ผู้เขียน หัวข้อ: แม่วัยร่ำไห้ ร้องลูก 5 เดือน มีหนองออกหู หมอบอกไม่อันตราย กลับมาอยู่บ้าน 5 วัน  (อ่าน 21 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
แม่วัย 26 ร่ำไห้ ร้องลูกสาว 5 เดือน  มีหนองออกจากหู  หมอบอกไม่อันตราย กลับมาอยู่บ้านได้ 5 วัน เสียชีวิต

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี น.ส.เดือน อายุ 26 ปี ร่ำไห้ร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ แจ้งว่า น้องเอ (นามสมมุติ) ลูกสาววัย 5 เดือน ป่วยคล้ายจะเป็นหวัดไปพบแพทย์โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ให้ยากลับบ้านมารับประทานก่อนนัดดูอาการ ผ่านไป 5 วันเสียชีวิต แพทย์แจ้งสาเหตุปอดติดเชื้อ จึงติดใจสงสัยการวินิฉัยรักษาโรครักษาของแพทย์ขอช่วยให้ความกระจ่าง และขอให้ทางโรงพยาบาลรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น

นางเดือนกล่าวว่า วันที่ 24 กันยายน ลูกสาวมีอาการป่วยคล้ายจะเป็นหวัด มีไข้ หายใจติดขัด มีน้ำสีขาวขุ่นคล้ายน้ำหนองออกมาจากหูข้างซ้าย จึงรีบพาไปพบแพทย์ทันที เมื่อถึงโรงพยาบาลเข้าห้องฉุกเฉิน แม่ขอให้ตรวจลูกอย่างละเอียดเพราะลูกมีอาการซึมน่าเป็นห่วง พยาบาลได้พาไปตรวจเอกซเรย์ปอด ล้างจมูก ดูดเสมหะในโพรงจมูก ปาก คอ ก่อนจะพบแพทย์เพื่อดูอาการอีกครั้ง แพทย์ชี้แจงว่า จากที่ตรวจแล้วแยกได้เป็น 2 ข้อ ดังนี้ 1.เป็นโรคเกี่ยวกับหวัด, มีน้ำมูก, หายใจครืดคราด 2.เยื่อแก้วหูชั้นกลางเกิดการอักเสบ, ติดเชื้อ

นางเดือนกล่าวว่า จากนั้นแพทย์ได้ให้ยาฆ่าเชื้อและยาหยอดหูกลับบ้าน ก่อนจะนัดให้มาดูอาการอีกครั้งในวันที่ 26 กันยายน ด้วยความกังวลใจแม่จึงถามแพทย์ก่อนกลับว่า “หนองออกหูมันอันตรายไหมคะ” แพทย์ตอบว่า “ยังไม่อันตราย ถ้าไม่รีบมารักษา ปล่อยไว้นานกว่านี้ เชื้อลงปอดก็อันตรายถึงชีวิตได้” หลังจากกลับจากโรงพยาบาลแม่ได้ป้อนยาลูกสาวตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ใช้ยาภายนอกในการหยอดหูก็ถูกวิธีทุกอย่าง

นางเดือนกล่าวว่า กระทั่งวันที่ 26 กันยายน แม่พาลูกไปโรงพยาบาลตามที่แพทย์นัดฟังผล ติดตามดูอาการ แต่ไม่ได้พบแพทย์คนเดิม ซึ่งคาดว่าจะเป็นแพทย์เวร หรือแพทย์ที่มาเข้าเวรแทน ซึ่งแพทย์คนดังกล่าวเหมือนจะไม่ทราบว่าเด็กมีประวัติการรักษาและเป็นวันนัดมาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการ ทีแรกจะให้ยาฆ่าเชื้อแล้วกลับบ้าน แต่แม่บอกว่ายาฆ่าเชื้อเพิ่งได้ไป แพทย์จึงย้อนกลับไปดูประวัติคนไข้และส่งต่อให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางตรวจหู โดยแพทย์ได้ทำการดูดหนองออกจากหู และวินิจฉัยว่า เป็นโรคหูโปร่งติดเชื้อ ไม่มีอันตรายใดๆ การใช้งานของหูของน้องยังได้ยินเหมือนเดิม จากนั้นแม่ก็จ่ายเงินค่ารักษาแล้วพาลูกกลับบ้าน

นางเดือนกล่าวว่า ต่อมาช่วงเช้ามืดวันที่ 28 กันยายน น้องมีอาการหายใจเหนื่อยขณะดูดนม เวลาประมาณ 22.00 น. แม่ได้พาลูกเข้านอนตามปกติ จนช่วงตี 3 แม่เห็นลูกนอนนิ่ง ตัวเย็น ผิดสังเกตเพราะปกติลูกจะต้องตื่นมากินนม จึงตกใจมากรีบเรียกรถมูลนิธิมาช่วยนำลูกส่งโรงพยาบาลระหว่างทางมีการปั๊มหัวใจแต่ไม่มีการตอบสนอง เมื่อถึงโรงพยาบาลแพทย์แจ้งว่า “ลูกไม่อยู่แล้ว” เด็กเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 1-2 ชม. ต่อมามีการชันสูตรศพ โดยแพทย์ระบุสาเหตุการตายในใบมรณบัตรว่า “ปอดอักเสบ”

“จนถึงตอนนี้แม่ยังทำใจไม่ได้ ลูกป่วยพยายามจะรักษาให้ดีที่สุด วอนขอหมอให้ช่วยตรวจทุกทางจะเสียเงินเท่าไหร่ไม่เป็นไร แต่เพียง 5 วันลูกก็มาเสียชีวิต แม่เชื่อว่าหากตั้งแต่วันแรกคุณหมอรับลูกเข้าแอดมิตที่โรงพยาบาลดูแลใกล้ชิดลูกก็คงไม่จากไปเร็วแบบนี้ ตอนนี้ศพลูกสาวยังอยู่ที่วัดไผ่เงิน อยากให้โรงพยาบาลออกมาแสดงความรับผิดชอบ แม่จะยังไม่เผาศพจนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม ขอมูลนิธิปวีณาฯช่วยเหลือด้วย” นางเดือนกล่าวว่า

หลังรับเรื่อง นางปวีณา ได้ประสาน นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวนี้ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว โดยมูลนิธิปวีณาฯจะติดตามร่วมกับนายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง อย่างใกล้ชิดต่อไป

มติชน
24 ตุลาคม 2566