8386
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. 8386
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ข้อกำหนดว่าด้วยสถานพยาบาล (๒๕๕๔) ประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 22:54:21 »8387
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / หลักเกณฑ์การประเมินเพื่อคัดแยกระดับความฉุกเฉิน---ประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 22:43:26 »8388
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / สปสช. จัดงบปี 2555 3พันล้านทุ่มช่วยผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าถึงยา« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 22:16:58 »
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กล่าวว่า ภารกิจสำคัญของ สปสช. คือการจัดบริการเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ และทุกๆ วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันเอดส์โลก ซึ่งในปีนี้คำขวัญประจำปี พ.ศ.2554 หรือ ค.ศ.2011 นี้คือ "getting to zero" "เอดส์ ลดแล้ว...ลดอีก" หมายถึง ลดการติดเชื้อรายใหม่ ลดการตายจากเอดส์ และลดการตีตราจากสังคม ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของ สปสช.ในการให้หลักประกันสุขภาพกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในการได้รับบริการสุขภาพ โดยมีการจัดสรรงบประมาณแยกจากงบเหมาจ่ายหัว ซึ่งในปีงบประมาณ 2555 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 จัดสรรงบประมาณ 2,940.055 ล้านบาท
นพ.วินัยกล่าวว่า สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีจำนวน 157,600 ราย อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายเงินได้ยึดแนวทางเดิมของการจัดสรรงบปี 2554 ไปพลางก่อน เนื่องจากต้องรอการพิจารณาในสภาอีกครั้ง ทั้งนี้สำหรับเงินกองทุนนี้ส่วนหนึ่งจะถูกจัดสรรลงหน่วยบริการสาธารณสุขที่ให้บริการดูแลผู้ป่วย โดยอิงตามภาระงานของแต่ละหน่วยบริการและตามอัตราชดเชยที่ สปสช.กำหนด และอีกส่วนหนึ่งใช้สำหรับการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการ เพื่อเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงานของหน่วยบริการทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ เลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ชุดสิทธิประโยชน์สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ 1.บริการยาต้านไวรัสและยาอื่นๆ ประกอบด้วย การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีทารกแรกเกิด การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีเพื่อการป้องกันการติดเชื้อภายหลังสัมผัส และการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงที่เป็นผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัส 2.การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อติดตามการรักษา 3.การให้คำปรึกษาและการตรวจเลือดแบบสมัครใจ และการป้องกันโรคเอดส์ในกลุ่มผู้ติดเชื้อ รวมถึง 4.การจัดโครงการตรวจการดื้อยาต้านไวรัสเพื่อการปรับเปลี่ยนสูตรยาต้านให้ทันกับสถานการณ์ มติชนออนไลน์ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554 8389
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / TIME 2 TEST ถึงเวลาที่คุณจะรู้!---รู้จักเอดส์ไหม« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 22:14:54 »
ถ้ามีคนมาถามว่า "รู้จักเอดส์ไหม?" เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา พอเดาคำตอบได้ไหม หากนึกถึง "เอดส์"
แน่นอนว่า...มีความเชื่อที่คลาดเคลื่อนเยอะไปหมด เช่น เมื่อเข็มมั่วเพศติดเอดส์แน่นอน, เป็นโรคของคนส่ำส่อน, เป็นแล้วก็ตายลูกเดียว, ควรจะแยกที่อยู่จานชามช้อนส้อมอย่าไปใช้ปะปน อย่าไปยุ่งเกี่ยวนะเดี๋ยวจะติด ฯลฯ และอีกหลายความเชื่อที่ไม่มีทางให้คนเข้าถึงการรักษา และเรื่องเกี่ยวกับช่องทางการติดต่อ ที่ช่างเย้ายวนความสนใจและเขาว่ากันว่าสั่นคลอนศีลธรรม (?) คือการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ติดต่อทางใช้เข็ม เป็นต้น ก็อาจจะยิ่งสร้างภาพย้ำเรื่อง "เอดส์" ดูแย่ ทว่าทั้งหมดที่ว่ามานี้ ถ้าคุณเรียกว่า "รู้จักเอดส์" แล้วล่ะก็... นั่นก็คงถึงเวลาที่คุณ (ควร) จะรู้จริงๆ แล้วล่ะ รู้ไหม? ว่า "เอดส์รู้เร็วรักษาได้" เชยสะบัด หากบอกว่าเอดส์เป็นแล้วต้องตายอย่างเดียว เพราะอาการเอดส์ คือภาวะที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง จนเกิดโรคฉวยโอกาส เช่น เชื้อราเยื่อหุ้มสมอง เริม งูสวัด ฯลฯ ซึ่งโรคเหล่านี้หากได้รับการรักษาทันท่วงทีก็จะหายเป็นปกติ และหากเพียงผู้ติดเชื้อฯ ได้กินยาต้านไวรัสเอชไอวี ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าจะช่วยไปต้านไวรัสไว้ ไม่ให้แพร่สมาชิกในร่างกาย เมื่อเชื้อน้อย ภูมิคุ้มกันก็แข็งแรง ก็กลับมามีสุขภาพที่ดี ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส อาการเอดส์ก็หายไป เป็นเพียงผู้ติดเชื้อเอชไอวี รู้ไหม? ปัจจุบัน ประเทศไทยมีระบบสวัสดิการด้านสุขภาพทุกระบบของประเทศ มีความพร้อม สามารถให้การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยเอดส์ได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า, ระบบสวัสดิการประกันสังคม และ ระบบสวัสดิการข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ก็สามารถเข้าไปรับบริการ และดูแลตัวเองได้อย่างทันท่วงที รู้ไหม? จะติดเชื้อเอชไอวีได้ ต้องมีช่องทาง มีปริมาณและคุณภาพเชื้อที่เหมาะสมพอที่จะทำให้ติดได้ซึ่งช่องทางที่เสี่ยง ก็คือทางเพศสัมพันธ์ และทางเลือด ความเชื่อที่ว่าจะติดเชื้อเอชไอวีทางจานชามช้อนส้อม น้ำลายนั้นเป็นเพียงเรื่องตื่นตระหนก รู้ไหม? ว่าใครก็ตามที่ยังมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวีได้ทุกคน แล้วจะมีแค่กลุ่มเกย์ พนักงานบริการ ฯลฯ เสี่ยงหรือไม่ สรุปก็คือ เรื่องเอชไอวี/เอดส์ ไม่ใช่แค่เรื่องของใคร เป็นเรื่องของทุกคนนั่นเอง แล้วตอนนี้พอประเมินได้แล้วหรือไม่ว่าตัวเอง "เสี่ยง" หรือ "ไม่เสี่ยง" อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าปัจุบันประเทศไทย มีระบบการเข้าถึงการรักษาเรื่องเอชไอวี/เอดส์ รวมทั้ง ยังมี "บริการการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยความสมัครใจได้ ปีละ 2 ครั้ง" สามารถเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลของรัฐ และเอกชนที่เข้าร่วมระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ใดก็ได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ขณะนี้ก็ยังมีผู้ติดเชื้อฯรายใหม่ 10,8853 ราย หรือ วันละประมาณ 30 ราย และยังมีผู้ที่ป่วยที่เสียชีวิตจากเอดส์ ปีละ ประมาณ 1,000 ราย ทั้งหมดนี้อาจจะเนื่องมาจากความ "ไม่รู้"...ไม่รู้และเข้าใจเรื่องเอดส์อย่างเพียงพอ นำไปสู่การเรื่องการประเมินความเสี่ยงของตัวเองที่ผิดพลาด และนำไปสู่การไม่ป้องกันตัวเองและผู้อื่น แล้วก็นำไปสู่การติดเชื้อฯรายใหม่เพิ่มขึ้นในที่สุด ดังนั้นคงถึงเวลาที่คุณจะรู้ผลเลือดตัวเอง! ทางเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงถือโอกาสในวันเอดส์โลก 1 ธันวาคม นี้เปิดตัวแคมเปญ "TIME 2 TEST HIV ถึงเวลาที่ทุกคนจะรู้ผลเลือดเอชไอวีของตัวเอง" โดยสามารถเข้ารับบริการการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยความสมัครใจได้ ปีละ 2 ครั้ง ด้วยเห็นว่า หากคนทั่วไปรู้ผลเลือดของตนเอง กรณีผลเลือดลบ ก็จะนำไปสู่การประเมินและลดความเสี่ยง รวมทั้งการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อเอชไอวี จะส่งผลต่อการลดอัตราการติดเชื้อฯรายใหม่ลง และถ้าผลเลือดบวก หากรู้ได้เร็ว ก็จะทำให้เข้าสู่บริการสุขภาพได้เร็ว ทั้งเรื่องการป้องกัน รักษาโรคฉวยโอกาสที่ทุกโรค รักษาให้หายได้ และจะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ทันท่วงที โดยไม่ต้องรอให้ป่วย ทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ใช้ชีวิตตามปกติได้ และลดอัตราการตายจากเอดส์ลงในที่สุด โดยจะมีกิจกรรมรณรงค์ต่อเนื่อง จนถึง วันเอดส์โลก 1 ธันวาคม 2555 และหวังให้เกิดกระแสความสนใจของผู้คนที่ตระหนักจะเริ่มต้น "รู้" ประเมินความเสี่ยงตนเอง ต่อไปอนาคต ขอตบท้ายด้วยประโยคสุดคลาสสิคว่า วันนี้คุณ "รู้" ตัวเองแล้วหรือยัง? ฝ่ายรณรงค์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย มติชนออนไลน์ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554 8390
