ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 22-28 พ.ย.2558  (อ่าน 722 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9785
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 22-28 พ.ย.2558
« เมื่อ: 11 มกราคม 2016, 10:42:56 »
 1.กรธ.เผยไทม์ไลน์ 9 ขั้น ร่าง รธน.เสร็จตามกำหนด 180 วัน พร้อมส่งมอบให้รัฐบาล 30 มี.ค.59 ก่อนทำประชามติ!

        เมื่อวันที่ 24 พ.ย. นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แถลงผลการประชุม กรธ.ว่า ที่ประชุมได้วางกรอบการทำงานหลังจากนี้ โดยแบ่งออกเป็น 9 ขั้น ประกอบด้วย 1. ภายในวันที่ 8 ม.ค. 59 กรธ. จะพิจารณาความคิดเห็นของประชาชน และข้อเสนอแนะจากทุกฝ่าย เพื่อนำมาร่างแต่ละหมวดให้แล้วเสร็จ 2. ระหว่างวันที่ 11 - 17 ม.ค. 59 เดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อพิจารณาร่างทั้งฉบับให้แล้วเสร็จ โดยยืนยันว่า การออกนอกสถานที่ไปทำงาน ไม่ใช่เพื่อป้องกันการล็อบบี้ แต่ต้องการให้ กรธ. มีสมาธิทำงานได้อย่างเต็มที่ 3. ระหว่างวันที่ 18 - 26 ม.ค. 59 จะทบทวนร่างและถ้อยคำ บทเฉพาะกาล ตลอดจนสรุปสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ สำหรับพิมพ์เผยแพร่ 4. วันที่ 29 ม.ค. 59 ส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกให้หน่วยงานนำไปเผยแพร่ต่อประชาชน เพื่อรับฟังความคิดเห็น
       
        5. ภายในวันที่ 15 ก.พ. 59 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และบุคคลทั่วไป จะต้องส่งความคิดเห็นข้อเสนอแนะต่อ กรธ. 6. ระหว่างวันที่ 16 ก.พ. - 20 มี.ค. 59 ปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอแนะ 7. ระหว่างวันที่ 21 - 28 มี.ค. 59 ตรวจสอบความสอดคล้องของถ้อยคำ 8. วันที่ 29 มี.ค. 59 ร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ และ 9. วันที่ 30 มี.ค. 59 จะทำพิธีส่งมอบร่างรัฐธรรมนูญให้รัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่กำหนดให้ กรธ.ต้องยกร่างฯ ภายใน 180 วัน
       
        ส่วนขั้นตอนหลังจากนั้น นายชาติชาย กล่าวว่า ทางรัฐบาลจะนำร่างรัฐธรรมนูญส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดออกเสียงประชามติในเดือน ก.ค.59 ว่า จะเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ ส่วนกรธ. และเครือข่ายเองก็จะทำหน้าที่ชี้แจงเนื้อหาสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญต่อประชาชน ตลอดระยะเวลากว่า 3 - 4 เดือน ก่อนทำประชามติ เพื่อชี้ให้เห็นข้อดีว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะช่วยเราก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาพัฒนาประเทศเหมือนที่ผ่านมาอีก
       
       2.ผบ.ตร. แถลงจับ 2 ผู้ต้องหาเครือข่าย “ขอนแก่นโมเดล” เตรียมป่วนเมือง-ทำร้ายบุคคลสำคัญ ยังหนีอีก 7 ด้านแกนนำ นปช.รีบปัดไม่เกี่ยว!

