ผู้เขียน หัวข้อ: ไหนจะต้อง เหนื่อยยาก ลำบากกาย ไหนจะอาย ทั่วทั้ง โลกา (ปราโมทย์ นาครทรรพ)  (อ่าน 1710 ครั้ง)

seeat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
    • ดูรายละเอียด
ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่น ผู้เป็นนาย
เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย
ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา
ร. 6

ผู้เขียนได้ยกพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้า ร.6 สองวรรคมาเป็นหัวข้อเรื่อง และอ้อนวอนให้ผู้อ่านมิตรสหายทั้งหลายช่วยกันเขียนบทความตามถนัด บรรยายว่า มหาอุทกภัยครั้งนี้ ทำให้ชนชาติไทยเหนื่อยยากลำบากกายและอับอายไปทั่วทั้งโลกายิ่งกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ของชาติ ร้ายกว่าไท้ต่างด้าวท้าวต่างแดนเข้ามาเป็นเจ้าเข้าครองเสียอีก

เศร้าที่สุด แต่ที่เศร้ายิ่งกว่าคือ มีผู้อ่านเขียนมาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือคุณRonald หรือ รณยศ เพื่อนของผม ที่นอกจากจะอัญเชิญพระราชนิพนธ์มาจนครบ 2 บท ยังเขียนบทความที่เจ้าตัวเรียกว่าบ่นมาอย่างน่าอ่านยิ่ง ดังนี้

"ผมเห็นว่าโจทย์ของอาจารย์ตรงกับปัญหาชาติ ถึงแม้ผมจะตอบไม่ตรงความต้องการของอจ.ที่อยากให้พาดพิงถึงเรื่องน้ำท่วม แต่นี่คือ เหตุแห่งความล้มเหลวของประเทศไทย ทำให้คนไทยประสบหายนะทั้งเจ็บ ทั้งตาย และเสียเกียรติภูมิอย่างยิ่ง ที่ประเทศไทยเกิดหายนะซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ ทั้งป้องกันก็ไม่ได้ แก้ก็ไม่ได้ แล้วยังถูกนักการเมืองคนชาติเดียวกันเอง ซ้ำเติมแบบซ้ำซากอีก แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างวาตภัย อุทกภัย ที่จะทวีความรุนแรงขึ้นตามแนวโน้มของโลกที่ร้อนมากขึ้น ผมเกิดความคิดว่า นี่คือ ลักษณะมหันตภัย เช่นเดียวกันที่ได้ถล่มประเทศไทยในรอบสองร้อยปีที่ผ่านมา และเราจะไม่มีทางหลุดออกจากมหันตภัยนี้ได้เลย ถ้าไม่ปฏิรูปวัฒนธรรมทางการเมือง ถ้าพูดแบบหลวงพ่อพุทธทาส ก็บอกว่าธรรมะไม่กลับมา โลกาก็วินาศครับ

การล่มสลายของจักรวรรดิ์และอารยธรรม


บังเอิญ 2 คืนก่อน ผมได้ดูสารคดีของไทยพีบีเอส เรื่อง ความล่มสลายของอาณาจักรแอสเทค ซึ่งมีอารยธรรมสูงส่งอยู่ในเม็กซิโก เคยเจริญรุ่งเรืองอยู่หลายพันปี มีประชากรเป็นหลายแสนในแต่ละเมือง แต่เมื่อกองเรือสเปนเหยียบไปถึงเมื่อประมาณ 500 ปีก่อน คนเสปนคนเดียวชื่อคอร์เตส และ กองกำลังอีกไม่ถึงพันคน เข้ายึดครอง แล้วทำให้อารยธรรมนั้นล่มสลายไปได้ ผมไปค้นรายละเอียดต่อ เอามาเล่าให้ฟังเสริม (ในเพจของ ราชบัณฑิตสถานhttp://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=544)

เหตุสำคัญที่ทำให้อารยธรรมหลายพันปี ล่มสลายในเวลาไม่กี่ปี เกิดจากความหลงผิดว่า ฝรั่งคอร์เตสหน้าขาวๆ เป็นเทพในตำนาน จักรพรรดิมอนเตซูมาของแอสเทค จึงไม่ต่อต้านขัดขืน ปล่อยให้เข้าถึงวังและยึดเมืองโดยง่าย... รวมทั้งคอร์เตสหาทางทำให้เกิดแตกความสามัคคีในหมู่ชนอินเดียนท้องถิ่น จึงถูกสเปนไม่กี่ร้อยคน แบ่งแยกแล้วยึดครอง ขนเอาทรัพย์สินมีค่า ทองคำ โบราณวัตถุกลับไปยุโรป ที่เหลือก็เผาทำลายทิ้งเสีย เหลือแต่ปิรามิดพระอาทิตย์ ปิรามิดพระจันทร์ขนาดใหญ่ให้คนปัจจุบันทึ่งว่า อารยธรรมแบบนั้นล่มสลายด้วยนายคอร์เตสคนเดียวได้อย่างไร ... ผมจึงคิดถึงประเด็นของอาจารย์ ที่กล่าวถึงกองทุนจากรัฐสภาอเมริกัน ที่สนับสนุนหมู่บ้านเสื้อแดง อีกครั้งหนึ่ง

