แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: [1] 2 3 ... 652
1
HALTH TWO NINE
สำนักงานที่ปรึกษาสิทธิผู้ป่วย และความเสียหายทางการแพทย์

ความเสียหายทางการแพทย์
ผู้ป่วย/ญาติ/บุคลากรทางการแพทย์ ได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย อันเนื่องมาจากความประมาท เลินเล่อ ในการรักษาพยาบาล ไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ และระบบรับรองคุณภาพโรงพยาบาล/สถานพยาบาล

สิทธิผู้ป่วย
ผู้ป่วย/ทายาท ไม่ได้รับสิทธิ หรือมีสิทธิขั้นพื้นฐาน ในการเข้ารับบริการด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และคำประกาศสิทธิของผู้ป่วย

บริการของเรา
ให้คำปรึกษา แนะนำ เรียกร้องสิทธิผู้ป่วย เจรจา ไกล่เกลี่ยค่าชดเชย เรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายต่อหน่วยงานของรัฐ และศาลยุติธรรม

ให้คำปรึกษา ฟรี 24 ชม.
ให้คำปรึกษา....ด้านสิทธิผู้ป่วย ความเสียหายทางการแพทย์ การวิเคราะห์เหตุแห่งการละเมิด จากกระบวนการดูแลรักษาพยาบาล  การดำเนินการเรียกร้องสิทธิ การขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจากภาครัฐ(สปสช./ปกส./ศาลปกครอง/ศาลแรงงาน) การเจรจาเรียกค่าชดเชยกับสถานพยาบาล และผู้ประกอบวิชาชีพ และการฟ้องดำเนินคดีเพื่อเรียกค่าเสียหายต่อศาลยุติธรรม ฯลฯ

เรียกร้องสิทธิผู้ป่วย
บริการ...รับมอบอำนาจ เพื่อบริหารจัดการ และดำเนินการเรียกร้องสิทธิ การขอเวชระเบียน (ประวัติการรักษาพยาบาล) การขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจากภาครัฐ (สปสช./ปกส.) การอุทธรณ์คำสั่งเงินช่วยเหลือเบื้องต้น การยื่นฟ้องเพิกถอนคำสั่ง สปสช./ปกส.ต่อศาลปกครอง และศาลแรงงาน และการเรียกร้องสิทธิอื่นๆ กรณีการไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานจากการรับบริการด้านสุขภาพตามกฎหมาย

เจรจา เรียกร้องค่าชดเชย
บริการ..รับมอบอำนาจ เจราจา ไกล่เกลี่ย เรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายทางการแพทย์ กับผู้ประกอบวิชาชีพ โรงพยาบาลรัฐ/ต้นสังกัด โรงพยาบาลเอกชน และสถานพยาบาลทั่วไป

ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
บริการ...เป็นที่ปรึกษา เสมียน/ผู้ช่วยทนาย และผู้รับมอบอำนาจดำเนินการ การฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยความเสียหาย การประสานงานบุคลากรทางการแพทย์  สหสาขาวิชาชีพ การตรวจวิเคราะห์เวชระเบียน การจัดเตรียมข้อมูล เอกสาร หลักฐานทางการแพทย์ Textbook/CPG/Handbook/ข้อกำหนดระบบรับรองคุณภาพโรงพยาบาล และสถานพยาบาล เพื่อใช้เป็นพยานเอกสารในการฟ้องร้องดำเนินคดีในชั้นศาล ฯลฯ

ค่านิยมหลัก
เรา...ตระหนักและให้ความสำคัญ ต่อบุคลากรทางการแพทย์ ที่ใส่ใจดูแลให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วย ตามมาตรฐานวิชาชีพ และระบบรับรองคุณภาพมาตรฐาน สถานพยาบาล ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน และเสียกำลังใจ...เสมอมา

" อีกหนึ่งความหวังของเรา "
ถ้าคุณเป็นผู้เสียหายทางการแพทย์ที่แท้จริง การเรียกร้องสิทธิ์ความเสียหายของคุณ จะเป็นบทเรียนสำคัญ ให้ผู้ประกอบวิชาชีพและสถานพยาบาล ตระหนักถึงการพัฒนาระบบคุณภาพการรักษาพยาบาล ตามมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อลดความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง และจริงจังต่อไป

หนึ่งการเรียกร้องสิทธิ์ของคุณ คือ อีกหลายบทเรียนสำคัญของสถานพยาบาล และผู้ประกอบวิชาชีพ

อ.อริยวรรธท์
ผู้ชำนาญการงานบริหารโรงพยาบาล และสถานพยาบาล มากว่า 20 ปี ยินดีให้คำปรึกษา ฟรี 24 ชม.

HEALTH TWO NINE
บริษัท ทูไนน์ เฮลท์ เซอร์วิส จำกัด
http://www.ฟ้องแพทย์ฟ้องโรงพยาบาล.com
E:mail : healthtwonine@gmail.com
สำนักงานเลขที่ 29/29 ถนนรัชดา-รามอินทรา แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว    กรุงเทพมหานคร 10230 Tel : 0-2014-1729 Hotline : 09-1515-2929             

2
'เลขาศาลยุติธรรม' ออกหนังสือด่วนที่สุด แนวทางสืนพยาน 'แพทย์' เบิกความออนไลน์ได้ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาขึ้นศาลแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธานี สิงหนาท เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม มีหนังสือด่วนที่สุด แจ้งเวียนแนวทางการสืบพยานที่เป็นแพทย์โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในคดีแพ่ง โดยมีหลักการสำคัญให้มีการ สืบพยานที่เป็นแพทย์ ผู้ไม่มีส่วนได้เสียในคดีผ่านแอปพลิเคชัน Google Meet แพทย์อาจเบิกความ ณ โรงพยาบาลที่สังกัดอยู่ได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ศาล

โดยแนวทางดังกล่าวเกิดจาก สำนักงานศาลยุติธรรม เล็งเห็นว่า แต่ละวันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่รอเข้ารับบริการจากบุคลากรทางการแพทย์ ขณะเดียวกันแพทยฺ์อาจต้องเสียเวลาเดินทางมาเบิกความในฐานะพยานทำให้เสียโอกาสในการตรวจรักษาผู้ป่วย

ดังนั้นสำนักงานศาลยุติธรรม จึงได้มีหนังสือแจ้งแนวปฏิบัติดังกล่าวไปยังศาลทั่วประเทศด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่ความที่จะได้รับการพิจารณาคดีโดยสะดวก รวดเร็ว เป็นธรรม ซึ่งคำนึงถึงประชาชนที่ต้องได้รับการบริการด้านสาธารณสุขในเวลาเดียวกัน ภายใต้นโยบายสร้างสรรค์ความยุติธรรมที่ยั่งยืน โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางของนางอโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกา

9 พ.ค. 2567
https://www.komchadluek.net/news/crime/574407

3
อร่อยเด็ดแซ่บนัว! "ส้มตำ" สร้างชื่อ คว้าอันดับ 11 สลัดที่ดีที่สุดในโลก เมนูอื่นก็ไม่น้อยหน้า "ส้มตำไข่เค็ม-พล่ากุ้ง-ยำวุ้นเส้น" ติดอันดับด้วย

เผยผลเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการจัดอันดับ "สลัด" ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 ของทาง TasteAtlas ซึ่งเป็นเว็บไซต์ด้านอาหารชื่อดัง บอกเลยว่าอาหารไทยอร่อยไม่เป็นสองรองใคร เพราะมีเมนูติดอันดับมากกว่า 4 เมนู ได้แก่ ส้มตำ ตำไข่เค็ม พล่ากุ้งและยำวุ้นเส้น

เมนูสลัดสร้างชื่อได้แก่ "ส้มตำ (Som tam)" สามารถคว้าอันดับที่ 11 โดยเว็บไซต์อธิบายว่า ส้มตำส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับภาคอีสานของไทย แม้จะมีการระบุว่าเคยปรากฏครั้งแรกในลาวก็ตาม ด้านรสชาติมีความหวานและเผ็ด ซึ่งร้านอาหารมักให้ลูกค้าปรับส่วนผสมได้ตามความต้องการ และเมนูนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

