ผู้เขียน หัวข้อ: ปีแรก!! “แจกถุงยาง-ให้ยาคุม” เมื่อไทยเดินตามนานาประเทศ อุดช่องโหว่ “ท้องไม่พร้อม  (อ่าน 239 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9773
    • ดูรายละเอียด
รับฟรีได้ทั่วประเทศ!! ไม่ว่าจะมาคู่หรือมาเดี่ยว ภาครัฐแจกทั้ง “ถุงยาง” และ “ยาคุม” ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาเรื้อรัง “ท้องไม่พร้อม” จนนำไปสู่ปัญหาสังคมอื่นๆ ตามมา

ส่องเพื่อนบ้านเทียบไทย “แจกถุงยาง-ให้ยาคุม”

“ถุงยางอนามัย และยาคุมชนิดกิน จะแจกให้ผู้มีอายุ 15 ปีขึ้นไป” คือข้อมูลที่ได้จากการออกมาชี้แจงของ นพ. จักรกริช โง้วศิริ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กับนโยบาย “ป้องกันการตั้งครรภ์แบบไม่พึงประสงค์” ที่เริ่มทำอย่างจริงจังในปีนี้

โดย “ยาคุมชนิดกิน” นั้นจะแจกให้ผู้หญิง อายุตั้งแต่ 15 ขึ้นไป ปีหนึ่งรับได้ไม่เกิน 13 แผง ซึ่งวิธีสมัครรับก็ง่ายๆ ดังนี้

1. แค่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเข้าแอปเป๋าตัง เข้าเมนูเป๋าสุขภาพ แล้วไปที่บริการสร้างเสริมสุขภาพ เลือกหน่วยบริการ จองสิทธิ และรอไปรับในวันที่จองแค่นี้ก็เสร็จแล้ว

2. สำหรับผู้ที่ไม่มีมือถือ ให้นำบัตรประชาชนไปขอยืนยันเพื่อรับสิทธิที่มี เริ่ม ก.พ.นี้เป็นต้นไป

ส่วน “ถุงยางอนามัย”จะมีแจกให้ทุกคนที่อายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถรับได้สัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 10 ชิ้น โดยวิธีรับแค่ แอดไลน์ (สปสช.) แล้วไปแสกน QR code ที่หน่วยบริการโครงการแจกถุงยางอนามัย เพื่อรับไปใช้

โดยมีให้เลือกถึง 4 ขนาด คือ 49 มม., 52 มม., 54 มม. และ 56 มม. ซึ่งจุดบริการรับยาคุมและถุงยางอนามัยนั้น ทุกคนสามารถไปรับได้ที่ ร้านขายยา โรงพยาบาลเอกชน คลินิกเวชกรรม และหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่เข้าร่วมโครงการกับ สปสช. เริ่มแจก 1 เม.ย. นี้

แม้ว่าในปีนี้ไทยเพิ่งจะมีโครงการแจกให้ฟรี แต่สำหรับเรื่องนี้ในต่างประเทศกับเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนได้รับสิทธิการได้ถุงยางอนามัยฟรี อย่าง “อังกฤษ” ที่ปิ๊งไอเดียแก้ปัญหาเรื่อง “ท้องไม่พร้อม” เป็นประเทศแรกในโลก

โดยแจกถุงยางฟรีให้เด็กตั้งแต่อายุ 12 ขึ้นไปทั่วประเทศ เพื่อเป็นการป้องกันการท้องแบบไม่ตั้งใจ และให้เด็กได้รู้จักการรับผิดชอบการคุมกำเนิดด้วยตัวเองมากขึ้น

เว็บไซต์ "ไทมส์ออนไลน์ (TIMESONLINE)" เคยให้ข้อมูลไว้ว่า เด็กหนุ่มตั้งแต่วัย 12 จะได้รับบัตรเครดิตไว้ใช้สำหรับไปรับถุงยางอนามัยตามที่สาธารณะต่างๆ ทั่วประเทศ อย่าง สนามฟุตบอล ร้านตัดผม โรงแรม และสถานที่อื่นๆ อีกมากมายตามแหล่งชุมชนที่เด็กผู้ชายชอบเที่ยวเล่นกัน