ตอนนี้ มีหลายคนกำลังพูดว่า ปัญหาของประเทศไทยขณะนี้กำลังเกิดจากคนๆเดียว และ คนนั้นก็ได้รับการยกย่องอย่างหลงใหลให้เป็นผู้นำของรัฐไทยใหม่ที่จะทำให้ราชอาณาจักรไทยล่มสลาย ...จะเหมือนนายคอร์เตสไหม

ผิดไปจากนี้ก็ยังมีหนุ่มนักเรียนนอกสัญชาติอังกฤษที่คนส่วนน้อยกว่าส่วนหนึ่งคิดว่า เป็นทางเลือก แต่หนุ่มสัญชาติอังกฤษนี้ จะรับงานบ่อนทำลายราชอาณาจักรไทยเหมือนนายคอร์เตสไหม ผมไม่ไว้ใจแล้ว

ราชอาณาจักรไทย

พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ มีสายพระเนตรยาวไกล ทรงเป็นห่วงความทุกข์ยากของราษฏรของพระองค์ ได้ทรงเตรียมการสู้ภัยสำคัญของชาติ ที่สำคัญคือคลื่นการล่าอาณานิคม คลื่นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจ ที่เปรียบเหมือนพายุกระหน่ำสู่รัฐนาวาไทยเป็นระลอกตลอดมา

ในห้วงเวลา รัชกาลที่ 1 และที่ 2 ของกรุงรัตนโกสินทร์ ราชวงศ์ต่างๆในยุโรป ตกอยู่ในความผันผวนหลังปฏิวัติฝรั่งเศสระหว่าง พ.ศ.2332-2342 ที่สำคัญคือราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซีย ต่อมาในรัชกาลที่ 3 ของกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศไทยได้เห็นราชวงศ์ และอาณาจักรพม่าที่เป็นคู่ปรับขนาดพอๆกับไทยตลอดมาหลายร้อยปีในแหลมทอง สิ้นสุดลงเมื่อพม่าตกเป็นของอังกฤษ และการเริ่มรุกของฝรั่งเศสเข้ามาในอินโดจีน (หนังสือที่เขียนโดย มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เรื่องพม่าเสียเมือง ผมคิดว่าน่าอ่านมากครับ เล่าถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวง การออกหวยโป และการไม่ใส่ใจการบริหารราชการแผ่นดินของพระเจ้าธีปอ กษัตริย์องค์สุดท้าย นอกจากนั้นเผอิญผมพบจากเสิร์ชกูเกิล ตามลิงก์นี้ด้วย ทำให้รู้บรรยากาศของความชอกช้ำจาก การเสียแผ่นดินแบบหนึ่ง

(http://pantown.com/board.php?id=9908&area=4&name=board7&topic=357&action=view )

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สร้างภูมิต้านทานที่สำคัญคือการส่งพระราชวงศ์ออกไปศึกษาวิชาการตะวันตกและการปฏิรูป แต่ขณะเดียวกันได้แสดงภูมิปัญญาให้ตะวันตกเห็นว่า คนไทยไม่ใช่คนเถื่อนด้อยการศึกษา พระองค์ท่านมีพระปรีชาญาณสาขาดาราศาสตร์ ใช้โลก ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ เป็นพยานให้ฝรั่งเห็นว่า คนไทยไม่โง่ สามารถทำนายสุริยุปราคาเต็มดวง โดยระบุตำบลที่หว้ากออย่างแม่นยำ ด้วยเวลาระดับวินาที ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก (แม้ในปัจจุบันที่มีข้อมูลเพียบพร้อมและสมองกลก็ยังยาก) พระองค์ทรงเก็บข้อมูลจากการบันทึกเส้นทางโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จากการวัดมุมในตำแหน่งต่างๆในประเทศไทยอยู่กว่าสองปี ซึ่งต้องใช้การวัดตำแหน่งบนแผ่นดินตามระบบเส้นรุ้ง-เส้นแวงอย่างแม่นยำ รวมทั้งต้องมีการบันทึกและบอกเวลาตามมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์ นี่เป็นการใช้กุศโลบายที่ทำให้ชาตินักล่าอาณานิคมต้องยำเกรง

แต่ต่อมาฮอลีวู้ดและโรงละครบรอดเวย์ได้จาบจ้วง เอาเรื่องของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นบิดาของวิทยาศาสตร์ไทย ไปเล่นล้อเลียนทำเป็นภาพยนต์ถึง 3 รอบและละครเพลง ให้ภาพกษัตริย์ไทยเป็นคนเถื่อนบ้าง เหี้ยมโหดบ้าง เต้นเป็นลิง ไม่ศิวิไลซ์ จนแหม่มแอนนาต้องสอนให้ ฝรั่งนิยมชมชอบกันมาก ให้รางวัลไปหลายรางวัล จนนายยูล บรินเนอร์ ถือเป็นโลโก ไม่ยอมเลิกโกนหัวตลอดชีวิตที่เหลือของการแสดง