        เมื่อวันที่ 26 พ.ย. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พร้อมด้วยตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับมอบตัว 2 ผู้ต้องหาคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่เตรียมก่อเหตุวุ่นวายใน กทม.และประทุษร้ายบุคคลสำคัญ จาก พล.ต.วิจารณ์ จดแตง นายทหารพระธรรมนูญ หัวหน้างานฝ่ายกฎหมายในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดย 2 ผู้ต้องหาดังกล่าว ประกอบด้วย จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ อดีตตำรวจตระเวนชายแดน และนายณัฐพล ณวรรณ์เล ซึ่งเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวได้ที่ จ.ขอนแก่น โดยการส่งมอบตัวครั้งนี้ เพื่อให้ตำรวจดำเนินคดีตามกระบวนการต่อไป
       
        หลังรับมอบตัว 2 ผู้ต้องหา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้นำทีมแถลงข่าว โดยแสดงแผนผังเครือข่ายของผู้ต้องหา พร้อมอธิบายว่า จ.ส.ต.ประธินและนายณัฐพล อยู่ในกลุ่มที่ร่วมกันหมิ่นสถาบันฯ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม “ขอนแก่นโมเดล” ที่ถูกจับกุมดำเนินคดีเมื่อปี 2557 โดยเฉพาะ จ.ส.ต.ประธิน เคยถูกจับกุมเมื่อวันที่ 23 พ.ค.2557 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อมาขยายผลจับกุมเครือข่ายนี้ได้อีก 26 คน สืบสวนตรวจค้นพบว่า กลุ่มนี้มีแนวคิดก่อการร้าย ซ่องสุมกำลังพล อาวุธ พร้อมจะยึดค่ายทหาร ตำรวจ และหน่วยราชการ โดยพบว่ามีการครอบครองอาวุธปืน อาวุธสงคราม กระสุนปืน วัตถุระเบิด และมีการส่งข้อความทั้งในเฟซบุ๊ก แอพพลิเคชั่นไลน์ และยูทูบ ในกลุ่มเครือข่ายหมิ่นสถาบันฯ ก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องข้อหาสมคบกันเพื่อก่อการร้าย และส่งพนักงานอัยการศาลทหารเมื่อวันที่ 7 ส.ค.2557 และอัยการสั่งฟ้องวันที่ 22 ส.ค.2557 ซึ่งคดีอยู่ในชั้นศาล ขณะที่ผู้ต้องหาได้ประกันตัวออกไป
       
        กระทั่งล่าสุด ตำรวจได้ข้อมูลจาก คสช.ว่า จ.ส.ต.ประธิน ยังมีพฤติกรรมเคลื่อนไหวเหมือนเดิม โดยครั้งนี้ ร่วมกับพวกอย่างน้อย 8 คน รวมแล้ว 9 คน กระทำความผิดซ้ำ ฐานหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยมีพฤติการณ์ ส่งข้อความหมิ่นสถาบันเบื้องสูงผ่านโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ยังพบว่า บุคคลกลุ่มนี้มีแนวคิดเตรียมก่อเหตุรุนแรง โดยมีการปรึกษากันในการตระเตรียมอาวุธที่จะนำมาก่อเหตุในช่วงเทศกาลและกิจกรรมสำคัญๆ หลายพื้นที่ โดยมีผู้สั่งการเชื่อมโยงเครือข่ายในต่างประเทศ คสช.จึงได้ส่งตัวแทนเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคลกลุ่มนี้ต่อตำรวจกองปราบฯ
       
        ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวน ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหารสืบสวนสอบสวนรวบรวมหลักฐานจนแน่ชัดและเชื่อว่า มีผู้กระทำผิด 9 คน ซึ่งทั้งหมดถูกออกหมายจับโดยศาลทหารกรุงเทพแล้ว ข้อหาร่วมกันหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย 1.จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ 2.นายณัฐพล ณวรรณ์เล 3.นายพิษณุ พรหมสร 4.นายวัลลภ บุญจันทร์ 5.นายฉัตรชัย ศรีวงษา 6.นายมีชัย ม่วงมนตรี 7.นายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม 8.นายวีรชัย ชาบุญมี และ 9.นายพาหิรัณ กองคำ โดยร่วมกันก่อเหตุตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย.ถึงวันที่ 23 พ.ย.
       