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / ความมั่นคงทางอาหารในระดับท้องถิ่น« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 19:18:46 »
เมื่อเร็วๆ นี้ ผศ.ดร.สุดสาย ตรีวานิช อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ได้นำเสนอผลงานและรายงานเกี่ยวกับ การสร้างความความเข้มแข็งในระบบอาหารท้องถิ่น (Local food system) ของประเทศไทย (Strengthening Local Food Systems in Thailand: School Lunch Program And Small And Micro-Community Enterprises) ในการประชุมเชิงวิชาการระดับนานาชาติ “International workshop on strengthening local food systems for sustainable agriculture in Asia” จัดโดย Food and Fertilizer Technology Center for the Asian and Pacific Region ประเทศไต้หวัน ร่วมกับ The National Agricultural Cooperative Federation ประเทศเกาหลี ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลี ในที่ประชุมดังกล่าว ได้หยิบยกตัวอย่างโครงการที่ส่งเสริมการเพิ่มอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกร ตลอดจนโครงการอาหารกลางวันเด็กนักเรียนผ่านบทบาทของภาคเอกชนและภาครัฐบาล รวมทั้งโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญ ต่อการส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับระบบอาหารท้องถิ่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาระบบอาหารท้องถิ่นของประเทศไทย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เป็นภาคเอกชนหนึ่งที่มีนโยบายชัดเจนสอดคล้องและดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมการเพิ่มอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกร ตลอดจนมีกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ นำไปสู่ความเข้มแข็งยั่งยืนของชุมชน เช่น โครงการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรายย่อย และโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เป็นต้น ความเข้มแข็งของชุมชนที่เกิดจากการสร้างงานสร้างอาชีพของซีพีเอฟ ปรากฏชัดเจนจากเกษตรกรรายย่อยกว่าหมื่นราย ที่สามารถดำรงชีพด้วยอาชีพเกษตรกรรมและยกระดับคุณภาพชีวิตของตนให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้มาก จากแนวคิดของ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในเรื่องการส่งเสริมอาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรด้วยการนำระบบงานส่งเสริมอาชีพและรายได้ให้กับเกษตรกร ที่เรียกว่า Contract Farming มาดำเนินงานใน 2 รูปแบบคือ การประกันราคาและการส่งเสริม การเลี้ยงสัตว์ ตั้งแต่ปี 2518 ณ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ด้วยโครงการส่งเสริมการเลี้ยงไก่กระทง เป็นโครงการแรก และมีเกษตรกร เข้าร่วมโครงการกว่า 200 ครอบครัว ต่อมาจึงได้ขยายพื้นที่โครงการไปอีกหลายจังหวัด จนครบทุกภูมิภาค ทั่วประเทศ และได้รับความสนใจจากเกษตรกรเป็นอย่างมาก ทำให้ในปัจจุบันมีสมาชิกใน “โครงการ Contract Farming” ทั่วประเทศกว่า 10,000 ราย โดยการเลี้ยงสัตว์ครอบคลุมทั้ง ไก่กระทง ไก่ไข่ และสุกร ทั้งนี้ ซีพีเอฟจะเป็นอำนวยความสะดวกในการจัดหาให้พันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ ยา และวัคซีน ซึ่งมีคุณภาพสูงให้กับเกษตรกร ตลอดจนให้ความรู้ คำแนะนำปรึกษา การสนับสนุนเทคโนโลยีต่างๆ และการร่วมวางแผนการผลิต โดยทีมนักวิชาการของบริษัท ขณะที่โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าก็อยู่ในแนวคิดเดียวกัน โดยซีพีเอฟได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากส่วนราชการ อำเภอพนมสารคาม และธนาคารกรุงเทพ เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่มีฐานะยากจน ไม่มีที่ทำกินเป็นของตนเอง ให้มีโอกาสได้ประกอบอาชีพการเลี้ยงสัตว์ ควบคู่ไปกับการเพาะปลูก การดำเนินงานของโครงการ จัดเป็นระบบเบ็ดเสร็จครบวงจร ทำให้การพัฒนาอาชีพ ของเกษตรกรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เกษตรกรทั้งหมดต่างมุ่งมั่นดำเนินงานอย่างแข็งขัน ทำให้การเลี้ยงสุกรของหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าเติบโต และขยายกิจการขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับ จากเมื่อเริ่มต้นโครงการมีสุกรแม่พันธุ์รวม 1,500 ตัว จนถึงปัจจุบันมีแม่พันธุ์กว่า 7,000 ตัว ขณะเดียวกัน จากคนที่ไม่มีแม้รายได้ วันนี้เกษตรกรที่นี่มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 80,000 บาทต่อครอบครัว พื้นที่ของหมู่บ้านแห่งนี้ก็กลับอุดมสมบูรณ์สามารถเพาะปลูกพืชไร่ ไม้ผล ยางพารา และมีสภาพแวดล้อมที่ดี จากการนำเอามูลสุกรหลังการบำบัดด้วยระบบแก๊สชีวภาพ (Biogas) มาบำรุงดิน หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้ามีการพัฒนาชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง จนอาจเรียกได้ว่าเป็นชุมชนเลี้ยงสุกรที่ทันสมัยสุดในประเทศไทย สำหรับความมั่นคงทางอาหารในระดับท้องถิ่นที่เชื่อมโยงผ่านเยาวชน ก็คือ โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่นอกจากจะช่วยลดปัญหาภาวะทุพโภชนาการของนักเรียนแล้ว โรงเรียนในโครงการยังสามารถจัดสรรรายได้ เป็นค่าอาหารกลางวันนักเรียน ขณะเดียวกันเด็กนักเรียนก็มีอาชีพเลี้ยงไก่ไข่ติดตัว นำเทคนิคความรู้ที่ได้รับกลับไปถ่ายทอดสู่พ่อแม่ผู้ปกครองได้อีก โครงการนี้มีรูปแบบที่เน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการการเลี้ยงไก่ไข่ การสนับสนุนพันธุ์ไก่รุ่นแรก อาหารสัตว์ และการดูแลอย่างใกล้ชิดจากสัตวบาลของบริษัทตลอดระยะเวลาการเลี้ยงไก่ไข่ในแต่ละรุ่น เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถสร้างผลผลิตไข่ไก่ในโรงเรียนได้สำเร็จ โดยนำผลผลิตส่วนหนึ่งมาประกอบเป็นอาหารกลางวัน และนำบางส่วนออกจำหน่าย เพื่อหารายได้มาจัดสรรเป็นค่าใช้จ่าย ดำเนินโครงการ ให้สามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องสำหรับนักเรียนในรุ่นต่อๆ ไป ปัจจุบันโครงการนี้ช่วยแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของเด็กและเยาวชนได้แล้วร่วม 75,000 คน ในโรงเรียนกว่า 370 แห่งทั่วประเทศ ผศ.ดร.สุดสาย ตรีวานิช นำเสนอให้ที่ประชุมระดับนานาชาติรับทราบและเห็นพ้องต้องกันว่า โครงการอันเป็นประโยชน์เหล่านี้ จากซีพีเอฟ และภาครัฐบาล รวมทั้งโครงการตามพระราชดำริของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สามารถสร้างความมั่นคงทางอาหารระดับท้องถิ่นได้จริง และโครงการดังกล่าวของประเทศไทยก็กลายเป็นตัวอย่างที่นานาชาติให้ความสนใจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการสร้างความเข้มแข็งของระบบอาหารท้องถิ่นอันจะนำไปสู่ความมั่นคงทางอาหารในระดับภูมิภาคอาเซียนต่อไป โดย : เพ็ญภัสสร์ วิจารณ์ทัศน์ กรุงเทพธุรกิจ 29 พฤศจิกายน 2554 8391