ถัดมา "ส้มตำไข่เค็ม (Papaya salad with salted egg)" คว้าอันดับที่ 20 มาครอง โดยเว็บไซต์อธิบายว่า ส้มตำไข่เค็มเป็นส้มตำที่มีต้นกำเนิดจากไทย มีความแตกต่างจากที่อื่นเพราะด้านบนโปะด้วยไข่เค็ม

ต่อมา "พล่ากุ้ง (Phla kung)"  ติดอันดับที่ 41 โดยทางเว็บไซต์ได้อธิบายว่า พล่ากุ้งประกอบด้วยกุ้งลวกรวมกับตะไคร้สับ หอมแดง ใบมะกรูด ผักชี และใบสะระแหน่ คลุกด้วยน้ำสลัดพริกมะนาว โดยทั่วไปแล้วจะมีรสเผ็ดและโรยหน้าด้วยสะระแหน่

เมนูนี้ค่อนข้างทำได้หลากหลาย อาจใช้อาหารทะเล หรือปลาแทนกุ้ง หรือจะใช้อาหารทะเลหลายชนิดมาผสมรวมกันเพื่อให้ได้สลัดที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

และ "ยำวุ้นเส้น (Yum woon sen)" แซ่บจนคว้าอันดับที่ 48 มาครอง โดยทางเว็บไซต์ได้อธิบายว่า ยำวุ้นเส้นสลัดไทยรสเผ็ดที่ทำจากวุ้นเส้น หมูบด พริก และน้ำยำ โดยเส้นและหมูจะปรุงแยกจากกัน จากนั้นค่อยนำมายำรวมกับผัก ปรุงรสด้วยน้ำปลาและมะนาว พื้นฐานแล้วยำมีรสชาติค่อนข้างเผ็ด ผู้คนจึงมักรับประทานพร้อมกับข้าวสวยและผักกาดหอม

11 พค 2567
ข่าวสด

4
“ไมโครพลาสติก” และ “นาโนพลาสติก” มลพิษจากพลาสติกที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศ สามารถเดินทางไปทั่วโลก แม้แต่บนยอดเขาเอเวอเรสต์ ขั้วโลกเหนือ ใต้มหาสมุทรและบนก้อนเมฆก็ยังพบอนุภาคพลาสติกปะปนอยู่ ดังนั้นทุกการหายใจเข้าออกของเรา จึงมีโอกาสที่เราจะสูดดมชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของพลาสติกเหล่านี้เข้าไป การศึกษาล่าสุดนำโดย ดร.สุวัส ซาฮา จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์ เผยให้เห็นเส้นทางที่มลพิษขนาดจิ๋วเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายของเราและความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์ชิ้นดังกล่าว ใช้พลศาสตร์ของไหลและอนุภาคเชิงคำนวณ (CFPD) ในการสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์จำลองสถานการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเราหายใจเอาไมโครพลาสติกเข้าไปในร่างกาย และเมื่อมันเข้าไปอยู่ในร่างกายของเราแล้วจะไปส่วนใด

“ขณะนี้มลภาวะทางอากาศจากอนุภาคพลาสติกแพร่กระจายไปทั่วโลก และการสูดดมถือเป็นหนึ่งในวิธีสารเหล่านี้จะเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้มากที่สุด ไม่ต่างจากการกินและดื่ม” ดร.สุวัส ซาฮา ผู้เขียนนำในงานวิจัยกล่าว

“ไมโครพลาสติก” อยู่ทุกที่
ไมโครพลาสติก ชิ้นส่วนพลาสติกขนาดไม่เกิน 5 มิลลิเมตร และนาโนพลาสติก พลาสติกขนาดเล็กกว่าเส้นผมและตรวจจับได้ยาก ลอยฟุ้งอยู่ทั้งในสภาพแวดล้อมกลางแจ้งและในร่ม ซึ่งหมายความว่านี่เป็นปัญหาที่ทุกคนในโลกสามารถสัมผัสได้ หากพลาสติกแตกตัวเป็นชิ้นเล็ก ๆ มากพอ ผักและผลไม้จะสามารถดูดซับไมโครพลาสติกผ่านระบบรากของมัน เช่นเดียวกับสัตว์ต่าง ๆ ที่เผลอกินไมโครพลาสติกเข้าไปโดยที่ไม่รู้ตัว เมื่อพืชและสัตว์เหล่านี้กลายเป็นอาหารของมนุษย์ ก็จะส่งมอบไมโครพลาสติกมาให้มนุษย์ด้วยเช่นกัน

ดร.ซาฮา ระบุว่า ไมโครพลาสติกในสิ่งทอสังเคราะห์เป็นอนุภาคพลาสติกที่พบได้มากที่สุดในอากาศภายในอาคาร ส่วนสภาพแวดล้อมภายนอก มีอนุภาคหลากหลายชนิดมากมายลอยอยู่ ตั้งแต่ฝุ่นละอองที่ปนเปื้อนจากมหาสมุทร ไปจนถึงอนุภาคที่เกิดจากการบำบัดน้ำเสีย

ก่อนหน้านี้ มีงานการวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ไมโครพลาสติกถูกพบในปอดของมนุษย์ เนื้อเยื่อรกของมารดาและทารกในครรภ์ นมแม่ และเลือดของมนุษย์ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่านาโนพลาสติกเป็นมลพิษจากพลาสติกประเภทที่น่าเป็นห่วงที่สุดต่อสุขภาพของมนุษย์

ไมโครพลาสติกส่วนใหญ่ที่เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ส่วนมากมาจากเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลหลายประเภท เช่น โฟมล้างหน้า ยาสีฟันที่มีเม็ดบีดส์ผสมอยู่ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์พลาสติกต่าง ๆ ที่สามารถแตกตัวเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้ เช่น ขวดน้ำ บรรจุภัณฑ์อาหาร และเสื้อผ้า

“ไมโครพลาสติก” เข้าสู่ร่างกายในทุกลมหายใจ
การศึกษาพบว่า รูปแบบการหายใจที่ต่างกันจะทำให้ไมโครพลาสติกเหล่านี้เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจแตกต่างกัน การหายใจเร็วจะทำให้อากาศไหลผ่านจมูกและลำคออย่างรวดเร็ว อาจทำให้อนุภาคพลาสติกขนาดใหญ่เข้าไปติดในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ไม่ว่าจะเป็นโพรงจมูก กล่องเสียง

ขณะที่ การหายใจช้าลงจะทำให้อนุภาคมีขนาดเล็กลง โดยเฉพาะนาโนพลาสติกสามารถเข้าไปในระบบทางเดินหายใจได้ลึกมากขึ้น อาจเข้าไปถึงโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนของปอด เช่น เยื่อหุ้มปอด ถุงลมได้

นอกจากนี้ รูปร่างของไมโครพลาสติกก็มีส่วนสำคัญเช่นกันว่าจะทำให้พลาสติกเข้าไปได้ถึงจุดใด เศษไมโครพลาสติกที่มีรูปร่างอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ทรงกลมมีแนวโน้มที่จะสามารถหลุดรอดผ่านกลไกการกรองตามธรรมชาติของร่างกายได้ดีกว่า

การวิจัยชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอนุภาคพลาสติกเหล่านี้ช่วยเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้ปอดผิดปรกติเร็วขึ้น รวมถึงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เกิดพังผืดในปอด หายใจลำบาก (Dyspnea) โรคหอบหืด และ มีรอยทึบแบบกระจกฝ้า (ground glass opacity: GGO) ซึ่งเป็นรอยโรคผิดปรกติในปอด สามารถบ่งบอกถึงการอักเสบหรือโรคปอดระยะเริ่มแรก

“การค้นพบนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพิจารณาอัตราการหายใจและขนาดอนุภาคในการประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสทางเดินหายใจกับอนุภาคนาโนและไมโครพลาสติก” ดร.ซาฮา กล่าวสรุป

ที่มา: Earth, Euro News, Phys


กรุงเทพธุรกิจ
11 พค 2567

5
เมื่อเวลา 20.00 น.ของวันที่ 16 ม.ค.67 เจ้าหน้าที่กู้ภัยแม่หอพระ และสมาคมกู้ภัยแม่โจ้ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ออกตรวจสอบอุบัติเหตุ รถตู้ชนท้ายรถบรรทุก 6 ล้อ มีผู้เสียชีวิต เหตุเกิดบนถนนสายเชียงใหม่-พร้าว ก่อนถึงโรงเรียนแม่หอพระ ต.แม่หอพระ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