       มีรายงานว่า ก่อนที่ผู้ต้องหาบางส่วนจะถูกจับกุม กลุ่มผู้ต้องหาได้มีการโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียทำนองว่า ให้ติดตามวันซ้อมกิจกรรมปั่นเพื่อพ่อ จะมีการลอบทำร้ายบุคคลสำคัญของประเทศ
       
       พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการกองแผนงานอาชญากรรม แถลงว่า จ.ส.ต.ประธินมีแนวคิดเรื่องการสร้างโมเดลขึ้นมา เรียกว่า ขอนแก่นโมเดล มีการสะสมบุคคลและอาวุธ มีการวางแผน เมื่อเกิดการรัฐประหารหรือสิ่งที่เขาเชื่อว่าไม่ถูกต้อง จะใช้กำลังคนและอาวุธเข้ายึดค่ายทหาร ค่ายตำรวจ ขณะที่นายณัฐพลจัดหาอาวุธเพื่อนำไปใช้ก่อเหตุ และก่อนถูกจับกุมครั้งนี้ นายณัฐพลได้เตรียมอาวุธไว้เพื่อส่งมอบให้ จ.ส.ต.ประธิน ไปใช้ก่อเหตุ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ปิดล้อมตรวจค้นบ้านนายวีรชัย 1 ใน 9 ผู้ต้องหากลุ่มนี้ พบอาวุธของกลางจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันระหว่างนายณัฐพลและนายวีรชัย โดยจัดหาอาวุธร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีข้อมูลชัดเจนว่า นอกจาก จ.ส.ต.ประธิน แล้ว ยังมีนายมีชัย นายธนกฤต และนายพาหิรัณ รวม 4 คน ที่เป็นผู้ต้องหาอยู่ในกลุ่มขอนแก่นโมเดล เมื่อปี 2557
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังพบว่าผู้ต้องหาเตรียมป่วนเมืองกลุ่มนี้เกี่ยวโยงกับขอนแก่นโมเดล ซึ่งเป็นแนวร่วม นปช.คนเสื้อแดง ปรากฏว่า แกนนำ นปช.เช่น นายวรชัย เหมะ รีบออกมายืนยันว่า นปช.ไม่มีแนวคิดทางทหาร พร้อมถามว่า ใครจะกล้าทำร้ายนายกฯ มีทหารทั้งกองทัพ พร้อมเหน็บรัฐบาลว่า อย่าเอาเรื่องนี้มาเบี่ยงเบนประเด็นการสอบทุจริตอุทยานราชภักดิ์จะดีกว่า
       
        ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยืนยันว่า ขบวนการก่อเหตุรุนแรงนี้มีจริง ไม่ได้อ้างขึ้นมา มีการควบคุมตัวจริง และมีอาวุธยุทโธปกรณ์จริง ไม่ใช่การจัดฉาก
       
        ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวว่า คดีนี้กำลังสอบสวนอยู่ เพราะยึดโยงกับขอนแก่นโมเดล มีมูลหรือไม่มีมูล ให้ศาลตัดสิน พร้อมพูดถึงพฤติกรรมของผู้ต้องหากลุ่มนี้ว่า “การออกมาข่มขู่มันผิดหรือไม่ ไม่ต้องมาข่มขู่ผม จะขู่ผมก็ขู่ไป เขาพวกไหนเล่า สีอะไร เขาประกาศตัวว่าเป็นอะไร นปช.ไม่ใช่หรือ แล้วบอกว่าไม่รับผิดชอบ มาบอกว่ารัฐบาลสร้างภาพเพื่อกลบเกลื่อนอุทยานราชภักดิ์ ผมก็พูดตรงๆ ของผมแบบนี้...”
       
        ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ หลัง พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก แถลงผลสอบยืนยันว่า โปร่งใส ไม่มีการทุจริต แต่บางฝ่ายยังคาใจ ปรากฏว่า ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้ง โดยมี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน พร้อมเผยว่า จะตรวจสอบในแง่ตัวบุคคล และไม่ใช่ตรวจสอบเพื่อลงโทษ เพราะมีหน่วยงานภายนอกตรวจสอบอยู่แล้ว หากพบว่าไม่ถูกต้อง จะส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อไป
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ย. นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.) เผยว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ได้ตรวจสอบพบว่า เงินที่ใช้ในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ส่วนหนึ่งมาจากงบกลางจำนวน 63.57 ล้านบาท โดยผู้สั่งจ่าย คือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก โดยสั่งจ่ายให้กรมยุทธโยธาทหารบก เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง โดยข้อมูลการใช้งบกลางในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์นี้ ถือว่าขัดแย้งกับที่ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ธีรชัย เคยยืนยันว่า เงินที่ใช้ในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์มาจากเงินบริจาค ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด
       
       3.ตำรวจ ออกหมายจับเพิ่มคดีแอบอ้างสถาบันฯ ทั้งอดีต ตร.กองปราบฯ-อดีตบิ๊กทหาร ด้าน ผบ.ตร.สั่งเด้งผู้การสันติบาล-ผู้การกองปราบฯ!

        เมื่อวันที่ 26 พ.ย. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้นำทีมแถลงความคืบหน้าคดีแอบอ้างสถาบันฯ เรียกรับผลประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง (เสียชีวิตแล้ว) และ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด (เสียชีวิตแล้ว) กับพวกเป็นผู้ต้องหาว่า จากการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เป็นที่แน่ชัดและเชื่อได้ว่า มีผู้ร่วมกระทำผิดเพิ่มเติมและขอศาลอนุมัติหมายจับเพิ่ม ประกอบด้วย นายศุกร์โข ตามเสรี คนสนิท พ.ต.ต.ปรากรม ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ไว้ในครอบครอง, พ.ต.ท.จีรวัฏฐ์ บุญวัฒนาภรณ์ อดีตสารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 2 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สนับสนุนให้ผู้อื่นมีอาวุธและเครื่องกระสุนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้, พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา อดีตรอง ผกก.2 กองบังคับการปราบปราม ข้อหาร่วมกันหมิ่นสถาบันฯ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหน้าที่ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้ แอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเรียกรับจากภาคเอกชน, นายจิรวงศ์ วัฒนาเทวาศิลป์ หรืออาท เลขาฯ นายสุริยัน กับพวกแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวเป็นเงิน 4.7 ล้านบาท, พ.ต.อ.ไพโรจน์ โรจนขจร อดีต ผกก.2 กองบังคับการปราบปราม ข้อหาร่วมกันหมิ่นสถาบันฯ โดยร่วมกับพวกแอบอ้างเบื้องสูงขอรับการสนับสนุนหมายเลขโทรศัพท์เลขสวยจาก กสทช., พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ข้อหาร่วมกันหมิ่นสถาบันฯ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ ทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหน้าที่ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้ ฯลฯ ทั้งนี้ พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ และ พ.ต.อ.ไพโรจน์ เป็นอดีตตำรวจกองปราบฯ ที่ถูกสั่งย้ายก่อนหน้านี้ และมีข่าวว่าได้ลาออกจากราชการไปแล้ว
       
        พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ได้ออกหมายจับผู้กระทำผิดเพิ่มไปแล้ว 7 หมาย หากมีตำรวจเกี่ยวข้องคงจะโยกย้ายด้วย โดยยังไม่มีผู้ต้องหาติดต่อขอเข้ามอบตัว มีเพียงนายจิรวงศ์เพียงคนเดียวที่ถูกควบคุมตัวอยู่
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ย. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้สั่งย้าย พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล(ผบช.ส.) ไปช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร.) โดยไม่ได้ระบุเหตุผล ท่ามกลางกระแสสงสัยว่า พล.ต.ท.รอย เกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นสถาบันฯ หรือไม่ ซึ่งภายหลัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้ออกมาชี้แจงเหตุผลที่ย้าย พล.ต.ท.รอย ว่า เนื่องจากมีภารกิจเฉพาะเกี่ยวกับงานด้านความมั่นคงที่จะให้ พล.ต.ท.รอย รับผิดชอบ เกรงว่าหากให้อยู่ในตำแหน่งเดิม จะทำให้การปฏิบัติภารกิจขาดช่วง
       