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / คำถามเดิมที่ยังรอคำตอบ…มีสารเคมีอันตรายอะไรบ้างในโรงงานอุตสาหกรรม(ที่ถูกน้ำท่วม)« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 19:16:06 »
อุทกภัยในประเทศไทยที่ผ่านๆ มา ถ้าไม่นับน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดในปี พ.ศ. 2554 นี้ ความเสียหายส่วนใหญ่จะอยู่ที่ภาคการเกษตร เรือกสวนไร่นา
ตลอดจนครัวเรือนที่อาศัยอยู่ตามลุ่มน้ำที่เกิดอุทกภัย และได้รับความสนใจน้อยจากผู้ที่อยู่ในภาคส่วนอื่นๆ แต่อุทกภัยใหญ่ครั้งนี้มีผลกระทบไปถึงภาคอุตสาหกรรม ทำให้นิคมอุตสาหกรรมสำคัญๆ ของประเทศ 7 แห่ง คือ นิคมสหรัตนนคร นวนคร บ้านหว้า (ไฮเทค) บางปะอิน แฟคตอรี่แลนด์ โรจนะ และ บางกะดี จมน้ำ จนเกิดความเสียหายในภาคอุตสาหกรรมที่มีผู้ประเมินค่าเชิงเศรษฐกิจหลายแสนล้านบาท ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงพยายามกู้นิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายโดยเร่งและเริ่มสูบน้ำออกจากนิคมฯ โดยที่ยังไม่มีรูปแบบการดำเนินงานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการวิเคราะห์สิ่งเจือปนที่อาจจะมีอยู่ในน้ำก่อนเริ่มกระบวนการสูบน้ำออก ทำให้เกิดข้อทักท้วงจากนักวิชาการว่า มีความเสี่ยงต่อการกระจายสารพิษ (ที่อาจจะมี) สู่สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ ที่มาของความกังวล คือ การไม่มีข้อมูลว่าในแต่ละโรงงานมีสารเคมีอันตรายอะไรบ้าง ปริมาณเท่าใด และสารปนเปื้อนในน้ำที่ท่วมขังอยู่อาจเป็นสารที่อยู่ในน้ำเสียที่ปล่อยออกมา สารจากกระบวนการผลิต รวมถึงวัตถุดิบที่ไม่สามารถขนย้ายได้ทัน และอื่นๆ ทำให้ไม่สามารถคาดคะเนได้เลยว่า จะเกิดผลกระทบต่อพื้นที่ที่จะต้องรองรับน้ำหรือไม่ อย่างไร และมากน้อยเพียงใด ข้อที่น่าสังเกตคือ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมฯ ที่ถูกน้ำท่วมขังแต่ละแห่งน่าจะบอกภาพรวม (ซึ่งไม่ใช่ความลับเชิงการค้า) ได้ว่าในน้ำที่ท่วมโรงงานอยู่อาจมีสารเคมีอันตรายอะไรอยู่บ้าง การตัดสินใจสูบน้ำออกก็สามารถทำได้โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่และจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม การขาดข้อมูลการผลิต การใช้ และการกระจายสารเคมีในประเทศไทยไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ และไม่ได้เป็นเฉพาะภาคอุตสาหกรรม แต่เป็นจริงในภาคการเกษตรและอื่นๆ ด้วย ขณะที่ประเทศไทยมีทั้งกฎหมายและข้อบังคับอยู่เป็นจำนวนมากที่ระบุความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ ในการจัดส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีไปยังหน่วยงานควบคุมและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย โดยมีรูปแบบและระบบสารสนเทศที่เอื้อผู้ประกอบการในการนำข้อมูล (ดูบทความ “ระบบข้อมูลสารเคมีเพื่อการเริ่มต้นแก้ไขปัญหามลพิษมาบตาพุด” ซึ่งเผยแพร่โดยหน่วยข้อสนเทศวัตถุอันตรายและความปลอดภัย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและของเสียอันตราย www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=3&ID=25) ตัวอย่างเช่น - การขออนุญาตประกอบกิจการ โรงงานต้องให้ข้อมูลปริมาณการใช้วัตถุดิบ (ซึ่งรวมถึงสารเคมี) และแหล่งที่มา - การประกอบการ (การผลิต นำเข้า ส่งออก และมีไว้ในครอบครอง) ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุอันตรายตามบัญชีพระราชบัญญัติวัตถุอันตรายจะต้องมีการขึ้นทะเบียน การขออนุญาต การแจ้งดำเนินการ การแจ้งข้อเท็จจริง ฯลฯ - การแจ้งปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์รายเดือน (สำหรับประเภทหรือชนิดโรงงาน 90 ลำดับ) - การจัดทำรายงานวิเคราะห์ความเสี่ยง (โรงงาน 12 ประเภท) - การจัดทำรายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษที่ระบายออกจากโรงงาน (โรงงาน 18 ประเภท) ข้อเท็จจริงก็คือทุกครั้งที่มีปัญหาอุบัติภัยที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกิดระเบิด ไฟไหม้ การรั่วไหล รวมทั้งการเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่คราวนี้ ก็จะมีผู้ชี้ว่าต้องมีข้อมูลที่เพียงพอและทันสมัยสำหรับใช้แก้ไขปัญหาพร้อมทั้งข้อเสนอแนะให้มีการเก็บและเปิดเผยข้อมูล เมื่อเกิดอุทกภัยใหญ่ครั้งนี้ ก็มีการชี้ปัญหาการขาดข้อมูล และข้อเสนอเดิมๆ ปรากฏขึ้นอีก หน่วยข้อสนเทศวัตถุอันตรายและความปลอดภัย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและของเสียอันตราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอใช้โอกาสนี้ ในการเสนอลักษณะข้อมูลเดิมที่น่าจะเป็นประโยชน์มาก (หากเป็นข้อมูลที่ทันสมัย) คือ ข้อมูลจำนวนชนิดและปริมาณสารเคมีที่ใช้และที่เก็บสูงสุด ซึ่งเคยมีการสำรวจโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2545 - 2546 เพื่อตอบคำถามว่า “มีสารเคมีอะไรบ้างในโรงงานอุตสาหกรรม” ข้อมูลชุดนี้หน่วยข้อสนเทศฯ ได้นำมาตรวจสอบความซ้ำซ้อน จัดกลุ่มความเป็นอันตราย จัดทำแผนภาพการกระจายสารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศจำแนกตามจังหวัดและอำเภอและเผยแพร่บนเว็บไซต์ (http://www.chemtrack.org/chem-map/chemmap.htm) ดังตัวอย่างที่เลือกมาวิเคราะห์เพิ่มเติมและนำเสนอในตารางที่ 1 อำเภอที่แสดงในตารางที่ 1 เป็นแหล่งที่ตั้งของนิคมทั้ง 7 แห่งที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่ตัวเลขที่แสดงมาจากการสำรวจโรงงาน 29 ประเภท ซึ่งเป็นโรงงานที่มีลักษณะการประกอบการที่น่าจะมีการใช้สารเคมีอยู่มาก จะเห็นว่าเมื่อประมาณ 8-9 ปีมาแล้ว ทุกอำเภอที่เกิดน้ำท่วมในครั้งนี้มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนหลายพันโรงงาน และมีการใช้สารเคมีต่อปีไม่น้อย ทั้งชนิดและปริมาณ ในกรณีของนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่ง เมื่อไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า มีสารเคมีอะไรอยู่บ้าง ผู้เขียนจึงลองใช้ข้อมูลที่มีอยู่ปัจจุบันคือประเภทกิจการของโรงงานจากข้อมูลที่สืบค้นได้จากเว็บไซต์ของการนิคมฯ และของกรมโรงงานอุตสาหกรรมแล้วเทียบหาจำนวนโรงงานที่อยู่ในข่าย 29 ประเภท (โรงงานที่น่าจะมีการใช้สารเคมีมากในการประกอบกิจการ) ได้ข้อมูลดังแสดงในตารางที่ 2 จะเห็นว่าจำนวนโรงงานที่อยู่ในข่ายฯ ในนิคมโรจนะ และ นวนคร มีมากกว่าอีก 5 นิคมฯ ที่เหลือ ดังนั้นจึงตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่านิคมโรจนะและนวนคร มีโอกาสของการเกิดความเสี่ยงจากการใช้สารเคมีมากกว่านิคมฯ อื่นๆ อย่างไรก็ดีข้อสันนิษฐานนี้จะใช้ประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อมีข้อมูลจริงว่าในโรงงานเหล่านั้นมี สารเคมีอะไรบ้าง เป็นสารอันตรายหรือไม่ และปริมาณเท่าใด เป็นที่น่าเสียดายว่า กิจกรรมที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมจัดทำเฉพาะกิจเมื่อปี พ.ศ. 2545-2546 ในการสำรวจข้อมูลสารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรมไม่มีการดำเนินงานเพิ่มเติมและต่อเนื่อง หากหน่วยงานควบคุมไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง มีระบบและผู้รับผิดชอบติดตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ลักษณะของ “การไม่มีข้อมูล” จะยังคงเป็นจริงต่อไป การแก้ไขปัญหาอุบัติภัยในอนาคตก็จะเป็นรูปแบบเดิม คือ ไม่สามารถประเมินความเสี่ยงเพื่อมาตรการป้องกันและจัดการอย่างเป็นระบบและเหมาะสม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดผลกระทบระยะยาวเพิ่มขึ้นได้ คำถามที่สังคมต้องคิดต่อ ก็คือ เราจะต้องรอถึงเมื่อไร ที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือกันใช้รูปแบบและระบบที่มีอยู่แล้วทำให้ประเทศไทยมีผู้รับผิดชอบในการติดตามการเก็บข้อมูล การผลิต การเก็บ และการใช้สารเคมีที่เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ ทันสมัย และใช้ประโยชน์ได้จริง โดยไม่ต้องรอให้เกิดมหันตภัยครั้งต่อไป ซึ่งอาจจะเป็นอนาคตอันใกล้เกินคิด โดย : รศ.ดร.วราพรรณ ด่านอุตรา,ศ.ดร. ธงชัย พรรณสวัสดิ์ กรุงเทพธุรกิจ 29 พฤศจิกายน 2554 8392
