ยูเอ็น ม.มหิดล และองค์กรเครือข่ายสุขภาพฯ ร่วมผลักดันให้ผู้หญิงไทยได้มีโอกาสใช้ถุงยางอนามัยสำหรับสตรี ชี้มีผลดี เพิ่มอำนาจต่อรองให้กับเพศหญิงใส่ถุงยางอนามัยเอง ป้องกันความไม่พร้อมการตั้งครรภ์ โรคติดต่อ แต่ไม่ลดความรู้สึกการมีเพศสัมพันธ์
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 11 มกราคม 2555 กองทุนสหประชาชาติ ร่วมกับสำนักงานศึกษานโยบายสาธารณสุข สวัสดิการและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เครือข่ายสุขภาพและโอกาส มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) และแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกันจัดงานระดมสมองเรื่องทิศทางของนโยบายการให้บริการด้านถุงยางอนามัยผู้หญิงในประเทศไทย เพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยในผู้หญิง และผลการวิจัยในเรื่องดังกล่าว
โดยนางสาวทฤษฎี สว่างยิ่ง ผู้จัดการเครือข่ายสุขภาพและโอกาส กล่าวว่า การรณรงค์การใช้ถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงมีมากว่า 10 ปี โดยกรมควบคุมโรคเป็นผู้ดำเนินการ จนสามารถต่อสู้ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จัดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไว้ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์แทนกลุ่มเครื่องสำอาง จึงทำให้ราคาถูกลง แต่ก็ปัจจุบันก็ยังคงมีราคาแพงอยู่ และยังไม่มีขายทั่วไปภายในประเทศ อีกทั้งการลดการส่งเสริมเรื่องดังกล่าวในระยะหลังจึงทำให้การใช้ถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
ดังนั้นเครือข่ายสุขภาพและโอกาสจึงดำเนินการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงอีกครั้ง แต่การรณรงค์ในช่วงแรกจะติดปัญหาเรื่องการเข้าถึง วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ และทัศนคติในเรื่องเพศของสังคม เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะต้องสอดใส่เข้าไปในช่องคลอดผู้หญิง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้หญิงไม่คุ้นชิน จึงได้ร่วมกับแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศจัดทำหลักสูตรอบรมเรื่องสุขภาวะทางเพศควบคู่ไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอย่างเป็นระบบมากขึ้นในกลุ่มที่ต้องอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี กลุ่มผู้หญิงขายบริการ กลุ่มชายรักชาย และสาวประเภทสอง
จากการอบรมพบว่า จุดแข็งของถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงจะช่วยเพิ่มอำนาจในการต่อรอง เพราะผู้หญิงเป็นคนใส่เอง ซึ่งไม่ได้ลดความสุขในการร่วมเพศแต่อย่างใด ที่สำคัญคือช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นโรคเอดส์ เริม หรือหูดได้อีกด้วย ขณะที่ห่วงของถุงยางด้านนอกยังป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิงได้อีกด้วย
ด้าน ดร.กนกวรรณ ธราวรรณ สำนักงานศึกษานโยบายสาธารณสุข สวัสดิการและสังคม ในฐานะผู้วิจัยโครงการทางเลือกเชิงนโยบายด้านถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิง กล่าวว่า การทำวิจัยเรื่องดังกล่าวเพื่อดูว่ามีผู้ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงมากน้อยเพียงใด หากมีความต้องการใช้มากจะจัดหามาบริการโดยการแจก หรือขาย โดยได้ทำวิจัยกลุ่มเป้าหมายที่ผ่านการอบรมของเครือข่ายสุขภาพและโอกาส 6 กลุ่ม คือ
1.คู่สามี-ภรรยา
2.ผู้อยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี
3.สาวประเภทสอง
4.ชายรักชาย
5.ผู้ขายบริการทางเพศ และ
6.ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ
จำนวน 309 คน
ทั้งนี้ ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มมีความเห็นตรงกันว่าควรจะมีถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงจำหน่ายในประเทศไทย ในราคาเฉลี่ยชิ้นละ 18 บาท และต้องจัดวางในสถานที่ที่สะดวกสำหรับทุกคน เช่น ในโรงพยาบาล ผับ บาร์ ร้านคาราโอเกะ และสถานบันเทิงทั่วไป รวมถึงให้ความรู้ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ทั่วไป
"ขอให้รัฐเริ่มคิดเรื่องนี้ได้แล้ว อย่างน้อยก็เริ่มในกลุ่มผู้มีความจำเป็นต้องใช้ก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทิ้งประชาชนกลุ่มอื่นๆ โดยแนวปฏิบัติที่เป็นไปได้คือการมีทัศนคติที่ดีต่อการใช้ถุงยางประเภทนี้ และรณรงค์ให้เห็นว่าเป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการท้องไม่พร้อมได้ด้วย" ดร.กนกวรรณกล่าว และว่า นอกจากนี้ 3 กองทุนสุขภาพ ทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง ควรกลับไปศึกษาเปรียบเทียบระหว่างค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกชนิดกับการป้องกัน อย่างไหนคุ้มค่ากว่ากัน
พร้อมกันนี้ นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า ถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงเกิดขึ้นเมื่อปี 2553 ครอบคลุม 130 ประเทศทั่วโลก โดยในจำนวนนี้กว่า 100 ประเทศสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าวใช้ด้วยตัวเอง ที่เหลือนำเข้ามาจำหน่ายผ่านหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ส่วนประเทศไทยยังต้องสั่งนำเข้าจากต่างประเทศ จึงทำให้มีราคาแพง แต่ในอนาคตอาจจะนำเข้าจากประเทศมาเลเซียซึ่งจะมีราคาถูกลงบ้าง
ทั้งนี้ เมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา พบว่าทั่วโลกใช้ถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงเพิ่มขึ้นกว่า 33 ล้านชิ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1 ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความนิยมใช้ถุงยางอนามัยสำหรับผู้ชาย นั่นเป็นเพราะผู้ใช้รู้สึกว่าไม่คุ้นเคย แต่ตนเห็นว่าถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงก็เหมือนกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ลองใช้ครั้งแรกแล้วอาจจะไม่ชอบ ต้องทดลองใช้อย่างน้อย 3 ครั้ง หากยังไม่ชอบอีกจึงถือว่าอาจจะไม่ใช่รสนิยมของตัวเอง
"ที่สำคัญคือเราต้องส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องหาคำตอบคือ ประเทศไทยจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีเรื่องอย่างนี้" นพ.ทวีทรัพย์กล่าว.
ไทยโพสต์ 12 มกราคม 2555