ที่เกิดเหตุพบรถแอมบูแลนซ์ของโรงพยาบาลพร้าว ทะเบียน ขว 6072 เชียงใหม่ ชนเสียบเข้าท้ายรถบรรทุก 6 ล้อ ที่ด้านหลังบรรทุกเหล็กเส้น ท่อเหล็ก ท่อ PVC มาเต็มคัน น้ำหนักหลายตัน ทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบบริเวณที่นั่งด้านหน้าของรถพยาบาล พบร่างผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย เป็นคนขับ 1 ราย และคนที่นั่งโดยสารข้างๆคนขับอีก 1 ราย ร่างติดอยู่ในซากรถ ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้เครื่องตัดถ่างงัดซากรถเพื่อนำร่างออกมา ทราบชื่อผู้เสียชีวิตต่อมาคือ นายพิษณุ อายุ 56 ปี คนขับรถโรงพยาบาลพร้าว และนางอำพร อายุ 59 ปี พยาบาลวิชาชีพประจำห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลพร้าว

ส่วนรถคู่กรณีเป็นรถบรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้อ Hino ทะเบียน 83-4264 เชียงใหม่ มีนายพนาสันต์ อายุ 69 ปี เป็นคนขับ โดยนายพนาสันต์ได้เล่านาทีเกิดเหตุว่า ก่อนเกิดเหตุรถของตนได้จอดเสียเพราะยางหน้าซ้ายระเบิดอยู่บริเวณดังกล่าว ซึ่งตนก็ได้หักกิ่งไม้เอาไปวางห่างจากตัวรถเพื่อส่งสัญญาณให้รถที่ขับมาตามถนนได้ทราบแล้วว่ามีรถเสียจอดอยู่ด้านหน้า และเมื่อพระอาทิตย์ตกดินถนนก็เริ่มมืด จากนั้นรถพยาบาลก็ขับมาด้วยความเร็วและคาดว่าน่าจะไม่เห็นสัญลักษณ์ที่ตนทำไว้ ตนก็พยายามจะให้สัญญาณมือโบกรถ แต่คนขับก็เบรกไม่ทันทำให้ชนท้ายดังกล่าว

17 ม.ค. 2024
กรุงเทพธุรกิจ

6
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีรถของโรงพยาบาล (รพ.) พร้าว จ.เชียงใหม่ ชนกับรถกระบะ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย บาดเจ็บ 6 ราย ว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ทั้งหมด โดยตนได้รับรายงานจากสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ว่า ผู้ประสบเหตุมีทั้งหมด 11 ราย จากอุบัติเหตุรถ 2 คัน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บ 6 ราย

“ถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่รถของ รพ.พร้าว ที่กำลังส่งตัวผู้ป่วยห้องคลอดไปที่ รพ.สันทราย เกิดอุบัติเหตุ ทำให้ในรถพยาบาลที่มีผู้โดยสาร 5 คน เสียชีวิต 2 คน คือ แม่และลูกในครรภ์ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บต้องอยู่รักษาใน รพ. 2 คน ส่วนอีก 1 คน ปลอดภัย ขณะที่รถคู่กรณีมี 6 คน เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 1 คน และปลอดภัย 2 คน” นายสมศักดิ์กล่าว

นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนเจ้าหน้าที่ของ รพ. ที่ได้รับบาดเจ็บ ตนได้กำชับสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ดูแลอย่างเต็มที่แล้ว เพราะถือว่า เป็นการเกิดเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วย ตนจึงอยากขอเน้นย้ำกับพี่น้องประชาชน ให้ช่วยกันระมัดระวังและเปิดทางให้กับรถโรงพยาบาล ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ดังนั้น ตนก็ขอให้ทุกคนหันมาให้ความสำคัญกับรถของโรงพยาบาล ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วย... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4569159

10 พฤษภาคม 2567
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4569159

7
เผยความเร็วรถพยาบาล รีเฟอร์เคสผ่าคลอด วิ่งมาปกติไม่เร็ว ก่อนชนกระบะ 5 ศพ เผยปีนี้อุบัติเหตุรอบสองแล้ว

จากกรณี เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 17.24 น. เกิดอุบัติเหตุรถรีเฟอร์ รพ.พร้าว ชนกับรถกระบะ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย โดย 1 ในผู้เสียชีวิตนั้นมีหญิงตั้งครรภ์เสียชีวิตพร้อมลูกน้อยในท้องด้วย

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับการสรุปรายงานการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวและสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ โดยมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก จนทำให้มียอดผู้เสียชีวิตครั้งนี้ทั้งหมด 5 ราย และมีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 6 ราย

รายชื่อผู้เสียชีวิต 5 ราย ดังนี้

1.น.ส.ภูษณิศา อายุ 26 ปี เคสท้องแก่ใกล้คลอด
2. เด็กชาย บุตร น.ส.ภูษณิศา (ตายปริกำเนิด)
3.นายยงยุทธ  คนขับรถกะบะ คู่กรณี อายุ 51 ปี เสียชีวิตที่ รพ.แม่แตง
4.นางดาวเรือง อายุ 46 ปี (ภรรยาคนขับกระบะ)
5.นางสุนี อายุ 54 ปี (ผู้โดยสารกระบะ)

ส่วนสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ พฤติการณ์ ทราบว่า จากการประสานข้อมูลเบื้องต้นกับทาง รพ.พร้าว รถรีเฟอร์ รพ.พร้าว ทะเบียน จง 8142 เชียงใหม่ ส่งตัวผู้ป่วยห้องคลอด Dx. PROM ไปที่ รพ.สันทราย ขาไป ขณะเกิดเหตุฝนตก ถนนลื่น ทำให้รถกระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีเทาดำ ทะเบียน 5347 เชียงใหม่ เสียหลักพุ่งชนกับรถพยาบาล มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บ 6 ราย รวมทั้งหมด 11 ราย

ทั้งนี้จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ารถพยาบาลใช้ความเร็วขณะเกิดเหตุเพียง 67 กม./ชม.เท่านั้น โดยต้องรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีต่อไป

อย่างไรก็ตาม ปีนี้เกิดเหตุสลดกับรถพยาบาลของโรงพยาบาลพร้าวแล้ว 2 ครั้งด้วยกันโดยเมื่อ วันที่ 16 ม.ค. 67 รถตู้พยาบาล รพ.พร้าวชนท้ายรถบรรทุกยางแตกจอดข้างทางบริเวณหน้าโรงเรียนแม่หอพระ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ทำคนขับ-คนนั่งโดยสารมาด้วยถูกอัดก๊อปปี้ เสียชีวิต 2 ราย

10 พฤษภาคม 2567
https://www.sanook.com/news/9372106/

8
กระบะเสียหลักพุ่งชนรถส่งต่อผู้ป่วย รพ.พร้าว ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เสียชีวิต 5 คน หนึ่งในนั้นเป็นหญิงตั้งครรภ์ บาดเจ็บอีก 6 คน ตำรวจเร่งหาสาเหตุ
ความคืบหน้าอุบัติเหตุรถกระบะชนกับรถส่งต่อผู้ป่วยของโรงพยาบาลพร้าว บนถนนทางหลวง หมายเลข 1001 เส้นเชียงใหม่-พร้าว บ้านหลวง หมู่ 6 ต.โหล่งขอด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 17.24 น. เมื่อวานนี้ (9 พ.ค.2567) จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 5 คน ในจำนวนนี้เป็นหญิงอายุ 26 ปี ที่ตั้งครรภ์ และกำลังถูกส่งต่อไปโรงพยาบาลสันทราย จ.เชียงใหม่ เสียชีวิตพร้อมลูกในท้อง รวมถึงคนขับรถกระบะคู่กรณี ส่วนผู้บาดเจ็บทั้ง 6 คน ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลพร้าว โรงพยาบาลสันทราย และโรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่ ซึ่งแพทย์ให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด


ตำรวจ ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุโรงพยาบาลพร้าว ได้ส่งตัวผู้ป่วยห้องคลอดไปที่โรงพยาบาลสันทราย ขณะเดินทางมีฝนตก ทำให้รถกระบะที่ขับสวนมาเสียหลักพุ่งชน โดยอยู่ระหว่างเร่งสอบสวนสาเหตุที่ชัดเจน

