ผู้เขียน หัวข้อ: ทำลูกพิการ ฟ้องเรียกเงินแม่อีก 100 ล้าน ความอำมหิตของธุรกิจการแพทย์  (อ่าน 1036 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกฟ้องคดีที่บริษัทโรงพยาบาลพญาไท 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางปรียนันท์ หรือ ดลพร ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ เป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี กรณีที่จำเลยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 ทางรายการเมืองไทยรายวัน ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ถึงการทำคลอดของโรงพยาบาลที่ส่งผลให้น้องเซ็นต์ บุตรชาย ต้องกลายเป้นคนพิการ ขาสั้นยาวไม่เท่ากัน
       
       ศาลฎีกาเห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่พิพากษายกฟ้อง ด้วยเหตุผลว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกล่าวอ้างไปตามความเข้าใจเพื่อความชอบธรรมและปกป้องสิทธิตามคลองธรรมจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
       
       ตอนหนึ่งของคำพิพากษา ศาลฏีกามีคำวินิจฉัยว่าการรักษาไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพ
       
       ความผิดพลาดในการวินิจฉัยและการรักษาคนไข้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นปกติ ใครโชคดีนึกเฉลียวใจและพอจะมีกำลังทรัพย์ลองเปลี่ยนโรงพยาบาล เปลี่ยนหมอ ผลการวินิจฉัยเป็นคนละเรื่องกับโรงพยาบาลแรก รอดตายหวุดหวิด หรือไม่ต้องกลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต
       
       ใครที่เชื่อหมอ ยอมรับในคำวินิจฉัย หรือสงสัยแต่ฐานะไม่เอื้ออำนวย หลายรายเสียชีวิตไปอย่างไม่น่าจะเสีย เหตุผลที่ทางโรงพยาบาลมักจะยกมาอ้างคือติดเชื้อในกระแสโลหิต หัวใจล้มเหลว ทั้งๆ ที่ตอนเข้าโรงพยาบาลไม่ได้เป็นโรคหัวใจ คนที่ไม่ตายก็ต้องกลายเป็นผัก หมดสติกลายเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงนิทราตลอดชีวิต
       
       กรณีเหล่านี้ เกิดขึ้นกับโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงไม่แต่เฉพาะในประเทศไทยแต่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ละปีมีชาวต่างชาติเดินทางมารับบริการเพราะเชื่อในคำโฆษณาและมีราคาถูกเมื่อเทียบกับบ้านเขา เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นโรงพยาบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบ ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยเสียค่ารักษาพยาบาลราคาแพงเป็นหลักแสนหลักล้าน แต่กลับต้องกลายเป็นศพหรือเป็นผักออกจากโรงพยาบาล
       
       ญาติผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะยอมจำนนต่อคำแก้ตัวและการบ่ายเบี่ยงปฏิเสธความรับผิดชอบของโรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ยังคลางแคลงใจว่าผู้ป่วยน่าจะตาย หรืออาการทรุดหนักลง เพราะความผิดพลาดของหมอผู้รักษา เพราะไม่รู้จะไปสู้รบตบมืออย่างไรกับโรงพยาบาลและหมอที่เป็นต่อในทุกๆ ด้าน และยังมีองค์กรวิชาชีพที่กฎหมายให้การรับรอง คอยปกป้องการกระทำที่ผิดพลาดให้ด้วย
       
       นางปรียนันท์เขียนเล่าความเป็นมาของเรื่องนี้ไว้ในเฟซบุ๊กของเธอว่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 เธอถูกเชิญไปออกรายการ เมืองไทยรายวัน ช่อง 9 อสมท.และเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2545 ได้ไปพูดที่มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม เล่าข้อเท็จจริงว่า
       
       เธอไปคลอดลูกที่ รพ.พญาไท 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2534 เธอเป็นหญิงท้องแรก ลูกหนัก 4,050 กรัม อยู่ในท่าคลอดที่ผิดปกติ หงายหน้าออก พญ.ยรรยงค์ มังคละวิรัช หมอสูติฯ ไม่มาตรวจครรภ์ก่อนเข้าห้องคลอด สั่งให้ยาเร่งคลอดทางโทรศัพท์ หมอใช้เครื่องดูด จนท้ายทอยลูกห้อเลือดก้อนโต จึงนำเธอไปผ่าตัดฉุกเฉิน หลังผ่าตัด ก้อนเลือดละลายกลายเป็นน้ำดี ลูกตัวเหลืองมากส่องไฟไม่ลด
       
