ผู้เขียน หัวข้อ: นักวิทย์ออสซี่วัย 104 ปี บินไปขอการุณยฆาตที่สวิสเซอร์แลนด์  (อ่าน 949 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวออสเตรเลียวัย 104 ปี ไม่มีความสุขในชีวิตบั้นปลาย ขอลาโลกด้วยวิธีการุณยฆาต

สื่อท้องถิ่นของออสเตรเลียรายงานข่าวเรื่องราวอันน่าสลดใจของ ศาสตราจารย์เดวิด กูดดอลล์ (David Goodall)นักวิทยาศาสตร์ด้านนิเวศน์วิทยาชื่อดังวัย 104 ปี ตัดสินใจเดือนทางไปยังสวิสเซอร์แลนด์เพื่อขอจบชีวิตในคลีนิกด้านการุณยฆาต โดยที่เขาไม่ได้ป่วยด้วยโรคใดๆทั้งสิ้น

รายงานระบุศาสตราจารย์กูดดอลล์ ได้รับเงินบริจาคจำนวน 20,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย เพื่ออัพเกรดตั๋วเครื่องบินเป็นชั้นเฟิร์ตคลาสในเที่ยวสุดท้ายของเขาในการเดินทางจากเมืองเพิร์ธไปยังเมืองบาเซิล ในสวิสเซอร์แลนด์ให้ช่วยเร่งการเสียชีวิตของตนเอง

ศ.กูดดอลล์ ได้กล่าวที่สนามบินก่อนที่ขึ้นเครื่องบินกับสถานีโทรทัศน์ของออสเตรเลียว่า "ผมดีใจที่กำลังจะได้ขึ้นเครื่องบิน และครอบครัวผมได้มาส่งผม และบางส่วนก็ไปสวิสเซอร์แลนด์เพื่อบอกลาครั้งสุดท้ายด้วย" ทั้งนี้ศ.กูดดอลล์เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อของออสเตรเลียในวันคล้ายวันเกิดครบ 104 ปีของเขาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า ผมเสียใจที่มีอายุยืนถึงขนาดนี้ มันไม่มีความสุขเลย รู้สึกอยากตาย ความตายไม่ได้น่าเศร้า แต่ที่เศร้า คือ ผมถูกรั้งไม่ให้ตาย


3 พ.ค. 2561
https://www.posttoday.com/world/550009

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
สังคมไทยพร้อมแค่ไหนกับการุณยฆาต
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2018, 09:35:06 »
“ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่าจะไม่ให้คำแนะนำหรือการรักษาใดๆ อันเป็นการทำลายชีวิตผู้ป่วย แม้ถูกร้องขอ”

          Hippocratic Oath หรือคำสัตย์ปฏิญาณของแพทย์ ถูกนำมาทบทวนอย่างหนักในช่วงหลายปีมานี้ เพราะไม่ใช่แค่ ‘ไม่ให้คำแนะนำอันเป็นการทำลายชีวิต’ แต่แพทย์หลายประเทศยังมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะ ‘ทำลายชีวิต’ ในนามของความกรุณา เมื่อการใช้สิทธิที่จะตายกลายเป็นเรื่องปกติ เราจึงได้เห็น ‘ปาร์ตี้อำลาโลก’ แพร่หลายอยู่ในโลกออนไลน์ เจ้าภาพถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูงและครอบครัว สังสรรค์กันอย่างรื่นเริงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เจ้าภาพในงานจะตายในเวลาต่อมา
   
          แนวคิดเรื่อง ‘สิทธิ’ ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยตื่นตัว และมีการถามหา ‘สิทธิที่จะตาย’ กันทั่วโลก ซึ่งไทยเราได้สิทธินั้น ‘ในระดับหนึ่ง’ แล้วจาก พรบ.สุขภาพแห่งชาติฉบับล่าสุด (ซึ่งก็คือสิทธิที่จะปฏิเสธการรักษา) แต่คำถามต่อมาก็คือ... เราต้องการสิทธินั้น ‘โดยสมบูรณ์’ ไหม? สิทธิที่จะถูกฆ่าได้เมื่อเราต้องการ
 
เรามีสิทธิ์ขอตาย... แต่เมื่อไรถึงจะสมควร?
คำว่า ‘การุณยฆาต’ ภาษาอังกฤษเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า Mercy Killing ส่วนคำศัพท์อย่างเป็นทางการคือ Euthanasia มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ประกอบด้วยคำว่า Eu หมายถึง Good และ Thanatos หมายถึง Death แปลรวมความว่า ‘ตายดี ตายสงบ’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนปรารถนาภายใต้เงื่อนไขว่าเวลาตายของเรามาถึงแล้ว หรือพูดภาษาชาวบ้านคือเมื่อเราถึงที่ตาย
แต่ถ้าเรายังไม่ถึงที่ตาย หรือยังไม่มีเหตุสมควรตายล่ะ เราจะรู้ได้ไงว่ามันคือเวลานั้นแล้ว เพราะฉะนั้นปัญหาโลกแตกข้อแรกจึงเป็นเรื่องของ ‘เงื่อนเวลา’

