือนรอมฎอน!

       เมื่อวันที่ 12 ก.ค. สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ(บีอาร์เอ็น) ในการยุติความรุนแรงใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในช่วงเดือนรอมฎอน ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.-18 ส.ค.2556 รวมเวลา 40 วัน ประกอบด้วย จ.ปัตตานี ,นราธิวาส ,ยะลา และ 5 อำเภอใน จ.สงขลา ได้แก่ อ.นาทวี ,อ.สะเดา ,อ.จะนะ ,อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย
       
       ทั้งนี้ ข้อตกลงร่วมระบุว่า ในช่วงเดือนรอมฎอนนี้ ฝ่ายไทยจะงดใช้มาตรการรุนแรงในการป้องกันการก่ออาชญากรรมในพื้นที่ภาคใต้ ขณะที่ฝ่ายบีอาร์เอ็นจะพยายามไม่ก่อความรุนแรง ไม่สร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินของทางราชการและประชาชน และระหว่างนี้ ทั้งสองฝ่ายจะทำงานอย่างหนัก เพื่อรับประกันว่า เดือนรอมฎอนจะปลอดจากความรุนแรง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของทั้งสองฝ่ายที่จะหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน โดยยึดมั่นหลักการเจรจาสันติภาพว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับสันติสุขที่ถาวรและยั่งยืนในพื้นที่ภาคใต้ หากฝ่ายใดละเมิด ขัดขวาง หรือทำลายข้อตกลงร่วม จะถือว่าเป็นฝ่ายที่ไม่ฝักใฝ่สันติและไม่เคารพต่อความมุ่งมาดปรารถนาของประชาชนชาวไทย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ที่แถลงข้อตกลงร่วมนี้ ก็คือ ดาโตะ เสรี อาห์หมัด ซัมซามิน ฮาซิม ผู้แทนของรัฐบาลมาเลเซีย โดยแถลงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พร้อมชี้ว่า คำมั่นสัญญาของกลุ่มบีอาร์เอ็นที่จะลดความรุนแรงช่วงเดือนรอมฎอนนี้ จะเป็นบททดสอบใหญ่ที่สุดว่า การเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลไทยจะส่งผลออกมาเป็นรูปธรรมหรือไม่
       
       ด้าน พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เผยว่า ข้อแลกเปลี่ยนที่ฝ่ายไทยให้กับบีอาร์เอ็นในการลดเหตุรุนแรงก็คือ มาตรการปิดล้อมตรวจค้นจะบรรเทาลง จะมีการถอนชุดปฏิบัติการทหารในหมู่บ้านชุดเล็กๆ ออกมา แล้วให้อาสาสมัครรักษาดินแดน(อส.) และตำรวจเข้าไปดูแลแทน เพราะฝ่ายบีอาร์เอ็นไม่อยากเห็นภาพทหารอยู่เต็มพื้นที่ จนทำให้บรรยากาศในเดือนรอมฎอนดูเคร่งเครียด
       
       ทั้งนี้ ก่อนหน้าการแถลงข้อตกลงร่วมในการยุติเหตุรุนแรงช่วงเดือนรอมฎอน ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ได้เกิดเหตุระเบิดริมทางรถไฟบริเวณ หมู่ 1 ต.บาลอ อ.รามัน จ.ยะลา ส่งผลให้จ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ 8 นาย ซึ่ง พล.ท.ภราดร บอกว่า กลุ่มบีอาร์เอ็นยอมรับว่าเหตุดังกล่าวเป็นฝีมือของทางกลุ่ม ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะในกลุ่ม ก็มีคนส่วนน้อยที่คิดต่าง และว่า สถิติการก่อเหตุช่วงเดือนรอมฎอนในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุร้อยกว่าครั้งตลอด ดังนั้นหลังบรรลุข้อตกลงร่วม ต้องเฝ้าดูว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะเกิดเหตุรุนแรงหรือไม่
       
       4. คณะสงฆ์ศรีสะเกษ มีมติให้ “เณรคำ” ขาดจากความเป็นพระแล้ว เหตุอาบัติปาราชิกจากการเสพเมถุน!

       เมื่อวันที่ 13 ก.ค. พระครูสิริวินัยวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์พระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการสอบสวนทั้งคณะ เพื่อพิจารณาอธิกรณ์หลวงปู่เณรคำ ซึ่งถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดพระธรรมวินัยในเรื่องการเสพเมถุน การฟอกเงิน และฉ้อโกงประชาชน
       
       ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นการประชุม ได้มีการเปิดแถลงข่าว โดยพระครูวัชรสิทธิคุณ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการสอบสวน บอกว่า ที่ประชุมได้พิจารณากรณีที่โจทก์ คือ “น.ส. เอ” ได้กล่าวหาจำเลย คือพระวิรพลว่า ได้มีการคบหากันจนมีเพศสัมพันธ์ด้วยกันและมีบุตร 1 คน เมื่อที่ประชุมพิจารณาพยานหลักฐานทั้งจากฝ่ายบ้านเมือง กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และสำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีสะเกษแล้ว ถือว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อพระธรรมวินัย ซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าภิกษุรูปใดเสพเมถุนธรรม ถือว่า พระภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที คณะกรรมการจึงมีมติเอกฉันท์ว่า ให้พระวิรพลขาดจากความเป็นพระภิกษุ ด้วยต้องอาบัติปาราชิกในการเสพเมถุนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป “การที่พระได้ขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่มีสมณะภาวะ ในส่วนของบ้านเมืองก็ดำเนินการไปตามกระบวนการ ในฝ่ายสงฆ์ศรีสะเกษถือว่าจบสิ้นกระบวนการ ซึ่งจะได้รายงานให้คณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ได้รับทราบตามลำดับต่อไป”
       
       ส่วนจะดำเนินการอย่างไรกับสำนักสงฆ์ขันติธรรมนั้น คณะสงฆ์ศรีสะเกษจะประชุมพิจารณากันอีกครั้ง โดยอาจจะให้มีการตั้งเป็นวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต้องตรวจสอบว่า ขณะนี้การดำเนินการตั้งวัดไปถึงขั้นตอนใดแล้ว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 กรกฎาคม 2556

หน้า: 1 ... 440 441 [442] 443 444 ... 653