        ขณะเดียวกันมีกระแสข่าวว่า พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) อาจจะถูกย้ายไปช่วยราชการที่ ศปก.ตร.ด้วยเช่นกัน แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้ออกมาปฏิเสธว่า ยังไม่มีการปรับย้าย ไม่ทราบว่าผู้สื่อข่าวไปเอาข่าวมาจากไหน อย่างไรก็ตาม ล่าสุด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้สั่งย้าย พล.ต.ต.อัคราเดช ให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. พร้อมสั่งให้ พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง รักษาราชการแทนผู้บังคับการปราบปราม ทั้งนี้ คำสั่งย้ายดังกล่าว ระบุเหตุผลแค่ว่า เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
       
       ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ศาลทหารออกหมายจับ พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกว่า พล.ต.สุชาติ ได้ลาออกจากกระทรวงกลาโหมแล้ว จากนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะดำเนินการ
       
        สำหรับการตรวจสอบข้อมูลทางการเงินของผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯ และแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง กลุ่ม พ.ต.ต.ปรากรม นายสุริยัน นายจิรวงศ์ และนายคชาชาต บุญดี หรือ เสธ.โจ้ ซึ่งถูกถอดยศ พ.อ.และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์แล้วนั้น เมื่อวันที่ 26 พ.ย. พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เผยว่า ปปง.ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดไว้ชั่วคราว 11 รายการ มูลค่ากว่า 44 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.2558 ถึงวันที่ 21 ก.พ.2559 ทั้งนี้ ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของนายคชาชาตมากที่สุดกว่า 40 ล้านบาท
       
       

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9785
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 22-28 พ.ย.2558(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 11 มกราคม 2016, 10:43:13 »
4.อัยการ สั่งฟ้อง 2 มือบึ้มราชประสงค์-ท่าเรือสาทร 10 ข้อหาหนัก ด้านศาล นัดสอบคำให้การ 16 ก.พ.ปีหน้า!

        เมื่อวันที่ 24 พ.ย. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ทหารได้คุมตัวนายอาเดม คาราดัก หรือนายบิลาล โมฮัมเหม็ด และนายมีไรลี ยูซูฟู สองผู้ต้องหาคดีระเบิดสี่แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร จากเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี มณฑลทหารบกที่ 11 ไปยังศาลทหารกรุงเทพ
       
        ต่อมา นายชูชาติ กันภัย ทนายความส่วนตัวของนายอาเดม เปิดเผยว่า อัยการศาลทหารได้พิจารณาสั่งฟ้องนายอาเดมเป็นจำเลยที่ 1 และนายยูซุฟู เป็นจำเลยที่ 2 ใน 10 ข้อหา ประกอบด้วย 1. ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ไว้ในครอบครอง และใช้วัตถุระเบิดในการกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น 2. ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองโดยไม่มีเหตุสมควร 3. ร่วมกันพยายามกระทำให้เกิดระเบิด 4. ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 5.ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิด จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส ได้รับอันตรายแก่ร่างกายและทรัพย์ของผู้อื่น 6. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 7. ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ 8. ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง 9. ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 10. เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
       
        ทั้งนี้ อัยการได้ส่งสำนวนฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ส่วนวันที่ 24 พ.ย. ศาลให้นำตัวนายอาเดม และนายยูซูฟูมาสอบถามเกี่ยวกับการใช้ล่ามว่าจะใช้ล่ามภาษาอังกฤษ หรือจะใช้ล่ามตุรกี เมื่อได้ล่ามแล้วศาลจะได้นัดจำเลยทั้งสองมาให้การก่อนที่จะนัดสืบพยานต่อไป
       
