การดำเนินการในการคัดค้านร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.)
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ส่งหนังสือที่ นร ๐๕๐๓/๖๕๓๖ ลงวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ เพื่อขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร นำร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ. .... และพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....เช้าบรรจุในระเบียบวาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเป็นเรื่องด่วน ในขณะที่สส.ได้เสนอร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯอีก 5 ฉบับ และยังมีประชาชนเข้าชื่อกันเสนอร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....อีก 1 ฉบับ
ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเสนอร่างพ.ร.บ.นี้เช้าสู่สภานั้น คณะรัฐมนตรีชุดของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ส่งร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ และคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เริ่มพิจารณาตั้งแต่วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๑ และหลังจากการประชุม ได้พิจารณาแก้ไขในบางมาตรา และได้เปลี่ยนชื่อร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้เป็น “ร่างพระราชบัญญัติสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระบบบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....”
วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ เครือข่ายภาคประชาชน ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอให้พิจารณาข้อเสนอต่อการปรับปรุงร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....
วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ กระทรวงสาธารณสุขได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือข้อเสนอต่อการปรับปรุงร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....ของเครือข่ายภาคประชาชน และที่ประชุมได้มีมติให้กลับไปใช้ชื่อร่างพระราชบัญญัติตามเดิม
วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๓ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขขอให้เปลี่ยนชื่อเป็น“ร่างพระราชบัญญัติสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระบบบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....” และเห็นว่าควรให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ และเสนอให้มีการตั้งผู้แทนจากสภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการด้วย
วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้มีหนังสือเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้พิจารณายืนยัน“ร่างพระราชบัญญัติสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระบบบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....” เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ซึ่งในขณะนั้น นายวิทยา แก้วภราดัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินกา
เมื่อนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ ได้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ได้นำผู้พิการนั่งรถเข็นบ้าง นอนบนเปลหามบ้าง มาร้องเรียนที่ห้องรัฐมนตรีว่าเป็นกลุ่มผู้เสียหายทางการแพทย์ ต้องการให้รัฐมนตรีนำ“ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....”เข้าสู่กระบวนการพิจารณาออกมาใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป โดยมีข่าวออกมาว่า นายจุรินทร์ได้สัญญาจะผลักดันให้มีการนำร่างพ.ร.บ.นี้เข้าสู่การพิจารณาในสภาฯ “ล้านเปอร์เซ็นต์”
และในวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เสนอ“ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ....” พร้อมกับร่างพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... แก่ประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเข้าบรรจุในวาระด่วน
ในส่วนของคณะกรรมการแพทยสภานั้นได้มีมติในการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๓ และได้ส่งหนังสือที่พส. ๐๑๐/๔๐๙ เพื่อขอให้คณะรัฐมนตรีได้ทบทวนมติใน“ร่างพระราชบัญญัติสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระบบบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....” ยืนยันตามที่แพทยสภาเคยส่งหนังสือที่ ๐๑๑/๑๓๒๕ ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้พิจารณาเรื่ององค์ประกอบของคณะกรรมการว่าควรมีผู้แทนจากสภาวิชาชีพ และคำนิยามของสถานพยาบาลก็กว้างขวางมาก แต่สถานพยาบาลเหล่านั้นไม่เคยได้ทราบข้อมูลที่จะต้อมีภาระผูกพันกับร่างพระราชบัญญัตินี้มาก่อน โดยการต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนและภาระอื่นๆตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ และในมาตรา ๔๕ นั้น แม้มีการประนีประนอมยอมความและจ่ายเงินชดเชยกันไปแล้ว ก็ยังไม่ยุติคดีความอาญา อันจะนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคตต่อไปอีก จึงสมควรยุติคดีความ