          แนวคิดตะวันตกระบุเงื่อนเวลาที่เหมาะสมในการทำการุณยฆาตเอาไว้ มีใจความโดยสรุปว่า เป็นสิ่งที่สมควรทำได้เมื่อบุคคลอยู่ในภาวะเจ็บปวดสาหัส และ/หรือเมื่ออยู่ในสภาพที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ไร้การรับรู้ทางสมอง พูดง่ายๆ ก็คือมีภาวะเป็นผักตลอดกาล หรือที่ศัพท์การแพทย์เรียกตรงตัวว่า Persistent Vegetative State หรือ PVS เงื่อนเวลานี้ฟังดูสมเหตุสมผล เพราะหากมองในทางกลับกัน บุคคลไม่ควรจะถูกบังคับให้ยืดชีวิตออกไปโดยเจ้าตัวไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของชีวิตนั้น การยืดชีวิตด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์อาจมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิของเขาเลยก็ได้ หากกล่าวสำหรับคนที่ยังไม่ได้เป็นผัก แต่มีเหตุผลที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ? เราจะเอาเกณฑ์อะไรวัดว่า เหตุผลใครสมควรหรือไม่สมควร

          แอนน์ ฮอลล์ วัย 67 ปี นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีและนักสังคมสงเคราะห์ชาวอังกฤษ ป่วยเป็นโรคก้านสมองเสื่อม อาการของเธอทรุดหนักลงอย่างรวดเร็วจนถึงระดับที่ขยับกายแทบไม่ได้ เธอตัดสินใจบินไปจบชีวิตตัวเองที่คลินิก Dignitas ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพราะการุณยฆาตเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่อังกฤษ

          “ผมไม่ช็อก ผมเข้าใจความต้องการของเธอเป็นอย่างดี” บ็อบ โคล สามีวัย 68 ปี บรรยายลักษณะตัวเองและภรรยาว่าเป็น ‘ฮิปปี้แก่ๆ’ ที่กระฉับกระเฉง ชอบทำกิจกรรม และเป็นเสาหลักของชุมชน ก่อนโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาจะทำให้ภรรยาของเขาไม่สามารถทำแม้แต่กิจวัตรส่วนตัวได้ เธอติดต่อคลินิกการุณยฆาตที่สวิตเซอร์แลนด์ด้วยตัวเองเพื่อขอใช้บริการ โดยต้องผ่านกระบวนการยาวนานกว่าทางคลินิกจะอนุญาต ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการตายราวสองแสนกว่าบาท ไม่รวมค่าเดินทางและอื่นๆ “พวกเขาตรวจสอบเอกสารการวินิจฉัยทางการแพทย์อย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าเธอหมดทางเยียวยาจริงๆ สุดท้ายจึงนัดให้เราเดินทางไปหา” บ็อบเล่า

          ในวาระสุดท้ายนั้น แม้แต่จะยกช้อนเพื่อกินยาพิษฆ่าตัวตาย แอนน์ก็ป่วยเกินกว่าจะทำได้ ทางคลินิกจึงใช้วิธีฉีดยาเข้าเส้นแทน “ผมอยากบอกว่าผมและภรรยารักชุมชนของเรา ถ้าเลือกได้เธอคงอยากตายที่บ้าน ผมอยากให้นักการเมืองอังกฤษกล้าพอที่จะเปลี่ยนกฎหมายให้สิทธิเราได้ตายอย่างมีศักดิ์ศรี ในเมื่อคุณยังยอมยุติความทรมานให้แก่สัตว์เลี้ยง ทำไมคุณถึงไม่ยอมยุติความทรมานให้มนุษย์บ้าง”

          เพียง 18 เดือนหลังจากนั้น บ็อบ โคล ก็ตัดสินใจเดินตามรอยภรรยาไป เพื่อยุติความทรมานจากโรคมะเร็งที่เขาเผชิญอยู่ โดยเข้ารับบริการที่คลินิกเดียวกัน   

          สมมติว่าวันหนึ่งข้างหน้ามีการค้นพบหนทางรักษาโรคก้านสมองเสื่อมให้หายขาดได้ แอนน์ ฮอลล์ จะเสียดายไหมที่มาด่วนขอตายไปก่อน หรือหากอาการของเธอไม่ทรุดลงจนนำไปสู่ความตายโดยสมบูรณ์ ทว่าเหลือกล้ามเนื้อให้เธอขยับได้นิดๆ หน่อยๆ ใครจะรู้ เธออาจจะเป็นอัจฉริยะเหมือนสตีเฟน ฮอว์คิง ที่ขยับกล้ามเนื้อได้เพียงแค่ท่อนเดียวก็เขียนตำราเล่าเรื่องราวของเอกภพได้ เราจะวัดกันที่ตรงไหนว่าชีวิตนั้นไร้ค่าไร้ความหมายแล้ว แอนน์ ฮอลล์ อาจกลายเป็นนักเขียนเบสต์เซลเลอร์ นักสร้างแรงบันดาลใจชื่อก้องโลก ฯลฯ กล่าวสำหรับบ็อบ โคล ผู้เป็นมะเร็งแต่ยังไม่ถึงขั้นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แบบภรรยา ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งอาการอาจดีขึ้นจนถึงหายเป็นปกติเลยก็ได้ ปาฏิหาริย์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้วกับผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมากทั่วโลก ไม่มีใครรู้อนาคต ก็เลยไม่มีใครรู้ว่าวันหนึ่งวันนั้นมีจริงไหม