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / ไทยแย่ลง!รั้งอันดับ 80 ดัชนีความโปร่งใสโลก« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 19:07:34 »
ไทยติดอันดับ 80 ดัชนีความโปร่งใสโลกแย่ลงจากอันดับ 63เมื่อปีที่แล้ว นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวีเดน สิงคโปร์ ปลอดคอร์รัปชั่นมากสุด
ทรานส์พาเรนท์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล (ทีไอ) กลุ่มเฝ้าระวังต่อต้านการคอร์รัปชั่น ซึ่งมีฐานอยู่ในเบอร์ลิน ระบุว่า คอร์รัปชั่นจะบั่นทอนความพยายามต่างๆที่จะรับมือกับวิกฤติหนี้ในกลุ่มยูโรโซน ขณะที่ กรีซ และอิตาลี มีคะแนนติดกลุ่มประเทศที่มีการฉ้อฉลด้วยกลวิธีต่างๆมากที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของทีไอ "ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหาการจ่ายเงินใต้โต๊ะ และการหลีกเลี่ยงภาษี ที่เป็นตัวแปรหลักในการเกิดวิกฤติหนี้สาธารณะ"แถลงการณ์จากทีไอ ระบุ ทั้งนี้ การจัดอันดับ ซึ่งไล่ตั้งแต่ 0-10 (โดยคะแนน0 หมายถึงการคอร์รัปชั่นสูงมาก ขณะที่หากประเทศใดได้คะแนน 10 หมายถึงมีการคอร์รัปชั่นเพียงเล็กน้อย) อิตาลีได้คะแนน 3.9 และกรีซ ได้คะแนน 3.4 อยู่ในอันดับ 69 และ 80 ตามลำดับในการจัดอันดับครั้งนี้ซึ่งมีประเทศทั้งหมด 182 ประเทศ นางโรบิน โฮเดสส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของทีไอ กล่าวว่า วิกฤติหนี้ในยูโรโซนสะท้อนถึง การบริหารจัดการทางการเงินที่ย่ำแย่ การขาดความโปร่งใส และการบริหารจัดการกองทุนสาธารณะที่ผิดพลาด "เมื่อปัญหาการคอร์รัปชั่นแพร่ระบาดไปทั่ว ผู้คนทุกระดับชั้นจะรู้สึกถึงผลกระทบแง่ลบต่อปัญหานี้อย่างทั่วโลก ซึ่งอิตาลีและกรีซ ต้องดำเนินการมากกว่านี้ในการต่อสู้กับปัญหาการคอร์รัปชั่น" นางโฮเดสส์ กล่าว นอกจากนี้ โซมาเลีย ที่บอบช้ำจากภัยสงคราม และเกาหลีเหนือก็ติดกลุ่มประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นมากที่สุดของโลกด้วยคะแนนด้วยเช่นกัน 1.0 ส่วนอิรัก มีการปรับปรุงปัญหานี้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังติดกลุ่มมีคอร์รัปชั่นสูงโดยรั้งอันดับที่ 175 และอัฟกานิสถาน ที่ยังคงรั้งอันดับ 180 แม้มีความพยายามต่างๆที่จะสกัดกั้นการจ่ายเงินใต้โต๊ะและการคอร์รัปชั่นก็ตาม และลิเบีย อยู่ในอันดับ 168 ส่วนกลุ่มประเทศ ที่มีการคอร์รัปชั่นน้อยที่สุด คือ นิวซีแลนด์ ได้คะแนน 9.5 ตามมาด้วย เดนมาร์ค ฟินแลนด์ สวีเดน และสิงคโปร์ ส่วนไทย ติดอันดับที่ 80ของโลก เทียบกับปีที่แล้ว ที่อยู่ในอันดับ 63 และอยู่ที่อันดับ 10 จาก 26 ประเทศในเอเชีย สำหรับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับการจัดอันดับดัชนีความโปร่งใสในปี2554 มี พม่า (อันดับ180) กัมพูชา (164) ลาว (154) ฟิลิปปินส์ (129) เวียดนาม (112) อินโดนีเซีย (100) อินเดีย (95) จีน (75 ) มาเลเซีย (60) บรูไน (44) เกาหลีใต้ (43) ภูฎาน (38) และญี่ปุ่น (14) ไทยอันดับคอร์รัปชั่นพุ่งไปที่80ของโลก ดร. จุรี วิจิตรวาทการ เลขาธิการองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย (Transparency Thailand) ได้เปิดเผยผลการจัดอันดับดรรชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันประจำปี พ.ศ. 2554 พบว่า ประเทศไทยได้ 3.4 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน อยู่อันดับที่ 80 จากการจัดอันดับทั้งหมด 183 ประเทศทั่วโลก และอยู่อันดับที่ 10 จาก 26 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยในปีนี้ ประเทศไทยมีคะแนนเท่ากับ ประเทศโคลัมเบีย เอลซัลวาดอร์ กรีซ โมรอคโค และเปรู ผลการจัดอันดับประจำปีนี้ ประเทศส่วนใหญ่ยังคงมีคะแนนต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง มีเพียง 49 ประเทศเท่านั้นที่ได้คะแนนตั้งแต่ 5 คะแนนขึ้นไป ประเทศนิวซีแลนด์ สามารถครองแชมป์อันดับหนึ่งในระดับโลก (9.5 คะแนน)และได้คะแนนมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว ส่วนเดนมาร์กและฟินแลนด์แชมป์เก่าแม้จะได้คะแนนมากขึ้นแต่ก็เป็นอันดับสอง (9.4 คะแนน) ขณะที่อันดับสุดท้าย ได้แก่ ประเทศโซมาเลียและเกาหลีเหนือ (1.0 คะแนน) ส่วนในภูมิภาคเอเชีย สิงคโปร์ยังครองอันดับหนึ่ง (9.2 คะแนน) และเมื่อพิจารณาตามกลุ่มประเทศและภูมิภาค พบว่า กลุ่มประเทศสมาชิกองค์กรเพื่อความร่วมมือเศรษฐกิจและการพัฒนาหรือ OECD และประเทศในภูมิภาคยุโรปส่วนใหญ่มีคะแนนค่อนข้างดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ ขณะที่กลุ่มประเทศในภูมิภาคยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง และภูมิภาคอัฟริกา มีคะแนนค่อนข้างน้อย ดร. จุรี กล่าวว่า คะแนน CPI เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อรณรงค์ให้รัฐบาลและประชาชนของประเทศต่างๆทั่วโลก ได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศของตนเองและประเทศอื่นๆทั่วโลก เพื่อจะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ในประเทศไทยเราก็ตื่นตัวเรื่องปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันมากขึ้น มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาของหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. ภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ที่สำคัญที่สุดเราต้องแก้ไขที่ระบบความคิดความเชื่อของคนไทยให้ได้ว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่คนไทยยอมรับไม่ได้ ด้วยการให้คุณค่าต่อความดีมากกว่าความร่ำรวยที่ไม่คำนึงถึงวิธีการ ซึ่งองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทยร่วมกับกรุงเทพมหานครได้ริเริ่มหลักสูตร “โตไปไม่โกง” มาใช้สอนในโรงเรียนสังกัดกทม. เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ป.ป.ช.ยังไม่ขอให้ความเห็นอันดับคอร์รัปชั่นไทยพุ่ง นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการจัดอันดับดรรชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันประจำปี พ.ศ. 2554 พบว่า ประเทศไทยได้ 3.4 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน อยู่อันดับที่ 80 จากการจัดอันดับทั้งหมด 183 ประเทศทั่วโลก และอยู่อันดับที่ 10 จาก 26 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียด และเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของนายภักดี โพธิศิริ กรรมการป.ป.ช. กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 1 ธันวาคม 2554 8393