        ด้านนายชูชาติ เผยหลังจากการพิจารณาของศาลว่า ทางศาลทหารไม่ได้สอบคำให้การของจำเลยทั้งสองว่าจะรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวหา เนื่องจากมีอุปสรรคเรื่องล่ามแปลภาษา เพราะจำเลยที่ 1 ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษดีพอ ดังนั้นฝ่ายโจทก์จึงได้ยื่นคำร้องเพื่อตั้งนายเดวิดเป็นล่าม แต่จำเลยที่ 1 คัดค้าน ส่วนจำเลยที่ 2 ยอมรับล่ามคนดังกล่าว ซึ่งทางจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งล่ามชื่อ นายบัคคาดีร็อก ซีโรจิดินส์ ชาวอุซเบกิสถาน เพราะสามารถสื่อสารภาษาที่จำเลยที่ 1 เข้าใจได้ แต่ทางอัยการขอคัดค้านล่ามคนดังกล่าว เนื่องจากยังไม่รู้ประวัติที่มาที่ไป ตนในฐานะทนายของจำเลยที่ 1 จึงได้แถลงต่อศาลว่า จะยื่นประวัติความเป็นมาของล่ามชาวอุซเบกิสถานต่อศาลภายใน 15 วัน เพื่อให้การพิจารณาคดีดำเนินไปอย่างรวดเร็ว โดยศาลจะนัดจำเลยทั้งสองมาสอบคำให้การในวันที่ 16 ก.พ 59 เวลา 08.30 น.
       
       5.ศาลแพ่ง พิพากษาให้ “แพรวา” และผู้ปกครองชดใช้ค่าเสียหายครอบครัวผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บ เกือบ 30 ล้าน กรณีซิ่งซีวิคชนรถตู้ดับ 9 ศพ!

        เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ศาลแพ่งได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ น.ส.สะโอด ซิมกระโทก และญาติของผู้เสียชีวิต 9 ราย และผู้บาดเจ็บ 4 ราย จากอุบัติเหตุ น.ส.แพรวา (นามสมมติ) ขับรถยนต์ซีวิค ชนรถตู้โดยสารจนตกทางด่วนโทลล์เวย์ เมื่อคืนวันที่ 27 ธ.ค. 2553 ร่วมกันเป็นโจทก์รวม 28 คน ยื่นฟ้อง น.ส.แพรวา รวมทั้งบิดาและมารดา เรื่องกระทำละเมิด ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
       
        ทั้งนี้ ศาลแพ่งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่สืบเนื่องมาจากคดีที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดว่า การขับรถของ น.ส.แพรวา เป็นการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมถึงทรัพย์สินเสียหาย ซึ่งเป็นการกระทำละเมิด จึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และเมื่อรับฟังได้ว่า น.ส.แพรวา จำเลยที่ 1 กระทำผิด บิดาและมารดา ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 และ 3 ก็ไม่ได้นำสืบถึงความระมัดระวังในการดูแลจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายด้วย พิพากษาให้ น.ส.แพรวา บิดา และมารดา ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ประกอบด้วย ค่าไร้อุปการะ และค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าอื่นๆ ให้แก่โจทก์ร่วม รวม 28 คน ซึ่งเป็นครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บแต่ละคน ในจำนวนเงินแตกต่างกัน ตั้งแต่คนละ 4 พันบาท ถึง 1 ล้าน 8 แสนบาท รวมเป็นเงินประมาณ 30 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
       
        หลังฟังคำพิพากษา น.พ.กฤช รอดอารีย์ บิดานายเกียรติมันต์ รอดอารีย์ อดีตนักศึกษาปริญญาโท คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า สำหรับคดีแพ่งได้ฟ้องเรียกค่าเสียหาย เช่น ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู ซึ่งบุตรชายกำลังจะไปเรียนปริญญาเอก และจะมีเงินเดือน 3.7 หมื่นบาท คำนวณจนเกษียณแล้วจะได้รับเงินเดือนประมาณ 39 ล้านบาท ขณะที่ศาลมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย 1.5 ล้านบาท ซึ่งค่อนข้างน้อยไป แต่ก็เคารพคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม จะปรึกษาทนายความว่าควรจะอุทธรณ์คำพิพากษาหรือไม่
       