10 พ.ค. 2567
https://www.thaipbs.or.th/news/content/339865

9
สาวนนทบุรี ร้อง ทนายนินู หลังสามีพนักงานเขตดุสิต ปวดหัวรุนแรง ขอหมอโรงพยาบาลดังสแกนสมองแต่ปฏิเสธก่อนให้ยากลับบ้าน 2 รอบ สุดท้ายชัก ปัสสาวะราด หมดสติ จับสแกนพบเลือดออกเยื่อหุ้มสมอง รักษา 3 วันเสียชีวิต สุดช้ำไม่ได้อำลากันสักคำ

เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 67 นางชาดา วาทนเสรี อายุ 48 ปี เดินทางนำเอกสารเข้าขอความช่วยเหลือกับ น.ส.ธนิดา แจ้งจำรัส หรือทนายนินู กรณีนายปรีชา วาทนเสรี อายุ 46 ปี พนักงานฝ่ายรักษาความสะอาด สำนักงานเขตดุสิต กทม. สามีเสียชีวิต หลังมีอาการปวดหัวขั้นรุนแรงเดินไม่ได้เวียนหัวบ้านหมุน และอาเจียน เดินทางไปโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ขอแพทย์สแกนสมองแต่ถูกปฏิเสธ ก่อนให้ยากลับบ้าน ผ่านไป 1 วัน เกิดอาการชักเกร็งหมดสติ ปัสสาวะราด ปลุกไม่ตื่น เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำตัวส่งโรงพยาบาลดังกล่าวเข้ารักษาตัว แพทย์สแกนสมอง พบว่าเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสอง ก่อนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา

นางชาดา กล่าวทั้งน้ำตาว่า เมื่อวันที่ 6 ม.ค. เวลาประมาณ 05.15 น. พาสามีมีอาการปวดศีรษะรุนแรงคล้ายหัวจะระเบิด และมีอาการไอ เดินทางเข้ารักษาตามสิทธิของสามีที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลชื่อดัง พอไปถึงโรงพยาบาล แพทย์ได้ฉีดยาพร้อมให้ยาทานแล้วให้กลับบ้าน วันต่อมา 7 ม.ค. เวลาประมาณ 10.00 น. อาการสามีไม่ดีขึ้นมีอาการปวดศีรษะรุนแรงหนักกว่าเดิม เดินไม่ได้เวียนหัวบ้านหมุน และอาเจียน จึงกลับไปที่โรงพยาบาลที่ห้องฉุกเฉินเหมือนเดิม รอบนี้สามีขอแพทย์แอดมิตสแกนสมอง เนื่องจากมีสวัสดิการสามารถเบิกได้ตามสิทธิ แต่กลับถูกแพทย์ปฏิเสธการร้องขอ ก่อนจ่ายยาแล้วให้กลับบ้านอีก

นางชาดา กล่าวอีกว่า สามีจึงให้ตนที่รออยู่ด้านนอกไปคุยกับหมอซึ่งเป็นแพทย์หญิงที่ปฏิเสธสแกนสมองให้ ตนจึงเดินเข้าไปถามว่า “สามีเป็นอะไร” ทางแพทย์หญิงก็ชักสีหน้า แล้วไม่ตอบ จึงพาสามีกลับบ้าน ระหว่างที่กลับบ้านอาการแย่ลงเดินไม่ไหว จึงเรียกรถแท็กซี่ให้มารับหน้าห้องฉุกเฉินแล้วกลับบ้าน ระหว่างทางก็ถามสามีว่าหมอบอกว่าอะไร สาเหตุที่ไม่ให้สแกนสมอง สามีบอกว่า หมอบอกมาว่าไม่มีอะไรบ่งชี้ให้สแกนสมอง หลังกลับบ้านตนก็ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดให้กินยาแล้วก็นอนพัก จากนั้นเวลาประมาณ 22.00 น. สามีมีอาการชักเกร็ง น้ำลายฟูมปาก ปัสสาวะราด ปลุกไม่ตื่น จึงโทรฯ หารถกู้ภัยมารับไปส่งโรงพยาบาล แอดมิตอยู่โรงพยาบาลประมาณ 3 วัน ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 10 ม.ค.

นางชาดา กล่าวว่า ข้องใจว่าก่อนหน้านี้สามีเคยขอสแกนสมองแล้วแต่แพทย์ไม่ยอมสแกนสมองให้ กระทั่งสามีอาการหนักไม่รู้สึกตัว หมอจึงยอมสแกนสมองให้ และวินิจฉัยว่ามีเลือดออกในสมอง สมองบวม หากหมอสแกนสมอง และให้รักษาก่อนหน้านี้ สามีก็คงไม่เสียชีวิต หลังจากสามีเสียชีวิตตนมีความคาใจจึงเข้าไปสอบถามทางคุณหมอว่าทำไมไม่ยอมสแกนสมองตั้งแต่แรก แต่กลับไม่ได้คำตอบอะไรจากโรงพยาบาลหรือคุณหมอเลย ซึ่งย้อนกลับไประหว่างที่สามีตนแอดมิตอยู่โรงพยาบาล ตนไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับสามีเลยไม่มีโอกาสได้บอกลากันเพราะไม่รู้สึกตัวอะไรแล้ว

นางชาดา กล่าวว่า ตอนนั้นเสียใจมากเพราะสามีเป็นเสาหลักของครอบครัวเลี้ยงดูแลครอบครัวมาโดยตลอด ไม่น่ามาเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น หลังจากสามีจากไปทุกวันนี้ก็ลำบาก ถูกที่ทำงานจ้างออกช่วงยุคโควิดระบาด วันนี้จึงเดินทางนำเรื่องมาร้องเรียนกับทนายนินู เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับสามี ซึ่งหลังจากเกิดเหตุไม่รู้ว่าจะดำเนินการยังไง ไม่รู้เรื่องกฎหมาย เคยโพสต์เรื่องราวบนเฟซบุ๊กมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า กระทั่งส่งข้อมูลเอกสารขอความช่วยเหลือกับทนายนินูให้คำปรึกษาและเข้าช่วยเหลือ ตอนนี้รู้สึกมีกำลังใจสู้ต่อทวงความยุติธรรมให้กับสามี และจะนำเรื่องราวเหตุการณ์ครั้งนี้มาเป็นอุทาหรณ์ให้กับประชาชน หรือทางโรงพยาบาลได้รับรู้ควรจะปรับปรุงแก้ไข และช่วยเหลือเยียวยาทางครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างไร หากย้อนเวลากลับไปได้จะไม่พาสามีมารักษาที่โรงพยาบาลนี้เด็ดขาด ส่วนหลังจากนี้จะให้ทางทนายนินูดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายให้ถึงที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับครอบครัวไหนอีก

ทนายนินู กล่าวว่า เรื่องนี้ได้รับการร้องเรียนมาซักระยะหนึ่งแล้ว ระหว่างนั้นได้รวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเข้าใจว่าหมอทุกคนอยากจะรักษาคนไข้ทุกคนอยู่แล้ว แต่ก็จะมีบางครั้งที่อาจประมาทเลินเล่อไปทำให้ผู้เสียหายต้องเกิดความสูญเสียเกิดขึ้น ซึ่งที่ดูจากเอกสารก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าผู้ป่วยมีอาการปวดหัวขั้นรุนแรง วันแรกไม่หายวันที่สองก็ยังไม่หายหมอควรจะเอะใจได้แล้ว ว่าอาการหนักขึ้นควรจะมีการรักษาที่ถี่ถ้วนและละเอียดรอบคอบ ในจรรยาบรรณของคนเป็นแพทย์บุคคลที่ป่วยไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าตัวเองนั้นเป็นโรคอะไร ก็ต้องควรจะอธิบายให้ญาติผู้ป่วยหรือผู้ป่วยนั้นรับทราบว่ากำลังป่วยเป็นโรคอะไรและจะมีแนวทางการรักษาอย่างไรต่อ ไม่ใช่ชักสีหน้าเพื่อให้จบไปที แล้วเคสนี้เป็นเคสที่เกิดการสูญเสีย เบื้องต้นตนได้ทำเอกสารเพื่อร้องเรียนให้ทางแพทยสภาได้ตรวจสอบจรรยาบรรณของแพทย์ผู้ให้การรักษาในครั้งนี้