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / อย.ทลายเว็บขายยาปลุกเซ็กซ์-ยาแผนโบราณผิด กม.เตือนยาแรงถึงตาย« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 19:02:46 »
วมมือตำรวจ จับยาปลุกเซ็กซ์-เซ็กซ์ทอย และยาแผนโบราณผิดกฎหมาย มูลค่ารวม 7.5 แสนบาท เตือนยาบางตัวออกฤทธิ์ร้ายถึงตายได้
วันนี้ (2 ธ.ค.) นพ. พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ พ.ต.อ.ไพฑูรย์ คุ้มสระพรหม รองผู้บังคับการปราบปราบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (รองผบก.ปคบ.) มีการแถลงข่าวการจับเว็บไซต์ http://spanishflyd9.blogspot.com ลักลอบขายยาปลุกเซ็กซ์ ยานอนหลับ ยาเสียสาว และเซ็กซ์ทอย และยาแผนโบราณผิดกฎหมาย รวมมูลค่ากว่า 750,000 บาท โดย นพ.พงศ์พันธ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเว็บไซต์ชื่อhttp://spanishflyd9.blogspot.com พบว่ามีการขายยาปลุกเซ็กซ์ ยาเสียสาว และอุปกรณ์ทางเพศต่างๆ จึงส่งข้อมูลให้ตำรวจ ปคบ. ดำเนินการสั่งซื้อสินค้าจากชื่อที่ปรากฏในเว็บไซต์ คือ นายสุจินต์ พิริเยศยางกูร (เอก) หลังจากนั้น ในวันที่ 30 พ.ย.2554 ได้มีการส่งมอบของและติดตามพนักงานส่งของจนพบ นายเอกที่คอนโดแห่งหนึ่งย่านปิ่นเกล้า เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงทำการตรวจค้น พบของกลางผิดกฎหมายจำนวนมาก ได้แก่ แมลงวันสเปน (ยาเสียสาว, ยาเสียตัว), ยาน้ำ Blue Wizard, โดมิคุมยาสลบ, ยานอนหลับอย่างแรง, ทิงเจอร์ขาว, Sex Drops, MAXMAN, Cialis และอุปกรณ์เซ็กซ์ทอย “โดมิคุมนั้นเป็นยาสลบที่มักอนุญาตให้จำหน่ายโดยแพทย์เท่านั้น ซึ่งที่ตรวจจับได้นี้ ส่วนมากเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ สำหรับทิงเจอร์ขาวนั้น ปกติมักจะใช้ในม้าตัวเมีย เวลาต้องการกระตุ้นให้ม้าผสมพันธุ์ เนื่องจากทิงเจอร์ขาวจะออกฤทธิ์เพื่อกระตุ้นความต้องการผสมพันธุ์ในม้าตัวเมีย ซึ่งจะการออกฤทธิ์แรงมากหากใช้กับคนอาจถึงตายได้” นพ.พงศ์พันธุ์ กล่าว รองเลขาธิการ อย.กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ อย.ได้ตรวจสอบร้านขายยาหลายแห่งร่วมกับตำรวจ ปคบ.พบว่า มีสถานที่ขายตรงบางแห่งมีการสั่งซื้อยาจากสถานที่ขายยาแห่งหนึ่งและนำมาขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย ทางตำรวจ ปคบ. จึงทำสืบสวนพบว่า สถานที่ดังกล่าวชื่อ “บ้านสมุนไพร” ตั้งอยู่เลขที่ 345/102 หมู่บ้านกิตตินคร บางปู ต.บางปู อ.เมือง จ.สมุทรปราการ มีการขายยาแผนโบราณโดยไม่มีใบอนุญาต ดังนั้น ในวันที่ 29 พ.ย. พบสถานที่นี้ไม่เคยได้รับอนุญาตใดๆ เกี่ยวกับ การดำเนินธุรกิจด้านยาจาก อย.จึงมีความผิดตามกฎหมายในการขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยยาแผนโบราณ ที่ตรวจพบอยู่ในชั้นวางสินค้าและในห้องเก็บของด้านหลังบ้านจำนวนหลายรายการ เช่น ยาจิ่วเจิ้งปู่เซิน เจียวหนัง, ยาเม็ดบรรเทาริดสีดวง, ยาผงผสมโสมตังกุย, ยาลี่ผิงเจียวหนัง, ยาจิ่วเจิ้งซึงเถียเจียวหนัง, ยาจิ่วเจิ้งทงลิ้มเจียวหนัง เป็นต้น พร้อมกันนี้ ยังพบแผ่นพับโฆษณาขายยาแผนโบราณ, เอกสารโฆษณาอาหารเจนิฟู้ดส์ และแผ่นป้ายไวนิลขนาดใหญ่โฆษณาผลิตภัณฑ์อาหาร เจนิฟู้ดส์ เจ้าหน้าที่ทำการตรวจยึดของกลางเพื่อดำเนินคดีต่อไปจำนวน 21 รายการ มูลค่ากว่า 700,000 บาท “ถึงแม้ว่ายาแผนโบราณที่ตรวจยึดดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนถูกต้องกับ อย.แล้ว แต่การขายยาและโฆษณาขายยาต้องได้รับอนุญาตจาก อย.ก่อน มิฉะนั้น ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีการขายยาในลักษณะขายตรงแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะการขายยา ผ่านทางเว็บไซต์ ส่วนใหญ่มีข้อความโฆษณาโอ้อวดเกินจริง อวดสรรพคุณในการรักษาสารพัดโรค เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน โรคตับ ไต อัมพฤกษ์ อัมพาต เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนให้ต้องเสียเงินจำนวนมาก เพื่อซื้อยาที่ไม่มีคุณภาพตามที่อ้าง อาจทำให้เสียโอกาสในการได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ทั้งนี้ อย. จะดำเนินการตรวจสอบพร้อมเฝ้าระวังการลักลอบจำหน่ายยาและโฆษณาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด” รองเลขาธิการ อย.กล่าว พ.ต.อ.ไพฑูรย์ คุ้มสระพรหม รองผบก.ปคบ.กล่าวว่า ในส่วนของเว็บไซต์ที่กระทำผิดนั้น ได้ประสานกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอซีที) เพื่อสั่งปิดเว็บไซต์แล้ว โดยแจ้งความดำเนินคดีมีข้อหาดังนี้ 1.ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.ขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท 3.ขายวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุก 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท ส่วนกรณีการดำเนินคดีของบ้านสมุนไพร คือ ในเบื้องต้นได้แจ้ง 3 ข้อหา ดังนี้ 1.ขายยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 5,000 บาท 2.โฆษณาขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท 3.โฆษณาขายอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท “จากอดีตที่เคยได้จับกุมมา ส่วนมากยาปลุกเซกส์ จะใช้ในผับ บาร์ ใช้ในการมอมยาเพื่อก่อเหตุไม่พึงประสงค์ซึ่งบางตัวออกฤทธิ์ช้า ออกฤทธิ์เร็วภายใน 3-4 นาที ขณะที่ยาบางตัวมีฤทธิ์ยาวนาน 24 ชั่วโมง พ.ต.อ.ไพฑูรย์ กล่าว แหล่งข่าวใน อย.กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่น่ากังวล คือ ยาบางตัวอย่าง Maxman นั้น เป็นชื่อทางการค้าที่มีตัวยา ซินเดนนาฟิล (Sildenafil))ซึ่งกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศของชาย โดยส่วนมากจะเป็นชนิดเม็ดแต่จากการติดตามสถานการณ์พบว่ามีการผสมในกาแฟปรุงสำเร็จ เพื่อให้ง่ายต่อการรับประทาน ออกฤทธิ์กระตุ้นเหมือนไวอะกร้า ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 ธันวาคม 2554 8394
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ยาดองด้วยเหล้ากับก้าวย่างการพัฒนายาไทย« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 19:00:29 »
วิธีการสกัดยาที่เรียกว่า "ยาดองเหล้า" นั้นถือว่าเป็นวิธีการที่น่าสนใจมาก การดองเหล้าคือการใช้แอลกอฮอล์สกัดเอาสารสำคัญในสมุนไพรออกมา จะได้สารสำคัญที่เข้มข้นกว่าการต้มด้วยน้ำและยาไม่บูดเสียง่าย และสามารถสกัดสารบางชนิดที่ไม่ละลายน้ำได้ นับเป็นวิธีที่ประหยัดตัวยาใช้ได้นานและใช้ในปริมาณที่น้อยลง การดองต้องใช้เวลา 15-30 วันจะสกัดตัวยาได้มากขึ้น และสามารถกำจัดแอลกอฮอล์ที่ใช้ดองยาโดยระเหยไปด้วยความร้อน เช่น การนึ่ง