        ด้าน พ.ต.อ.ศรัญ นิลวรรณ บิดาของ น.ส.สุดาวดี นิลวรรณ 1 ในผู้เสียชีวิต เผยหลังฟังคำพิพากษาว่า ศาลสั่งให้จำเลยชดใช้เงินประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนเงินที่เรียกร้องไป ซึ่งความเห็นของผู้เสียหายส่วนใหญ่เห็นว่า น้อยเกินไป แต่ก็เคารพคำตัดสินของศาล โดยหลังจากนี้ ทางกลุ่มทนายความของโจทก์จะประชุมหารือกันในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ ว่าจะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่ และหากยื่นอุทธรณ์ จะยื่นในประเด็นใด คาดว่าทางฝ่ายจำเลยจะมีการยื่นอุทธรณ์เช่นกัน เพื่อยืดเวลาการจ่ายค่าเสียหายออกไป
       
        อนึ่ง สำหรับคดีอาญาที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 ยื่นฟ้อง น.ส.แพรวา อายุ 17 ปี(ขณะเกิดเหตุ) ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท จนเป็นเหตุในผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส และถึงแก่ความตาย รวมทั้งทรัพย์สินเสียหายนั้น คดีได้ถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำคุก น.ส.แพรวา 3 ปี แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 4 ปี บำเพ็ญประโยชน์ 48 ชั่วโมงต่อปี และห้ามขับรถจนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปี ซึ่ง น.ส.แพรวา ได้ยื่นฎีกาสู้คดี แต่ศาลไม่รับฎีกา จึงทำให้คดีสิ้นสุดตามคำพิพากษาดังกล่าว
       
       6. คณะแพทย์ รพ.รามาฯ แถลงแจงเหตุตัดเท้าซ้าย “ปอ ทฤษฎี” ปฏิเสธข่าวลือตัดเท้าขวาด้วย ขณะที่ “พระองค์โสมฯ” โปรดให้ผู้แทนเยี่ยม “ปอ” !

        ความคืบหน้าอาการป่วยของ ปอ ทฤษฎี สหวงษ์ พระเอกชื่อดังวัย 35 ปี ที่ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกขั้นรุนแรง และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาธิบดีตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. ล่าสุดแพทย์ยังคงเฝ้าระวังและรักษาภาวะแทรกซ้อนอยู่ในห้องซีซียูนั้น
       
        เมื่อวันที่ 25 พ.ย. คณะแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี นำโดย ศ.นพ.วินิต พัวประดิษฐ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้แถลงข่าวความคืบหน้าการรักษาอาการป่วยของ ปอ-ทฤษฎี ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองของการตั้งโต๊ะแถลงข่าว จากที่ก่อนหน้าเป็นลักษณะออกประกาศความคืบหน้าอาการป่วยให้สื่อมวลชนทราบ โดยการแถลงข่าวครั้งนี้ มีขึ้นหลังมีข่าวว่า แพทย์ได้ตัดเท้าข้างขวาของปออีก หลังจากตัดเท้าข้างซ้ายไปแล้ว
       