หลังจากได้ทำการร้องเรียนและตรวจสอบจรรยาบรรณของแพทย์แล้ว จรรยาบรรณของแพทย์ควรที่จะคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยโดยเฉพาะในเรื่องของให้การสื่อสารกับญาติเพื่อให้ญาติได้รับรู้รับทราบว่าผู้ป่วยนั้นกำลังป่วยเป็นอะไรอยู่ ในเคสนี้เป็นเคสที่เรียกว่าประมาทได้เลยเพราะว่าแพทย์ได้ทำการปล่อยผู้ป่วยกลับบ้านมาถึงสองครั้ง จนผู้ป่วยได้เสียชีวิต อาจจะเข้าข้อกฎหมายประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แล้วทางนี้ทางแพทย์จะสามารถชดเชยค่าเสียหายในทางละเมิดให้กับญาติผู้ตายอย่างไรได้บ้าง หลังจากนี้ตนก็จะดำเนินการไปตามลำดับของกฎหมายต่อไป

7 พฤษภาคม 2567
https://www.dailynews.co.th/news/3408283/

10
หลุดมาจากไหน สาวข้องใจ หลังซื้อขนมโตเกียว เจอซองทำจากเอกสารโรงพยาบาล มีข้อมูลเจ้าหน้าที่ ระบุปี 2556

วันที่ 6 พฤษภาคม 2567 มีรายงานว่า โลกออนไลน์ได้แชร์เรื่องราวจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก TaAn 's BsBs ที่ได้โพสต์ถุงใส่ขนมโตเกียวลงในกลุ่ม พวกเราคือผู้บริโภค โดยระบุว่า "เอกสารโรงพยาบาล…. มาเป็นซองขนมโตเกียวที่นครปฐม มีข้อมูลชื่อนามสกุลพนักงานครบ"

ทั้งนี้ พบว่าเอกสารที่นำมาทำเป็นซองขนมนั้นมีข้อความเขียนว่า รายชื่อพนักงานประจำโรงพยาบาล... มาสายประจำเดือนตุลาคม 2556 พร้อมกับมีรายชื่อพนักงาน ซึ่งหลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ตั้งคำถามว่า หากเป็นเอกสารของโรงพยาบาลจริง เหตุใดจึงหลุดออกมาได้ นอกจากนี้ยังกังวลถึงความปลอดภัยทั้งเรื่องสารเคมีต่างๆ ที่นำมาเป็นซองใส่ของกิน
จากการสอบถามเจ้าของโพสต์ เปิดเผยกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ว่า ตนเองได้ซื้อขนมโตเกียวดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 13.48 น. โดยร้านขายอยู่ในปั๊มแห่งหนึ่งใน จ.นครปฐม จากที่สังเกตพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่น่าจะขายขาจรแบบตน.

Thairath Online
6 พฤษภาคม 2567

11
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีพระราชดำริที่จะพัฒนากรุงสยามให้มีความเจริญทางกายภาพให้เท่าเทียมกับนานาอารยประเทศตั้งแต่เมื่อครั้งเสด็จประพาสอินเดียแล้ว ดังที่พันตรีเลเดนได้บันทึกไว้เมื่อเสด็จไปยังทัชมาอาลว่า

“พระเจ้าแผ่นดินขณะที่ทรงชื่นชมกับความสมดุลของส่วนสัดและการตกแต่งที่วิจิตร มีผู้ได้ยินพระองค์ทรงรับสั่งว่างบประมาณในการก่อสร้างนั้นน่าจะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับการสร้างถนน สะพาน และขุดคลองมากกว่า” (สหาย 2546, 503) พระราชดำรินี้ได้เกิดขึ้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ดังที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงนิพนธ์ลงในหนังสือพิมพ์ไทย เมื่อวันที่  26 ตุลาคม พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) หลังจากเสด็จสวรรคตว่า

สร้างถนนสถลสถานโอฬารตา

มีรถม้ารถรางรถยางยนตร์

มีรถไฟเรือไฟโคมโคมไฟฟ้า

อุดหนุนพาณิชย์เปรื่องประเทืองผล
โรงเลื่อยโรงสีไฟใช้จักร์กล

ห้างร้านกล่นสินค้าหาประชัน

โทรเลขโทรศัพท์ไปรษณีย์

สดวกดีพูดจาเพลาสั้น

(คำกลอนสรรเสริญพระบารมี 2468, 1)

ความสำเร็จทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะได้ความร่วมมือฝรั่งจากประเทศต่างๆ ในยุโรปดังที่นายและนาง Jottrand ได้จำแนกไว้ว่า

แต่ละกรมกองของการปกครองของสยามอยู่ภายในมือของชาวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งซึ่งมักจะคิดว่าตนเองเป็นรัฐย่อยๆ ภายในรัฐใหญ่ กองสารวัตรทหารเป็นชาวเดนนิชตำรวจและการคลังชาวอังกฤษ ยุติธรรมชาวเบลเยี่ยม ทหารเรือชาวเดนนิช รถไฟชาวเยอรมัน (Jottrand  1996, 415)

นายและนาง Jottrand ลืมกล่าวถึงงานโยธา ซึ่งชาวอิตาเลียนเป็นผู้ดูแล

อย่างไรก็ตามกรุงสยามยังขาดคนไทยที่จะมาควบคุมฝรั่งเหล่านี้ พระองค์จึงทรงส่งพระราชโอรสและนักเรียนไทยไปศึกษาในต่างประเทศ เพื่อนำความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาสร้างความเจริญให้แก่ประเทศ พระราชดำรัสและพระราชหัตถเลขาถึงพระราชโอรสจึงมีคุณค่าอย่างยิ่งในการแสดงให้เห็นว่า พระองค์มิได้ทรงนึกถึงอย่างอื่นเลยนอกจากพระราชประสงค์ที่จะให้กรุงสยามเจริญรุ่งเรือง และยังแสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์และหาหนทางที่จะแก้ปัญหาได้อย่างสุขุมและแยบคาย เช่น พระราชดำรัสที่พระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมขุนนครราชศรีมา ว่า

“ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหลายนี้ ได้เกิดขึ้นเพราะความสังเกตแล้วคิดการประกอบแลเล่าเรียนต่อๆ กันมา อาไศรยความอุส่าห์แลความเพียรเปนที่ตั้งเท่านั้น เขาหาได้เปนอย่างอื่นนอกจากเปนมนุษย์เหมือนเราไม่เราควรจะมีมานะว่าเราก็เปนมนุษย์เช่นเขา ไม่ได้เลวกว่าเขาในการที่เกิดมานั้นเลย แต่เพราะว่าเรามีความรู้น้อยกว่าเขาเท่านั้น จึงได้เห็นเปนผิดกันบ้าง แต่เปนการดีหนักหนาที่เขาไม่ได้ซ่อนเร้นความรู้เขาเลย เราอยากรู้อันใดเราเรียนรู้ได้เหมือนเขาทั้งสิ้น ต้องการอย่างเดียวแต่การอุส่าห์ความเพียรเท่านั้นที่จะให้วิเศษเสมอเขา” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2458, 106-107)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับฝรั่งที่ว่า “การงานสิ่งใดของเขาที่คิดควรจะเรียนเอาไว้ก็ให้เอาอย่างเขา” โดยมีพระราชดำรัสว่า “เราทั้งหลายต้องพยายามที่จะเอาเยี่ยงอย่างความดีมาแต่ที่อื่นๆ” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2454, 132) ความดีของฝรั่งนั้นพระราชทานไว้ว่า “เปนฝักฝ่ายข้างความเจริญของยุโรป คือความรู้แลความคิดทั้งความเพียรซึ่งประกอบโลกธาตุให้เป็นผลดีขึ้น… ความรู้ในประเทศยุโรปไม่ใช่แต่เวลากำลังที่เดินขึ้นสู่ความจำเริญ มันกำลังเดินโดดโลดโผนซึ่งจะเดินตามยาก นี่เปนส่วนข้างฝ่ายดีของประเทศยุโรป” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.ศ. 126, 4 : 643-644)