ยาดองเหล้าส่วนมากเป็นยาเกี่ยวกับพวก เลือดลมและโรคโลหิตสตรี เน้นการใช้กับผู้หญิง หลังคลอด ยาที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นพวกกระตุ้นการบีบตัวของมดลูก และตัวยาที่ใช้ดองจะเข้า ไปช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพทำให้ร่างกายคืนสู่สภาพเดิมได้เร็วขึ้น และในกลุ่มผู้ชายซึ่งโดยส่วนใหญ่มักใช้แรงงานหนักจากการทำงานมักปวดหลังปวดเอว จะนิยมใช้ยาดองเหล้าที่ดองจากสมุนไพรชูกำลังหรือบำรุงกำลังช่วยให้ร่างกายหายเมื่อยล้าจากการทำงานหนัก เป็นต้น การใช้ยาดองเหล้ารักษาโรคมักใช้น้อยๆ กินวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นก่อนอาหารไม่มากไปกว่าครั้งละ 1 เป๊ก ตำรับยาดองเหล้ามีมากมายหลายสูตรขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่จะนำไปใช้หรือหมอเป็นผู้แต่งยาให้ ผู้ใช้ยาเหล่านี้จะต้องเป็นผู้มีความรู้เรื่องยาสมุนไพร และต้องใช้ให้ถูกต้น ถูกขนาน ถูกวิธีด้วย ตัวยาที่พบโดยส่วนมาก ได้แก่ โคคลาน เถาวัลย์เปรียง เถาเอ็นอ่อน เจ็ดกำลังช้างสาร ม้ากระทืบโรง กำลังวัวเถลิง กำลังเสือโคร่ง พริกไทย ดีปลี ฝาง ว่านชักมดลูก โด่ไม่รู้ล้ม รากกุ่มนา เปลือกต้นตะโกนา เถาม้าทะลายโรง สมุนไพรดังกล่าวนี้มักใช้เข้ากับตำราอื่นๆ เพื่อใช้บำรุงกำลัง บำรุงเลือด ยาดองเหล้ามักใช้สมุนไพรแห้งดอง โดยเอาสมุนไพรล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดหรืออบให้แห้งเอาตัวยาทั้งหมดห่อด้วยผ้าขาวบางใส่ลงในขวดโหล เทเหล้าขาวหรือเหล้าโรง (28-40 ใส่ลงในขวดโหล เทเหล้าขาวหรือเหล้าโรง (28-40 ดีกรี) ให้ท่วมตัวยาแล้วปิดฝาขวดให้สนิท ทิ้งไว้ 30-60 วันเป็นอย่างน้อย แต่ยิ่งทิ้งระยะเวลาการดองไว้นานกว่านี้แล้วนำมาใช้ก็จะได้ยาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ยาดองเหล้ารักษาโรค ห้ามใช้กับคนป่วยที่มีอาการโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หญิงมีครรภ์ ผู้ที่แพ้แอลกอฮอล์ หากจำเป็นต้องใช้ยาที่มีแอลกอฮอล์เป็นตัวสกัดแล้ว ควรต้องใช้วิธีระเหยเอาแอลกอฮอล์ออกให้หมดก่อน โดยเฉพาะแม่ที่ให้นมบุตร การพัฒนารูปแบบการปรุงยาในบ้านเรา โดยเฉพาะการใช้วิธีดองยาด้วยเหล้านั้นยังติดด้วยข้อกฎหมาย พ.ร.บ.สุรา เพราะการดองยาด้วยเหล้าทำให้เกิดการเปลี่ยนสถานะเปลี่ยนสีเปลี่ยนกลิ่น ถือว่าผิดกฎหมาย ทั้งที่ความจริงแล้วการใช้วิธีสกัดยาวิธีนี้จะช่วยประหยัดตัวยา ไม่ต้องทำลายป่า ไม่ต้องทำลายทรัพยากร โดยเฉพาะตัวยาที่หายากๆ ก็ยิ่งประหยัดมากขึ้น ในประเด็นที่ห่วงว่าประชาชนจะกินเหล้ามากกว่ากินยานั้น ต้องเปรียบเทียบให้ดูว่าแม้ประชาชนไม่กินเหล้าดองยา แต่หันไปกินเหล้าแดงหรือเครื่องดื่มมึนเมาอื่นๆ เพิ่มขึ้นทุกวันอยู่แล้ว จึงไม่อยากให้เอาประเด็นนี้มาเป็นข้อห้ามในการพัฒนายาดองด้วยเหล้า ในการพัฒนาตำรับยาดองเหล้าที่ได้รับการ ส่งเสริมอย่างถูกต้องจริงจังนั้นยังจะได้ประโยชน์ในด้านการคัดเลือกตำรับยา ประสิทธิภาพยา แล้วส่งเสริมให้ใช้เป็นยาอย่างถูกกฎหมาย ตรวจ สอบคุณภาพและมาตรฐานอย่างจริงจังผ่านการควบคุมจาก อย. ผลพลอยได้ตามมาอีกมากมาย ควบคุมจาก อย. ผลพลอยได้ตามมาอีกมากมาย ต่างจากการปล่อยให้ดองใส่โหลตั้งริมทางที่กินกันแบบยกโหลเพราะคนมองว่าเป็นเหล้า แต่ถ้ากำหนดให้กินแบบยาเน้นการใช้เป็นยารักษาโรคอย่างชัดเจน ในตำรายาแผนโบราณของไทย มีตัวยาที่สำคัญหลายตำรับที่ต้องสกัดด้วยการดองยาแล้วจะได้ตัวยาที่ดีกว่าวิธีอื่น บางตำรับสามารถใช้ในการรักษาโรคเรื้อรังหรือโรคมะเร็งได้ ที่สำคัญยืนยันได้ว่าการสกัดยาด้วยวิธีดองด้วยแอลกอฮอล์เพื่อแก้ปัญหาการบริโภคเหล้า ยาดอง และส่งเสริมกระบวนการพัฒนายาไทยด้วยวิธีสกัดยาสมุนไพรด้วยวิธีการดองเหล้าด้วยแอลกอฮอล์นี้ได้ตัวยาที่มีฤทธิ์และประสิทธิภาพดีแน่นอน ในอนาคตคงต้องศึกษาวิจัยว่าจะมีวิธีการอย่างไรที่จะแยกเหล้าออกจากตัวยา แล้วนำไปใช้โดยไม่ต้องพะวงว่ายานั้นยังมีเหล้าอยู่อีก เพื่อแก้ปัญหาการบริโภคเหล้า ยาดอง และส่งเสริมกระบวนการพัฒนายาไทยด้วยวิธีสกัดยาสมุนไพรด้วยวิธีการดองเหล้าด้วย. ไทยโพสต์ 4 ธันวาคม 2554 8395
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / โรงพยาบาลเร่งพลิกเกมดึงคนไข้ "พญาไท-กรุงเทพ-เปาโล"ชูแพ็กเกจคุ้มค่าสู้น้ำท่วม« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 18:58:13 »
ร.พ.ออกโรงกระตุ้นตลาดหลังน้ำลด เข็นแพ็กเกจตรวจสุขภาพราคาประหยัด-คุ้มค่าจูงใจ "พญาไท 2" แถมวัคซีนไข้หวัดใหญ่-กิฟต์โวเชอร์ที่พักหรู "กรุงเทพ" ลด 60% ชุดตรวจสุขภาพ ไทยช่วยไทย "เปาโล" งัดซื้อ 1 แถม 1 ลุย ขณะที่ "วิภาวดี" เพิ่มรายการตรวจ-ราคาสบายกระเป๋า
นายอิทธิ ทองแตง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อและพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงน้ำท่วม ที่ระวังการใช้จ่ายและชะลอใช้จ่ายในเรื่องของการดูแลและการป้องกันรักษาสุขภาพ โรงพยาบาลจึงได้ปรับรูปแบบการทำตลาดมุ่งเน้นกิจกรรมเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง เช่น การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมทั้งจัดแพ็กเกจสุขภาพในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้น ด้วยการมุ่งไปที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่ามากขึ้น อาทิ การเพิ่มรายการตรวจ ราคาที่มีความจูงใจ และลูกค้าสามารถจ่ายได้ พร้อมทั้งขยายระยะเวลาแคมเปญให้ยาวขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ล่าสุด พญาไท 2 ได้จัดแคมเปญแฮปปี้ ไลฟ์ เช็ก อัพ ไปจนถึงเดือนธันวาคมนี้ สำหรับผู้ซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพตั้งแต่ 5,000-17,000 บาท รับหนังสือปรับวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง หรือหมอนผ้าห่มพญาไท หรือรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ มูลค่า 750 บาท พร้อมลุ้นรับกิฟต์โวเชอร์ที่พักเชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา และฟูจิ เรสเตอรองต์ รวมมูลค่า 75,000 บาท ด้านนางสาวบุปผา ภู่ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริการ เครือโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล ระบุว่า ได้ออกแพ็กเกจตรวจสุขภาพตามเทศกาลต่าง ๆ โดยเฉพาะปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงพีกที่สุด โดยกลยุทธ์การออกแพ็กเกจตรวจสุขภาพในช่วงนี้ได้ปรับให้มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยมุ่งไปที่เรื่องของ การแบ่งเบาภาระของลูกค้าจากปัญหาน้ำท่วม อาทิ ซื้อ 1 แพ็กเกจ รับ 1 แพ็กเกจ ที่มีรายการตรวจเหมือนกัน จากปกติได้รับแพ็กเกจขนาดย่อย คาดว่าจะเปิดตัว 15 ธันวาคมนี้ และขยายระยะเวลาถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมรายการตรวจเพิ่มในราคาพิเศษ นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังมีโปรแกรมตรวจสุขภาพ เปาโล เลิฟแคร์ อินเทล ลิเจนซ์ ราคา 3,900 บาท หากตรวจเป็นคู่ ในราคา 7,000 บาท พร้อมรับบัตรเปาโลโกลด์การ์ด ที่ให้ส่วนลดค่ายา 15% และค่าห้อง 25% (ถึง 15 ธันวาคม) ขณะที่นางสาวปัทมพร บุพพะกสิกร ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์และพัฒนาธุรกิจ โรงพยาบาลวิภาวดี กล่าวว่า ขณะนี้โรงพยาบาลกลับมาเปิดให้บริการตามปกติ หลังจากน้ำท่วมทำให้ไม่สามารถให้บริการได้เต็มร้อย ขณะเดียวกันก็ได้เตรียมเปิดตัวแพ็กเกจตรวจสุขภาพหลังน้ำลด โดยจะเน้นไปที่เรื่องของความคุ้มค่า ทั้งในแง่ความหลากหลายและครอบคลุมระบบต่าง ๆ โดยจะลอนช์แคมเปญกลางเดือนธันวาคมนี้ รวมทั้งได้ขยายระยะเวลาจัดแคมเปญตรวจสุขภาพฟันและวัคซีนไข้หวัดใหญ่ถึงสิ้นปีนี้ จากเดิมจะสิ้นสุดในปลายเดือนพฤศจิกายน "เราจะเน้นไปที่ความคุ้มค่าที่มีมากกว่าเดิม ราคา 1,000-2,000 ต้น ๆ และเพิ่มรายการตรวจจาก 5 รายการ เป็น 8-10 รายการ" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนโรงพยาบาลกรุงเทพ ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้จัดแคมเปญ The Gift of Health : ไทยช่วยไทย ด้วยชุดตรวจสุขภาพราคาพิเศษ ลดสูงสุดกว่า 60% ยาวไปจนถึงวันที่ 4 ธันวาคม และสามารถใช้สิทธิไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 อาทิ ชุดตรวจสุขภาพประจำปี ไทยช่วยไทย Vital (อายุ 14-30 ปี) ปกติ 6,900 บาท พิเศษ 2,100 บาท, Vital Plus (14-30 ปี) 8,470 บาท พิเศษ 3,900 บาท ชุดตรวจสุขภาพพร้อมวิวาห์ ชาย ปกติ 5,8010 บาท พิเศษ 2,900 บาท หญิง 6,640 บาท พิเศษ 3,300 บาท เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีแพ็กเกจตรวจสุขภาพ หลังน้ำท่วม ประกอบด้วยแพ็กเกจ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัด ใหญ่ ราคา 800 บาท โปรแกรมเอกซเรย์ปอด ราคา 900 บาท แพ็กเกจฉีดวัคซีนป้องกัน โรคปอดอักเสบในผู้ใหญ่ ราคา 1,500 บาท (รวมค่าบริการผู้ป่วยนอกและค่าแพทย์) ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนถึงสิ้นปี ประชาชาติธุรกิจ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554 8396