        ทั้งนี้ คณะแพทย์ เผยว่า ที่ผ่านมาภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ทำให้แพทย์จำเป็นต้องผ่าตัดระบายเลือดในช่องเยื่อหุ้มปอดด้านซ้ายของปอ เพื่อแก้ปัญหาภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ต่อมา คืนวันที่ 20 พ.ย. ปอมีความดันเลือดที่ควบคุมได้ยาก ซึ่งเกิดจากเท้าซ้ายขาดเลือดรุนแรง มีการติดเชื้อซ้ำซ้อน แพทย์จึงจำเป็นต้องตัดเท้าซ้ายเหนือระดับข้อเท้าเพื่อควบคุมอาการเมื่อวันที่ 21 พ.ย. ซึ่งในคืนวันเดียวกัน แพทย์ต้องผ่าตัดหยุดเลือดในช่องปอดซ้ายหลังปอมีภาวะตกเลือดซ้ำ ต่อมาวันที่ 24 พ.ย. ปอมีภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารรุนแรงขึ้น จนทำให้ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง แพทย์จึงจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อหยุดเลือดในลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย แพทย์ เผยด้วยว่า ไม่พบเชื้อไข้เลือดออกในตัวปอแล้ว แต่ถือว่ายังอยู่ในขั้นวิกฤตจากโรคแทรกซ้อนที่เหลืออยู่ เช่น ไตวายเฉียบพลัน และการติดเชื้อ จึงยังต้องเฝ้าระวังในห้องซีซียูต่อไป
       
       แพทย์ยังยืนยันด้วยว่า ไม่ได้มีการตัดเท้าข้างขวาของปอแต่อย่างใด แม้จะมีภาวะปลายนิ้วเท้าข้างขวาบางส่วนตายเนื่องจากเลือดไม่ไหลเวียน แต่ก็มีสัญญาณที่ดีขึ้น ส่วนที่มีข่าวว่า อาการป่วยรุนแรงของปอเกิดจากเชื้อไข้เลือดออกกลายพันธุ์นั้น แพทย์ก็ยืนยันเช่นกันว่า เชื้อไม่ได้กลายพันธุ์ แต่เป็นเพราะปอป่วยด้วยโรคไข้เลือดครั้งที่ 2 อาการจึงค่อนข้างรุนแรงกว่าครั้งแรก
       
       ด้านนายสงวน สหวงษ์ บิดาของปอ ซึ่งร่วมแถลงข่าวกับคณะแพทย์ด้วย ได้กล่าวขอบคุณคณะแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดีที่ให้การดูแลรักษาอย่างดีที่สุด นับเป็นบุญของปอที่ได้รับ
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า อาการของปอ-ทฤษดี เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ สามารถลืมตา กะพริบตา ขยับแขนได้ แต่แพทย์ยืนยันว่า ยังไม่พ้นภาวะวิกฤต ต้องเฝ้าระวังรักษาในห้องซีซียูต่อไป ขณะที่ในแต่ละวัน ยังคงมีเพื่อนดาราและบุคคลในแวดวงต่างๆ เดินทางไปลงชื่อในสมุดเยี่ยมปอที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และได้สัมผัสความน่ารักสดใสของน้องมะลิ หรือ ด.ญ.พาขวัญ สหวงษ์ บุตรสาวของปอ ที่ โบว์-แวนดา สหวงษ์ ภรรยาปอ พาไปเยี่ยมอาการป่วยของปอแทบทุกวัน
       
       นอกจากนี้ยังนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ครอบครัวของปออย่างยิ่ง เมื่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ โปรดให้ผู้แทนพระองค์ ไปเยี่ยมปอที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้แสดงความเป็นห่วงและขอให้ปอหายป่วยเร็วๆ เช่นกัน พล.อ.ประยุทธ์ ยังฝากประชาชนให้ความสำคัญต่อการกำจัดยุงลายที่บ้านด้วย
       
       ด้าน นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยไข้เลือดออกประมาณ 4,000 รายต่อสัปดาห์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกให้ประสบความสำเร็จ พร้อมกันนี้ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้แนะวิธีจัดการสิ่งแวดล้อมในบ้านเพื่อป้องกันยุงลาย โดยใช้หลัก 3 เก็บ 1.เก็บบ้านให้ปลอดโปร่งไม่ให้ยุงลายเกาะ 2.เก็บขยะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และ 3.เก็บน้ำปิดให้มิดชิดหรือเปลี่ยนบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ยุงลายลงไปวางไข่ได้



โดย MGR Online    28 พฤศจิกายน 2558