ในขณะเดียวกันเราจะต้องไม่ลืมว่าเราเป็นคนไทยด้วยดังที่มีพระราชดำรัสว่า “เราทั้งหลายไม่พึงควรเฉภาะแต่ที่จะรักษา ยังควรทำให้เจริญขึ้นในสิ่งอันดี แลสิ่งที่เคารพนับถือว่าเป็นอาการกิริยาแลธรรมเนียมแห่งประเทศเราด้วย” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2458, 132)

ทรงตักเตือนนักเรียนไทยในต่างประเทศว่า “ให้พึงนึกในใจไว้ว่าเราไม่ได้มาเรียนจะเปนฝรั่ง เราเรียนเพื่อจะเปนคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว2458, 138)

การ “เปนคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง” จึงเป็นสิ่งที่ชาวไทยทุกคนควรใส่ใจเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยทั้งปวง

หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “ปกิณกะในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องความเปลี่ยนแปลงทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม” โดย รศ.ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ เผยแพร่ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2547

เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2561
เว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม

12
เนื้อหาสำคัญ

ข้อ ๒ ...เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวง โดยมีหน้าที่และอํานาจ ดังต่อไปนี้
กําหนดนโยบาย เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ของกระทรวง เพื่อให้สอดคล้องตามแนวทาง พระราชดําริ นโยบายรัฐบาล สภาพปัญหาของพื้นที่ และสถานการณ์ของประเทศ ตลอดจนขับเคลื่อน นโยบายตามแนวทางและแผนปฏิบัติราชการ

(๑) กำหนดนโยบาย เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ของกระทรวง เพื่อให้สอดคล้องตามแนวทางพระราชดำริ นโยบายรัฐบาล สภาพปัญหาของพื้นที่ และสถานการณ์ของประเทศตลอดจนขับเคลื่อนนโยบายตามแนวทางและแผนปฏิบัติร่าชการ
(๒)พัฒนายุทธศาสตร์การบริหารของกระทรวงและการบูรณาการด้านสุขภาพระหว่างองค์กร ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการจัดการสาธารณสุขในภาวะปกติ ภาวะฉุกเฉิน หรือวิกฤติ การคุ้มครองผู้บริโภค และการมีส่วนร่วมของภาครัฐและภาคเอกชน
(๓) จัดสรรและพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรของกระทรวง เพื่อให้เกิดการประหยัด คุ้มค่า และสมประโยชน์
(๔) กํากับ เร่งรัด ติดตาม และประเมินผล รวมทั้งประสานการปฏิบัติราชการด้านการแพทย์ และการสาธารณสุข
(๕) ดําเนินการและให้บริการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข
(๖) พัฒนาระบบการเงินการคลังและระบบบริการด้านสุขภาพให้เหมาะสมและได้มาตรฐาน
(๗) พัฒนาระบบฐานข้อมูล ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สารนิเทศและการสื่อสารและ การประชาสัมพันธ์ เพื่อใช้ในการบริหารงานและการบริการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง
(๘) ส่งเสริม สนับสนุน และประสานการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ
(๙) ดำเนินการและพัฒนาความร่วมมือด้านสุขภาพระหว่างประเทศ
(๑๐) ดําเนินการเกี่ยวกับกฎหมายและพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวกับการแพทย์และการสาธารณสุข ให้ทันสมัยและเหมาะสมยิ่งขึ้น
(๑๑) ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพ รวมทั้งศึกษา วิเคราะห์ วิจัย พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านระบบบริการสุขภาพและ ด้านการพยาบาลแก่องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(๑๒) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ และอำนาจของสำนักงานปลัดกระทรวง หรือตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย


ข้อ ๓ ให้แบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ดังต่อไปนี้

ก. ราชการบริหารส่วนกลาง
   1. กองกลาง
   2. กองกฎหมาย
   3. กองการต่างประเทศ
   4. กองการพยาบาล
   5. กองตรวจราชการ
   6. กองบริหารการคลัง
   7. กองบริหารการสาธารณสุข
   8. กองบริหารทรัพยากรบุคคล
   9. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน
   10. กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ
   11. กองสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ
   12. กองสาธารณสุขฉุกเฉิน
   13. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ข. ราชการบริหารส่วนภูมิภาค
   1. สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด
   2. สํานักงานสาธารณสุขอําเภอ
.......................

ให้ไว้ ณ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๗
     ชลน่าน ศรีแก้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข




13
คดีใหญ่โคราช! ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 3 พิพากษาลงโทษ จำคุก 25 ปี  'สำเริง แหยงกระโทก'  อดีตนายก อบจ.นครราชสีมา ทุจริตโครงการก่อสร้างถนนผิวจราจรหินคลุกหลายโครงการ 'นริศ เรืองธนานุรักษ์' รองนายกฯ เจอ 12 ปี 16 เดือน  จนท.-เอกชน นับสิบรายโดนด้วย - 'อภิวัฒน์ พลสยม' ปลัดฯ รอดได้ยกฟ้อง 

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2567 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 มีคำพิพากษาคดีกล่าวหานายสำเริง แหยงกระโทก  หรือ "หมอแหยง" อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครราชสีมา กับพวก ทุจริตโครงการก่อสร้างถนนผิวจราจรหินคลุก หลายโครงการ โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามภารทุจริต 1 ภาค 3 เป็นโจทก์ฟ้องแทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

คดีนี้ มีจำเลย รวม 18 ราย ได้แก่ นายสำเริง แหยงกระโทก อดีตนายกอบจ.นครราชสีมา จำเลยที่ 1 นายชัยเกียรติ เกษรบัวทอง จำเลยที่ 2 นายธวัชชัย ตระกูลวณิชย์ จำเลยที่ 3 นายชาญวุฒิ จุลรัษเฐียร จำเลยที่ 4 นายภิรมย์ วงศ์สุข จำเลยที่ 5 นายภาดล ศรีกระโทก จำเลยที่ 6 นางจิติรัตน์ ทองประวัติสิริหรือนางไกรมา พิพัฒน์วิริยาภรณ์ จำเลยที่ 7 (จำเลยที่ 2-7 เป็นคณะกรรมการตรวจการจ้าง)  นายพงศ์ศรณ์ หรือวิรัตน์ ตันชนะศักดิ์ จำเลยที่ 8 นายวรวิทย์ ศรีสิทธิ์ จำเลยที่ 9 นายจตุพงษ์ ปุงมา จำเลยที่ 10 (จำเลยที่ 8- 10 เป็นผู้ควบคุมงาน)  นายอภิวัฒน์ พลสยม ปลัด อบจ.นครราชสีมา จำเลยที่ 11

นายนริศ เรืองธนานุรักษ์ รองนายก อบจ.นครราชสีมา จำเลยที่ 12 นายสนอง ศรีทรัพย์ หุ้นส่วนผู้จัดการผู้มีอำนาจ ห้างหุ้นส่วนจำกัด โคราชพัฒนะ  จำเลยที่ 13  นายบุรี มะลิวัลย์ หุ้นส่วนผู้จัดการผู้มีอำนาจ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนนวพร  จำเลยที่ 14 นางสาวพัชรี ประภาภูวมาส  หุ้นส่วนผู้จัดการผู้มีอำนาจ  ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประภารุ่งเรืองก่อสร้าง  จำเลยที่ 15 ห้างหุ้นส่วนจำกัด โคราชพัฒนะ จำเลยที่ 16 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนนวพร จำเลยที่ 17 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประภารุ่งเรืองก่อสร้าง จำเลยที่ 18