โดยการรับถุงยางในอังกฤษนั้น ไม่ต้องไปรับสถานีอนามัยหรือประจันหน้ากับร้านขายยาเลย แค่ยืนบัตรเครดิตให้ร้านดู ก็มีมาครอบครองแล้ว แถมไม่ต้องลงชื่อกรอกประวัติให้วุ้นวาย แค่มีบัตรเครดิตใบเดียวจบ

นอกจากนี้ยังมี “จีน” ที่มีวิธีแจกน่าสนใจ กับ “ตู้อัจฉริยะจำหน่ายถุงยางอนามัย” เพียงแค่แสกนบัตรประชาชนหน้าตู้ หรือใช้ ID นั้นก็สามารถได้ถุงยางฟรี 1 กล่องเต็มๆ โดยไม่เสียตัง แต่ก็มีเงื่อนไขในการได้รับเหมือนกัน คือ ต้องมีอายุระหว่าง 18-60 ปี โดยตู้นี้แจกฟรีแค่เดือนละกล่อง

ส่วนเรื่องข้อมูลส่วนตัวที่ใช้กรอกข้อมูลนั้น สำนักงานสาธารณะสุขยังให้ความเป็นส่วนตัวและปิดไว้เป็นความลับให้แก่ผู้ใช้อีกด้วย สำหรับคู่รักที่ใช้สิทธิไปแล้วอยากได้เพิ่ม ตู้อัจฉริยะนี้มีให้ซื้อเป็นชิ้นด้วยเพียงแค่จ่าย 1 หยวน หรือ ประมาณ 5 บาท เท่านั้น

เป็นธรรมดาที่คู่รักจะหาวิธี “แสดงความรัก” ต่อกัน แต่หากปล่อยไปตามความปรารถนาโดยไร้การควบคุม โดยเฉพาะช่วงวัยที่เสี่ยงต่อการ “ท้องไม่พร้อม” ยิ่งมีแต่จะก่อให้เกิดผลเสียตามมา

หนึ่งในวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุด จึงคือการ “ให้ความรู้” เกี่ยวกับวิธีป้องกันแก่เด็กและเยาวชนตั้งแต่ยังอยู่ในรั้วโรงเรียน ซึ่งยังถือเป็นจุดอ่อนของระบบการศึกษาไทย จึงเกิดเป็นโปรเจกต์ “โครงการเลิฟแคร์ มูลนิธิแพธทูเฮลท์” เพื่ออุดหลายๆ ช่องโหว่ผ่านโลกออนไลน์

เพราะทุกวันนี้ การเรียนเรื่องเพศไม่จำเป็นต้องนั่งฟังแค่ในห้องเรียนอีกต่อไป และเว็บไซต์www.lovecarestation.com ก็คือเว็บที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ตรงจุดนี้ ผ่านการให้คำปรึกษาและให้ความรู้เรื่องเพศที่หลากหลาย

นอกจากนี้ ยังมีบริการอื่นๆ อีกมากมาย ใครๆ ก็สามารถเข้าใช้ได้โดยไม่ต้องกรอกประวัติให้เหนื่อย เพราะทางเว็บให้ความสำคัญเรื่องสิทธิส่วนบุคคล จึงเน้นให้เข้าไปปรึกษาได้แบบฟรีๆ และมีขั้นตอนน้อยที่สุด

พรนุช สถาผลสวัสดิ์ ผู้จัดการโครงการเลิฟแคร์ มูลนิธิแพธทูเฮลท์ ให้ข้อมูลถึงเรื่องการสอนเพศศึกษาของประเทศว่า ตอนนี้กำลังเริ่มผลักดันเรื่องเพศศึกษาในโรงเรียน ตาม พรบ.ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งการสอนเพศให้เด็กเรียนนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่อาจจะยังให้ไม่มากพอ