          แต่ที่รู้คือวันนี้ และเป็นวันนี้ที่แอนน์กับบ็อบต้องการจะตาย
 
“อยากตายต้องได้ตาย” Dr.Death กล่าว
หนึ่งในฝั่งผู้สนับสนุนการทำการุณยฆาตแบบสุดลิ่มทิ่มประตู พ.ศ.นี้ต้องยกให้ฟิลิป นิตช์เค อดีตแพทย์ชาวออสเตรเลียวัย 70 ปี ที่เคยถูกสอบสวนเนื่องจากเพื่อนคนสนิทของเขาฆ่าตัวตายโดยไม่ได้เจ็บป่วยหนัก และมีผู้รู้เห็นยืนยันว่าเธอมีความคิดอยากฆ่าตัวตายและได้ปรึกษากับนิตช์เคเรื่องนี้ หลังการสอบสวน ทางการอนุญาตให้นิตช์เคเป็นหมอต่อได้ โดยมีข้อแม้ว่าห้ามยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมที่สนับสนุนการการุณยฆาตทั้งหมด

          นิตช์เคผู้มีความเชื่อว่าใครอยากตายก็ควรจะได้ตาย ทำในสิ่งที่ช็อกโลก นั่นคือเขาเผาใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ทิ้ง เมื่อแรงศรัทธาที่มีต่อความตายรุนแรงกว่าการมีชีวิตอยู่ เขาจึงเลิกเป็นหมอ และหันมาช่วยเหลือคนอยากตายให้ได้ตายแบบเต็มตัว เขาตั้งชื่อกลุ่มของเขาว่า Exit International จำหน่ายอุปกรณ์ Suicide Kit ทางอินเทอร์เน็ต และยืนยันว่าคนอายุเกิน 70 ปีทุกคนสมควรมีมันติดบ้าน เผื่อวันไหนต้องการจบชีวิตตนเอง “ผมไม่เห็นจะข้องใจ ถ้าใครอยากตายโดยไม่ได้เจ็บป่วยอะไร เขามีเหตุผลของเขา และผมเคารพเหตุผลของเขา”

วาเลนตินา วัย 14 ปี เซลฟี่กับประธานาธิบดีบาชเลตต์ ที่เดินทางมาเยี่ยมหลังจากเห็นคลิปที่เธอร้องขอความตาย

เรามีสิทธิ์ขอตาย... แต่ใครจะช่วยฆ่าเรา?
หากเราอยากจะตาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แล้วเราก็พยายามฆ่าตัวตายให้จงได้ เราคงทำมันสำเร็จได้จริงในวันหนึ่ง แต่ปัญหาในมิติของสังคมและกฎหมายจะเกิดต่อเนื่องอย่างเป็นลูกโซ่ เมื่อคนอยากจบชีวิตตัวเองไม่อยู่ในฐานะที่จะทำเองได้ และต้องไหว้วานให้ใคร ‘ช่วย’ ทำตามประสงค์ และหมอโลกนี้คงเป็นอย่าง Dr. Death ไม่มากนัก ภาระอันน่าลำบากใจนี้แบ่งได้เป็นหลายระดับขั้น ตามประเภทของการุณยฆาต

การุณยฆาตเชิงรับ (Passive Euthanasia) คือการุณยฆาตที่กระทำโดยการยุติการรักษาให้แก่ผู้ป่วย พูดง่ายๆ คือ ‘ปล่อยให้ตาย’ วิธีนี้ได้รับการยอมรับมากที่สุด และเป็นที่ปฏิบัติกันอย่างถูกกฎหมายในสถานพยาบาลหลายแห่ง รวมถึงประเทศไทย (โดยต้องมีจดหมายแสดงเจตจำนงของผู้ป่วยเอง)

การุณยฆาตเชิงสงบ (Non-aggressive Euthanasia) คือการุณยฆาตที่กระทำโดยการหยุดให้ปัจจัยดำรงชีวิตแก่ผู้ป่วย หรือ ‘เร่งให้ตาย’ วิธีนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงอยู่ในปัจจุบัน

การุณยฆาตเชิงรุก  (Active Euthanasia) คือการุณยฆาตที่กระทำโดยการให้สารหรือวัตถุใดๆ อันเร่งให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตาย ซึ่งก็คือการ ‘ทำให้ตาย’ วิธีนี้เป็นที่ยอมรับน้อยที่สุด

          “ผมเคยได้ยินเรื่องของอินเดียนแดง เขาเล่ากันว่าเมื่อก่อนชาวอินเดียนแดงเมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องตาย หรือเมื่อเขาคิดว่าถึงที่ตายของเขา เขาจะขึ้นไปบนภูเขา แล้วทำอย่างไรไม่ทราบได้ แต่เขาจะตายด้วยตัวเองบนนั้น” รศ.นพ.กฤษณ์ จาฏามระ เล่าเรื่องที่ติดอยู่ในใจเขา เป็นนัยให้เราคิดต่อเองได้ว่าหากทุกคนทำได้เช่นอินเดียนแดงคงไม่มีปัญหา แต่เพราะโลกทุกวันนี้ไม่เป็นแบบนั้น ในฐานะอาจารย์หมอแห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เขายืนยันว่านี่เป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่สักแต่จะอ้างเอาสิทธิส่วนบุคคลเป็นหลักใหญ่ไม่ได้