ศาลฯ มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษจำเลยดังนี้

1. นายสำเริง แหยงกระโทก อดีตนายกอบจ.นครราชสีมา จำเลยที่ 1 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 25 ปี
2. นายธวัชชัย ตระกูลวณิชย์ จำเลยที่ 3 นายชาญวุฒิ จุลรัษเฐียร จำเลยที่ 4 รวมจำคุกคนละ 13 ปี 16 เดือน
3. นายภิรมย์ วงศ์สุข จำเลยที่ 5 นายภาดล ศรีกระโทก จำเลยที่ 6 นางจิติรัตน์ ทองประวัติสิริหรือนางไกรมา พิพัฒน์วิริยาภรณ์ จำเลยที่ 7 และ  นายจตุพงษ์ ปุงมา จำเลยที่ 10 จำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน
4. นายพงศ์ศรณ์ หรือวิรัตน์ ตันชนะศักดิ์ จำเลยที่ 8 นายวรวิทย์ ศรีสิทธิ์ จำเลยที่ 9 จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน
5. นายนริศ เรืองธนานุรักษ์ รองนายก อบจ.นครราชสีมา จำเลยที่ 12 จำคุก 12 ปี 16 เดือน
6. นายสนอง ศรีทรัพย์ หุ้นส่วนผู้จัดการผู้มีอำนาจ ห้างหุ้นส่วนจำกัด โคราชพัฒนะ  จำเลยที่ 13  และนายบุรี มะลิวัลย์ หุ้นส่วนผู้จัดการผู้มีอำนาจ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนนวพร  จำเลยที่ 14  จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน
7. นางสาวพัชรี ประภาภูวมาส  หุ้นส่วนผู้จัดการผู้มีอำนาจ  ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประภารุ่งเรืองก่อสร้าง  จำเลยที่ 15 จำคุก 3 ปี 4 เดือน
8. ห้างหุ้นส่วนจำกัด โคราชพัฒนะ จำเลยที่16 และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนนวพร จำเลยที่17 ปรับกระทงละ 20,000 บาท รวมปรับคนละ 40,000 บาท
9. ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประภารุ่งเรืองก่อสร้าง จำเลยที่ 18  ปรับ 20,000 บาท
10. ยกฟ้อง นายอภิวัฒน์ พลสยม ปลัด อบจ.นครราชสีมา จำเลยที่ 11

ทั้งนี้ ในฐานข้อมูลออนไลน์ ระบุว่า นายสำเริง แหยงกระโทก เป็นอดีตนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) เข้ารับโล่เกียรติยศเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งเป็นการทำงานของแพทย์ในชนบทที่ทำงานร่วมกับชีวิตความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ สังคม และจิตใจของชาวบ้าน เคยมีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย

อย่างไรก็ดี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด จำเลยทั้งหมด มีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้

29 เมษายน 2567
สำนักข่าวอิศรา

14
นับตั้งแต่มีชื่อ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่ถูกให้พ้นจากตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ล่าสุด นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ออกมาบอกเล่าความในใจชี้แจงข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "ชลน่าน ศรีแก้ว" รวมถึงประเด็นร้อน กรณีที่เพจ ชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ข้อความลักษณะที่อาจทำให้สังคมเข้าใจผิดเกี่ยวกับการพ้นจาก ตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข ซึ่งมีใจความระบุว่า

ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณ เพจแพทย์ชนบท ที่โพสตให้กำลังใจผม และท่านรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน แต่ก็มีบางอย่างที่ผมคิดว่า ข้อมูลยังคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปมาก ซึ่งในสถานการณ์ที่ผมถูกออกปลดออกจากรัฐมนตรี ชมรมแพทย์ชนบทไม่ควรใช้สถานการณ์นี้ออกมาสร้างความแตกแยกในกระทรวงอีก ขอให้ยุติการกระทำ ซึ่ง นพ.สุภัทร ได้โทรศัพท์มาหาผม และยอมรับว่า เขียนและให้สัมภาษณ์จากความเห็นของตนเองและคนในกลุ่ม

ผมได้ติงไปแล้วว่า การพูดจากความเห็นส่วนตัวแทนผมซึ่งไม่ใช่ข้อมูลจริงไม่สมควรก็ยอมรับและขอโทษ ผมไม่อยากให้ปัญหาส่วนบุคคลลุกลามสร้างปัญหาให้ระบบ

เรื่องที่ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊คชมรม ระบุว่า ระดับบิ๊กอืดยังไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง โดยยกเอาคำพูดของผมที่ รพ.อุทัย ว่า เอาข้าราชการไม่อยู่ จริง ๆ สิ่งที่ผมพูด คือ ท่านนายกให้รัฐมนตรีทุกคน ต้องกำกับดูแลควบคุมข้าราชการให้อยู่ให้ทำงานอย่างเต็มที่

ผมเองชื่นชมผู้บริหารและข้าราชการของกระทรวงฯ ทุกคนที่เร่งรัดทุ่มเท การทำงานดีมาก ให้คะแนน ก็ 80 คะแนนขึ้นไป ระดับ A+ สนองนโยบาย สำเร็จตามเป้าหมาย Quick win 100 วัน ได้ทั้ง 13 นโยบาย ขับเคลื่อนเข้าสู่ Mid year succes ได้อย่างเป็นรูปธรรม ผมเน้นประเด็นนี้ แต่สื่อที่นำไปเผยแพร่  ตัดบางช่วงคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง เป็น " ผมมีผลงานระดับ A+ ผมคุมข้าราชการไม่อยู่ จึงถูกปลดออกจาก ครม." อันนี้เป็นเรื่องที่ผมต้องชี้แจง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการ น้อง ๆ ที่ทำงานในสธ.ครับ

ส่วนประเด็นระดับบิ๊ก อืดไม่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้ ผมใช้ผลงานเป็นตัววัด ไม่ให้ความสำคัญ กับคำว่า "คนของใคร" ไม่ต้องมาเป็นคนของผม ขอให้เป็น "คนของประชาชน" ทำงานเพื่อประชาชน ก็พอ ไม่สนใจว่า "แมวขาวหรือแมวดำ" ขอให้ "จับหนู" ได้ก็พอ 
241 วันในการทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข ผมให้การสนับสนุน เรื่องการแสดงความเคารพนับถือ การเข้าพบปะเยี่ยมเยียน  การดูแลสุขภาพ การเจ็บป่วยของท่าน อดีตรัฐมนตรี อดีตปลัดกระทรวง ในเวลาและเทศกาลที่เหมาะสม และทำให้น้อง ๆ ได้เห็นว่า เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งควรกระทำ

ส่วนปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างชมรมแพทย์ชนบทกับผู้บริหารกระทรวงเป็นปัญหาเดิมที่มีมาหลายปี ถ้าจำได้ เรื่องแรก ๆ ที่ผมทำ คือ พยายามสลายความขัดแย้ง เพื่อให้ทำงานไปต่อได้ มีการเชิญทั้งผู้บริหารและน้องๆแพทย์ชนบทมาทานข้าวด้วยกันด้วยซ้ำ

ผมพยายามแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับทุกฝ่าย ทั้งชมรม รพศ/รพท. ชมรมนายแพทย์ สสจ. ชมรมผู้อำนวยการ รพช. ชมรมลูกจ้าง ชมรม สสอ.  สภาวิชาชีพ เพื่อให้ ทุกฝ่ายมุ่งหน้า ทำงานรับใช้ บริการประชาชนให้ดีที่สุด

เรื่องถูกวางยาให้เป็นคู่ขัดแย้งกับ สปสช. นับตั้งแต่ผมเข้ามาทำงานไม่เคยเป็นคู่ขัดแย้งกับ สปสช. ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. สามารถทำงานกับ เลขาสปสช.ได้เป็นอย่างดี เลขาสปสช. ทำหน้าที่ในกรอบกฎหมายกำหนด ตอบสนองนโยบายเรือธง "ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว" ขับเคลื่อนวางงบประมาณรองรับอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น รับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน บริการทันตกรรมที่คลินิกทันตกรรมที่เข้าร่วมโครงการได้

โดยนโยบายนี้เริ่มดำเนินการทันทีหลังแถลงนโยบาย  7 ม.ค 67 แต่การดำเนินงานจำเป็นต้องนำร่อง และขับเคลื่อนเป็นเฟส ทั้งหมด 4  (เฟส) บนพื้นฐานความพร้อม เชิงระบบเทคโนโลยี ระบบงบประมาณ และมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์  โดยเฟส 1 นำร่อง 4  จังหวัด เฟส 2 ขยายเพิ่ม อีก 8 จังหวัด ซึ่งจำเป็นต้องขอใช้งบกลาง จำนวน 1,200 ล้านบาท เพราะนวัตกรรมใหม่ ๆ ไม่ได้มีการตั้งงบประมาณไว้ จึงให้ใช้งบประมาณในแผนงบประมาณปี 66 ไปพลางก่อน

ส่วนเฟส 3 เพิ่ม อีก 33 จังหวัด  ตั้งงบประมาณปี 67 รองรับ เริ่มขับเคลื่อน เดือน พ.ค 67 เป็นต้นไปเฟส 4 จังหวัดที่เหลือ ตั้งงบประมาณ ปี 68 รองรับ ขับเคลื่อน เดือน ต.ค 67 เป็นต้นไป

