ผู้เขียน หัวข้อ: “ดร.อานนท์” เผยบทเรียนราคาแพง กรุงเทพฯเกือบไม่รอดไฟสงคราม เคยหลงกล “สหรัฐฯ”  (อ่าน 271 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9772
    • ดูรายละเอียด
ฟังเป็นบทเรียน! “ดร.อานนท์” ยกเรื่องเล่า “สมัยอาจารย์หม่อมศึกฤทธิ์” ประเทศไทย เคยหลงกล “สหรัฐฯ”เหมือน “ยูเครน” ก่อนไหวตัวทัน ได้จีนช่วยไว้ กรุงเทพฯ จึงรอดจากสงคราม เผย “นาโต้”จ่อช่วยตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(7 มี.ค.65) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น เทียบกันชัดๆ “ประเทศไทย” เคยหลงกล สหรัฐฯเหมือน “ยูเครน” ก่อนไหวตัวทัน กรุงเทพฯ จึงรอดปลอดภัยจากสงคราม

โดยระบุว่า ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ นักวิชาการชื่อดัง ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เทียบครั้งประเทศไทย เคยเกือบเกิดสงครามแบบ ยูเครน รวมถึงความเป็นมิตรแท้กับจีน และการหักหลังของสหรัฐฯ โดยมีรายละเอียดว่า

ที่มาของสงครามสั่งสอน น้ำไกลดับไฟใกล้ไม่ได้ ไทยก็เคยพลาดเหมือนเซเลนสกี้และยูเครน

ครั้งหนึ่งไทยเคยเหมือนยูเครน คือเอียงไปทางอเมริกามากเหลือเกิน ยอมให้อเมริกามาตั้งฐานทัพสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย เกิดลูก GI ข้าวนอกนามากมาย และเราเป็นฐานบินให้อเมริกันไปทิ้งระเบิดและทิ้งสารเคมีฝนเหลืองในลาว เวียดนาม กัมพูชา แต่สุดท้ายเวียดกงก็มุดดินสู้อย่างแข็งแกร่ง สุดท้ายเวียดนามใต้ก็แตก อเมริกันพ่ายแพ้สงครามเวียดนามกระเจิง กองทัพคอมมิวนิสต์เวียดนามก็ฮึกเหิมมาก จะบุกไทย

ไทยบ่ายหน้าไปขออเมริกามหามิตรให้ช่วย อเมริกาก็ไม่มีปัญญาช่วย น้ำไกลดับไฟใกล้ไม่ได้เลย สุดท้าย คุณชายคึกฤทธิ์บ่ายหน้าไปขอความช่วยเหลือจากจีน พบท่านประธานเหมา และทำให้เกิดสงครามสั่งสอน เวียดนามก็ไม่กล้าห้าวเป้งมาบุกไทยอีก

ในเวลานั้นหากไม่มีสงครามสั่งสอน ไม่ถึงสัปดาห์ กรุงเทพก็จะถูกกองทัพเวียดนามกรีธาทัพเข้ามายึดอย่างแน่นอน

บทความนี้มาจากไลน์ครับ
ผมขอพูดในฐานะที่ มีประสบการณ์ตรง ได้ยินเรื่องนี้ จากปากของท่าน หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ปราโมช เมื่อครั้ง มาเยือน ประเทศอังกฤษ หลังจาก ลงจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีแล้ว

ครั้งนั้นพวกเราเชิญ ท่านมาพูด ที่สามัคคีสมาคม โดยมี ท่านทูตแผน วรรณเมธี ซึ่งเป็นทูตไทย ในขณะนั้น มากับท่านด้วย

ท่านคึกฤทธิ์ บอกว่า American ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย แม้แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ทิ้งไว้ เราขอก็ไม่ให้ เราซื้อก็ไม่ขาย ปล่อยให้ พังไปเอง ท่านคึกฤทธิ์บอกว่า อเมริกันเป็นเพื่อนที่เลวที่สุด นั่นคือเหตุผล ที่ท่านคึกฤทธิ์ ต้องไป ประเทศจีน ถ้าอยากรู้รายละเอียด มากกว่านี้ ผมยินดีเล่าให้ฟังครับ