       นพ.สันติ สุทธิพินทะวงศ์ หมอเด็ก ถ่ายเลือดผ่านสายสะดือ ลูกติดเชื้อในกระแสโลหิตอย่างรุนแรง มีไข้สูง เม็ดเลือดขาวขึ้นสูงผิดปกติ 20,200 ตัว ร้องกวน น้ำหนักลด หมอไม่ให้ยาปฏิชีวนะ เพาะเชื้อยังไม่ทราบผล ให้นำลูกกลับบ้าน
       
       หนองทำลายข้อสะโพกซ้ายของเด็กจนเสียหายหมด กระดูกแขนซ้ายหัก และข้อแขนซ้ายถูกทำลาย ผลกระทบทำให้ลูกไม่มีข้อสะโพกซ้าย กระดูกต้นขาซ้ายหลุดอยู่นอกเบ้า ขาสั้นยาว ใหญ่เล็กไม่เท่ากัน นั่งขัดสมาธิไม่ได้ เดินกระเผลก หลังคด ทรมานจากการผ่าตัดหลายครั้ง ตั้งแต่ขวบครึ่งถึงสามขวบครึ่ง ต้องใส่เฝือกนาน 6-8 เดือนหลายครั้ง ปวดขาเรื้อรัง ต้องทุบแรงๆ ทุกคืนนานนับสิบปี จึงจะนอนหลับได้ แขนซ้ายอ่อนแรงกว่าแขนขวา แกว่งเป็น 360 องศาไม่ได้ ไม่นับรวมความเสียหายทางจิตใจ การเสียโอกาสหน้าที่การงานในอนาคต
       
       โรงพยาบาลพญาไท 1 ปฏิเสธความรับผิดชอบ หลังอายุ 20 ปี ลูกต้องผ่าตัดใส่ข้อสะโพกเทียมทุก 10 ปี เพื่อแก้ไขการทรุดเคลื่อนตัวของหมอนรองกระดูกสันหลัง แต่การเคยติดเชื้อในกระดูกทำให้การผ่าตัดมีความเสี่ยงสูง ต้องใช้ข้อไททาเนียมหรือเซรามิกที่มีราคาสูงเท่านั้น แต่บัตรทองไม่ครอบคลุม ครอบครัวของเธอต้องสิ้นเนื้อประดาตัวกับการรักษาลูกและต่อสู้คดีความ
       
       ส่วนแพทยสภามีมติว่าคดีไม่มีมูลโดยไม่เคยเรียกเธอไปชี้แจง และฟังความเท็จ
       
       เรื่องที่เธอเล่านี้ ทำให้ถูกบริษัท รพ.พญาไท 1 จำกัด (มหาชน) ฟ้องในคดีแพ่งว่า หมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท โดยมีจำเลยร่วมอีก 6 คน แต่ต่อมา โจทก์ถอนฟ้องจำเลยคนอื่นๆ เหลือเธอเพียงคนเดียว ต่อสู้คดีมา 11 ปี
       
       “ดิฉันอดทนต่อสู้เพื่อต้องการสร้างบรรทัดฐานให้กับสังคมว่าคนไข้ผู้ถูกละเมิดไม่ควรถูกปิดปาก สามารถพูดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนได้โดยไม่มีความผิด”
       
       รพ.พญาไท 1 ยังฟ้องนางปรียนันท์ในคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาท ซึ่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ทำให้คดีสิ้นสุด
       
       ส่วนนางปรียานนท์ฟ้อง รพ.พญาไท 1 และหมอทั้งสองคนในคดีผู้บริโภค เรียกค่าเสียหาย 57 ล้านบาท แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง เพราะคดีหมดอายุความ ขณะนี้คดีอยู่ในศาลฎีกา
       

ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ตุลาคม 2556