เรื่องวางยาให้กระทรวงสาธารสุข ไปมีอำนาจในการจัดสรรเงิน ผมคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้  เพราะมีกฎหมาย กฎ ระเบียบกำหนดหน้าที่และอำนาจไว้ชัดเจน ว่าการจัดสรรจ่ายเงินเป็นอำนาจ หน้าที่ ของ สปสช. ตามมติบอร์ด

ข้อเสนอหลาย ๆ เรื่อง ที่บอร์ด สปสช. ไม่เห็นด้วยถูกขับเคลื่อนและได้รับความเห็นชอบในยุคที่ผมเป็นประธาน เช่น คณะอนุกรรมการพัฒนาและสนับสนุนหน่วยบริการในการให้บริการสาธารณสุข ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (เดิม เสนอเป็น Provider board : กก.ผู้ให้บริการ แต่ไม่ผ่านความเห็นชอบ) 

ชมรมแพทย์ชนบทเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนนำเรื่องนี้ไปพูดว่า สธ. อยากไปมีส่วนร่วมกับการจัดสรรเงินซึ่งไม่จริง จริง ๆ แล้วเป็นคนละส่วน คนละบทบาทหน้าที่ ทั้งสองฝ่ายทำงานได้ดี ผมอยู่ตรงกลาง สธ.ลุยทำงาน สปสช.สนับสนุนเงินทำงาน เป็นเรื่องที่กำลังไปได้ดี ข้าราชการขยันเดินตามทุกครั้งที่ผมออกไปปฎิบัติหน้าที่มีคำสั่งให้ออกไปปฏิบัติราชการ ติดตามงานนโยบายททุกครั้ง แม้แต่กลับไปพื้นที่ ที่ จ.น่าน ผมก็ไปราชการไม่เคยไปเรื่องส่วนตัว

ผมและคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายประจำ ออกทำงานดูแลพี่น้องประชาชน ในโครงการ "พาหมอไปหาประชาชน เฉลิมพระเกียรติ พระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ 6 รอบ 72 พรรษา 28 ก.ค 2567 " ทุกวันหยุดสุดสับดาห์ เสาร์ อาทิตย์ โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง และบุคคลากรสาธารณสุข จิตอาสา ตรวจคัดกรอง รักษา ฟื้นฟูสภาพ ติดตามดูแลโรคเฉพาะด้านเฉพาะทาง จึงมีความจำเป็นที่ผู้บริหารจะต้องติดตามไปกับผมตลอด

งานหลายอย่างได้แนวคิดมาจากการปรึกษากันบนรถระหว่างผมและผู้บริหารเจ้าของพื้นที่ ผมสนับสนุน ให้ดำเนินการหลายเรื่องเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจความเชื่อความศรัทธาเดียวกัน เป็นพลังในการทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะนโยบาย ดูแลสุขภาพพระสงฆ์ ผู้นำศาสนา สถานชีวาภิบาล กุฏิชีวาภิบาล มีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องเข้าถึง พระสงฆ์ ผู้นำศาสนา

เรื่อง เกียร์ว่าง ละเลยปฐมภูมิ แก้ปัญหายาเสพติดสะดุด สาธารณสุขรากฐานไม่ก้าวหน้า กระจายอำนาจสับสน ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากปัญหาเชิงระบบ ที่เกิดขึ้นก่อนผมเข้ามารับตำแหน่ง

ผมเองเป็นคนที่เข้ามาจัดการแก้ปัญหา เร่งรัดให้ดำเนินการตามกฎหมาย อย่างเช่น ระบบปฐมภูมิ กฎหมายออกตั้งแต่ปี 2562 แต่กฎหมายลูกที่จะใช้ขับเคลื่อนยังไม่เสร็จหลายฉบับ จากปัญหาเชิงระบบ ผมมารับตำแหน่ง ก็ได้เร่งขับเคลื่อนให้มีการจัดทำกฎหมายลูกให้เสร็จเตรียมประกาศเพื่อใช้บังคับ เร่งรัดการขึ้นทะเบียน ผู้รับผู้ให้บริการ การกำหนดพื้นที่ กำหนดหน่วยบริการรับผิดชอบต่อไป

การบำบัดรักษาฟื้นฟูยาเสพติด เป็นอีกงานที่ขับเคลื่อนได้ยาก เพราะไม่มีกฎกระทรวงรองรับ ให้สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษา โดยไม่ถูกตีตรา เป็นคดี จะได้ดำรงชีวิตในสังคมได้เหมือนคนปกติ ทั้งที่มีกฎหมายประมวลยาเสพติดตั้งแต่ ปี 2564 พยายามเสนอกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาบ้า เพื่อสันนิษฐานว่า มีไว้เพื่อเสพถึง 2 ครั้ง ครั้งแรก เสนอ 15 เม็ด ไม่ผ่าน ครม.กลับมาทำใหม่ เสนอ 1 เม็ด ก็ไม่ผ่านครม. จนมาถึงรัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน ครม.ให้ความเห็นชอบไม่เกิน  5 เม็ด

ผมในฐานะรัฐมนตรีสาธารณสุข เป็นผู้ลงนาม ในกฎกระทรวง ตามกฎหมายกำหนด ได้เร่งรัดใหัมีสถานบำบัด และชุมชนเป็นฐานในการบำบัดรักษา CBTx มีผู้เข้ารับการบำบัดรักษาถึง 70,000 คน

ผมได้พูดกับคุณหมอสุภัทร ไปแล้วว่า การออกมาให้ข้อมูลทางสื่อ Social  โดยอาศัยจังหวะที่ผมถูกปลดออกจากรัฐมนตรี เพื่อขยายความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม กล่าวหาอีกกลุ่มหนึ่ง ถือว่าไม่เหมาะสม คุณหมอสุภัทรเองก็เข้าใจแล้ว และบอกว่า จริง ๆ ตั้งใจจะให้กำลังใจผม ซึ่งผมก็ขอขอบคุณ แต่ให้ระมัดระวังในการเขียนเนื้อหาที่บางทีมาจากความไม่รู้ อาจจะบิดเบือน ทำให้มองได้ว่า ผมเป็นคนไม่มีความรู้ความสามารถ คุมข้าราชการไม่ได้ ถูกวางยา ทำให้งานไม่บรรลุเป้าหมายซึ่งทำให้ผมเสียหาย โดยเฉพาะความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากพี่น้องประชาชน ผมจึงขออนุญาตขอชี้แจงเพื่อปกป้อง ไม่ให้เกิดความเสียหาย ไม่เกิดความแตกแยก และไม่ให้ผมถูกทำลายไปมากกว่านี้ 



Thansettakij
1 พค 2567

15
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยผงาดเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของไทย และ Top 200 ของเอเชีย จากการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาที่ดีที่สุดในเอเชีย THE Asia University Rankings 2024 ซึ่งประกาศผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 โดยอันดับของจุฬาฯ ขยับขึ้นจากเมื่อปีที่แล้วถึง 102 อันดับ จากสถาบันอุดมศึกษาในเอเชียที่ได้รับการจัดอันดับจำนวนทั้งสิ้น 739 แห่ง (ไม่นับรวมสถาบันที่ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ หรือ Reporter) ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วที่มีสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 669 แห่ง โดยมีมหาวิทยาลัยไทยได้รับการจัดอันดับจำนวน 19 แห่ง

ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัย THE Asia University Rankings 2024 ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครองอันดับ 1 มหาวิทยาลัยไทย และอันดับ 117 ของเอเชีย เป็นผลมาจากผลงานความโดดเด่นจาก 5 ตัวชี้วัดในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยครั้งนี้ ได้แก่
การเรียนการสอน (Teaching) 24.5%
การจัดการระบบนิเวศการวิจัย (Research Environment) 28%
คุณภาพการวิจัย (Research Quality) 30%
รายได้จากผลงานลิขสิทธิ์และนวัตกรรม (Industry) 10%
และความเป็นสากล (International outlook) 7.5%


ติดตามผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยเพิ่มเติมได้ที่
https://www.timeshighereducation.com/world-university-rankings/2024/regional-ranking

เดลินิวส์
1 พค 2567

หน้า: [1] 2 3 ... 652