          “การจะบอกว่าชีวิตเรา เรามีสิทธิจะตาย พูดน่ะมันง่าย แต่ความจริงเรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะเมื่อคุณอยู่ในจุดที่ร้องขอจะตาย คุณก็มักจะอยู่ในสภาพที่ทำให้ตัวเองตายไม่ได้ คุณต้องขอให้หมอทำให้ ขอให้ญาติยินยอม และอีกสารพัดเรื่องที่จะมีผลกระทบในระดับใหญ่ ถ้าเมืองไทยคิดจะผ่านกฎหมายนี้ ผมเชื่อว่าหมอหลายคนคงไม่ต้องการทำหน้าที่นี้แน่ เพราะฉะนั้นต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดและรอบคอบอย่างมาก เพราะผลกระทบหลายระดับจริงๆ ไม่อย่างนั้นอย่าแตะดีกว่า”

          โลกของเด็กสาววัย 14 โดยทั่วไปแล้วมักจะสวยสดใส เพราะมันเป็นวัยสำหรับความฝันและความกล้าบ้าบิ่นพอที่จะทำให้มันเป็นจริง แต่เมื่อต้นปี 2015 เด็กวัย 14 ชาวชิลี ชื่อวาเลนตินา มอไรรา ทำคลิปลงยูทูบถึงประธานาธิบดีหญิงมิเชลล์ บาชเลตต์ เพื่อขอตายด้วยวิธีการุณยฆาต เพราะเธอเหนื่อยกับการต่อสู้โรคซิสติกไฟโบรซิส ที่ทำให้เกิดปัญหาปอดติดเชื้อเรื้อรัง และได้คร่าชีวิตพี่ชายเธอไปแล้ว ส่วนครอบครัวของเธอก็ยากจน ประธานาธิบดีบาชเลตต์เดินทางไปเยี่ยมเธอถึงโรงพยาบาล อนุเคราะห์ค่าใช้จ่ายในการรักษา แต่ไม่อาจอนุญาตให้เธอตายได้ เพราะการุณยฆาตผิดกฎหมายของประเทศชิลี เรื่องราวของวาเลนตินาโด่งดังไปทั่วโลก สร้างข้อถกเถียงว่าเราควรรักษาชีวิตเธอไว้ให้นานที่สุด หรือควรเคารพการตัดสินใจของเธอดี 
 
เรามีสิทธิ์ขอตาย แต่... เฮ้ย! เรายังไม่ได้ขอใช้สิทธิ์สักหน่อย
สมมติว่ามันถูกกฎหมาย สมมติว่ามีหมอยอมทำให้ สมมติว่ามีสถานให้บริการหยิบยื่นความตายอยู่ทั่วไป ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่นำไปสู่คำถามไม่สิ้นสุด แต่คำถามสุดท้ายจริงๆ น่าจะจบตรงที่ว่า ‘เขาคนนั้นอยากตายแน่หรือเปล่า?’

          "เรารู้ได้อย่างไรว่าแพทย์ทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำไปด้วยเจตนาดีจริง ไม่ใช่ขี้เกียจทำงาน และเกณฑ์วัดว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ป่วยที่สิ้นหวังแล้วอยู่ตรงไหน รู้ได้อย่างไรว่าคนไข้ไม่มีโอกาสรอดแล้วจริงๆ หมอวินิจฉัยถูกหรือเปล่า พยายามเต็มที่แล้วหรือยัง มีทางรักษาอื่นอีกหรือไม่ แพทยสภาต้องให้คำจำกัดความของคำว่า ‘สิ้นหวัง’ ให้ชัดๆ สิ้นหวังเพราะแพทย์หมดทางรักษาจริง หรือสิ้นหวังเพราะแพทย์ทำงานไม่เต็มที่ หรือเป็นเพราะญาติไม่เหลียวแล” แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ออกโรงคัดค้านอย่างเปิดเผย โดยให้เหตุผลหลักว่ากระบวนการสิ้นสุดของชีวิตเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง และหากเข้าไปแทรกแซง อาจเกิดความยุ่งยากในประเด็นเรื่องความบริสุทธิ์ใจตามมา

          “การทำการุณยฆาตมีช่องโหว่อยู่มากและมีโอกาสถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น ทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุตายแล้วเอาอวัยวะไปขาย หรือญาติให้ฆ่าเพื่อเอามรดก เป็นต้น สังคมจึงต้องเข้ามาตรวจสอบในเรื่องนี้ ไม่ควรปล่อยให้เป็นเรื่องระหว่างแพทย์กับคนไข้เท่านั้น เพราะมันอาจจะเอื้อให้แพทย์ทำสิ่งผิดได้ เหมือนกับการวิสามัญฆาตกรรม ตำรวจเป็นผู้ที่ถืออาวุธมีสิทธิทำให้คนตายในขณะถูกจับกุมโดยที่ไม่มีใครเอาผิดได้ ในทำนองเดียวกันแพทย์ก็เป็นผู้ที่ถือเข็มฉีดยาจะทำให้ผู้ป่วยตายเมื่อไหร่ก็ได้ Active Euthanasia เท่ากับเป็นการวิสามัญฆาตกรรม หรือการฆ่าในอีกรูปแบบหนึ่ง”

