4. ศาลฎีกาพิพากษายืนให้ นิพัทธ พุกกะณะสุต ชดใช้ค่าเสียหายแก่แบงก์ออมสินกว่า 534 ล้าน กรณีอนุมัติซื้อหุ้นแบงก์บีบีซีมิชอบ!
เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ธนาคารออมสินเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายนิพัทธ พุกกะณะสุต อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์และอดีตอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นจำเลย กรณีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารออมสินในเดือน มิ.ย. 2538 ได้เร่งรัดอนุมัติเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี จำนวน 375 ล้านบาท โดยไม่ผ่านมติคณะกรรมการธนาคารออมสิน ภายหลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีคำสั่งระงับไม่ให้บีบีซีประกอบธุรกิจต่อไป ทำให้ธนาคารออมสินได้รับความเสียหาย จึงขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 534,657,5347.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากเงินต้น 375 ล้านบาท นับจากวันถัดฟ้องเป็นต้นไป
คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้นายนิพัทธ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ธนาคารออมสินจำนวน 534,657,5347.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากเงินต้น 375 ล้านบาท นับแต่วันที่ 9 มี.ค.2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ต่อมานายนิพัทธ ได้ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2538 หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการธนาคารออมสินแล้ว จำเลยได้เสนอเรื่องธนาคารบีบีซี เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนกับธนาคารออมสินจำนวน 25 ล้านหุ้นๆ ละ 15 บาท รวมเป็นเงิน 375 ล้านบาท ให้ที่ประชุมทราบ โดยไม่อยู่ในวาระการประชุม ต่อมา วันที่ 30 มิ.ย. 2538 จำเลยอนุมัติให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามคำเสนอของธนาคารบีบีซีดังกล่าว และวันที่ 4 ก.ค. 2538 ธนาคารออมสิน ชำระเงิน 375 ล้านบาท ให้ธนาคารบีบีซี ต่อมาวันที่ 14 ก.ย. 2541 กระทรวงการคลังมีคำสั่งให้ยุติกิจการของธนาคารบีบีซี
ศาลเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ธนาคารออมสินฯ พ.ศ. 2489 กำหนดให้ธนาคารออมสินประกอบธุรกิจได้ในขอบเขตจำกัด การลงทุนนอกเหนือจากที่กำหนด ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง การที่ธนาคารออมสินจะลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารบีบีซี จึงต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง การที่นายนิพัทธ จำเลยแถลงในที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารออมสินเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2538 โดยไม่มีวาระการประชุมเรื่องดังกล่าวมาก่อนว่าสมควรซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารบีบีซี พร้อมบอกว่า เมื่อดำเนินการแล้วจะนำเสนอคณะกรรมการให้สัตยาบันต่อไป จึงบ่งชี้ว่า จำเลยมีเจตนาให้ธนาคารออมสินต้องซื้อหุ้นเพิ่มทุนมาแต่ต้น โดยไม่ต้องผ่านคณะกรรมการ แต่จะดำเนินการขอสัตยาบันในภายหลัง และได้สั่งการให้นายวิบูลย์ อังสนันท์ ผอ.ธนาคารออมสิน พิจารณาตามที่จำเลยแจ้งในที่ประชุม ทั้งที่คณะกรรมการไม่เคยมีมติในเรื่องซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารบีบีซีแต่อย่างใด จึงเป็นการจงใจสรุปผลมติการประชุมให้คลาดเคลื่อนเพื่อผลสำเร็จในการซื้อหุ้นดังกล่าว
ต่อมา นายวิบูลย์ได้มีบันทึกเสนอว่าสมควรซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารบีบีซี โดยอ้างว่ากระทรวงการคลังเคยอนุมัติในหลักการให้ธนาคารออมสินสามารถนำเงินไปลงทุนสถาบันการเงินได้ และจำเลยได้สั่งการอนุมัติในวันเดียวทันที โดยไม่ตรวจสอบว่า ธนาคารออมสินมีอำนาจลงทุนตามที่รายงานหรือไม่ จำเลยยังชี้แจงเหตุผลในที่ประชุมด้วยว่า ได้หารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเรื่องนี้แล้ว ซึ่งนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขณะนั้น ปฏิเสธไม่เคยหารือกับจำเลยมาก่อน จึงเป็นการนำข้อเท็จจริงไม่ถูกต้องชี้แจงต่อคณะกรรมการธนาคารออมสิน เพื่อโน้มน้าวให้มีการให้สัตยาบันแก่การกระทำของจำเลย นอกจากนี้ ในช่วงเกิดเหตุ จำเลยย่อมทราบข่าวจากสื่อต่างๆ ที่รายงานสถานการณ์ของธนาคารบีบีซีว่าอยู่ในขั้นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมียอดหนี้สงสัยจะสูญสูงถึง 12,000 ล้านบาท การที่นายนิพัทธ จำเลยอนุมัติเงินถึง 375 ล้านบาทซื้อหุ้นของธนาคารบีบีซี เงินส่วนหนึ่งย่อมมาจากเงินฝากของประชาชน จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเลยและรีบเร่งอนุมัติโดยไม่ผ่านคณะกรรมการ ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามกฎหมาย จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต่อธนาคารออมสิน แม้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดมีความเห็นว่า นายนิพัทธ เพียงประมาทเลินเล่อ แต่ไม่ใช่อย่างร้ายแรง แต่ความเห็นคณะกรรมการฯ ไม่ผูกพันการวินิจฉัยของศาล เมื่อภายหลังธนาคารบีบีซีถูกลดค่าหุ้นลงเหลือหุ้นละ 0.50 บาท และถูกปิดกิจการในที่สุด ธนาคารออมสินต้องได้รับความเสียหายจากหุ้นที่โจทก์ซื้อถูกลดค่าลงและธนาคารบีบีซีเจ้าของหุ้นถูกปิดกิจการ ทำให้ธนาคารออมสินสูญเสียเงิน 375 ล้านบาทที่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของนายนิพัทธ จำเลย จึงต้องรับผิดชอบชดใช้เงินดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน
5. ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดิน-สิ่งปลูกสร้าง บ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 50 ล้านไม่เสียภาษี ส่วนที่รกร้าง เสียภาษีแบบขั้นบันได 1-3% !
เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจะนำมาบังคับใช้แทน พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และ พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยขั้นตอนหลังจากนี้ จะส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบ ก่อนส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณาต่อไป และว่า การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามร่างกฎหมายที่เสนอนี้ไม่ใช่การเก็บภาษีใหม่ แต่เป็นการปรับปรุงการเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากขึ้น รวมทั้งมีรายได้เพียงพอที่จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการในเขตพื้นที่ของตน ก่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้เสียภาษี ช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ ผลักดันให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน และช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการถือครองทรัพย์สินได้อีกทางหนึ่ง
สำหรับอัตราภาษีนั้น กำหนดเพดานสำหรับที่ดิน 4 ประเภท คือ 1.เกษตรกรรม เพดานจัดเก็บ 0.2% 2.บ้านพักอาศัย เพดาน 0.5% 3.พานิชยกรรม เพดาน 2% และ 4.ที่รกร้างว่างเปล่า เพดาน 5% แต่อัตราที่ใช้จัดเก็บจริง จะกำหนดไว้ใน พ.ร.ฎ. โดยกำหนดเป็นอัตราก้าวหน้า เพิ่มขึ้นตามมูลค่าของฐานภาษี คือ 1.เกษตรกรรม ตั้งแต่ 0-0.1% โดยยกเว้นสำหรับที่ดินเกษตรมูลค่าต่ำกว่า 50 ล้านบาท ที่ดินมูลค่ามากกว่า 50-100 ล้านบาท เก็บ 0.05% ถ้าสูงกว่า 100 ล้านบาท เก็บ 0.1%
2.ที่พักอาศัย มี 2 ส่วน คือ ส่วนที่พักอาศัยหลักหรือบ้านหลังแรก เก็บในส่วนที่เกินกว่า 50 ล้านบาท คือ มากกว่า 50-100 ล้านบาท เก็บ 0.05% มากกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไป เก็บ 0.10% สำหรับที่พักอาศัยหลังอื่น แบ่งเป็น 7 ระดับ ตั้งแต่ 5 ล้านบาท-100 ล้านบาท เช่น สูงกว่า 5 ล้านบาท เก็บ 0.03% สูงกว่า 10-20 ล้านบาท เก็บ 0.10% สูงกว่า 50-100 ล้านบาท เก็บ 0.25% ฯลฯ
3.พาณิชยกรรม มีการจัดเก็บ 6 ระดับ เช่น สูงกว่า 20 ล้านบาท เก็บ 0.3% สูงกว่า 50-100 ล้านบาท เก็บ 0.5% สูงกว่า 1-3 พันล้านบาท เก็บ 1.2% สูงกว่า 3 พันล้านบาท เก็บ 1.5% และ 4.ที่รกร้างว่างเปล่า ในปีที่ 1-3 เก็บ 1% ปีที่ 4-6 เก็บ 2% และปีที่ 7 ขึ้นไป เก็บ 3%
นายอภิศักดิ์ ยืนยันด้วยว่า การเสียภาษีตามร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประชาชน 99.96% จะไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี และจะไม่ได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีดังกล่าว โดยผู้ที่ต้องเสียภาษีสำหรับที่อยู่อาศัยที่จะเกิน 50 ล้านบาทนั้น มีจำนวนเพียง 8,556 หลัง หรือ 0.04% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ นายอภิศักดิ์ เผยด้วยว่า กระทรวงการคลังจะพยายามผลักดันให้มีการบังคับใช้กฎหมายนี้ให้ทันภายในเดือนมกราคม 2560
MGR Online 11 มิถุนายน 2559