เรื่องมีอยู่ว่าที่ประเทศอังกฤษ ในกรุงลอนดอน มีสมาคมเก่าแก่ ชื่อสามัคคีสมาคม เป็นสมาคมที่รัชกาลที่ 6 เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น ตอนสมัยที่ท่านเป็นนักเรียน ที่ประเทศอังกฤษ ก็เลยกลายเป็น สมาคมคนไทยและนักเรียนไทย ที่เก่าแก่ที่สุด นักเรียนไทยที่อังกฤษ ส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิก ของสมาคมนี้ ยิ่งในอดีตแล้ว นักเรียนที่มา ในระบบ กพ ทุกคน จะต้องเป็นสมาชิกสมาคนนี้

เมื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ปราโมช มาเยือนอังกฤษ พวกเราทุกคน ก็เชิญท่านมาที่สมาคม เพื่อที่จะคุยกัน ในฐานะท่าน เคยเป็นอดีตสมาชิกของสมาคม มาก่อน ในระหว่างที่คุยกัน ในวันนั้น มีคนมาฟังกันมาก เต็มห้องสมุดของ สามัคคีสมาคมเลย แล้วก็ยังล้นออกมาข้างนอกอีก ในข้อสนทนา

มีช่วงหนึ่งที่เราถามท่านว่า ทำไม ท่านจึงตัดสินใจ ไปเยือนจีน ท่านก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านขึ้นมาเป็นนายก เวียดนาม บุกประชิดเขตแดนของเราทุกด้าน ท่านดูแล้ว เราไม่มีทางออก ไม่มีทางเลือก นอกจากจะขอร้องจีน ให้ช่วยในเรื่องนี้

ในตอนแรก ท่านเรียกแม่ทัพนายกองทั้งหมด และถามว่า ถ้าเวียดนามบุกนี่ เราจะรับมือได้นานเท่าไหร่ แม่ทัพนายกอง พูดอย่างกวนๆ ว่า ได้แค่ 7 วัน ท่านตกใจมาก อะไร อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เรามีทั้งหมดนี่นะ รับมือได้แค่ 7 วัน และอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่อเมริกันทิ้งไว้เนี่ย ท่านก็ ทำหนังสือไปขอ จากรัฐบาลอเมริกัน เพื่อใช้ป้องกันตัวก็ ได้รับการปฏิเสธ ขอซื้อก็ไม่ขาย แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ให้มันพัง ตามธรรมชาติของมัน

ท่านจึงพูดในวงสนทนาว่า อเมริกันเป็นเพื่อนที่ใช้ไม่ได้เลย คบไม่ได้คนพวกนี้ ท่านจึงเรียก ท่านทูตแผน วรรณเมธี ให้เข้ามา แล้วท่านพูดกับท่านแผนว่า เราเห็นจะต้องไปเยือนจีนกันละ เพราะไม่เห็นทางออกอย่างอื่น ท่านทูตแผนตอนนั้น จึงจัดเจ้าหน้าที่กรุยทาง ที่จะไปเยือนจีน

การไปเยือนจีนสมัยนั้น ต้องผ่านทางฮ่องกง เมื่อไปถึงฮ่องกง นักข่าวต่างประเทศก็รุมถามกันว่า ท่านจะไปเมืองจีนทำไม เพราะทั้งที่รู้อยู่ว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เป็นตัวสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ให้ก่อการร้ายอยู่ในขณะนั้น

ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเราหน้าแตก เพราะต้องบากหน้า เพราะต้องไปพึ่งเขา แต่จะพูดตรงๆมันก็จะเสียเหลี่ยม ท่านจึงบอกว่า ผมเป็นตัวแทนของรัฐบาลไทย ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับรัฐบาลจีน

ส่วนเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นั่นเป็นเรื่องของพรรคไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เราเป็นตัวแทนรัฐบาลไม่เกี่ยวกับพรรค ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ก็คือรัฐบาลจีน แต่ก็ต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน เมื่อไปถึงที่ประเทศจีน เขาก็ให้การต้อนรับเราอย่างดี แต่ก็ยัง ไม่แน่ใจว่า จะได้พบท่านประธานเหมาหรือเปล่า เพราะท่านประธานแก่มากแล้ว

ในวันต่อมา หลังจากที่ไปเยี่ยมตามสถานที่ต่างๆ ก็มีหนังสือด่วนมาว่า ประธานเหมา เปิดให้เข้าพบ ได้ประมาณ 20 นาที ทุกคนต่างตื่นเต้น เพราะเป็นเวลาที่สำคัญ ที่จะได้พบ

เมื่อไปถึง ท่านคึกฤทธิ์ กลับพบว่า ท่านประธานเหมาถึงแม้ว่าแก่ชรามากแล้ว แต่ก็รู้เรื่องทุกอย่าง อย่างทะลุปรุโปร่ง ท่านเหมาเข้ามากอดท่านคึกฤทธิ์ แล้วบอกว่า ไอ้หนู เองตอบคำถามนักข่าวได้ดีมาก พร้อมกับตบหลังตบไหล่ อย่างเป็นกันเอง ท่านคึกฤทธิ์ ได้คุยกับท่านเหมา อยู่ 2 ถึง 3 ชั่วโมง ทั้งที่หมายกำหนดการ แค่ 20 นาที

ในช่วงระหว่างนั้น ท่านก็ขอท่านเหมาว่า ขอให้ช่วยบอก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ให้หยุดปฏิบัติการรุนแรง แต่ท่านเหมา บอกว่า เราสั่งเขาอย่างนั้นไม่ได้ แต่ที่เราจะทำได้ คือหยุด ส่งอาวุธและเสบียง เรื่องนี้ท่านรับปาก

ส่วนเรื่องเวียดนาม ท่านบอกว่า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจีนจะจัดการเอง ทั้งหมดนี้ ได้ยินจากปากของท่าน หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ปราโมช และผมก็ไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ในที่ห้องสมุดนั้น มีคนอีกหลายคน ล้นออกมานอกห้องสมุดเลย รวมทั้ง ท่านทูต แผน วรรณเมธี ซึ่งเป็น ทูตไทยประจำประเทศอังกฤษ ในขณะนั้น และเป็นคน ที่กรุยทาง ให้ท่านคึกฤทธิ์ ไปเยือนจีน

ครั้งนั้น ทำให้เราเข้าใจว่า ไม่ว่าอย่างไร จีนก็ยังเป็นเพื่อน เพราะเชื้อสายที่ติดต่อกัน มาหลายชั่วคน แต่อเมริกา ไม่ใช่เลยถ้าไม่มีผลประโยชน์ เขาจะไม่เข้ามา เขาใช้เราเป็นฐานทัพ ไปโจมตีเพื่อนบ้านของเรา แต่ถึงเวลาถอย มันทิ้งเราเลย ไม่ช่วยแม้แต่อาวุธ นี่คือเรื่องทั้งหมด ที่ผมยังจำได้ จนถึงทุกวันนี้

ท่านทูต แผน หลังจากเกษียณ ท่านได้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ สภากาชาดไทย

ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น อดีตบิ๊กข่าวกรองไทย ฟันธง สงครามรัสเซีย-ยูเครนไม่จบ นาโต้จ่อช่วยตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

เนื้อหาระบุว่า นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ว่า ยูเครนจบแล้วยัง ปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครนใกล้จบหรือจบแล้ว ทางการรัสเซียอ้างว่า ได้ทำลายสนามบิน เครื่องบินของยูเครนหมดสิ้น ยูเครนแอบโยกย้ายเครื่องบินรบไปไว้ในต่างประเทศ โดยถูกระบุว่าเป็นโรมาเนีย