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ชุมชน 'คนหัวหมอ'สร้างสุขภาวะ'สมุนไพรและธรรมะ'« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 18:56:49 »
ปัจจุบันสวัสดิการด้านสุขภาพของคนไทยมีประสิทธิภาพมากกว่าในอดีตอย่างเห็น ได้ชัด โดยสามารถเข้ารับการรักษาอาการ เจ็บไข้ได้ป่วยโดยแทบไม่ต้องใช้เงิน แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังมีพฤติกรรมในการซื้อยามารับประทานเอง ไม่นิยมไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค ถึง แม้จะเป็นสิทธิและเสรีภาพด้านการบริโภค แต่ก็ เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชา กรไทย และยังสร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับประเทศ
หลายรายนิยมเลือกซื้อยาจากร้านขายยาโดย ไม่มีใบสั่งแพทย์ บางครั้งถึงขั้นวินิจฉัยโรคด้วยตน เอง และมีความเข้าใจผิดๆ ว่ายาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบ เป็นยาครอบจักรวาลที่ใช้รักษาได้ทุกโรคเช่นเดียวกับที่ ชุมชนบ้านเหมือดขาว ตำบลม่วง อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ที่สูญเสียเม็ดเงินไปกับการซื้อยากินเองจากร้านขาย ยา เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล มูลค่าไม่น้อยกว่า 108,000 บาทต่อปี ในขณะที่ปัญหาด้านสุขภาพกลับรุนแรงขึ้นขึ้น เนื่องมาจากการใช้ยาที่ผิดวิธี ด้วยเหตุนี้ องค์การบริหารส่วนตำบลม่วง อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร จึงได้จัดทำโครง การ "หมอบ้านเหมือดขาวร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่น ให้น่าอยู่" เพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนได้ดูแลรักษาสุขภาพของตนเองตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับการใช้สมุน ไพรพื้นบ้านใกล้ตัวซึ่งมีสรรพคุณทางยา มาประยุกต์ใช้กับวิถีการกินอยู่ประจำวันของครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่นใกล้เคียง โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นายศุภษร อินทร์กาย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลม่วง หัวหน้าโครงการ อธิบายว่า ชาวบ้านเหมือดขาวเกือบทั้งหมดประกอบอาชีพทำนา เมื่อเจ็บป่วยก็เลือกที่จะซื้อยากินเองแทนที่จะไปพบแพทย์ เนื่องจากการเดินทางไปโรงพยาบาลทำ ให้เสียเวลาทำงาน เสียค่าเดินทางและค่าอาหารต่อครั้งมากกว่า 200 บาท ผลกระทบที่ตามมาคือ ภาวะการใช้ยาแบบฟุ่มเฟือย เสี่ยงต่อการใช้ยาผิด ประเภทและผิดวิธี นอกจากจะไม่หายขาด อาจส่งผลให้สุขภาพเสื่อมโทรมและเกิดการอาการเจ็บป่วยเรื้อรังซึ่งยากต่อการรักษา "เมื่อประชาชนไม่สะดวกที่จะเข้าไปพึ่งพาการรักษาจากหมอในโรงพยาบาลใหญ่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องต่างๆ ในฐานะองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นจึงมีหน้าที่ต้อง สร้างเสริมสุขภาพที่ดีแก่ทุกคน ดัง นั้นการสร้างคนในชุมชนให้เป็นหมอที่มีความรู้ เรื่องการใช้ผักและสมุนไพรในท้องถิ่นมาปรุงเป็น ยา เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น ถือเป็น การกระตุ้นให้เกิดการพึ่งพาตนเองที่ถูกต้องแทนการซื้อยากินเอง ช่วยให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลน้อยลง อีกทั้งยังช่วยให้แพทย์และพยาบาลมีเวลาดูแลรักษาผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการวิเคราะห์โรคเชิงลึกและการรักษาที่ใกล้ชิดกว่า" นายศุภษรกล่าวเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง อบต.ม่วง จึงได้ชักชวนให้กลุ่มเป้าหมายหลักซึ่งเป็นผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง อาทิ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคผิวหนังอัก เสบ เข้าค่ายฝึกอบรมในกิจกรรม งานแพทย์ทางเลือกวิถีพุทธ ณ สวนป่านาบุญ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร โดยเป็นการถ่ายทอดความรู้ เรื่องการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ด้วยการบรร เทาอาการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆ เสริมสร้างร่าง กายให้แข็งแรงด้วยสมุนไพรใกล้ตัว นางสาวจรูญ เหง้าชารี แกนนำกลุ่มหมอบ้านเหมือดขาว กล่าวว่า สมาชิกในชุมชนหลายรายมีปัญหาสุขภาพซึ่งเป็นกระทบจากพฤติกรรมการใช้สารเคมีในภาคการเกษตร โรคส่วนใหญ่ที่พบในพื้นที่จึงเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ โรคผิวหนังอักเสบ รวมถึงโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง จากการเข้าฝึกอบรมในกิจกรรมงานแพทย์ทางเลือกวิถีพุทธ จึงรู้ว่าโรคเรื้อรังเกิดจาก พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ขาดความพอดี หากต้อง การห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บเหล่านั้นจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอยู่ให้สมดุลเป็นอันดับแรก "วัฒนธรรมการกินถิ่นอีสานหนีไม่พ้นข้าวเหนียว ส้มตำ และน้ำพริก ในข้าวเหนียวมีแป้งและน้ำตาลสูง ส่วนกับข้าวและเครื่องเคียงล้วนเป็นอาหารรสจัด ทั้งหมดนี้คือปัจจัยกระตุ้นให้อาการของโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานกำเริบ การปรับวิธีการกินอาหารจึงเป็นกฎข้อแรกของการมีสุขภาพดีที่สมาชิกต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จากนั้นคือการถอนพิษทั้งภายในและภายนอกร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ" น.ส.จรูญระบุ อาหารหลักที่ช่วยปรับร่างกายให้สมดุลคือ สมุนไพรที่หาได้ตามรั้วบ้านกว่า 10 ชนิด อาทิ ใบย่านางเขียว ใบเตย บัวบก หญ้าปักกิ่ง ใบอ่อมแซม ใบเสลดพังพอน หยวกกล้วย และว่านกาบหอย ซึ่งส่วนใหญ่มีฤทธิ์เย็น เมื่อผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันและเบาหวานได้รับประทานก็จะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ นายสุวิทย์ บุดดีสี วัย 60 ปี ชาวบ้านเหมือดขาวที่เข้าร่วมโครงการ เปิดเผยว่า ตนมีปัญหาสุขภาพไม่ต่างจากคนอื่น ด้วยเป็นห่วงว่าจะไม่มีใครดูแลที่นา เมื่อมีอาการปวดหัวเป็นไข้จึงมักซื้อยากินเอง จนกระทั่งล้มป่วยหนักด้วยอาการไข้ กินอาหารไม่ได้ เคลื่อนไหวลำบาก จึงตัดสินใจไปพบแพทย์ แต่สุดท้ายแพทย์แต่ละคนกลับวินิจฉัยไม่ตรงกัน ทำให้เสียเงินไปหลายพันบาท "การใช้สมุนไพรบำบัดเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ต้องเลือก แต่เมื่อปฏิบัติตามกลับพบว่าอาการเจ็บป่วยทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด ทุกเช้าจะดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ซึ่งเป็นสมุนไพรจากพืชผักพื้นบ้านที่ขึ้นตามริมรั้ว โดยนำมาบดสดแล้วดื่มน้ำ กากที่เหลือนำไปพอกร่างกายบริเวณที่ปวดเมื่อยแล้วใช้ไม้ขูดนวดเบาๆ ซึ่งสารอาหารในกากสมุนไพรจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอีกทางหนึ่ง ส่วนอาหารในแต่ละมื้อก็จะปรุงจากพืชผักพื้นบ้านที่ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลเพียงหยิบนิ้วเท่านั้น แล้วออกกำลังกายด้วยการทำโยคะ และสร้างสุขภาพใจด้วยการทำสมาธิก่อนเข้านอน ปรากฏว่าทุกวันนี้สามารถทำงานได้เป็นปกติกินอิ่มนอนหลับสบายใจ" นายสุวิทย์กล่าว ปัจจุบันชาวบ้านเหมือดขาวได้รับปริญญาชีวิตเป็นหมอสมุนไพรกันถ้วนหน้า สามารถดูแลรักษาสุขภาพเบื้องต้นได้ด้วยความรู้และสองมือของตนเอง อีกทั้งยังสามารถถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ชุมชนอื่นๆ ที่ประสบปัญหาด้านสุขภาพได้อีกด้วย "ที่ผ่านมา อบต.