เมื่อเทียบกับนานาประเทศแล้ว การให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาอย่างอังกฤษและอเมริกานั้น ฝั่งอเมริกาอาจจะยังไม่ค่อยชัดเท่าใดนัก เพราะบุคลากรมีจำกัด จึงไม่ได้เปิดสอนในทุกรัฐ รวมถึงข้อจำกัดที่ว่า แต่ละรัฐให้ความสำคัญเรื่องเซ็กซ์ต่างกันด้วย

“เรื่องเพศศึกษานั้นต้องมีให้ความรู้เด็กเป็นพื้นฐานอยู่แล้วนะ แต่จะสอนยังไงนั้นเป็นโจทย์ของครูในโรงเรียนนะว่าต้องให้เด็กได้เรียนรู้แบบไหน อาจมีส่วนร่วมกับกิจกรรมการสอนเรื่องเซ็กซ์ไปด้วย ไม่ใช่แค่ฟังแบบทฤษฎีเท่านั้น”

หันมามองประเทศไทย แม้จะยังล้าหลังกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ แต่ก็ถือว่าการสอนเรื่องเพศศึกษาในปัจจุบันดีขึ้นมาก เมื่อเทียบกับอดีตช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา

อย่างน้อยๆ ผู้ใหญ่สมัยนี้ก็รู้จักสอนลูกหลานตัวเอง ให้เรียนรู้เรื่อง “การท้องก่อนวัยอันควร” ซึ่งเมื่อเทียบกับในอดีตแล้ว แทบหาครอบครัวที่จะพูดถึงเรื่องนี้ได้น้อยมาก ส่วนหนึ่งอาจเพราะตัวผู้ปกครองเองที่อาจยังไม่มีความรู้มากเพียงพอ ทั้งยังกลัวว่าจะสื่อสารผิดพลาด จึงทำได้เพียง “ห้ามมีเซ็กซ์ก่อนแต่งงาน” เพื่อความปลอดภัยของเด็ก แล้วปล่อยให้หน้าที่การสอนเรื่องเพศศึกษา เป็นของแม่คนที่สองในรั้วโรงเรียนแทน

เมื่อให้แนะนำเกี่ยวกับประเด็นนี้ ผู้จัดการโครงการเลิฟแคร์มองว่า จำเป็นต้องให้การเรียนรู้แก่เด็กเกี่ยวกับเรื่องเพศให้ครบทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการของร่างกาย, สัมพันธภาพ, ทักษะส่วนบุคคล, สุขภาพทางเพศ ฯลฯ หรือแม้แต่ประเด็นเรื่องสังคมและวัฒนธรรม

สิ่งเหล่านี้จะช่วยเด็กได้เรียนรู้เรื่องเพศวิถีศึกษาที่เหมาะ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นการสอนเพื่อส่งเสริมให้เด็กไปมีความสัมพันธ์กัน แต่สอนเพื่อให้เด็กเข้าใจตัวเองและคนอื่นมากขึ้น บนพื้นฐานการให้เกียรติซึ่งกันและกัน

“พี่รู้สึกว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สิทธิของตัวเองให้การเข้ารับการรักษา ยิ่งเรื่องเพศแล้ว สังคมยิ่งโคตรจะปกปิด และไม่อยากจะพูดถึงกัน ถ้าเกิดท้องขึ้นมาหรือเป็นหนองใน เด็กไม่รู้นะว่าจะควรทำตัวยังไง พี่ว่าสิทธิการรักษาโรคนั้นควรผลักดันให้เด็กได้เรียนรู้ด้วย อันนี้พี่ว่าเป็นเรื่องใหญ่เลย”

14 ก.พ. 2565  ผู้จัดการออนไลน์