นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ในการดำเนินการน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมเพื่อขอพระราชทานถวายพระสมัญญา “บิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย” แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ผู้มีพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นแก่การอุดมศึกษาของไทย เนื่องในโอกาสวันครบรอบ ๑๒๐ ปี แห่งวันพระราชสมภพ (๑ มกราคม ๒๔๓๕) ในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) และคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้ให้ความเห็นชอบแล้วเช่นกัน
ทั้งนี้ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศฯ ทรงดำรงพระชนม์ชีพอันเป็นแบบอย่างของผู้ใฝ่ในการศึกษา ทรงเป็นหลักเริ่มต้นในการเจรจาความร่วมมือกับมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ นับเป็นประเด็นสำคัญที่ช่วยให้การอุดมศึกษาของไทยที่เริ่มก่อตั้งมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือน โรงเรียนราชแพทยาลัย ได้มีความเข้มแข็งในเชิงวิชาการ และมีความเป็นมาตรฐานในฐานะของมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพระดับสากล พระองค์ยังทรงเกี่ยวข้องกับวงการแพทย์ และวงการศึกษา รวมทั้งได้ประทานทรัพย์และทุนการศึกษาให้แก่วงการศึกษาเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเปี่ยมล้นด้วยจิตวิญญาณความเป็นครู ทรงแสดงให้เห็นถึงหลักการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทรงดำริว่า “การศึกษาเป็นงานที่มีคนเป็นหัวใจ” ต้องเน้นคุณค่าของความเป็นครู ยึดคนเป็นหลัก โดยทรงมีความลึกซึ้งในปรัชญาและวิธีจัดการศึกษามหาวิทยาลัยในระดับสากล ทรงวางรูปแบบการบริหารจัดการในลักษณะที่เน้นการมีส่วนร่วม รวมทั้งได้นำเสนอหลักการ “ธรรมาภิบาล” ในการบริหารอุดมศึกษา และทรงมีความลึกซึ้งในงานวิจัย และการนำผลการวิจัยไปสู่การบริหารจัดการศึกษา
การถวายสมัญญานาม มิได้ขัดกับสมัญญานามด้านการศึกษาที่เคยมีผู้ถวายแด่พระองค์ ไม่ว่าจะเป็น “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนใหม่” “องค์บิดาแห่งการสาธารณสุขไทย” “บุคคลดีเด่นของโลกของยูเนสโก” แต่เป็นการเสริมเติมเต็มให้สมบูรณ์แบบ เพราะทั้งวิชาชีพแพทย์ และนักสาธารณสุขนั้น ล้วนเป็นผลสืบเนื่องจากการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ของวงการอุดมศึกษาของไทยอย่างแท้จริง ซึ่ง ศธ.จะได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป
มติชนออนไลน์ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554