อันที่จริงเพราะพื้นฐานอันถูกต้องและมองการณ์ไกลของพระจอมเกล้าฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ แม้ขึ้นครองราชย์แต่ทรงพระเยาว์ 15 พรรษาก็จำเริญด้วยพระสติปัญญา จากประพาสประเทศใกล้เคียงระยะแรกๆ ทำให้ทรงทราบสภาพของบรรดาเมืองขึ้นฝรั่ง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประพาสยุโรป 2 ครั้ง 2440 และ 2450 ได้ทรงไปเรียนรู้การปฏิรูปประเทศจากรัสเซีย เนื่องด้วยกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การทหาร การคมนาคม ตั้งแต่ สมัยซาร์นิโคลัสที่ 2 หลังรัสเซียแพ้สงครามไครเมียในยุโรป

และด้วยพระปรีชาญาณอันหาที่สุดมิได้ ได้สร้างสมดุลอำนาจที่ทำให้ชาติมหาอำนาจต้องยำเกรงประเทศเล็กๆอย่างสยาม ไม่กล้างาบไปทั้งประเทศจนสูญสิ้นราชวงศ์ เหมือน อินเดีย มลายู พม่าและเวียดนาม (ลิงก์นี้น่าจะเป็นงานวิจัยการเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 5 http://www.csr.chula.ac.th/lecture_series/images/stories/pdf/king-chulalongkorn-rachanusorn9.pdf )

ที่ผมทวนประวัติศาสตร์ไปร้อยถึงสองร้อยปีก่อนและให้ลิงก์ รายละเอียดนี้นะครับ อาจจะทำให้เห็นความแตกต่างของความสำเร็จในการป้องกันชาติบ้านเมืองจากมหันตภัย ว่า มิใช่เกิดจากผู้ชนะการเลือกตั้ง นโยบายประชานิยมเพ้อฝัน มิใช่เกิดจากโชค มิใช่เกิดจากการแก้บน ทำบุญประเทศ หรือบูชาพระหลักเมืองเพื่อให้น้ำไม่ท่วม ไม่ใช่เกิดจากสามัญสำนึก หรือคาดเดาเอาเองว่า จะเอาถุงทรายไปปิดตรงโน้นตรงนี้ หลับตาคิดเอาว่า ดอนเมืองเป็นที่สูง น้ำจะไม่ท่วมดอนเมือง แต่เกิดจากการดำรงธรรมในการครองราชย์ เกิดจากสัมมาทิษฐิ และอิทธิบาท ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสะ จึงทำให้เกิดพระปรีชาญาณของพระมหากษัตริย์ไทย ที่ได้สั่งสม ตระเตรียมการ ด้วยความเป็นห่วงพสกนิกรอย่างแท้จริง

อัจฉริยะเป็นสิ่งที่สร้างได้และต้องสร้างเพื่อป้องกันและ รับมือกับมหันตภัยล่วงหน้า และนี่คือปาฏิหารย์ที่ในหลวงรัชกาลปัจจุบันได้ทรงเจริญรอยตามบรรพกษัตริย์คือการสังเกต เก็บข้อมูล อย่างอุตสาหวิริยะ และติดดินมากๆ

เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ ของเราได้พระราชทานคำแนะนำเรื่องการป้องกันน้ำท่วม ตั้งแต่ปี 2526 และ ในคลิปนี้ 2538 พระองค์ตรัสไว้เหมือนเมื่อเดือนที่แล้ว และไม่มีใครโต้เถียงข้อเท็จจริงได้แม้แต่ประโยคเดียว... แม้แต่ปัญหาความขัดแยงระหว่างชาวบ้านเหนือและใต้พนังกั้นน้ำ รวมทั้งความช่วยเหลือของทางราชการที่เป็นเงินก็ช่วยชาวบ้านไม่ได้ และจะล่าช้า http://www.youtube.com/watch?v=Uv5HO7nA5EQ

ผมบ่นออกยาวมาก ไม่ตรงกับปัญหาทางเทคนิคเรื่องน้ำท่วม แต่ เห็นชัดว่า ระหว่างการสร้างสรรค์กับการบ่อนทำลาย หรือ หากใช้ภาษานักการเมือง เอาอยู่ กับเอาไม่อยู่ วิธีทำต่างกันอย่างไร นักการเมืองที่เสนอหน้ามาแต่ละคน ถึงอ้างว่า ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามา ได้ปริญญาเกียรตินิยมบ้าง ได้เอ แต่ เซแซดๆบ้าง มีธรรม มีภูมิปัญญา ถึงหรือไม่ ... ผมไม่คิดถึงว่า นายกฯคนไหนพูดผิดพูดถูกเลยครับ มันโกหกทั้งนั้น

ในเมื่อ รัฐบาลพวกหนึ่งเผาเมือง กับ รัฐบาลอีกพวกปล่อยให้เผาเมือง แน่นอนว่าไม่มีทางจัดการน้ำท่วมได้/********

แนวหน้า 29/11/2011