My Community
หมวดหมู่ทั่วไป => สหสาขาวิชาชีพ => ข้อความที่เริ่มโดย: seeat ที่ 15 มกราคม 2011, 08:58:27
-
"ป้าเคยป่วยเป็นโรค อะไรบ้างค่ะ" .... "คุณตาปวดขามานานหรือยังครับ" คำถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มของนิสิตหนุ่มสาวเอ่ยทักทายชาว บ้านที่มาตรวจสุขภาพก่อนจะจูงมือพาไปห้องตรวจโรคและรับบริการรักษาพยาบาล
ภาพน่าประทับใจนี้เกิด ขึ้นที่ค่ายอนามัยชุมชน ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสโมสรนิสิตจุฬาฯ 6 คณะทั้งแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ สัตวแพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ สหเวชศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทยร่วมกับอาสาสมัครแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร 360 ชีวิตร่วมกันจัดค่ายนี้ขึ้นเมื่อเดือน พฤศจิกายนที่โรงเรียนรุจิรพัฒน์ หมู่ที่ 3 บ้านห้วยม่วง ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนต่างๆ
นิสิตจุฬาฯทั้ง6 คณะรวมพลังกันให้บริการด้านสุขภาพแก่ชาวบ้านแบบครบวงจรทั้งการตรวจสุขภาพ จ่ายยา ตรวจเลือด ปัสสาวะและอุจจาระเพื่อตรวจโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดัน บริการขูดหินปูน ถอนฟัน แนะนำวิธีออกกำลังกายแก่ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ตรวจมะเร็งเต้านม และให้ความรู้ด้านโภชนาการและการป้องกันโรคต่างๆ รวมทั้งบริการฉีดยาป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ยาคุมกำเนิดให้สุนัขและแมวฟรี
แก๊ป -ตรีศักดิ์ เจตสุรกานต์ นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะเภสัชศาสตร์ ผอ.ค่ายอนามัยชุมชนจุฬาฯ ปี 2553 บอกถึงเป้าหมายของค่ายอนามัยว่า จัดมานานกว่า 10 ปีแล้วเพื่อให้นิสิตทั้ง 6 คณะเห็นความสำคัญและเข้าใจถึงการทำงานร่วมกันแบบสหวิชาชีพเพื่อช่วยกันรักษา พยาบาลและให้ความรู้แก่ชาวบ้านในการดูแลสุขภาพ รวมทั้งปลูกจิตสำนึกในวิชาชีพ ความเสียสละและรู้จักสื่อสารกับคนไข้
เนย์ - ณัฏฐณิช สิงห์นิกร นักศึกษาชั้นปีที่4 วิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย เข้าค่ายนี้เป็นครั้งที่ 3 มาแล้ว บอกว่าได้เพื่อนใหม่และรู้สึกผูกพัน ทำให้เข้าใจถึงทำงานร่วมกับเพื่อนคณะอื่นๆและเห็นภาพบทบาทวิชาชีพอย่าง ชัดเจนก่อนเรียนจบ ซึ่งในโรงพยาบาลนั้นพยาบาลทำงานอยู่ในตึกและเตียงเป็นการรักษาและฟื้นฟู แต่บทบาทพยาบาลมีมากกว่านี้ต้องทำงานเชิงรุกและแนะนำวิธีป้องกันโรคแก่คนไข้ ด้วย
"การมาค่ายนี้ทำให้รู้ถึงวิถีชีวิต ความคิด ความรู้สึกของชาวบ้าน ภูมิใจในวิชาชีพเมื่อเห็นรอยยิ้มของชาวบ้านที่มาหาเรา ตอนไปเยี่ยมที่บ้านเห็นลุง ป้า ตา ยายมีความสุข เราก็มีความสุขด้วย"เนย์กล่าว
สอดรับกับฟ่าง -ปาลพัทธ อนันต์พิพัฒน์กิจ นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ มาค่ายนี้เป็นครั้งที่ 2 เพราะทำให้รู้จักทำงานเป็นทีมกับเพื่อนคณะอื่นและเห็นถึงพลังนิสิตและรุ่น พี่ทั้ง 6 คณะที่ร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือชาวบ้าน เมื่อมาเห็นชาวบ้านเป็นโรคต่างๆ มาหาด้วยความทุกข์ก็เป็นแรงกระตุ้นให้เขาอยากช่วยเหลือคนไข้ในต่างจังหวัด มากขึ้น ตั้งใจว่าหลังเรียนจบจะทุ่มเททำงานใช้ทุนอย่างเต็มที่ จะไม่ใช้ทุนด้วยเงิน
"ผู้ใหญ่ตุ่ม" -ทัศนีย์ ชุ่มนาค วัย58 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่3 ต.ตะนาวศรี บอกว่าชาวบ้าน มีบัตรประชาชนมีกว่า 1,100 คนทั้งคนไทยและชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยง ส่วนใหญ่ทำงานในโครงการพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เช่น ทอผ้า ปักผ้า และ ปลูกข้าว ผักและเลี้ยงวัว ซึ่งการที่นิสิตจุฬาฯมาออกค่าย ทำให้ชาวบ้านได้รับโอกาสตรวจสุขภาพและรักษาโดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลสวน ผึ้งที่อยู่ไกลออกไป 40 กิโลเมตร อีกทั้งช่วยบ่มเพาะจิตอาสาแก่นิสิตจุฬาฯด้วย
"พี่เหน่ง" -นัฏก์ธร พันธุ์จันทร์ หัวหน้าสถานีอนามัยต.ตะนาวศรีเล่าว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคกระดูกและกล้ามเนื้อเพราะทำเกษตร และประสบอุบัติเหตุเพราะถนนอยู่บนเขา รวมทั้งโรคติดเชื้อ โดยชาวบ้านจะไปรักษาที่สถานีอนามัย ศูนย์โรคเมืองร้อนนานาชาติราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยมหิดลและโรงพยาบาลสวนผึ้ง และมีหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี(พอ.สว.)มาออกหน่วยปีละ 4 ครั้ง
"การที่นิสิตจุฬาฯมาออกค่ายนอกจากชาวบ้านได้รับประโยชน์แล้ว เมื่อนิสิตลงพื้นที่เข้าสู่ชุมชน จะเข้าใจถึงสภาพปัญหาชุมชนและเข้าใจคนในความเป็นคนมากขึ้น"
ป้าจันทร์ คงกระทุ่ม วัย55 ปี บอกว่า มีอาชีพรับจ้างเป็นแม่ครัวรายได้เดือนละกว่า 4,000 บาท เดินมาจากบ้านที่อยู่ห่างจากโรงเรียนกว่า 1 กิโลเมตร เคยป่วยเป็นโรคไข้มาเลเรีย เมื่อหายแล้วมีอาการปวดขามาจนถึงปัจจุบัน จึงมาตรวจรักษาที่ค่ายนี้เพราะโรงพยาบาลสวนผึ้งอยู่ไกล เดินทางไปแต่ละครั้งเสียค่ารถไป-กลับรวม 200-300 บาท ถ้าเหมารถเสีย 500 บาทและใช้บริการรักษาพยาบาลด้วยบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค
"หลานๆนิสิตจุฬาฯดูแลดี อยากให้ออกค่ายแบบนี้บ่อยๆ เพราะไปโรงพยาบาลแต่ละครั้งเสียเงินเยอะ จะไปเวลาที่ป่วยหนัก การออกค่ายนี้ทำให้นิสิตรู้จักเสียสละ ดูแลคนไข้มากขึ้น" ป้าจันทร์บอกทิ้งท้าย
คม ชัด ลึก 19 ธันวาคม 2553