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะสภานายกพิเศษของแพทยสภาได้กล่าวว่าต่อที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๓๓ ว่า ถ้าพวกแพทย์สามารถไปรวบรวมรายชื่อบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ....มาได้ ”มากกว่า ๘๐%”แล้ว รัฐมนตรีสธ.ก็จะยอมถอนร่างพ.ร.บ.นี้ออกจากระเบียบวาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
แพทยสภาได้จัดสัมมนาเรื่องพ.ร.บ.นี้ โดยได้เชิญนพ.ธเรศ กรัษนัยระวิวงศ์ผู้อำนวยการกองประกอบโรคศิลปะ มาบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับพ.ร.บ.นี้ รวมทั้งนอ.(พิเศษ)นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ได้บรรยายเกี่ยวกับรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัตินี้ที่ไม่ชอบมาพากลในทุกมาตรา
และผู้ที่ได้อ่านพ.ร.บ.นี้อย่างถี่ถ้วนและทำความเข้าใจแล้ว ก็ได้พบว่า ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ....” ฉบับของรัฐบาล จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะในแง่ของการเรียกเก็บเงินล่วงหน้าจากสถานพยาบาลจากการรักษาผู้ป่วยทุกคน เป็นการเก็บเงินของประชาชนส่วนใหญ่ มาเพื่อรอจ่ายให้คนส่วนน้อย( เพราะจากสถิติการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้เสียหายตามมาตรา 41ของพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯมาเกือบแปดปีนั้น มีการจ่ายเงินเพียง .๐๑%ของจำนวนผู้ป่วยที่มารับบริการทางการแพทย์เท่านั้น ) แต่ตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ....”นี้จะเก็บเงินจากการรักษาผู้ป่วยถึง ๙๙.๙๙% มารอจ่ายแก่ผู้ป่วย(ที่อาจจะได้รับความเสียหายจากการรักษา)จำนวนเพียง ๐.๐๑% ซึ่งจะมีผลทำให้โรงพยาบาลขาดแคลนเงินในการรักษาพยาบาลประชาชน แต่กองทุนจะมีเงินมาเก็บไว้มากมายมหาศาล ซึ่งคณะกรรมการสามารถใช้เงินกองทุนตามที่เขียนไว้ในพระรชบัญญัติถึง กองทุนได้ถึง ๑๐% ในการบริหารจัดการ
และกรรมการที่กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลก็คือเอ็นจีโอด้านสาธารณสุขเกินกึ่งหนึ่งของคณะกรรมการทั้งคณะ ส่วนกรรมการที่เหลืออีก 5 คนตามที่กำหนดไว้ก็คงเป็นพวกข้าราชการในกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ทำให้มองเห็นเจตนารมณ์ว่า ผู้เขียนและผู้ผลักดันกฎหมายเตรียมตัวมาเป็นกรรมการบริหารกองทุน
การเขียนบทบัญญัติตามมาตราต่างๆนั้นก็ขัดแย้งกันเอง เช่นมาตรา ๕ บอกว่าไม่ต้องพิสูจน์ความรับผิด แต่มาตรา๖ กำหนดว่าถ้าเป็นความเสียหายที่เกิดตามปกติธรรมดาของโรคนั้น หรือเป็นความเสียหายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการให้บริการตามมาตรฐานวิชาชีพ (ซึ่งการกำหนดเช่นนี้ จะรู้ได้ก็ต้องมีการพิสูจน์ว่าทำตามมาตรฐานหรือเปล่าเท่านั้น
แต่คณะกรรมการที่จะมาตัดสินนั้นมิใช่ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพ และคณะกรรมการประชุมกันโดยใช้เสียงข้างมาก โดยไม่คำนึงถึงหลักวิชาชีพ จึงถือว่าผู้ประกอบวิชาชีพถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนั้นการอ้างว่าไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิดก็ไม่เป็นไปได้ เนื่องจากสถานพยาบาลและผู้ประกอบวิชาชีพต้องส่งรายงานและคำชี้แจง หรือต้องไปชี้แจงคณะกรรมการด้วยตนเองตามมาตรา ๑๘ และถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมการตามมาตรานี้ จะถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๐ ให้จัดตั้งกองทุนสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในระบบบริการสาธารณสุข เพื่อไว้จ่ายเป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้น เงินชดเชย ชำระค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษาของศาล และใช้ในการส่งเสริมการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบความปลอดภัยและป้องกันความเสียหาย และเป็นค่าใช้จ่ายในการไกล่เกลี่ย และเป็นค่าบริหารของสำนักงานอีกไม่เกิน ๑๐% และมาตรา ๒๑ ยังกำหนดให้สถานพยาบาลจ่ายเงินสมทบตามจำนวนผู้ป่วย สถานพยาบาลไหนทำงานมาก ยิ่งต้องจ่ายเงินมาก สถานพยาบาลไหนทำงานน้อย(ผู้ป่วยน้อย)ก็จ่ายเงินน้อย และถ้าสถานพยาบาลไหนไม่จ่ายเงินตามกำหนดก็จะถูกปรับเป็นเงินเพิ่มร้อยละ 2 ต่อเดือน(ซึ่งแพงกว่าดอกเบี้ยนอกระบบอีก) และถ้าไม่จ่ายเงินและค่าปรับให้ฟ้องบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพื่อให้มาชำระเงินให้ได้
โรงพยาบาลภาครัฐ โดยเฉพาะรพ.ของกระทรวงสธ.นั้น มีข่าวขาดทุนอยู่ ๕๗๐ แห่งจากจำนวนโรงพยาบาล๘๔๐แห่ง การจะเรียกเก็บเงินจากโรงพยาบาลล่วงหน้าตามรายหัวประชาชน จะทำให้โรงพยาบาลไม่มีเงินซื้อยามารักษาประชาชนอีกต่อไป ส่วนโรงพยาบาลเอกชนนั้น ก็คงผลักภาระค่าใช้จ่ายในการนรี้ให้แก่ผู้ป่วยต่อไป ในขณะที่นักกฎหมายมหาชนบอกว่า รัฐบาลไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากสถานพยาบาลของรัฐได้และไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากสถานพยาบาลเอกชนได้ เพราะเอกชนย่อมมีพันธะสัญญาที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ป่วยของตนอยู่แล้ว