          แม้ทุกวันนี้ประเทศไทยจะอนุญาตให้ทำการุณยฆาตเชิงรับได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นการุณยฆาตประเภทที่หมอพรทิพย์เห็นว่าพอจะรับได้มากที่สุด “แต่ถึงจะเป็นแบบ Passive หมอบางคนก็ยังรู้สึกว่าการหยุดการรักษานั้นเป็นบาปอยู่ดี เหมือนกับให้หมอทำแท้ง คือเราไปปลิดชีวิตหนึ่งทิ้ง ฟังดูเจตนาเป็นความกรุณา แต่แท้ที่จริงแล้ว หมอไม่แน่ใจว่ามันเป็นความกรุณาจริงหรือเปล่า"
 
เรามีสิทธิ์ขอตาย แต่เราใช้สิทธิ์นั้นเพียง 1 เปอร์เซ็นต์
ตามมาตรา 12 ของ พรบ.สุขภาพแห่งชาติ ปี 2550 ระบุไว้ว่า “บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง”

          กล่าวคือเราคนไทยมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตจำนงไม่ต้องการรับการรักษาที่เป็นไปเพื่อยื้อชีวิต ซึ่งเข้าข่ายการอนุญาตให้ทำการุณยฆาตเชิงรับ ทว่ามีคนใช้สิทธิเพียงไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนมากเป็นเพราะไม่รู้ถึงสิทธินี้ จนในที่สุดได้มีกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์รวมตัวกันยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้พิจารณามาตราดังกล่าว โดยระบุว่ามีเนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญและขัดต่อจริยธรรมของแพทย์ที่ต้องช่วยผู้ป่วยอย่างสุดความสามารถ จนเมื่อมิถุนายนปีที่แล้ว ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยยืนยันความชอบธรรมของมาตรา 12 นี้ว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ทำให้ ‘สิทธิที่จะตาย’ ถูกปัดฝุ่นขึ้นมาใช้กันอีกครั้ง
ในการสัมมนาเรื่อง “การให้สิทธิการตายกับผู้ป่วย" ศ.เกียรติคุณ นพ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ ที่ปรึกษาศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ บอกว่า “หลักการของหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาของผู้ป่วยระยะสุดท้ายเป็นการแสดงเจตนาไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ปฏิบัติได้ถูกต้องมีหลักการ วิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ที่มีเครื่องมือช่วยยืดชีวิตผู้ป่วย บางครั้งทำให้ผู้ป่วยตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า ‘ฟื้นก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ลง’ กล่าวคือผู้ป่วยจะต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจเพื่อจะได้รับออกซิเจนอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ผู้ป่วยอาจจะไม่มีความรู้สึกตัว หรือมีเพียงเล็กน้อยจนไม่มีโอกาสกลับมาเป็นปกติได้ การช่วยชีวิตแบบดังกล่าวทำให้ความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วยลดลง ผู้ป่วยจึงควรมีสิทธิที่จะตายโดยปฏิเสธการรักษาดังกล่าวได้ เพื่อให้กระบวนการตายมีสภาพเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง”
 
หลังจากรัฐแคลิฟอร์เนียผ่านกฎหมายการุณยฆาต ศิลปินสาวเบตซี เดวิส (คนขวา) ผู้ป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ก็จัดปาร์ตี้อำลาโลกกับเพื่อนสนิท 30 คน เธอเรียกงานครั้งนี้ว่าเป็น Rebirth Party

ความตายในฐานะมิตรของชีวิต vs. ความตายในฐานะศัตรูของชีวิต
หนึ่งในพระนักปฏิวัติคนสำคัญของไทยอย่างท่านพุทธทาสภิกขุได้ปรารภไว้กับศิษย์ตั้งแต่ช่วงที่ท่านอาพาธว่า หากท่านใกล้จะมรณภาพ ท่านไม่ปรารถนาจะใช้เทคโนโลยีเครื่องพยุงชีวิตใดๆ ไม่ต้องการแม้แต่จะไปโรงพยาบาล ซึ่งหากมองตามหลักการุณยฆาตก็นับได้ว่าเป็นการุณยฆาตเชิงรับ แต่สุดท้ายคณะศิษย์ก็ขัดคำสั่งเสีย โดยพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช หลังจากท่านได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชได้ประมาณ 42 วันท่ามกลางเทคโนโลยีนานาชนิด ปรากฏว่าอาการทรุดลงเป็นลำดับ เกิดภาวะแทรกซ้อนลุกลามจนเกินกว่าที่จะควบคุมได้ จนคณะแพทย์จึงตัดสินใจยุติการรักษา และมีการนำท่านกลับสวนโมกข์เพื่อให้ท่านกลับไปมรณภาพที่นั่นตามปณิธานดั้งเดิมของท่าน เพียงชั่วโมงครึ่งหลังจากถึงสวนโมกข์ ท่านอาจารย์พุทธทาสก็ถึงแก่มรณภาพอย่างสงบ
   