รัสเซียสำทับว่า ประเทศใดอนุญาตให้เครื่องบินรบของยูเครนออกปฏิบัติการ รัสเซียจะพิจารณาว่า ประเทศนั้นๆเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางทหารกับรัสเซีย ไม่ได้ขู่นะ รัสเซียระบุว่า อเมริกาและอังกฤษใช้ดินแดนโปแลนด์เป็นจุดในการส่งกำลังบำรุงอาวุธและลักลอบส่งกองกำลังติดอาวุธจากซีเรียที่เรียกว่า Daech เข้ายูเครน
นายนันทิวัฒน์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ผู้นำยูเครนเรียกร้องให้นาโตประกาศเขต No Fly Zone เหนือยูเครน เพื่อยุติการปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียแต่ไม่มีประเทศใดเอาด้วย ประเทศเพื่อนบ้านและมีดินแดนติดต่อกับยูเครน โปแลนด์ประกาศชัดเจนว่า จะไม่ให้ใช้สนามบินและเครื่องบินโปแลนด์ในความขัดแย้งทางทหารในยูเครน บุลกาเรียและสโลวาเกียก็ประกาศในทำนองเดียวกัน

ปูตินได้พูดคุยกับผู้นำฝรั่งเศส ยืนยันวัตถุประสงค์ของปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ว่า เพื่อปกป้องชาวรัสเซียในแคว้นดอนบาสที่ถูกสังหาร รวมทั้งยันยันว่า ต้องทำลายกองกำลัง demilitarize และทำลายกลุ่มนาซีในยูเครน และดำเนินการลงโทษคนที่สังหารชาวรัสเซีย และยืนยันว่า ปฏิบัติการทางทหารเป็นไปตามแผนและใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยการทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารในยูเครนจนหมดสิ้น

นายนันทิวัฒน์ กล่าวว่า นอกจากนั้นปูตินได้แจ้งผู้นำตุรกีที่พร้อมทำหน้าที่เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งว่า รัสเซีย จะหยุดปฏิบัติการทางทหารต่อเมื่อ ยูเครนหยุดการกระทำที่เป็นอันตรายต่อรัสเซีย และดำเนินการตามความต้องการของรัสเซีย และรัสเซียพร้อมเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง นาโตกำลังพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้นำยูเครน นำตัวมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย อาจให้จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ไม่จบง่ายๆ

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ บทเรียนอันเลวร้าย ที่ไทยเคยมีกับสหรัฐฯ แทบจะไม่มีใครหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นให้ความสนใจ เพราะระบอบเสรีประชาธิปไตยแบบสหรัฐฯ ที่เรียกร้องต้องการ มันบดบังจนหมดสิ้น

ทั้งพักหลังคนไทยที่อ้างตัวเป็นคนหัวก้าวหน้า ก็มักจะก้มหัวนิยมชมชอบสหรัฐฯเป็น “นายใหญ่” เห็นได้ชัดแม้แต่การเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองของ “สามนิ้ว” ก็อาศัยสหรัฐฯ เป็นอำนาจต่อรองรัฐบาลไทย และเป้าหมายที่ต่อต้าน แล้วก็ไม่แปลก ที่พวกเขาจะเลือกข้างโจมตีรัสเซีย ประณามรัสเซีย และต้องการช่วยยูเครน แม้แต่สมัครเป็นทหารรับจ้างอาสาช่วยรบ อย่างที่เป็นข่าว

เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องที่หยิบยกขึ้นมาดังกล่าว จึงถือว่า เป็น “บทเรียนราคาแพง” เป็นสิ่งที่คนไทยจะต้องจดจำและไม่หลงเชื่อ หลงกลอีกต่อไป หาไม่แล้ว ประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอย และประเทศไทยอาจไม่โชคดี หรือมีผู้นำที่ชาญฉลาดอย่างสมัยอาจารย์หม่อมศึกฤทธิ์ ก็เป็นได้ คิดดูให้ดี

7 มี.ค. 2565  ผู้จัดการออนไลน์