ถูกมองว่ามีหน้าที่ต้องสร้างถนนเพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าได้นำพาสิ่งของเครื่องใช้หรูหรามาสู่ท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขเพียงฉาบฉวย แท้จริงคือหนี้สินและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ดังนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดีจึงมีหน้าที่ต้องดูแลประชาชนให้อยู่ดีมีสุขอย่างแท้จริง ด้วยการดูแลสุขภาพของทุกคน เพราะเมื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรง ห่างไกลโรค เศรษฐกิจในครัวเรือนก็ดีขึ้น สามารถดำ เนินชีวิตได้อย่างปกติสุข ชุมชนก็มีความน่าอยู่มากขึ้น กลายเป็นตำบลที่มีความเข้มแข็งจากภาย ในโดยทุกคนมีส่วนร่วม" หัวหน้าโครงการกล่าว. ไทยโพสต์ 4 ธันวาคม 2554 8397
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / Re: สตง.ชำแหละ สปสช.ฝ่าฝืนมติ ครม.เพียบ มือเติบจ่ายเงินเดือน-เบี้ยประชุมสูง« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 15:08:06 »
เอกสาร
สรุปผลการตรวจสอบการดำเนินการ ปีงบประมาณ ๒๕๕๔ สำนักงานตรวจสอบการดำเนินงานที่ ๒ .......................................................... 8398
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / สตง.ชำแหละ สปสช.ฝ่าฝืนมติ ครม.เพียบ มือเติบจ่ายเงินเดือน-เบี้ยประชุมสูง« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2011, 10:09:33 »สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)เผยแพร่สรุปผลการตรวจสอบประเมินผลสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ปีงบประมาณ 2554 ทางเว็บไซต์เมื่อเร็วๆนี้โดยระบุว่า มีการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีหลายข้อทั้งการจ่ายเงินเดือนเลขาธิการ สปสช.ในอัตราสูงไม่เป็นไปตามสัญญา จ่ายเบี้ยประชุมให้ประธานและอนุกรรมการเกินกว่ามติ ครม.2เท่าตัว มั่วจ่ายเบี้ยเลี้ยง จ่ายโบนัสพนักงานโดยไม่มีมติคณะกรรมการ สปสช. ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ สรุปผลการตรวจสอบประเมินผลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ ๒๕๕๔ สำนักงานตรวจสอบการดำเนินการที่ ๒ .................................................................... 8399
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / "ปลัด สธ." รับสนองพระราชดำรัส "สมเด็จพระเทพฯ" ห่วงเชื้อราหลังน้ำลด« เมื่อ: 03 ธันวาคม 2011, 20:50:23 »
นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถึงกรณีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ห่วงปัญหาเชื้อราในบ้านเรือนประชาชนหลังน้ำท่วมว่า พระองค์ท่านพระราชดำรัสในเรื่องนี้ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข และตนกำลังจะสนองพระราชดำรัส ซึ่งเชื้อราที่เราพบเป็นเชื้อที่ไม่ทำอันตรายแก่ทุกคนที่สภาพร่างกายปกติ แข็งแรง แต่เชื้อราจะมีผลเฉพาะกลุ่มคน 2 ประเภท คือ คนที่มีภูมิต้านทานต่ำ และกลุ่มที่แพ้ง่ายหรือเป็นโรคภูมิแพ้ ดังนั้นทางกระทรวงได้มีข้อแนะนำผู้ที่จะเข้าไปทำความ สะอาดบ้านควรจะสวมถุงมือ และถ้าเรารูสึกตัวว่าเราเป็นโรคภูมิแพ้หรือร่างกายในช่วงนั้นอ่อนแอไม่แข็งแรง พยายามสวมหน้ากากอนามัยทำความสะอาดบ้านในเบื้องต้น
นพ.ไพจิตร์กล่าวว่า ทางกระทรวงได้สนองพระราชดำรัสเราจะใช้อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ที่มีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 1 ล้านคนเข้าไปแนะนำแจกคู่มือช่วยประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลมีนโยบายในช่วงวันที่ 1-5 ธ.ค.จะได้เร่งดำเนินการสนองตอบในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา อย่างไรก็ตาม เชื้อราที่รุนแรงมากที่สุดคือทำให้ปอดอักเสบ เพราะถ้าร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ เวลาที่สูดมันจะทำให้เกิดอาการปอดอักเสบหรือปอดบวมได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีลักษณะของภูมิต้านทานต่ำก็อาจจะถึงเสียชีวิตได้ อาทิ ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งแล้วต้องกินยากดภูมิต้านทาน ควรสวมหน้ากากอนามัยเข้าไปทำความสะอาดบ้าน หากมีอาการรุนแรงให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่สถิติคนที่แพ้เชื้อราขณะนี้มีจำนวนน้อย และยังไม่พบผู้เสียชีวิต รวมทั้งยืนยันว่ายังไม่พบเชื้อโรคใหม่ๆ เกิดขึ้นแต่อย่างใด มติชนออนไลน์ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554 8400
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / สารสกัดกระเทียมฆ่า อะฟลาทอกซินในพริกแห้ง« เมื่อ: 02 ธันวาคม 2011, 23:12:20 »
พริกแห้ง พริกป่น มักจะมี เชื้อรา และ สารอะฟลาทอกซินปนเปื้อน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ ที่ทำให้ผลผลิตที่ได้ไม่มีคุณภาพและไม่สามารถส่งออกได้ กรมวิชาการเกษตร จึงได้หาวิธีที่จะป้องกันการปนเปื้อนสาร อะฟลาทอกซินโดยไม่ใช้สารเคมี โดยทำการศึกษาสมุนไพรมากกว่า 10 ชนิดพบว่ากระเทียมสามารถทำลายเชื้อราได้ 100% และยังสามารถทำลายสารพิษได้อีกด้วย ทำให้พริกแห้งและพริกป่นที่ได้มีคุณภาพดีและปลอดการปนเปื้อนสารอะฟลาทอกซิน
วิธีปฏิบัติ เก็บพริกสดมาทำความสะอาด จุ่มลงในสารสกัดกระเทียมที่ได้จากกระเทียมสดคั้นน้ำ แล้วนำไปผึ่งให้แห้ง จากนั้นนำไปอบให้เป็นพริกแห้ง จะได้พริกแห้งที่ไม่มีเชื้อราและอะฟลาทอกซิน สามารถเก็บได้นานถึง 10 เดือน ซึ่งวิธีนี้สามารถทำได้ทั้งพริกเม็ดใหญ่ พริกขี้หนู และพริกป่น นอกจากนี้พริกที่มีสารพิษอยู่แล้วเมื่อนำมาคลุกกับสารสกัดกระเทียมดังกล่าว ก็จะช่วยลดปริมาณสารพิษเหล่านั้นลงได้ ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้พบว่าใช้ได้ผลดีกับพริก ถั่วลิสง หรือแม้แต่ข้าวโพด ก็สามารถใช้วิธีเดียวกันนี้ได้ การนำพริกมาจุ่มลงในสารสกัดกระเทียมนี้แม้จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่หากมองถึงสิ่งที่ได้รับคือพริกแห้งที่ได้มีความสวยงามมากขึ้น มีคุณภาพดี เก็บไว้ได้นาน และสามารถขายได้ในระดับพรี เมี่ยม ซึ่งจะทำให้สินค้ามีราคาที่สูงขึ้นไปด้วย ดังนั้นจึงถือว่ามีความคุ้มค่าต่อการลงทุน นอกจากนี้ในส่วนของรสชาติที่ได้รับก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และอาจมีความหอมเพิ่มมากขึ้นจากสารสกัดกระเทียมดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายเกษตรกรสามารถทำเองได้ สำหรับในส่วนของกระเทียมนั้น หากเป็นช่วงที่กระเทียมมีราคาสูงเกษตรกรสามารถจัดการในด้านต้นทุนได้ ด้วยการนำกระเทียมในช่วงที่ราคาต่ำมาผลิตเป็นผงไว้ใช้งานได้ นอกจากนี้ผู้ผลิตกระเทียมเองก็อาจนำมาผลิตเป็นกระเทียมผงเพื่อขายให้กับเกษตรกรผู้ผลิตพริกแห้ง พริกป่น ถือเป็นการสร้างรายได้ให้ผู้ปลูกกระเทียมอีกทางหนึ่ง. เดลินิวส์ 23 พฤศจิกายน 2554 |