          พระไพศาล วิสาโล วิเคราะห์ว่าปัญหาของเรื่องนี้อยู่ที่สังคมไม่เข้าใจทัศนะเรื่องความตายของท่านพุทธทาส ซึ่งท่านมองว่าความตายเป็นของธรรมดา หนึ่งในเครื่องเกื้อกูลให้หลุดพ้นจากทุกข์ เป็นมิตรของชีวิต แต่ความตายในความเข้าใจของสังคมทั่วไปคือศัตรูของชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องหลีกหนีให้ห่างไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงกดดันสานุศิษย์ให้ขัดคำสั่งอาจารย์ ยัดเยียดแนวทางรับมือกับความตายตามความเข้าใจของตัวเอง “วัฒนธรรมที่มองว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวและอยู่ตรงข้ามกับชีวิต ทำให้ผู้คนพยายามหลีกหนีความตายให้ไกลที่สุด การพูดถึงความตายจึงถูกมองว่าเป็นอัปมงคล แม้แต่คำว่า ‘ตาย’ ก็พูดไม่ได้

          “ในวัฒนธรรมเช่นนี้ผู้คนจึงอยู่อย่างลืมตาย พยายามเสพแสวงความสุขอย่างเต็มที่ ละเลยที่จะทำความดี หรือฝึกฝนจิตใจเพื่อพร้อมรับความตาย คลาดโอกาสที่จะเข้าถึงความสุขและความดีงามอันลึกซึ้ง จนแปลกแยกกับตัวเอง... วัฒนธรรมเช่นนี้ไม่เอื้อต่อการพัฒนาตนให้เข้าถึงประโยชน์สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้จากชีวิตนี้” พระไพศาลกล่าว
   
          นั่นคือมุมมองของการยอมรับความตายตามหลักพุทธศาสนา ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นเฉพาะกรณีที่ความตายคืบคลานมาถึงแล้วเท่านั้น หากยมทูตยังไม่มายืนรออยู่ที่ปลายเตียง แต่บุคคลไม่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยโรคภัยหรือเหตุผลส่วนตัวใดๆ ก็ตาม ศาสนาพุทธก็จะให้มุมมองที่แตกต่างออกไป
 
มาเรเค แวร์วูรต์ นักกีฬาพาราลิมปิกส์ ชาวเบลเยียม ผู้พิการด้วยอาการประสาทกล้ามเนื้อล้มเหลว หลังจากคว้าเหรียญเงินวีลแชร์เรซซิ่งจากรีโอเกมส์ เธอออกมาปฏิเสธข่าวลือว่าจะทำการุณยฆาต ซึ่งเธอเซ็นเอกสารยินยอมไว้ตั้งแต่ปี 2008 "เมื่อฉันมีวันร้ายมากกว่าวันดี

เรากลั้นลมหายใจได้ แต่จะกลั้นจนตัวเองตายไม่ได้
ดังนั้น เราแน่ใจแล้วหรือว่าชีวิตนั้นเป็นของเรา ในทางพุทธศาสนามองว่าแท้จริงชีวิตเราหาใช่เป็นของเรา และมันก็ไม่ได้เป็นของใคร มันมีอยู่ของมันตามเหตุและปัจจัย เราอาจไม่รู้เหตุที่เราเกิดมา ไม่รู้เหตุที่เราพิการ ไม่รู้เหตุที่เราต้องเสียแม่ไป แต่ใช่ว่าเหตุนั้นจะไม่มี ในวงจรของวัฏสงสาร เพราะมีเหตุจึงมีผล และเหตุผลเหล่านี้โยงใยกันมาเนิ่นนานก่อนเราจะเกิด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมมนุษย์ที่ทำอะไรได้มากมายถึงเลือกเกิดไม่ได้ เลือกตายไม่ได้ พุทธธรรมได้ชี้แนะตัวอย่างมากมายที่แสดงว่าเราไม่ได้เป็นเจ้าของแม้แต่ร่างกายของเราเอง เพราะหากเราเป็นเจ้าของ เราย่อมต้องควบคุมมันได้อย่างใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ขาที่หักต้องหายได้เมื่อเราต้องการ มะเร็งต้องหมดไป ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นชัดคือลมหายใจ

          การหายใจเป็นหนึ่งในกลไกที่ธรรมชาติมอบไว้ให้เราประคองชีวิต เรากลั้นลมหายใจได้แต่ไม่อาจกลั้นจนตัวเองขาดใจตายได้ ความจริงข้อนี้สะท้อนให้เห็นว่า ธรรมชาติต่างหากคือผู้กำหนดวาระแห่งการเกิดและการตาย แม้ธรรมชาติจะมอบเครื่องมือในการมีชีวิตแก่เรา แต่ก็ไม่ได้ให้สิทธิเราใช้เครื่องมือนั้นจบชีวิตตัวเอง หากเราต้องการให้ตัวเองตาย เราต้องหาปืนมาลั่นไก เราต้องใช้มีดแทงตัวเอง เราต้องลงมือทำบางอย่างที่นอกเหนือจากกลไกทางธรรมชาติ ซึ่งก็คงแปลได้ว่าการฆ่าตัวตายเป็นการกระทำหนึ่งซึ่งฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติเอามากๆ

          พระไพศาล วิสาโล มองการุณยฆาตในมิติของพุทธศาสนาไว้ว่า “การทำการุณยฆาตส่วนใหญ่มักให้เหตุผลว่า การมีชีวิตอยู่ต่อไปของผู้ป่วยไม่มีประโยชน์แล้ว เป็นการอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี เพราะนอกจากเจ็บปวดทุกข์ทรมานแล้ว ยังไม่สามารถพึ่งตนเองได้ มองในแง่ของมนุษยธรรม การช่วยให้ผู้ป่วยจบชีวิตโดยเร็วย่อมเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้เขาพ้นจากความทุกข์ความเจ็บปวด แต่พุทธศาสนามองว่าชีวิตนั้นมีคุณค่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ แม้เจ็บป่วยเพียงใดก็ยังสามารถทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นได้ อย่างน้อยต่อจิตใจของตน... อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้จากความเจ็บป่วย หรือใช้ความเจ็บป่วยเป็นเครื่องมือสอนธรรม ว่าชีวิตนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจของเรา

          หลายคนที่เห็นความจริงดังกล่าว สามารถทำใจปล่อยวางจากความเจ็บปวดได้ นี่คือศักยภาพหรือความสามารถที่มนุษย์ทุกคนสามารถทำได้  ดังนั้นแทนที่จะช่วยให้ผู้ป่วยจบชีวิตโดยเร็ว เราน่าจะช่วยให้เขาสามารถอยู่กับความเจ็บป่วยและทุกขเวทนาได้โดยไม่ทุกข์ใจ เช่น ช่วยให้เขาวางใจได้อย่างถูกต้อง รู้จักการทำสมาธิภาวนา และอยู่กับมันได้โดยไม่ผลักไส เพราะยิ่งผลักไสก็ยิ่งทุกข์” (อ่านบทสัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล เพิ่มเติมได้ที่ www.visalo.org/columnInterview/5409Image.htm

          หลังจากเรื่องราวของเด็กหญิงวาเลนตินาร้องขอความตายโด่งดังไปทั่ว ครอบครัวหนึ่งจากอาร์เจนตินาได้ตัดสินใจเดินทางไปเยี่ยมเธอ เพื่อจะ ‘ส่งต่อความหวัง’ เพราะมาริเบล โอเวโด ลูกสาวของครอบครัวเคยป่วยเป็นโรคเดียวกัน แต่มาริเบลได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนปอดใหม่ เธอสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นปกติจนถึงปัจจุบันซึ่งอายุ 22 ปีแล้ว เธอบอกวาเลนตินาว่าอย่าท้อ จากนั้นวาเลนตินาก็เปลี่ยนใจไม่ต้องการจะตาย เธอกลับมีความหวัง เธอใช้ชีวิตต่อด้วยพลังใจที่เข้มแข็งก่อนจะลาจากโลกไปในช่วงกลางปี 2015 นั่นเอง โดยไม่มีใครต้องทำการุณยฆาต

          การอยู่ต่อได้อีกแค่ไม่กี่เดือน มองแง่หนึ่งอาจรู้สึกว่าไม่เห็นต่างกันเท่าไรเลยถ้าจะทำการุณยฆาตเสียตั้งแต่ตอนที่เธอร้องขอ แต่มองอีกแง่หนึ่ง การอยู่อย่างมีความหวังและการอยู่อย่างไร้ความหวังนั้น แม้เพียงแค่วันเดียวก็แตกต่างกันอย่างมหาศาลราวฟ้ากับเหว อย่างน้อยก็สำหรับตัวผู้อยู่เอง

          หากเราตั้งใจมองหา เราย่อมพบเหตุผลที่จะสนับสนุนทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งเหตุผลที่จะตายและเหตุผลที่จะอยู่ ทั้งสองเหตุผลมีน้ำหนักที่ไม่ ต่างกัน เหมือนสองด้านของเหรียญเดียวกัน พลิกด้านหนึ่ง อยู่ก็เหมือนตาย พลิกอีกด้านหนึ่ง ตายไปก็เหมือนยังอยู่ และการพลิกครั้งสำคัญนี้เป็นสิ่งที่เราทำเพื่อลิขิตชีวิตเราเอง

โดย GQ Thailand
http://www.gqthailand.com/life/article/the-right-to-die

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
การุณยฆาต สิทธิเลือกตาย วาระสุดท้ายของชีวิต
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2018, 09:36:52 »
เป็นเรื่องราวที่น่าสลดหดหู่อย่างยิ่ง หากใครได้ติดตามข่าว กรณีที่พ่อแม่ชาวจีนได้ร้องขอให้แพทย์ทำ การุณยฆาต ลูกน้อยวัยเพียง 1 ขวบ เนื่องเพราะทนเห็นลูกน้อยสุดที่รัก ทุกข์ทรมานต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

หลังจากลูกน้อยประสบอุบัติเหตุเข้าไปติดอยู่ในสายพานที่บริษัทซึ่งพ่อเขาทำงานอยู่ ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส กระทั่งสมองพิการ แม้จะมีการรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอยู่หลายเดือน แต่อาการของหนูน้อยกลับไม่ดีขึ้น พวกเขาไม่ต้องการให้ลูกน้อยต้องมาทนทรมานอีกต่อไป

แม้การพรากชีวิตลูกน้อยไปจากอ้อมอกดูจะเป็นเรื่องที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทำใจยากลำบากเหลือเกิน แต่การที่ต้องเห็นลูกนอนทุกข์ทรมานอยู่บนเตียงคนไข้ ยิ่งสร้างความเจ็บปวดมิใช่น้อยกับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ การร้องขอให้แพทย์ทำ การุณยฆาต จึงได้เกิดขึ้นดังที่เป็นข่าวในเบื้องต้นนี้

หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า การุณยฆาต คืออะไร !?  และกรณีใดบ้างที่สามารถร้องขอได้


MThai News จึงได้ไปสอบถามนักวิชาการเพื่อไขข้อสงสัยดังกล่าว ซึ่งก็ได้ความว่า “การุณยฆาต”  คือ การลงมือกระทำให้ผู้ป่วยตายโดยเจตนา ซึ่งผู้ป่วยจะต้องเป็นบุคคลที่ทุกข์ทรมานหมดหนทางที่จะรักษา หรือสมองไม่ทำงานเขาเหล่านั้นจะได้จากไปอย่างสงบ แต่ต้องเป็นการได้รับการช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น

การุณยฆาต ยังได้มีด้วยกัน 3 รูปแบบ กล่าวคือ 

– การุณยฆาตเชิงรับเป็น วิธีที่ยอมรับกันทั่วไป คือ การตัดการรักษา ในกรณีที่ผู้ป่วยแสดงเจตจำนงเอาไว้ก่อนว่าหากอยู่ในสภาวะหมดทางรักษาแล้ว ให้บุคลากรทางการแพทย์หยุดการรักษา โดยไม่พึ่งเครื่องมือช่วยยื้อชีวิต จนกว่าจะจากไปเอง

–การุณยฆาตเชิงสงบ คือการุณยฆาตที่กระทำโดยการหยุดให้ปัจจัยดำรงชีวิตแก่ผู้ป่วย ซึ่งวิธีนี้เป็นที่ถกเถียงอยู่ในปัจจุบัน

–การุณยฆาตเชิงรุก ซึ่งวิธีนี้กฏหมายไทยและประเทศส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ เพราะบุคลากรทางการแพทย์จะเป็นผู้เร่งให้ผู้ป่วยในสภาวะหมดทางรักษาได้จากไปอย่างสงบเร็วขึ้น

แม้อีกหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยระบุว่า การุณยฆาตเชิงรุก เป็นความผิดในกฎหมาย แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่สามารถทำได้โดยไม่ถือเป็นเรื่องที่ผิด หากทำตามข้อกำหนดของกฏหมาย หนึ่งในนั้นคือประเทศสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเคยประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะให้บริการการุณยฆาตต่อผู้สูงอายุซึ่งป่วยและไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

ย้อนไปเมื่อต้นปี2557 คุณยายแอน หญิงชราชาวอังกฤษ วัย 89 ปี ตกลงใจขอรับการการุณยฆาตที่คลินิกสำหรับคนอยากฆ่าตัวตายในสวิตเซอร์แลนด์ หลังไม่มีความสุขในชีวิตเพราะปรับตัวเข้ากับสังคมยุคใหม่ไม่ได้

คุณยายเลือกที่จะจบชีวิตลงด้วยการพึ่ง ดิกนิตาส์ คลินิก (Dignitas clinic) ซึ่งเป็นสมาคมที่ตั้งขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ ทำหน้าที่ช่วยเหลือให้การุณยฆาตแก่ผู้ป่วยหนัก ผู้พิการร่างกาย หรือผู้ป่วยทางจิต รวมทั้งผู้ที่วอนขอการการุณยฆาตที่ได้รับหนังสือรับรองจากแพทย์ และความยินยอมจากครอบครัวแล้ว

อย่างไรก็ตามแม้คุณยายท่านดังกล่าวจะสมัครใจทำการุณยฆาต แต่ประเทศอังกฤษมีกฎหมายว่าด้วยการกระทำการุณยฆาตกำหนดไว้ว่า แพทย์สามารถพิจารณาให้ยาเพื่อจบชีวิตแก่คนไข้ป่วยหนัก ที่เหลือเวลาใช้ชีวิตน้อยว่า 6 เดือนได้ แต่สำหรับกรณีของคุณยายแอนนั้นไม่อยู่ในเกณฑ์นี้ จึงอาจเป็นไปได้ว่าหลานสาวคุณยายอาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายฐานสมคบคิดฆาตกรรม เพราะเธอคือคนพาคุณยายไปส่งที่คลินิกดังกล่าว

แม้การทำการุณยฆาตคือการทำให้ผู้ป่วยหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน แต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปละเมิดชีวิตของคนอื่นได้ เพราะสิทธิ์ในชีวิตนั้นเป็นสิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ ทางออกที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือ การให้สิทธิผู้ป่วยวาระสุดท้าย อยู่ในสภาพที่พร้อมเสียชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี สงบ และมีสติ โดยมีคนรักรอบข้างที่ยอมรับการจากไปอย่างมีสติและเห็นความตายเป็นธรรมชาติ 

 3 ก.พ. 2015
https://news.mthai.com/webmaster-talk/417280.html